|
อ่านกันต่อนะครับ เรื่องมันยังไม่จบง่ายๆ หรอก 555555 เพราะผมก็ยังอยากได้รถอยู่ดีน่ะ
....ทางฝ่ายขายแจ้งว่าถ้าจะเอารถต้องเอาเงินมาจ่ายก่อนทั้งหมด โดยผมพยายามคุยกับฝ่ายขายว่า สามารถวางเงินมัดจำเพิ่มได้อีกหรือไม่ เพราะยังไม่อยากจ่ายเงินเต็มตอนนี้ และรถก็ยังมีตำหนิอยู่ ซึ่งฝ่ายขายบอกว่าถ้าอย่างนั้นให้ชำระมัดจำเพิ่มไว้ก่อนก็ได้ ผู้เขียนจึงทำการชำระเงินเป็นจำนวน 404,000 บาท เพื่อให้ทางศูนย์สบายใจว่าเราเอารถแน่ ๆ และที่จ่ายเงินมัดจำเพิ่มไปเพราะทางศูนย์อยากให้ผมจ่ายเงินมาก ๆ จะได้ทำเรื่องแก้ไขปัญหาต่อไปได้ ส่วนปัญหาเรื่องรถบุบ ฝ่ายขายแจ้งว่าต้องนำไปดูด เคาะและทำสีใหม่ หรือเปลี่ยนประตูใหม่ ซึ่งนั่นหมายถึงรถมีตำหนิแล้วจะให้ลูกค้ารับรถได้อย่างไร แล้วเสนออีกวิธีก็คือให้รถสั่งรถคันใหม่ซึ่งจะได้รถอีกครั้งคือ... เดือน ก.พ. 54 มันนานมากจนผมตกใจ ซึ่งตัวผมเองคิดว่ามันน่าจะมีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่า ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ทางศูนย์ที่ผมจองได้แจ้งปัญหาไปที่ศูนย์ใหญ่หรือเปล่า ผมว่าการให้ลูกค้ารอนาน ๆ ไม่น่าจะเป็นวิธีที่ดีสุด แล้วเงินที่ทางฝ่ายขายให้เงินที่จ่ายไปก่อนเพื่ออะไร ถ้าต้องเสียเวลารอนานขนาดนี้ (ค่าจอง 5,000 + ค่าวางมัดจำเพิ่มอีก 404,000 รวม 409,000 บาท) ถ้านำเงินจำนวนนี้ไปปล่อยกู้คุณคิดว่าผมจะได้ดอกเบี้ยเท่าไหร่จนกว่าจะถึงเดือน กพ. ปีหน้า ยังมีอะไรที่จะแย่ได้อีกมั๊ยครับ มีเงินอย่างเดียวคงไม่พอแล้วล่ะครับ ต้องดวงดีด้วยถึงจะออกรถได้ ผมคิดว่ามันขาดความรับผิดชอบอย่างมาก ๆ กับลูกค้าคนหนึ่ง ภาพลักษณ์ที่พยายามสร้างมาตลอดไม่น่าจะมาเสียกับเรื่องแบบนี้ หลักจากนั้นผมได้ติดต่อกับศูนย์ฯ ถึงวิธีการแก้ไขปัญหาในกรณีนี้เค้าจะทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ไม่ได้พอใจเท่าไหร่ เค้ามี 3 ทางเลือกให้ผม 1.เอารถออกไปซ่อม (ดูดรอยที่บุป แล้วทำสีใหม่) แล้วก็จบ แต่ผมไม่อยากได้รถที่ต้องซ่อมทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ขับอะไรเลย 2. รอรถคันใหม่จะมาประมาณ ปี ก.พ. 54 (อีกประมาณ 2 เดือนเป็นอย่างน้อย) อันนี้ไม่อยากรอแล้วล่ะครับ รอมาตลอด นานมากๆ 3. คืนเงิน ยกเลิกการจองจบ (ง่ายมาก ๆ เลย) ประมาณลูกค้าเรื่องมากไม่อยากได้เงินแล้ว ผมคงผิดเองที่ไม่ทำตามข้อ 1 และ 2
โดยหลังจากได้รับคำตอบจากศูนย์ฯเกี่ยวกับทางเลือกที่ให้ผม ผมไม่เลือกทั้ง 3 คือ แต่ได้ลองเขียนเรื่องไปถึงศูนย์ฯใหญ่ กทม. เรื่องถึงได้เริ่มเป็นเรื่อง รู้สึกว่า ศูนย์ฯ ตจว. ที่ผมซื้อจะมีการประชุมกันยกใหญ่ทีเดียว ว่ามันมีปัญหาอะไร แล้วแก้ไขอะไรให้ลูกค้า โดยทางศูนย์ฯ ตจว. โทรมาเรียกผมให้ไปเข้าประชุมด้วย เพื่อที่จะได้สรุปวิธีแก้ปัญหา แต่ผมก็บอกว่าไม่สะดวกลงไป เนื่องจากการลางาน + งานที่ยุ่ง + ผมเสียเวลามามากพอแล้ว จึงอยากให้เค้าสรุปวิธีแก้ปัญหาของเค้ามาให้เลย โดยที่เซลถามว่าผมต้องการอะไร เรียกร้องอะไร ตอนนั้นก็คิดว่าจะเรียกร้องอะไรดี ส่วนลด หรือบริการ หรืออะไรดี ที่มันคุ้มค่ากับเวลา ความรู้สึก การรอคอย พ่อแม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาฤกษ์ตามนัด พี่ชายต้องเสียเวลามาดูทุกอย่างให้ ผมต้องเสียค่าโทรศัพท์ติดต่อมากมาย รวมถึงต้องเสียเวลาลงไปดูรถเอง หลังจากตรวจสอบรถว่ามีรอยบุบจริง ผมรู้สึกว่าผมเสียต้นทุนในการออกรถยนต์คันนี้ไปมากจริง ๆ ผมควรจะได้รับอะไรที่มันคุ้มค่ากับต้นทุนบ้าง ผมเลยเสนอกับเซลที่โทรมาถามว่าผมต้องการอะไรไป 2 ข้อ คือ 1. ถ้าผมรับได้กับรถคันนี้ (ต้องซ่อมทำสี) จะมีส่วนลดพิเศษให้ผมเท่าไหร่ ขอแบบพิเศษ ๆ เลยนะ (ขอหลักแสน) 2. ถ้าสามารถให้รถคันใหม่มาเปลี่ยนให้ผมทันภายในวันที่ 17 ธ.ค. 53 พร้อมออกรถทันที ทุกอย่างก็จบครับ
...หลังจากประชุมออกมาเซลโทรมาแจ้งว่าข้อเสนอของผมไม่สามารถทำได้ทั้ง 2 ข้อ มันมากเกินไป 1. ขอส่วนลดกับรถคันนี้ เค้าแจ้งว่าผมได้ส่วนลดเยอะอยู่แล้ว ลดให้อีกไม่ได้ เพราะที่ลดให้ก็เกือบขาดทุนอยู่แล้ว แต่เค้าเสนอเครื่องฟอกอากาศของแท้ให้ผมแทน ราคาหมื่นกว่าบาท ....โหใจปล้ำสุด ๆ ผมซึ้งจนแถบร้องไห้เลย 2. เรื่องหารถให้ทันในวันที่ 17 ธ.ค. 53 ไม่สามารถทำได้ ยังไงก็ต้องรอ ก.พ. 54 ตามนั้น
.......ผมไม่รู้ว่าเค้าพยายามแล้วหรือยัง ทำอะไรกันแค่ไหน แต่สำหรับผมถือว่าการพยายามมันสิ้นสุด รับไม่ได้ ไม่อยากรอ
......หลังๆนี้เซลโทรติดต่อผมตลอด สอบถามว่าตกลงผมจะเอายังไง เพราะเค้ากังวลเรื่องเงินมัดจำที่ผมให้ไว้สี่แสนกว่าบาท เพราะเงินก้อนนี้ผมจัดการโอนให้ศูนย์ฯไปตั้งแต่ตอนที่เค้าขอแล้ว สงสัยกลัวเราจะฟ้องอะไรล่ะมั๊ง เพราะเห็นเราเอาจริง แล้วก็ถามว่าตกลงเราจะเอายังไง ข้อเสนอที่ให้ก็มีแค่นั้น.....แค่นั้นจริง ๆ เหมือนเค้าไม่แคร์อะไรเราซักนิด เข้าใจนะว่ารถเค้าคงขายดีมาก ๆ เลยไม่คิดจะง้อลูกค้าเลยจริง ๆ สรุปผมเลยตอบไปว่า ถ้าไม่ได้ตามเงื่อนไขที่ผมเสนอ ผมก็ไม่เอา ก็ไม่รู้จะทำยังไง หรือผมสามารถทำอะไรได้บ้าง
สุดท้ายทางผู้จัดการศูนย์ก็ให้ทางบัญชีโทรมาถามเลขที่บัญชีเพื่อโอนเงินคืนให้ผม แถมยังถามผมอีกว่าผมยินดีรับเงินคืนไหม ผมตอบไม่เลยว่าไม่ยินดีหรอก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ แล้วทางบัญชีของเค้าก็โอนเงินคืนมาให้ผมเรียบร้อย
โดยหลังจากนั้นผมได้พยายามติดต่อกับศูนย์ฯที่ญี่ปุ่น (ทางเมล) และเล่าเกี่ยวกับปัญหาที่ผมเจอ อารมณ์ตอนนั้นคือไม่อยากจบ ทำไมมันดูจบง่าย แบบไม่มีคุณค่า ไม่มีอะไรมาชดเชยความรู้สึกที่ผมเสียไปเลย สรุปทางญี่ปุ่นก็ติดต่อกลับมา แล้วแจ้งว่าจะแจ้งเรื่องนี้ให้นายใหญ่ของทางญี่ปุ่นทราบและจะประสานงานกับศูนย์ฯในไทยอีกที ช่วงนี้เคว้งครับ .....ไม่รู้จะเลือกรถอะไรแล้ว หรือจะลองไปจองที่ศูนย์ฯ อื่น ๆ ดู (คือใจนึงก็อยากได้อยู่ อีกใจนึงก็เซ็งกับมัน) หรือจะทำไงดี ก็เลยเข้ามาอ่านในรัชดานี่และ สรุปแล้วก็มีคนที่เจอปัญหาเหมือนๆ กันอยู่หลายคน ก็เลยเริ่มทำใจครับ เค้าคงไม่ได้คิดแก้ปัญหาอะไรอีก เพราะของเค้าขายดีครับ
คิดว่าจบแค่นี้ครับ ....เงียบ ๆ ไปทุก ๆ อย่าง ญี่ปุ่นก็เงียบ เมื่อต้นเดือน ม.ค. 54 ที่ผ่านมา มี จม.มาที่บ้าน เป็นซองจากพี่โตครับ .....เราก็รีบแกะอ่านนึกว่าจะมีอะไร สรุปแล้วเป็นหนังสือขอโทษครับ คงจบแล้วจริง ๆ ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้วล่ะครับ เรื่องมันก็คงเป็นแบบนี้แหละ สิ่งที่เสียไปแล้วก็คงไม่มีอะไรมาชดเชย แก้ไขอะไรไม่ได้
....จบง่ายไปหน่อยคงไม่ว่ากันนะครับ คราวนี้จะเรื่มเข้าเรื่อง FOCUS ของผมแล้วล่ะ ....ขอพักดื่มน้ำแป๊ปนึก
จากคุณ |
:
yakdon
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ม.ค. 54 14:53:23
|
|
|
|
|