ความคิดเห็นที่ 1 พี่อู้ด รถเค้ารุ่นใหญ่นะครับ จะไปเทียบกับรถเล็กได้เหรอครับ จากคุณ : ปิติกับเจ้าแก่ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 17:05:27

ความคิดเห็นที่ 2 prius ครับ ยังไงใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยด้วยย่อมประหยัดกว่าใช้เครื่องยนต์อย่างเดียว วิ่งต่างจังหวัดนี่มีถึง 20 กม/ลิตร แน่ ส่วน brio กับ march ถ้าจำไม่ผิดอัตราประหยัดสุดมัน 20 กม/ลิตร วิ่งจริงยังไงก็ไม่ถึง จากคุณ : dxxa เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 17:07:25

ความคิดเห็นที่ 3 ระยะทางเท่ากันรถเล็กประหยัดกว่าแน่นอนครับ เอ..เล่นเอาไปเทียบกันกับ Prius มันคนละรุ่นเลยนะนั่น จากคุณ : Peak Sanshiro เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 17:07:36

ความคิดเห็นที่ 4 March / Brio ประหยัดกว่าเห็นๆครับ เริ่มจากมีงบประมาณเท่ากัน ที่ 1,200,000 บาท ถอยรถออกจากโชว์รูม   -Prius ใช้เงินไปแล้ว 1,190,000 บาท เหลือเงิน 10,000 บาทไว้เติมน้ำมัน -March / Brio ใช้เงินไป 400,000บาท เหลือเงิน 800,000 บาทไว้เติมน้ำมัน ขับรถจากกรุงเทพไป เชียงใหม่ ขับตามกันไปสามคัน ถึงเชียงใหม่ March / Brio ยังเหลือเงินมากกว่า Prius อยู่ดี จากคุณ : เลื่องชื่อระบือนาม เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 17:13:37

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบตรงคำถามแต่ไม่ตรงคำตอบ jazz hybrid เครมไว้ที่ 30โลลิตร แต่ดันไม่เอาเข้ามาขาย...แปลกใจ จากคุณ : puri puri pon pon เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 17:25:04

ความคิดเห็นที่ 6 ประหยัดน้ำมัน จะไม่กล่าวถึง แต่จะกล่าวถึงการขับขี่ การนั่งในรถ ด้วยความสะดวกสบาย รู้สึกปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งคนขับและคนนั่งด้วย ไม่ต้องลุ้นเสียวเวลารถจะแชง หรือกำลังจะเข้าโค้ง   ตลอดเวลาเดินทาง จากกรุงเทพ- เชียงหม่   ประมาณ9  ชั่วโมง ตลอดการเดินทาง ราคา สี่แสนกว่า กับราคาล้านกว่า    อย่ามาเทียบกันเลยครับ เด็กมาชร์ นี่แปลก ชอบทำตัวเป็นอึ่งอ่าง เจอใครที่ใหญ่กว่า ไม่ยอมแพ้ไม่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็น คิดจะเบ่งกล้ามโชว์ เทียบพรีอุสเลยหรอ  เหอ เหอ เหอ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 54 17:30:26 จากคุณ : move to เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 17:28:16

ความคิดเห็นที่ 7 จิ้มไปที่ คห4 คิดแบบนี้ ชื้อฮอนด้า สกูปี้ไอ  ประหยัดกว่า อีกครับ  หรือจักรยานได้  ยิ่งดี เทียบกับพรีอุส ประหยัดได้เป็นล้านเลยครับ  เอิ๊ก ๆ ๆ จากคุณ : move to เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 17:45:49

ความคิดเห็นที่ 8 เขาถามประหยัดน้ำมัน ไอ้เราก็นึกว่าประหยัดเงินค่าน้ำมัน...เลยตอบไปอย่างนั้น ถ้ามี scoopy ด้วยก็คงต้อง ก็ต้องตอบว่า scoopy เพราะมอไซด์กินน้ำมันแถวๆ 40-45 โลลิตร จากคุณ : เลื่องชื่อระบือนาม เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 17:49:34

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าให้ตอบ ตรงตามคำถามเลย ผมว่า Prius ประหยัดกว่าครับ วิ่งทางไกล ส่วนที่ทำให้เปลืองน้ำมัน คือ แรงเสียดทานอากาศ ที่รถต้องฝ่าอากาศวิ่งไป Prius เค้าออกแบบมาลื่นลมกว่า ก็เลยน่าจะประหยัดกว่า จากคุณ : P_Wut เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 17:55:13

ความคิดเห็นที่ 10 ผ่านไป 9 คห. ได้มา 4 คะแนน Prius 2 แต้ม March / Brio 2 แต้ม เอ่อ.. คิดเฉพาะราคาน้ำมันนะ ไม่เอาค่าตัวค่าซ่อมอะไรทั้งนั้น จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 18:13:06 A:58.64.108.78 X: TicketID:266868

ความคิดเห็นที่ 11 march Brio ไม่รู้ไม่เคยขับ ขับ Prius อยู่ อัตราการกินน้ำมันในเมือง(วิ่งขึ้นสะพานภูมิพลทุกวัน) ได้ที่ 17-20 กิโลเมตรต่อลิตร (ขึ้นอยู่กับการเหยียบในแต่ละวัน) นอกเมืองวิ่งได้ 20+ กิโลเมตรต่อลิตร(ไปพัทยา ระยอง) จากคุณ : flybigbear เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 18:46:15

ความคิดเห็นที่ 12 ขับในเมืองรถติดความเร็วไม่เกิน 20km/h prius ประหยัดกว่าครับ ถ้าขับใช้ความเร็วปกติ march / brio ประหยัดกว่าครับ จากคุณ : nOobE เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 18:54:20

ความคิดเห็นที่ 13 ให้โอกาสน้องหน่อยนะ vvv vv v v v แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 54 22:58:18 จากคุณ : 258 (กรรมกรใจเกิน100) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 19:05:38

ความคิดเห็นที่ 14 .. จากคุณ : กรรมกรใจเกิน100 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 19:06:30

ความคิดเห็นที่ 15 #12 พรีอุสประหยัดกว่าทุกกรณีครับ (ยกเว้นค่าตัว) จากคุณ : ฟ้าเขียวใจเดียว เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 19:16:52

ความคิดเห็นที่ 16 เราก็ไม่เคยขับ March กะ Brio แต่ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆว่า Prius ประหยัดน้ำมันกว่าแน่นอน (เรามั่นใจเกิน 100%) สาเหตุเพราะ 1. Prius ออกแบบตามหลักพลศาสตร์ที่ดีกว่า ไม่ต้านลม 2. Prius ขับออกต่างจังหวัด ทำได้ประมาณ 23 กม/ลิตร 3. ข้อมูลจาก web ต่างๆ        Toyota Prius    ทดสอบโดยกระทรวงพลังงานของอเมริกา    http://www.fueleconomy.gov/feg/noframes/30919.shtml    อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ 50 miles/gallon หรือ 21.16 กิโลเมตร/ลิตร    (คำนวณที่ 1 U.S. gallon ประมาณ 3.78 ลิตร)        เนื่องด้วยอเมริกาเป็นประเทศขนาดใหญ่ไม่นิยมรถขนาดเล็ก    เลยไม่มี Nissan March/Honda Brio ขาย    ข้อมูลจากอเมริกาเลยหาข้อมูลของ Nissan March/Honda Brio ไม่ได้        แต่ในยุโรปที่นิยมรถเล็กๆ มี Nissan March ขาย    ในยุโรปใช้ในชื่อว่า Nissan Micra    ส่วน Honda Brio หาข้อมูลไม่ได้เลยทั้งยุโรปและอเมริกา        Nissan Micra 1.2 (หรือ Nissan March)    http://www.car-emissions.com/cars/view/34754    อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ 42.8 miles/gallon หรือ 15.08 กิโลเมตร/ลิตร    (คำนวณที่ 1 U.K. gallon ประมาณ 4.54 ลิตร)    Toyota Prius (อีกครั้งจาก web ของฝั่งยุโรป)     http://www.car-emissions.com/cars/view/37933     อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ 72.4 miles/gallon หรือ 25.52 กิโลเมตร/ลิตร    (คำนวณที่ 1 U.K. gallon ประมาณ 4.54 ลิตร) แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 54 19:41:09 จากคุณ : groundtruth เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 19:31:33

ความคิดเห็นที่ 17 รถอะไรขาวจัง จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 20:31:20 A:113.53.58.99 X: TicketID:307976

ความคิดเห็นที่ 18 มีคำถามครับ เกี่ยวกับ prius - ในการใช้งานปกติเช่นขับต่างจังหวัดระยะไกลแล้วใช้ motor ช่วย แบตจะหมดไหมครับ ได้สักกี่กิโล - ถ้า แบตหมด รถจะต้องเบรคกี่ครั้งถึงจะเต็ม - ตอนที่อยู่ระหว่างช้าตแบต และยังไม่ใช้พลังงานจากแบต รถกินน้ำมันแค่ไหน จากคุณ : Nyle เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 20:37:07

ความคิดเห็นที่ 19 คห 14 ยี่ห้ออะไร ขาวจัง จากคุณ : gus9642 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 20:41:18

ความคิดเห็นที่ 20 ฮืม .... ทำโจทย์ให้ตอบใหม่ Question: มีป๋าซื้อรถให้ใช้ ชื่อเจ้าของรถไม่ใ่ีช่ของหนูนะเคอะ เขาจะเอาคืนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ห่วงก็แต่เรื่องค่าน้ำมัน จะให้ป๋าซื้ออะไรให้ใช้ดี ระหว่าง Prius กับ March / Brio ถึงจะประหยัดที่สุดเค่อ? อย่างงี้ดีมะ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 54 23:18:43 จากคุณ : nomeny เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 21:30:36

ความคิดเห็นที่ 21 Eco car คุยไว้แค่ 20 km/L Prius คุยว่าได้ 24 km/L แต่ถ้าจะเอาประหยัดจริงๆ หารถรุ่นเก่าหน่อยที่หาอะไหล่ง่ายๆ  จับมาติดแกส จะ LPG หรือ NGV ก็ได้ คิดเ้ป็นตัวเงินออกมายังไงก็ประหยัดกว่าพวกนี้ จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 21:41:19

ความคิดเห็นที่ 22 ผมว่าประหยัดพอๆกันสูสีกันขึ้นอยู่กับการขับขี่ แต่ในเมืองพรีอุสได้เปรียบ แต่ผมว่าในความประหยัดที่พอๆกันนี้ พรีอุสแรงกว่าเยอะแยะ และสมรรถนะช่วงล่างเหนือกว่ามาก หากต้องการเรียกสมรรถนะขึ้นมา เปรียบเทียบแบบนี้มันไม่เป็นธรรมต่อรถใช้น้ำมันล้วนๆแบบมาร์ช/บริโอหรอกครับ จากคุณ : dum.d เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 22:10:42

ความคิดเห็นที่ 23 Prius จากคุณ : freeriod01 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 22:10:45

ความคิดเห็นที่ 24 คห. 14 ไม่ประหยัดก็จะเอา จากคุณ : บาวเวอร์ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 54 23:45:42

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าทำรถที่ชูจุดขายเรื่องประหยัดน้ำมันและรักษ์สิ่งแวดล้อม ในราคาล้านกว่า แถมใส่เทคโนโลยีตัวแพงเข้าไปอีก.. ถ้ามันประหยัดน้ำมันสู้รถกระแป๋งลดต้นทุนราคาสี่ห้าแสนไม่ได้ วิศวกรโตโยต้าก็ไปลาบวชกันให้หมดเลยจะดีกว่าครับ .-_-. จากคุณ : Jun Asawa เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 00:21:18

ความคิดเห็นที่ 26 Prius ครับ ฟิลลิ่งดีกว่า ประหยัดน้ำมันกว่าอีก 2 ตัวทุกรูปแบบครับ ^^" (แต่ให้เลือก รถใหญ่กว่านี้ติดแก๊สดีกว่าอ่ะ) จากคุณ : SundayroyaL เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 00:37:53

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่ถูกชะตาชุดไฟท้าย Prius อย่างแรง บังเอิญขับตามเข้าช่องจ่ายเงินทางด่วน ไฟเบรค สว่างขนาด จนทำให้ เลนส์ตาหด ได้ ตาพล่ามัว จนไม่กลัวปล่อยเบรค เลย ให้คันอื่น แทรก เจอแทน ถ้าขับออกตามถนนนอกเมือง อาจโดนหนังกะติ้ก ยิงได้ จากคุณ : ไทปัน เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 00:48:23

ความคิดเห็นที่ 28 นับแต้มก่อน เดี๋ยวงง.. ผ่านไป 27 คห. ได้มาอีก 5 แต้ม รวมทั้งหมดเป็น 9 คะแนน Prius 6 แต้ม March / Brio 3 แต้ม ปล. เพื่อตัดปัญหาเรื่องในเมืองนอกเมือง ผมเอาเป็นว่าขับจาก กรุงเทพไปเชียงใหม่ แบบนี้เลยละกันนะไม่ต้องพูดถึงว่ามันในเมืองนอกเมืองยังไง ความเร็วก็เอาแบบทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ ไม่มาออกมือค่อย ๆ กด ทำนองนั้น จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 00:58:47 A:58.64.125.62 X: TicketID:266868

ความคิดเห็นที่ 29 เข้ามายกมือโหวตให้พี่อู๊ดค่ะ ตอนนี้ขับมา600โล ค่าcons. โคยเฉลี่ยอยู่ที่ 22 กิโลต่อลิตรค่ะ จากคุณ : <<Seymour>> เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 01:12:50

ความคิดเห็นที่ 30 คอลัมนิสต์ นักทดสอบรถ วิทยุ 89.5 หลายรายการ บอกตรงกันว่า รถไฮบริดที่ว่าประหยัด นั่นหมายถึงประหยัดกว่ารถใน cc เท่ากันครับ ดังนั้นพี่อ๊ดแพ้ขาด น้องมาร์ช หรือบริโอ ถ้าไปเชียงใหม่ จาก กทม. ที่แกบอกออกมา เพราะมีคนโทรเข้าไปถาม จากคุณ : ตามนั้น เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 02:01:36 A:210.246.73.25 X: TicketID:052378

ความคิดเห็นที่ 31 เอิ้ม ขับจาก กทม ไปเชียงใหม่เหรอ  มาร์ช CVT  วิ่ง 100 รอบอยุ่ที่ 2000 นะครับ ถ้าวิ่ง 110 รอบอยู่ที่ 2200-2400 ผมเห็น Civic 1.8 ยังใช้รอบเกิน 2500 ตั้งแต่ความเร็วยังไม่แตะ 100 เลยครับ... ถ้า มาร์ชวิ่งทางไกลๆยาวๆ ไม่ต่ำกว่า 25 โลลิตรหรอกครับ ขับแบบปกติสามัญชน 100 - 110 km/h น่ะ ถ้าขับมาร์ช ออกตัวพุ่งรีบทำเวลา 0-100 ให้เร็วที่สุด แซงทุกคันที่ช้ากว่า อะไรทำนองนี้ ผมขับได้ 16.5 กิโลลิตร ถ้าขับมาร์ช ไปตามปกติตามสภาพการจราจรในตัวเมืองภูเก็ต ได้ 19-20 กิโลลิตร ถ้าออกทางโล่ง ยาวๆ ที่ความเร็ว 100-110 ผมทำได้ 20-22 กิโลลิตร แต่ ทางไกลผมมันแค่ 70 กิโลเมตรเท่านั้น ถ้าผมไปเชียงใหม่จริงด้วยความเร็วเท่านี้ ผมว่า 25 กิโลลิตรนี่ สบายๆครับ ที่ฝรั่งทดสอบมา มันเหยียบกระจายหรือปล่าว ออกตัว รถไฮบริดไม่ได้ใช้น้ำมันนี่นา ยังไงมันก็ไม่ลดฮวบฮาบเหมือนรถใช้น้ำมันเพียวๆนะครับ แต่ขับแบบสามัญชน ผมว่า มาร์ช ยังประหยัดกว่าอยู่ดีครับ แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 54 03:51:37 จากคุณ : ROOTAMAN เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 03:50:37

ความคิดเห็นที่ 32 เลิกเชื่อเถอะครับ หน้าปัทย์รถเนี่ย จากคุณ : รถดีนะแต่คงรอ ALL NEW เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 11:00:26 A:182.53.125.61 X: TicketID:306384

ความคิดเห็นที่ 33 หน้าปัทมันเกินความจริงครับ ส่วน civic FD 1.8 ถ้ามันอยู่ที่เกียร์ 5 ความเร็ว 100 รอบไม่ถึง 2000 แน่นอนครับ วิ่งแค่ 80 รอบอยู่ที่ 1500 เอง แต่ถ้าเท้าไม่เบาแล้วบอกรอบสูงแสดงว่ามันไม่ได้อยู่ที่เกียร์ 5 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 54 11:18:39 จากคุณ : panumas05 เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 11:17:48

ความคิดเห็นที่ 34 คห.31 อยากถามว่าคุณไปเห็นที่ไหนมา civic1.8 รอบเกิน2500ความเร็วยังไม่แตะ100เลย ไม่ได้ขับจริงๆอย่ามาแสดงความรู้ดีกว่านะครับ อายเค้า จากคุณ : กุ๊ก@DFK เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 14:04:39

ความคิดเห็นที่ 35 #14 สีขาวนี่มันดูดีจริงๆ ผมชอบขาวๆ จากคุณ : master foo bar เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 14:16:27

ความคิดเห็นที่ 36 ตอบ คคห.18 นะคะ เท่าที่เราพอเข้าใจนะ แบตเตอรี่ของรถ Prius ไม่มีทางที่จะ fully charged หรือ fully discharged จะมีคอมพิวเตอร์ควบคุมระดับการ charge ของแบตอยู่ โดยปกติ แบตถูก charge ไว้ที่ 60% เท่านั้น (วิศวกรโตโยต้าบอกว่ามันจะทำให้อายุการใช้งานของแบตยาวนานที่สุด) แล้วก็ค่ามันจะแกว่งอยู่ในช่วง 10-15% นั่นหมายความว่าแบตจะเต็มสูงสุดอยู่ที่ 75% และแบตจะเต็มน้อยสุดอยู่ที่ 45% สรุปง่ายๆว่าแบตจะไม่หมด และแบตจะไม่เต็มด้วย ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลว่าขับๆไปแล้วแบตจะหมด เราเข้าใจว่าพลังงานจลน์จากการขับขี่ และพลังงานความร้อนจากการเบรค เป็นพลังงานที่ใช้ในการ charge แบตด้วย แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 54 16:24:33 จากคุณ : groundtruth เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 15:57:44

ความคิดเห็นที่ 37 ตอบ คหที่18 ครับ แบต prius ไม่มีหมดครับ โดยการขับปกติ ระบบจะรักษาะดับแบตไว้ที่ระดับนึง ถ้าในcamry hybrid คือระดับ 6 ถ้าน้อยกว่าระดับ 6 ระบบจะเอาพลังงานที่เครื่องยนต์ผลิตมาเกินความจำเป็น ปั่นกลับมาเป็นไฟฟ้า หรือเวลาที่เราปล่อยคันเร่ง ระบบก็จะปั่นไฟกลับมาไว้ที่แบต และอัตราการชาร์จจะมากขึ้นเมื่อเหยียบเบรคแรงขึ้น หรือเข้าเกียร์ B แต่จริงๆแล้ว ถ้าแบตอยู่ในระดับต่ำหน่อย คือน้อยกว่าระดับ6 เวลาเร่งความเร็ว จะรู้สึกอืดๆ กว่าตอนที่แบตอยู่ที่ระดับ 6 เพราะเวลาชาร์จแบต มันก็เหมือนเป็นภาระให้เครื่องยนต์ แต่อย่าลืมว่า รถhybrid ไม่มีคอมแอร์ หรือพวงมาลัยพาวเวอร์ ที่เป็นภาระเครื่องยนต์เหมือนรถทั่วๆไป แต่ถ้าแบตอยู่ในระดับสูงกว่าระดับ6 แบตมันก็พร้อมที่จะส่งพลังงานให้มอเตอร์ไปช่วยเครื่องยนต์ มากกว่าปกติ คือเวลาเหยียบคันเร่ง ความรู้สึกคือรถมันจะพุ่งแบบนิ่มๆ มากกว่าปกติ สรุปคือ ถ้าระดับแบต น้อยกว่าระดับ6 ระบบมันก็จะหาโอกาสชาร์จ จนถึงระดับ 6 ถ้าระดับแบต มากกว่าระดับ 6 จะบบมันก็จะหาโอกาสปล่อยพลังงาน มาช่วยเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการขับด้วยความเร็วคงที่ หรือจังหวะเร่ง  จนเมื่อแบตเหลืออยู่ในระดับ6 มันก็จะหยุด ถ้าถามว่าพลังงานที่เครื่องยนต์ผลิตมาเกินความจำเป็น คืออะไร ก็คือ สมมติว่าเราขับรถความเร็ว60km/h ด้วยเกียร์ 2 กับขับด้วยเกียร์ 4 ที่เกียร์2 แรงบิดที่ส่งไปที่ล้อย่อมมากกว่าเกียร์ 4 ซึ่งเกินความต้องการที่จะรักษาความเร็วของรถไว้ที่60 km/h แรงบิดที่เหลือๆ = แรงบิดที่เครื่องยนต์ผลิตออกมาหลังจากทดเกียร์ - แรงบิดที่ระบบต้องการ แรงบิดที่เหลือๆนี่แหละที่ ระบบจะเอาไปหมุนGen เพื่อแปลงกลับไปเป็นไฟฟ้า เก็บไว้ที่แบต เพื่อใช้สำหรับระบบขับเคลื่อน ระบบแอร์ ระบบพวงมาลัย อย่าลืมว่าGen มันฝังอยู่ในเกียร์ โดยที่เพลาของGen ถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับเฟืองในชุด E-CVT เวลาที่ผมขับcamry hybrid ชิวๆที่ 80km/h คงที่ ระยะทางยาวๆตามต่างจังหวัด ตอนแรกระดับแบต อยู่ที่ระดับ6 เข็มอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 17 km/h ที่หน้าจอแสดง เครื่องยนต์ทำงานอย่างเดียว เมื่อขับๆไป ระดับแบตขึ้นมาเป็นระดับ 7 อีกสักพักนึง ที่หน้าจอเปลี่ยนไปเป็น เครื่องยนต์ ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า เข็มอัตราสิ้นเปลืองเปลี่ยนไปเป็น20 km/h และจะรู้สึกได้ว่ารถมันนิ่งขึ้น เพราะรอบเครื่องยนต์มันลดลง แต่ส่วนใหญ่ มอเตอร์มันจะส่งเป็นช่วงๆ คือปล่อย หยุด สลับกัน โดยที่เครื่องยนต์ทำงานที่รอบต่ำกว่าปกติ และมอเตอร์จะช่วยส่งกำลังไป เพื่อรักษาความเร็วของรถให้คงที่ แต่โอกาสที่จะทำแบบนี้ ค่อนข้างยาก ถ้าระยะทางไม่ยาวพอ หรือความเร็วไม่ค่อยคงที่ ถ้าขับในเมืองหรือชานเมืองต้องใช้เทคนิคการปล่อยไหล แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 54 21:09:42 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 54 21:02:41 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 54 20:59:22 จากคุณ : vitnu เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 20:59:05

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณมากครับสำหรับคำอธิบาย โดยส่วนตัวแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่า พลังงานที่เครื่องยนต์ผลิตมาเกินความจำเป็น เท่าไีร คือถ้ารถวิ่งคงความเร็วอยู่ได้ (ไม่นับตอนเบรค) ก็แสดงว่ามันมีเสถียรภาพทางการถ่ายทอดพลังงานอยู่แล้ว (generate=dissipate)  การพ่วง generator เข้าไปก็เท่ากับกับเป็นการเพิ่ม load นอกเหนือจากปกติเข้าไปอีก  แล้วการ covert พลังงานจากเครื่องยนต์ -> ไฟฟ้า -> เคมี แล้วกลับมาเป็น พลังงานกลย่อมทำไม่ได้ 100% อยู่แล้ว ถ้านับการคืนพลังงานตอนเบรคยังพอเข้าใจ แต่ระหว่างที่รถวิ่งอยู่ผมยังเข้าใจว่าเราเพิ่ม load ให้เครื่องยนต์เพื่อเอามาปั่นไฟอยู่ดี จากคุณ : Nyle เขียนเมื่อ : 20 มี.ค. 54 22:00:01

ความคิดเห็นที่ 39 Cruising/RechargingRecharging the battery with surplus energy Since Toyota's hybrid vehicles operate the gas/petrol engine in its high efficiency range, the gas/petrol engine may produce more power than is necessary to drive the car. In this case, the surplus power is converted to electric energy by the generator to be stored in the battery. แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 54 01:21:01 จากคุณ : vitnu เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 00:49:53

ความคิดเห็นที่ 40 โดยปกติ  เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน MG1 จะทำหน้าที่เป็น Generator ตลอดเวลา ซึ่ง MG1 ดูเหมือนเป็นโหลดของเครื่องยนต์ แต่พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ ก็จะถูกส่งไปที่ MG2 ที่ทำหน้าที่เป็น Motor เพื่อส่งกำลังไปที่ล้อเหมือนกัน อันนี้ไม่คิดloss นะครับ สมมติว่า ขับรถเร็วคงที่ 60km/h เครื่องยนต์ผลิตกำลังมา100 % MG1 ดึงไปปั่นเป็นไฟฟ้า 20% เหลือส่งไปที่ล้อ 100 - 20 = 80% แต่ MG1 ส่งไฟฟ้าทั้งหมดที่ปั่นได้ ไปที่ MG2 ช่วยหมุนล้อ กำลังที่ล้อได้รับ = 80% +20% = 100% แต่บังเอิญว่าขณะนั้น ล้อต้องการกำลังแค่95% เพื่อรักษาความเร็วให้คงที่ ที่60km/h เพราะฉะนั้น  MG1 จึงส่งพลังงานไปให้MG2 แค่ 15% ส่วนที่เหลือ 5% เอาไปชาร์จเข้าแบต มันจะเป็นในลักษณะที่ว่า ผลิตออกมาเท่าไหร่ ส่งไปที่ล้อส่วนนึง และกันไว้ส่วนนึงในรูปของพลังงานไฟฟ้า แล้วดูว่าจริงๆแล้ว ระบบต้องการเท่าไหร่ ก็ส่งไปให้พอดี แล้วส่วนเกินก็เอามาเก็บไว้ในแบต   หลักการมันเป็นแบบนี้ สิ่งที่ผมเข้าใจ ไม่แน่ใจว่าถูกต้องมั้ย เรื่องพลังงานที่เครื่องยนต์ผลิตมาเกิน คือ ในระบบเกียร์ทั่วๆไป ถ้ารอบเครื่องยนต์คงที่ เมื่อทดเกียร์แล้ว แรงบิดที่ล้อ และ รอบของล้อก็ต้องคงที่ แต่ในสภาพการขับขี่จริง ความเร็วจะคงที่รอบของล้อก็ต้องคงที่ แต่แรงบิดที่ล้อต้องมากกว่าหรือเท่ากับที่ระบบต้องการ ถ้าแรงบิดไม่พอเครื่องยนต์ต้องเพิ่มรอบและอาจจะต้องลดเกียร์ลงเพื่อเพิ่มแรงบิด ซึ่งความเร็วจะไม่คงที่  แต่ถ้าแรงบิดเหลือเครื่องยนต์มันไม่ได้ลดรอบต้ามความเหมาะสม เพราะถ้าลดรอบ รอบของล้อมันก็จะเปลี่ยนไปด้วย สรุปตามความคิดผมคือ ถ้าความเร็วคงที่ รอบของล้อต้องคงที่ แต่แรงบิดที่ล้ออาจจะมากกว่า หรือเท่ากับที่ระบบต้องการ ถ้ามากกว่า มันจะมีพลังงานที่เครื่องยนต์ผลิตมาเกินความจำเป็น ซึ่งเครื่องยนต์จะลดรอบลงมาให้เหมาะสมไม่ได้ เพราะจำนวนรอบของเครื่องยนต์ มีผลกับความเร็วของล้อโดยตรง ถ้าลดรอบ แม้แรงบิดจะลดลงมาพอดี แต่รอบของล้อต้องเปลี่ยนไปแน่นอน ในเกียร์ CVT จึงลดข้อจำกัดนี้ไปได้บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด เกียร์CVT จึงประหยัดน้ำมันกว่า AT พอในเกียร์ E-CVT พลังงานส่วนเกิน สามารถดึงกลับไปเก็บในแบตได้ จึงถือว่ามันใช้พลังงานได้คุ้มค่าที่สุด เพราะถ้าเป็นรถทั่วไป พลังงานส่วนนี้จะถูกปล่อยทิ้งไปทั้งหมด ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัยด้วยนะครับ http://www.toyota-global.com/innovation/environmental_technology/hybrid/ http://eahart.com/prius/psd/ แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 54 11:38:29 แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 54 03:14:58 แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 54 03:11:24 แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 54 02:19:28 จากคุณ : vitnu เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 00:51:09

ความคิดเห็นที่ 41 ตอบคุณ vitnu ผมว่าควรคำนึง lost ด้วยครับเพราะทุกๆ conversion ได้อย่างเก่งก็ 90% จาก กล->ไฟฟ้า->กล ก็จะเหลือแค่ 81% เอง แล้ว กล->ไฟฟ้า->Batt->ไฟฟ้า->กล ยิ่งไปกันใหญ่ เรื่องการเปลี่ยนเกียรนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่รอบเท่าเดิมแรงบิดเท่าเดิม แล้วรถจะเปลี่ยนเกียรช่วงนัน้  รถจะเปลียนเกียรได้ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วขึ้นลงหรือแรงบิดเช่นขึ้นเนิน  แรงบิดที่เหลือก็คือแรงเอาไว้เร่งความเร็ว หรือรักษาความเร็วตอนขึ้นเนินนั่นเอง  แล้วถ้าเป็นการขับทางไกล 100-120 โอกาสที่จะเปลี่ยนเกียร์ยิ่งน้อยไปใหญ่  (ผมเทียบจากประสบการ์ที่ขับ manual ) ด้วยเหตุนี้เลยเป็นที่มาของข้อสงสัยครับ จากคุณ : Nyle เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 19:57:53

ความคิดเห็นที่ 42 การถ่ายทอดพลังงาน ไม่เกี่ยวกับแบตครับ  มันจะเป็น กล-> ไฟฟ้า -> inverter-> ไฟฟ้า-> กล ซึ่งทำงานอยู่เบื่องหลังตลอดเวลา เรื่องประสิทธิภาพไม่แน่ใจว่ามันเป็นเท่าไหร่ ส่วนเรื่องแรงบิดที่เหลือ ผมหมายถึง เวลาขับด้วยความเร็วคงที่นี่แหละ เนื่องจากแรงบิด และความเร็วของล้อ มันแปรผันตามรอบเครื่องยนต์ เราไม่สามารถปรับตัวใดตัวหนึ่งได้โดยไม่กระทบถึงอีกตัวนึง ถ้าเราเอาความเร็วของล้อเป็นตัวตั้ง เนื่องจากเราต้องการความเร็วคงที่แรงบิดที่ได้ มันอาจไม่ใช่ค่าที่เหมาะสม ตามที่ระบบต้องการไง รถที่ใช้เกียร์CVT ประหยัดน้ำมันกว่า AT ก็เพราะว่า ถ้าแรงบิดเหลือเกียร์มันฉลาดพอที่จะปรับอัตราทด ให้น้อยลง เพื่อที่รอบของล้อจะได้สูงขึ้น รถวิ่งได้เร็วขึ้น แต่แรงบิดที่ได้ยังไม่น้อยกว่าทีระบบต้องการ โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับรอบของเครื่องยนต์เลย เหมือนกับว่าเกียร์มันปรับอัตราทดให้ประสิทธิภาพต่อรอบเครื่องยนต์มากที่สุด แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 54 23:45:51 จากคุณ : vitnu เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 23:45:20

ความคิดเห็นที่ 43 ถ้าขับทางไกล ผมว่า march ประหยัดน้ำมันกว่า prius ส่วน brio ไม่รู้เพราะยังไม่มีใครใช้ รถ hybrid  แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อมีระบบการประหยัดพลังงานไม่เหมือนกันนะครับ บางรุ่นเหมาะกับการใช้ทางไกล เช่น ระบบ Parallel hybrid ของค่าย Honda บางรุ่นเหมาะกับในเมือง (เพราะเวลาวิ่งทางไกลจะใช้น้ำมันมากกว่าไฟฟ้า) เช่น ระบบ  series-hybrid ของค่าย GM หรือบางรุ่นเป็นแบบผสม (รวมข้อดีของทั้งสองแบบข้างบนด้วยกัน ทำให้ประหยัดกว่า) เช่น ระบบ Power-split hybrid  ของค่าย Toyota http://en.wikipedia.org/wiki/Hybrid_vehicle_drivetrain รถ hybrid ถ้าต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ราคาแพงมากๆๆๆ  ลองเช็คราคาดูเองนะครับ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 54 04:41:30 จากคุณ : อภิมหาชาตบุตร เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 04:33:32

ความคิดเห็นที่ 44 คุณ vitnu ไฟฟ้า->เคมี น่าจะต้องมีนะครับใน loop ของการ charge แบต  ไม่งั้นจะเอาพลังงานที่ไหนมาเติมแบต กล-> ไฟฟ้า AC -> inverter AC to DC -> แบต ส่วนขากลับก็สวนทางเอา แสดงว่า toyota ต้องมีเทคนิคที่ทำให้การประยัดพลังงานเอาชนะน้ำหนักของแบตและชุด hybrid ที่เพิ่มมาได้ ผมจะลองไปศึกษาเพิ่มเติม ถ้าเกิดมีข้อสงสัยเดี๋ยวจะตั้งกระทู้ไหม่ก็แล้วกันครับ ปล. มีใครเคยใช้ hybrid แล้วต้อง disconnect แบตออกไหมครับ แบบว่าถอดออกมาจากรถเลย ประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไร จากคุณ : Nyle เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 19:02:07

ความคิดเห็นที่ 45 ความคิดเห็นที่ 31 มั่วแล้วครับ จากคุณ : Zorro เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 54 14:13:45