|
ป่าชายเลน หรือ ป่าโกงกาง (อังกฤษ: mangrove forest หรือ intertidal forest) คือเป็นกลุ่มสังคมพืชซึ่งขึ้นอยู่ในเขตน้ำลงต่ำสุดและน้ำขึ้นสูงสุด บริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำหรืออ่าว อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง สังคมพืชที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิดหลายตระกูล และเป็นพวกที่มี ใบเขียวตลอดปี (evergreen species) ซึ่งมีลักษณะทางสรีรวิทยาและความต้องการสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้สกุลโกงกาง (Rhizophora) เป็นไม้สำคัญและมีไม้ตระกูลอื่นบ้าง
ได้มีการค้นพบป่าประเภทรนี้มาตั้งแต่ เมื่อโคลัมบัส (Columbus) เดินทางมาบริเวณชายฝั่งตะวันตกของเกาะคิวบา ต่อมา Sir Walter Raleigh (1494) ได้พบป่าชนิดเดียวกันนี้อยู่บริเวณปากแม่น้ำในประเทศตรินิแดด (Trinidad) และ กิอานา (Guiana) คำว่า "mangrove" เป็นคำจากภาษาโปรตุเกสคำว่า "mangue" ซึ่งหมายถึงกลุ่มสังคมพืชที่ขึ้นอยู่ตามชายฝั่งทะเลดินเลน และใช้กันแพร่หลายในประเทศแถบลาตินอเมริกา ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็ใช้เรียกตามภาษาของตัวเอง เช่น ประเทศมาเลเซียใช้คำว่า "manggi-manggi" ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเรียกป่าชายเลนว่า "manglier" ส่วนภาษาไทยเรียกป่าชนิดนี้ว่า "ป่าชายเลน" หรือ "ป่าโกงกาง" บริเวณที่พบป่าชายเลนโดยทั่วไป คือตามชายฝั่ง ทะเล บริเวณปากน้ำ อ่าว ทะเลสาบ และเกาะ ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำทะเลท่วมถึงของประเทศ ในแถบโซนร้อน (tropical region) ส่วนเขตเหนือหรือใต้โซนร้อน (sub-tropical region) จะพบป่าชายเลนอยู่บ้างแต่ไม่มาก โดยพื้นที่ที่พบป่าชายเลนเช่น ในกลุ่มประเทศของภูมิภาคเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า และ ไทย เป็นต้น
สำหรับพื้นที่ป่าชายเลนของโลกทั้งหมดมีประมาณ 113,428,089 ไร่ อยู่ใน เขตร้อน 3 เขตใหญ่ คือ เขตร้อนแถบเอเชียพื้นที่ประมาณ 52,559,339 ไร่ หรือร้อยละ 46.4 ของป่าชายเลนทั้งหมด โดยประเทศอินโดนีเซียมีป่าชายเลนมากที่สุด ถึง 26,568,818 ไร่ สำหรับในเขตร้อนอเมริกามีพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดประมาณ 39,606,250 ไร่ หรือร้อยละ 34.9 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด ในเขตร้อนอเมริกาประเทศที่มีพื้นที่ โดยประเทศบราซิล มีพื้นที่ป่าชายเลนประมาณ 15,625,000 ไร่ รองจากอินโดนีเซีย ส่วนเขตร้อนอัฟริกามีพื้นที่ ป่าชายเลนน้อยที่สุดประมาณ 21,262,500 ไร่ หรือร้อยละ 18.7 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด โดยประเทศไนจีเรีย มีพื้นที่ป่าชายเลน 6,062,500 ไร่ มากที่สุดในโซนนี้ (Wikipedia) ปกติแล้วในภาษาอังกฤษเรียกป่าชายเลนว่า Mangrove Forest และ บางครั้งป่าชายเลนก็ถูกเรียกว่า Tide Forest ซึ่งมีความหมายว่า ป่าที่มีน้ำขึ้นน้ำลงนั่นเอง คำว่า ป่า ความหมายในเชิงนิเวศหมายถึง พื้นที่ที่พืชพรรณขึ้นกระจัดกระจายอยู่ ไม่ว่าพืชพรรณนั้นจะมีนิสัยเป็น อย่างไร พืชล้มลุก ไม้พุ่ม และ ไม้ต้น เฟิร์น หรือ ไลเคนส์
ขณะที่คำในภาษาไทย ที่เรียก ป่าชายเลน นับว่าเป็นการเลือกคำมาใช้ให้มีความหมายตรง และ ชัดเจนที่สุด เมื่อได้ยินแล้ว เราสามารถ จินตนาการ ไปกับความหมายได้อย่างถูกต้อง ถึงสภาพนิเวศของสังคมพืชที่ขึ้นอยู่ คือคำว่า ชาย ถ้าเขียนให้เต็มๆ และ ชัดเจนคือ ชายทะเล และคำว่า เลน หมายถึงพื้นที่ดินเลน นั่นเอง รวมเบ็ดเสร็จแล้ว นับได้ว่ามีความหมายสมบูรณ์ ในตัวเอง ถึงแม้ว่าในบางครั้ง อาจจะมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น ตามที่คนท้องถิ่นรู้จัก และ เข้าไปใช้ประโยชน์ เช่นแทนที่จะเรียกว่าป่าชาเลน ชาวบ้าน และ คนทั่วไปอาจเรียกว่า ป่าโกงกาง เนื่องจากเป็นป่า ที่มีไม้โกงกางขึ้นเป็นไม้เด่น และ พบเห็นได้มากกว่าชนิดอื่นๆ บางบริเวณของป่าชายเลน อาจมีไม้อื่น ขึ้น เป็นไม้เด่นอยู่ด้วย จนสามารถเรียกไปตามชนิดไม้นั้นๆ เช่น ป่าแสม ป่าลำพู ป่าจาก และ ป่าโปร่ง เป็นต้น เมื่อมองแนวของต้นโกงกางที่ขึ้นบนหาดดินเลน ตลอดแนวชายฝั่งทะเลทั้งสองฝากฝั่ง ของคาบสมุทรในภาคใต้ของไทย ป่าชายเลนดูเสมือนเป็นแนวรั้วสีเขียว ที่ป้องกัน และ ลดความรุนแรงของลมพายุ และ คลื่น ที่พัดมาปะทะกับแนวตลิ่ง และ แผ่นดิน จนสามารถ มองเห็นถึงการปรับตัวทางนิเวศ ของป่าชนิดนี้ได้อย่างอัศจรรย์ สำหรับบทบาท ทางนิเวศ ของป่าชายเลน ยังเป็นผลพวงของ วิศวกรรมทาง ธรรมชาติ ที่ค่อยๆรุกคืบ ให้ดินตะกอนแม่น้ำไปถมทะเลจนตื้นเขิน เป็นสันดอนทราย และ พัฒนาต่อไปจนเป็นแผ่นดิน สุดท้ายขยายตัว จนทำให้ แผ่นดินงอกไปในทะเลมากขึ้น เมื่อเราเดินเข้าไปในป่าชายเลน มักมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่า ดินเลน ดินตะกอน นั้นมาจากไหน ทำไมจึงมากองรวมอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ แน่นอน การเกิดขึ้นของดินตะกอนดังกล่าว มาจากการพัดพาของกระแสน้ำจืดที่ไหลมาจากต้นน้ำตามสันเขา ผ่านลำห้วยลำธารไหลลงสู่แม่น้ำ และ นำพา ตะกอนต่างๆ มาทับถมกันจนเกิดเป็นหาดดินเลนแผ่กว้าง ดินเลนและตะกอนที่ถูกพัดพามา มักพบเกิดขึ้นในบริเวณชายทะเล ที่อยู่ในพื้นที่อับลม การสะสมของดินเลนในลักษณะนี้ เกิดขึ้นกับป่าชายเลนปากแม่น้ำ หรือป่าชายเลนสองฝั่งแม่น้ำ ถ้าหากเป็นป่าชายเลน ที่เป็นหาดลาดเทลงไป ตามไหล่ทวีป ดินเลนที่เกิดขึ้นจะเกิดอย่างไร
เมื่อเจอกับคำถามเช่นนี้ เราก็ต้องสังเกตดูแนวคลื่นที่ซัดเข้าหาชายฝั่งในช่วงน้ำขึ้นน้ำลง ปรากฏการณ์นี้คงเป็นคำตอบที่จะนำมากล่าวถึง การเกิดสะสมดินเลนที่เกิดในป่าชายเลน ซึ่งมีสภาพ ภูมิประเทศเป็นชายหาดเลน ที่มาของคำตอบต่อคำถามนี้คือ คลื่น อันเป็นกระแสน้ำ ที่พัดตะกอนจากในทะเล ค่อยๆ พัดมาทับถมเป็นหาดเลนในที่สุด ด้วยความสามารถของรากต้นไม้ ต่อการจับยึดหน้าดิน และ ปรับตัวให้ขึ้นอยู่ได้ ค่อยๆพัฒนาเป็นหาดเลนที่มีดินเลนอ่อน ที่ชั้นดิน เกิดจากการทับถมอย่างหลวมๆ จึงมีชั้นดินลึกหรือค่อนข้างลึก แต่ความลึกของดินเลน เปลี่ยนแปลงไปตามความรุนแรง และ ทิศทางการไหลของกระแสน้ำ จนเกิดเป็นสันดอนดินที่ยังไม่คงตัว คลื่นของกระแสน้ำที่พัดพาไม่รุนแรง ทำให้มีการตกตะกอนมาก และ มื่อชั้นดินตะกอนสะสมนานวันมากขึ้น ด้วยอนุภาคเม็ดดินที่ละเอียดทับถมกันจนทำให้กลายเป็นบริเวณที่มีดินเลนแข็ง จากดินเลนแข็งค่อยๆพัฒนาอย่างต่อ เนื่อง จนทำให้ชั้นดิน อัดตัวแน่นมากขึ้น จนในที่สุดกลายเป็นพื้นดินเหมือนอยู่บนบก และได้ทดแทนก่อตัวเป็นสังคมป่าบกต่อไป (ข้อมูลจาก www.krunok.net)
และที่สำคัญ ไม้โกงกางมีบทบาทกับการประกอบอาหารด้วยคือ การทำถ่านไม้โกงกาง เพราะ ถ่านไม้โกงกางมีคุณสมบัติระอุความร้อนได้นาน ควันน้อย และไม่ปะทุ ทำให้อาหารที่เผาไหม้จากถ่านไม้โกงกางมีรสชาดดีกว่า เศษถ่านไม่ทั่วๆ ไป
จากคุณ |
:
PinePh
|
เขียนเมื่อ |
:
19 พ.ค. 54 19:40:37
|
|
|
|
|