ขี่รถลุยลาวในอดีต{แตกประเด็นจาก V10157003}
|
 |
มาแว้ว .......วันนี้หรือพรุ่งนี้ก็น่าจะได้ไปเที่ยวเวียตนามที่เมืองวินกันบ้างนะครับ ย้อน3บรรทัดเหมือนเดิมเด้อ
อีตาจันทาบอกว่า-งั้นเดี๋ยวจะพาไปลงจ็อบก่อน เพราะวันที่เรามาถึงมันหัวค่ำ ด่านปิดไปแล้ว และที่เราเที่ยวอยู่ได้2วันที่ผ่านมา เพราะเป็นวันหยุด ด่านยังไม่เปิดทำการ วันนี้เป็นวันจันทร์ ด่านเปิดทำการแล้ว เราต้องไปรายงานตัวก่อน ไม่งั้นจะมีความผิด หรือไปถึงท่าซ่วงแล้ว ด่านจะไม่ยอมให้กลับ เพราะไม่มีตราประทับมาจากหลวงพระบาง
เออ......-แปลกดีเว้ย.........เมืองลาวนี่ ปล่อยให้คนเข้าเมืองเสียจนจะกลับบ้านแล้ว ยังมีรายการส่งสายสืบให้มาตามเรากลับไปทำใบเข้าเมืองเสียอีก เราให้ตาจันทาพาเราไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าเรือวันขามา ใช้เวลาทำเรื่องเข้าเมืองเสร็จเราก็ทำเรื่องขอออกเมืองมันตรงนั้นเลย
(ซึ่งพี่แกก็ทำให้หน้าตาเฉย ทั้งที่เรายังไม่ได้กลับในวันนั้น........นี่แหละเมืองลาวละ)
ตกลงที่เข้ามาทางด่านห้วยโก๋นนั้น เราจะต้องประทับตราเข้าเมืองและออกเมืองทั้งไปและกลับ8แห่ง.....คือขามา4ครั้งและขากลับอีก4ครั้ง ว่ากันจนพาสปอร์ตเขรอะไปเกือบครึ่งเล่ม
นี่คือวิธีการทางราชการของลาวในสมัยเมื่อ10กว่าปีที่ผ่านมานะครับ คือเขาคุมเข้มแบบไม่ให้ใครกระดิกตัวเลย แม้แต่คนลาวเองนั้น หากจะเดินทางข้ามแขวงไปยังเมืองอื่นก็จะต้องไปแจ้งให้นายแสง(กำนัน) ออกหนังสือรับรองให้ ไม่งั้นเดินทางไปแล้วจะโดนกักตัวเอาไว้ที่ปลายทางก็ได้
(ยังมีรายละเอียดแปลกๆอีกเยอะครับ ผมจะทยอยเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ.......เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปกัน4คน...นายด่านศุลกากรลาว ดันเอาต้นขั้วทะเบียนของผมไปทำใบกำกับรถ4คัน เป็นเลขทะเบียนเดียวกันหมด พอขากลับพี่แกดันถามผมว่าทำไมคนเดียวขับรถมาได้ยังไง4คัน ฟังดูแล้วแปลกไหมล่ะ
ทั้งๆอีก3คนที่ยืนอยู่กับผมก็แต่งตัวชุดขี่รถทั้งหมดยืนหน้าแหลมอยู่ใกล้ๆผมนี่แหละ
.....พี่แกดันมาเหมาว่าผมเอารถมาได้4คัน......งานนี้น้าหยอยหัวเราะไม่ออกและร่ำไห้ไม่เป็นครับ ไว้จะทยอยเล่าเมื่อถึงตอนนั้นๆ)
เราเสียเวลาไปกับการทำเอกสารประมาณครึ่งชั่วโมงก็เสร็จพิธีการ
ครึ่งวันหลังนี้เราให้น้าจันทา พาเราไปกินอาหารพื้นเมืองกันหน่อยดีกั่ว. อีตาจันทาไม่รอช้า เพราะแกคือคนในพื้น และหลวงพระบางก็ไม่ได้กว้างขวางมากมายไปกว่าอำเภอในชนบทของเรา
แกพาเราดิ่งไปร้านแห่งหนึ่ง แวบอกว่าร้านนี้อร่อยถูกปากคนไทย เจ้าของร้านเป็นผู้หญิง .แกช่วยกันขายสองคนกับลูกสาว.....
ร้านนี้ชื่อ แคมโขง ฟังแล้วจั๊กกระจี้หัวใจดีพิลึก. วันนั้นฝนตกพรำๆ
บรรยากาศดีเสียจนเราต้องสั่งยาดองตราม้ากระทืบเมียมาแก้อาการแพ้บรรยากาศซะคนละกรึ๊บสองกรึ๊บ แถมด้วยต้มยำปลาคังเข้าไปอีก1หม้อ แค่นี้น้าหยอยก็มีความสุขเสียจนหัวใจแทบจะกระเด็นออกมาทางปาก
รู้จักใช่ไหมครับปลาคังน่ะ ผมละชอบเสียจริงๆเชียว มันมีกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของมันนะครับ หนังมันกรุบๆดี เขียนแล้วน้ำยายไหย...
น้ำตกที่ขึ้นชื่อลือชาของหลวงพระบาง คือตาดกวางสี เป็นน้ำตกที่ไม่สูงมากนัก แต่สวยงามดีจริงๆ ลักษณะของมันตกลงมาแบบกว้างๆและในส่วนผสมของน้ำ น่าจะมีแร่ประเภทแคลเซี่ยมผสมอยู่มากมาย เหมือนๆถ้ามี่มีหินงอกหินย้อยน่ะ
บริเวณรอบน้ำตกจึงมีรูปทรงเป็นซุ้มเป็นหลืบ มองดูจับตาเป็นอย่างยิ่ง ผมเดินหามุมถ่ายรูปอยู่หลายจุด จนเ
ป็นที่พออกพอใจแล้วก็กลับที่พัก น้ำตกที่เหมือนตาดกวางสีนี้ มีในประเทศไทยเราอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อน้ำตกภูซาง รู้สึกว่าจะเป็นเส้นทางที่ล่องกลับมาจากภูหินตั้งหรือภูชี้ฟ้าอะไรนี่แหละ
แต่มันจะเล็กกว่าที่กวางสีประมาณสัก5-6เท่าเห็นจะได้
วันรุ่งขึ้น เราให้น้าจันทา พาเราไปส่งที่ท่าเรือ โดยไม่ต้องแวะแสตมป์พาสปอร์ต เนื่องจากทำมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เราจัดการเช่าเหมาลำเรือ3ตอนลำกลับมาในราคาเดิมคือ3,000 บาท
ขากลับนี้เรือแล่นทวนน้ำมาโดยตลอด แถมอยู่ดีๆ เรือเกิดหยุดขึ้นมาเฉยๆ. นายท้ายเรือมันให้เราเอากระดานที่เป็นพนักพิงมาช่วยกันพายเรือเข้าฝั่ง เนื่องจากใบพัดเรือมันไปฟันถูกขอนไม้ที่ลอยตามน้ำมา ใบพัดเลยถอนเกลียวหลุดตกน้ำไปอย่างที่บอก
ผมคิดว่าเรือพวกนี้คงมีประสบการณ์ใบพัดตกน้ำ มาจนเป็นเรื่องปกติ เพราะเห็นเขาเปิดเอาลังเครื่องมือออกมาแล้วยังมีใบพัดสำรองอยู่อีกหลายอันเหมือนกัน.
หากไม่มีใบพัดสำรองมาแบบนี้ ผมว่าดูไม่จืดเลยละ เพราะเราต้องปล่อยให้น้ำโขง พัดกลับมาที่หลวงพระบางอีกรอบหนึ่ง ซึ่งน่าจะใช้เวลากันเกือบเต็มวันแหละ.......
.ก็ขนาดเรือหวานเย็นมันมีเครื่องยนต์(และขับตามน้ำมาด้วย).......พี่แกยังขับกันถึง3วันกว่าจะมาถึงหลวงพระบางได้ (เล่าให้ฟังไปแล้วนะครับที่บอกว่ามีฝรั่ง2-3คนนั่งหงอยเป็นไก่ป่วยอยู่ที่ท่าซ่วงนั่นไง..... โอย....เหนื่อย
คราวนี้คือน้ำตกตาดกวางสีเด้อ เมื่อวานดันเอามาลงสลับกับวังของเจ้ามหาชีวิต
จากคุณ |
:
เคี้ยงโมโต
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ม.ค. 54 19:34:56
|
|
|
|