ขี่รถลุยลาวในอดีต{แตกประเด็นจาก V10402987}
|
 |
มาแว้วววววว คห2-5-6-7-8........ทางมันโหดแบบธรรมชาติ........ไปทีไรก็ให้รู้สึกว่าต่อมไคมึ้งมันทำงานเต็มที่....บางทีน้านายห้างยังขอเอายาประดงพระสังข์ทรงช้างมาจิบ เพื่อปลุกใจให้กล้าแข็งก่อนขี่ลุยลงไปในทางแบบนี้บ่อยๆไป.... คห4-11....ไม่รู้หรอกว่าคลังกระทู้คืออะไรและจะไปกดเก็บตรงไหน....มีแต่น้าหยอยกำลังเก็บกด.....อยากไปขี่รถเที่ยวตอนสงกรานต์นี้......คงจะขี่รถไปเที่ยวแถวแม่สอดแล้วทะลุมั่วไปออกที่ปายแหละ.....อยากไปทบทวนว่าถนนมันดีขึ้นบ้างไหม
คห9-10-12......แสดงว่าคุณคงเพิ่งเข้ามาอ่านนะครับ....สาเหตุที่รูปน้อยอย่างที่เห็นแล้วนั้น.......เกิดจากผมเพิ่งจะรู้จักกับคุณ vanGSX750 ...ประมาณเดือนกันยายน53ที่ผ่านมา....แกเล่าให้ฟังว่าในเว็ปพันทิปของห้องรัชดานี่แหละ.....มีการเขียนตั้งกระทู้เล่าประสบการณ์ของการขี่รถมาแชร์ให้เพื่อนพ้องน้องหลานได้อ่านกัน
ผมเองนั้นก็เคยขี่รถเที่ยวไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมาตั้งแต่อายุไม่ถึง20ปี......มาจนปัจจุบันก็65ปี.......ประสบการณ์มันอัดแน่นมาถึง45ปี......เรื่องราวน่ะมีอยู่ในสมองแบบหลับตาเห็นภาพเอาเลยทีเดียว.....แต่ก็อย่างว่าแหละ......ผมจะไปเอารูปมาจากไหนล่ะ...........เก็บเศษเล็กเศษน้อยได้ ก็เอามาถามเพื่อนพ้องน้องหลานในนี้แหละว่า.....ผมอยากจะเอาประสบการณ์สมัยบุกเบิกมาเขียน....โดยมีรูปแบบกล้องฟีลม์น่ะ...จะทำยังไงดี เพราะอายุมันเลยวัยรุ่นไปชาติกว่าแล้ว.....คอมพิวเตอร์นั้นเป็นเรื่องสุดกำลังของน้าหยอยจริงๆ
ก็ได้คุณ Katana แหละที่ช่วยสมัครเข้าเว็ปให้.....แถมยังช่วยส่งโปรแกรมย่อรูปมาให้อีก(เมื่อก่อนนั้นย่อไม่เป็นนะ.บางรูปมันก็ล้น...โพสต์ส่งแล้วไม่มา...บางรูปย่อไปแล้วมันเล็กจนชาวบ้านสวดชะยันโต......)
สรุปแล้วก็คือว่า รูปที่มีอยู่มันเป็นรูปฟิล์ม....หายหกตกหล่นไปกว่า80%........ที่เหลือคือ20%....แล้วก็เอามาสแกนให้ดูกันไปตามมีตามเกิด......แบบที่คุณ Piano Player เคยปลอบใจน้าหยอยไงว่า.......น้าหยอยขายเนื้อเรื่อง......ส่วนป้านก Piano Player แกถนัดส่งรูป
เข้าใจตามนี้เด้อ..
คห13.......555...ขอบคุณที่เอารูปเดิ่นยนต์ MI-8 มาเสริม.......แต่ไอ้ตัวที่บินด้วยปีก2ชั้นที่เห็นในเมืองหงสานั้น......ไม่รู้ว่ามันเป็นรุ่นอะไร..... ..........................................................................................
เมื่อวานเล่าให้ฟังไปแล้วว่า.....น้านายห้างต้องยอมเอารถ FT 500 ไปสวมทะเบียนขี่เข้าลาวในทริ๊ปนี้.....ขากลับเกือบถูกแจ็กพ็อต......เพราะนายด่านศุลกากรแกจะตรวจเลขเครื่องเอง..........แต่เราก็แก้ปัญหาให้ผ่านไปได้อย่างที่เล่าให้ฟังไปเมื่อวาน..... หลังจากกลับมาถึงกรุงเทพแล้ว.......เราพยายามตามหาไอ้ตัวต้นเรื่องที่เอารถเราไปอุบล......ปรากฏว่าเราหาไม่เจอะผมแนะนำให้น้านายห้างไปแจ้งความว่ารถถูกขโมย......หรือจะเรียกว่ายักยอกทรัพย์ยังไงก็ว่ากันไป.....ฮ่วยๆๆๆ ............................................................................................ 3บรรทัดเหมือนเดิมเด้อ
โอ้.....เจ้าแม่กวนอิมอวโลกิเตศวลที่นับถือของเล่าปี่ ผมแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองเลยว่า ไอ้วัตถุที่บินได้นี่จะเป็นเครื่องบินโดยสารครับ สาบานต่อหน้าหัวเทียนยังได้ มันเป็นเครื่องบินปีกสองชั้น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 นะครับพระเดชพระคุณที่เคารพ.....มันเป็นเครื่องบินหลงยุคสมัยจูราสสิคที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงยุคปัจจุบัน โอย.....มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นที่ 8 ของโลกที่ทางการลาวน่าจะมอบให้เป็นมรดกโลกพร้อม ๆ กับเมืองหลวงพระบาง แทนที่จะนำมาทรมานทรกรรมทำหน้าที่เป็นเครื่องบินโดยสารในยุคปี 2540 นั่นเลย(ผมไปขี่รถเข้าลาวทางเมืองน่านตอนปี40.......ส่วนไปเข้าทางสะพานมิตตะพาบและช่องทางอื่นๆ......ก็ไปมันเรื่อยเปื่อยก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนนะครับ) นี่หากมีไอ้โจรสมองใสชาวต่างชาติมันรู้ว่าลาวเอาเครื่องบินสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาบินรับผู้โดยสารอย่างหน้าตาเฉยอย่างนี้.....แถมไอ้โจรคนที่กล่าวนี้พกมีดคัตเตอร์ขึ้นไปบนเครื่องบินและโทรศัพท์ขู่ไปยังองค์การยูเนสโก้ที่เพิ่งรับเมืองหลวงพระบางเป็นมรดกโลกไปแล้วจะว่าไงล่ะ ไม่ต้องทำไมหรอก ....แค่มันโทรศัพท์ไปบอกว่า หากองค์การยูเนสโก้ไม่จ่ายค่าจี้เครื่องบินลำนี้ให้มันเป็นเงินแสนดอลล่าร์เมื่อเครื่องบินลงจอดแล้ว.............มันจะใช้มีดคัตเตอร์นี่กรีดเครื่องบินให้ปีกขาดเป็นริ้ว ๆ แค่นี้ก็เป็นเรื่องแล้วครับ.....ผมว่าองค์การยูเนสโก้ต้องยอมจ่ายเป็นค่าไถ่เครื่องบินนี่แหง ๆ ก็คิดไปตามประสาคนไม่มีอะไรจะทำแบบน้าหยอยแหละ......
กลับมาที่เดิ่นยนต์อีกครั้งเด้อ... เครื่องบินลำที่ว่านี่เร่งเครื่องจนหัวสั่นหัวคลอนค่อย ๆ ไต่อากาศเรี่ยผ่านยอดไม้ไปอย่างน่าหวาดเสียว ผมนั่งมองโบราณวัตถุชิ้นนี้อย่างทึ่งสุดหัวใจ และขำจนต้องลงไปนั่งหัวเราะเอาจนเจ็บท้องไปหมด.....ท่ามกลางความงุนงงของเจ้าของร้านที่เห็นอาการของพวกเรา
ทำไมจะไม่ขำล่ะครับ เพราะเมื่อนึกดูให้ดีแล้วเราก็จะพบว่าเครื่องบินในยุคดังกล่าว ยังไม่มีอุปกรณ์สตาร์ทเครื่อง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องก็ต้องมีช่างมาโหนใบพัดดึงรอบเครื่องยนต์ให้ทำงาน หากเครื่องยนต์ไม่ติด กัปตันชาวลาวก็จะเกณฑ์ผู้โดยสารช่วยกันหมุนใบพัดหรืออย่างไร หรือจะช่วยกันเข็นให้ติดแบบรถยนต์.....หรือเมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว จะต้องขอร้องให้ผู้โดยสารไปช่วยกันเข็นเครื่องให้เคลื่อนที่แบบช่วยแรงเครื่องบินเสียก่อน พอเครื่องบินเริ่มวิ่งแล้วให้ผู้โดยสารกระโดดขึ้นเครื่องเหมือนกระเป๋ารถเมล์ หรือเมื่อขึ้นไปแล้วจะต้องมอบพัดให้ผู้โดยสารกระพือแบบช่วยพยุงอากาศ.....หรือจะแจกเชือกกล้วยให้ผู้โดยสารมัดติดที่นั่ง เป็นเข็มขัดนิรภัย ส่วนกัปตันเองไม่ต้องเพราะมีผ้าขาวม้าคาดพุงอยู่แล้ว....ก็คิดมันไปแบบไม่มีอะไรจะทำแหละ คำถามและแง่คิดเหล่านี้......มันตีกันมั่วอยู่ในหัวสมองของผมขณะที่มองเครื่องบินจูราสสิคลำนั้นค่อย ๆ ไต่อากาศของมันไปอย่างทุลักทุเลจนลับสายตาไปในที่สุด โ ดยเสียงเครื่องยนต์ของมัน ยังคงค้างก้องป่าอยู่อีกนานทีเดียวกว่าจะเงียบไป หลังจากสอบถามยายแม่ค้าที่ขายตั๋วเดิ่นยนต์(แกเป็นตัวแทนจำหน่ายปี้(ตั๋ว)ที่เรานั่งล้างตาด้วยเบียร์ลาวอยู่นั่นเอง)...
ปรากฏว่าเครื่องบินโดยสารลำนี้ จะบินจากเมืองหงสาไปเมืองหลวงพระบางทุก ๆ วันเสาร์ครับ ..........คือบินมาจากหลวงพระบางวันเสาร์ แล้วก็จอดรอผู้โดยสารอยู่จนถึงวันอังคาร
มันถึงจะบินกลับหลวงพระบาง หากไม่มีผู้โดยสารกัปตันก็จะรอไปอีกวันหนี่ง แต่ยังไง ๆ ก็ต้องบินกลับไปรับคนจากหลวงพระบางในวันเสาร์ให้ได้ ค่าโดยสารคนลาวคนละ 300 บาทครับ ส่วนถ้าเป็นชาวต่างชาติก็จะคิดเป็น 600 บาท ผมเชื่อแน่ว่า เมื่อขึ้นไปบนเครื่องแล้ว แอร์โฮสเตรสคงจะแจกข้าวเหนียวคนละกระติ๊บและแถมปลาแดกอีกคนละตัว เพื่อกินเป็นของว่างระหว่างการเดินทางเหมือนสายการบินทั่วโลกก็เป็นไปได้... โอย.....อะเมซิ่งลาว
รูปนี้เป็นตอนที่เราผ่านด่านห้วยโก๋นตอนไปสำรวจทางและได้พบกับ "เดิ่นยนต์"ในเมืองหงสา
แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 54 20:37:38
จากคุณ |
:
เคี้ยงโมโต
|
เขียนเมื่อ |
:
1 เม.ย. 54 20:33:09
|
|
|
|