ความคิดเห็นที่ 1 ขับรถร้อนมาจอดเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่เด็กปั้มจะรู้ว่าหม้อน้ำแห้ง เปิดฝาหม้อน้ำปุ๊บ ได้ลอกผิวทันที ถ้าจะแห้งก็ในถังพักน้ำมากกว่า ไม่ต้องรับเติมก็ได้ แต่ถาในหม้อน้ำแห้งไปแล้วเติมก็ไม่ทันแล้ว ไว้เครื่องเย็นๆค่อยเปิดเติมก็ได้ น้ำเปล่าหรือคูลแลนด์ก็ได้ จากคุณ : kobe30 เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 12:40:57

ความคิดเห็นที่ 2 เข้าใจว่าเป็นกระป๋องน้ำมากกว่าครับ  เอาน้ำเปล่าเติมไปได้เลยจนถึงขีด max น่าจะไม่ใช่หม้อน้ำ  เพราะเด็กปั๊มคงจะไม่กล้าเปิดฝาหม้อน้ำตอนร้อน ๆ น้ำร้อนมันจะพุ่งขึ้นมาลวกมือ จากคุณ : tingo เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 12:41:41

ความคิดเห็นที่ 3 หม้อน้ำแห้งว่ามันคืออะไร มันคือระบบหล่อเย็นครับ ซึ่งในหม้อน้ำนี้ก็จะมีน้ำผสมน้ำยาหล่อเย็น ซึ่งถ้าไม่มีรอยรั่ว ซึม น้ำในหม้อน้ำก็จะลดลงนิดหน่อย และถ้าเมือน้ำมันลด เราก็หาน้ำไปเติมให้เต็ม ในกรณีแบบนี้ ดีแล้วครับ ที่คุณไม่เชื่อเด็กในปั๊มเพราะพวกนี้ก็ไม่ใช่มีตวามรู้มากมาย และถ้าไม่เข้าใจหลังไมค์ได้ครับ จากคุณ : หนุ่ม ณ เมืองนนท์ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 12:45:18

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นสาวเป็นนาง อย่าให้ใครเปิดกระโปรง    รถ   ได้ง่ายๆ เค้ารู้ว่าเป็นผู้หญิงจับจุดอ่อนได้ง่าาย ขู่ไม่กี่คำก็ยอมจ่ายแล้ว จากคุณ : unzine เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 12:46:09

ความคิดเห็นที่ 5 เป็นประสบการณ์ไว้เลยครับ พวกเขาจะบอกอย่างนี้ ถ้าคุณตกลง เขาจะขายน้ำยาขวดละ 180 บาท เหมือนถูก....แต่ เขาจะไม่บอกว่าต้องใช้ 3-4 ขวด สุดท้ายคุณก็จะโดนราวๆ 500 บาท โดยไม่จำเป็นเลย รถเย็นๆ วันไหนว่างๆ ลองเปิดคู่มือศึกษาดูครับ ตรงไหน น้ำอะไร ปัดน้ำฝน หม้อน้ำ ตรวจเช็คเองได้ไม่ยากครับ จากคุณ : พขร. (ปลอมตัวมา) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 12:47:23

ความคิดเห็นที่ 6 น้ำกลั่นเอาไว้เติม แบตเตอรี่นะครับ ถ้าเติมหม้อน้ำ สมัยก่อนใช้น้ำสะอาด เดี๋ยวนี้ รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ เขามี coolant สำหรับเติม แนะนำว่าน่าจะให้ ศูนย์รถยนต์ เติมให้ จะได้เป็น ชนิดเดิม ชนิดเดียวกัน อย่าประมาท ถ้าน้ำหล่อเย็นขาดเครื่องอาจพังได้ ปรกติจะไม่ม่มี การเตือนน้ำยุบ มีแต่เตือนว่าเครื่องร้อน แต่บางทีเราอาจจะ ไม่ค่อยมอง ก็ไม่รู้ว่ามีปัญหาเครื่องร้อน ปรกติน้ำในหม้อน้ำจะไม่ค่อยยุบ นะครับแต่ต้องคอยตรวจดูบ้าง จะรอให้ศูนย์ ตรวจตอนเข้าไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอาจจะนานไปหน่อยครับ ส่วนน้ำกลั่นจะยุบเร็วขึ้นมาก ถ้าหม้อแบตตเริ่มมีอายุ ถ้าใหม่ ๆ แทบไม่ยุบเลย น้ำกลั่นจะยุบมากตอนที่วิ่งกลางคืน ทางไกลเปิดไฟหน้า หรืออากาศร้อน ส่วนมาก ต้องดูบ่อยกว่าน้ำหม้อนำด้วยซ้ำ ถ้าหม้อเก่า จากคุณ : KU_EE เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 12:53:26

ความคิดเห็นที่ 7 วิธีดูว่าน้ำหม้อน้ำแห้งรึเปล่า ที่ง่ายทีสุดก็คือ เปิดดูตอนเครื่องเย็นนะคะ ห้ามเปิดตอนขับรถไปแล้วเด็ดขาด เพราะมันจะเดือด แล้วน้ำร้อนๆ จะพุ่งมาใส่คนเปิดฝา  อันตรายมากๆ ถ้าขับรถไปแล้ว วิธีดูที่ง่ายๆ อีกอย่างก็คือ ให้ดูที่เกจ์วัดความร้อนของรถค่ะ ถ้าความร้อนมันขึ้นเกินระดับปกติที่เคยเป็น ให้รีบหาร้านอาหาร แล้วจอด กินข้าว  รึเดินห้างก็ดี แต่ห้ามขับหาร้านอาหารนานนะคะ หากเข็มความร้อนขึ้นสูงน่ะค่ะ เดี๋ยวได้จ่ายแพง กินให้เอ้อระเหยสักครึ่ง-ค่อนชม.นะคะ รอให้รถเย็นก่อน   แล้วค่อยเอาน้ำอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นน้ำเปล่านะคะ เติมลงไป แค่นี้เอง  คนสวยๆ ที่ไหนก็ทำเองได้  ไม่ต้องง้อผู้ชายหรอกค่ะ  ^__~ จากคุณ : hispeedxxgirl เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 13:01:07

ความคิดเห็นที่ 8 คราวหน้าปั๊มไหนบอกให้เปิดฝากระโปรงก็อย่าเปิดครับ บอกว่าไม่ต้องเช็ค เช็คฟรีก็ไม่ต้องเช็ค จากคุณ : t (chat725) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 13:03:00

ความคิดเห็นที่ 9 อันที่จริงแล้ว เล่ห์เพทุบายของเด็กปั๊มนี่ก็มีมาให้ได้เห็นกันบ่อยๆ โดยเฉพาะคนขับรถเป็นผู้หญิง หน้าตาไม่ประสีประสากับรถเท่าไหร่ น้องที่รู้จักกันก็เจอทำนองนี้เหมือนกัน  หัดปฏิเสธไว้คำเดียวครับ "ไม่ค่ะ ขอบคุณ"  และบอกตั้งแต่ขอให้เปิดฝากระโปรงรถแล้ว   ปกติแล้วการจะดูระดับน้ำในระบบน้ำหล่อเย็นนั้น ถ้าเครื่องร้อนให้ดูที่ในหม้อพักน้ำ (​กระป๋องพลาสติกสีขาว ที่มีขีด max และ min )  เพราะเวลาเครื่องร้อน น้ำที่ร้อนจะขยายตัวออกมาอยู่ในหม้อพักน้ำด้านข้างกับหม้อน้ำรังผึ้งตัวใหญ่​(มันมีสายต่อถึงกัน )  มันอาจจะเลยขีดmaxบ้างไม่ต้องใส่ใจ เพราะบอกแล้วว่ามันขยายตัว เวลาเครื่องเย็นก็ให้ดูที่หม้อพักน้ำอีกเช่นกัน  น้ำมันจะหดตัวแล้วถูกดูดกลับเข้าไปในหม้อน้ำรังผึ้งตัวใหญ่  แต่ระดับน้ำไม่ควรอยู่ต่ำกว่าขีด Min  ดังนั้นถ้าอยู่ในระดับระหว่าง Max กับ Min ในเครื่องเย็น  ก็แปลว่าน้ำหล่อเย็นมีปริมาตรเพียงพอต่อการใช้งาน ไม่จำเป็นอย่าเปิดฝาหม้อน้ำรังผึ้งครับ ( ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเย็น หรือ เครื่องร้อน ) เพราะเวลาที่เราเข้าศูนย์ ศูนย์จะเติมน้ำยาหล่อเย็นที่มีส่วนผสมของ Ethylene Glycol หรือ Propylene Glycol ซึ่งทำหน้าที่หลายอย่าง ได้แก่ 1. เพิ่มจุดเดือดของน้ำให้สูงขึ้นกว่า 100องศาเซลเซียส 2. หล่อลื่นระบบปั้มน้ำ 3. ดูดซับออกซิเจนในน้ำ เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดสนิมของรังผึ้งหม้อน้ำ  ข้อนี้แหละเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่า ไม่ควรจะเปิดฝาหม้อน้ำรังผึ้ง  เพราะน้ำในรังผึ้งที่ถูกดูดซับออกซิเจนไป จะไปสัมผัสอากาศ ทำให้ออกซิเจนเข้าไปละลายได้อีก ( ถึงจะไม่มากมายนัก  แต่สู้ไม่ให้มันสัมผัสเลยจะไม่ดีกว่าหรือ  ทำทั้งที ก็ทำให้มันถูกต้องทุกๆอย่าง )  และเช่นกัน ก็ไม่ควรเปิดฝาของหม้อพักน้ำด้วยเหตุผลเดียวกัน  เพราะถ้าตัวกระป๋องพลาสติกมันไม่ได้ขุ่นมัวมากเกินไปนัก  เราสามารถมองเห็นสีแดงหรือสีเขียวของน้ำหล่อเย็นที่อยู่ในหม้อพักน้ำได้ครับ การดูระดับน้ำในหม้อพักน้ำจึงเป็นวิธีที่ง่าย และถูกต้องที่สุด นอกจากนี้ การเปิดฝาหม้อน้ำรังผึ้ง บ่อยครั้งที่ปิดไม่พอดี ปีนเกลียว ปิดไม่สุดเกลียว เพราะมันปิดยากเนื่องจากฝาหม้อน้ำรังผึ้งจะมีวาล์วสปริง (ทำหน้าที่ในการระบายแรงดัน ในกรณีที่ระบบระบายความร้อนของน้ำหล่อเย็นมีปัญหา จนกระทั่งน้ำในระบบเดือดกลายเป็นไอ แรงดันไอน้ำจะดันวาล์วสปริงที่ฝาปิดหม้อน้ำให้เผยอขึ้น เพื่อระบายแรงดันออกมา) จึงทำให้การปิดฝาหม้อน้ำรังผึ้งไม่ใช่ของง่ายนัก โดยเฉพาะผู้ที่เปิดเองเป็นครั้งแรก การเปิดแล้วปิดโดยปีนเกลียวหรือปิดไม่สนิท ก็เคยทำให้บางคนเกือบเสียเครื่องยนต์ไปเพราะน้ำหล่อเย็นระเหยแห้งออกไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าเปิด ต้องปิดให้สนิท  แต่จริงๆแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมเลยสักอย่างในการที่จะเปิดฝาหม้อน้ำเพื่อดูระดับของน้ำหล่อเย็น ควรจะเปิดดูในกรณีที่เห็นว่า เครื่องเย็นแล้ว ระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพักน้ำพร่องหายไปหมด  แบบนี้ก็คงจะต้องเปิดดูว่าในหม้อน้ำใหญ่มันพร่องจนหายไปหรือเปล่า พร้อมๆกับเตรียมใจ เตรียมตังค์ไว้ซ่อมระบบน้ำหล่อเย็น ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดจากตัวหม้อน้ำรังผึ้งมีการรั่วซึมจากการเกิดสนิมและกร่อนในลักษณะ รูตามด ในกรณีของเครื่องร้อน แต่ระดับน้ำในหม้อพักน้ำแห้งสนิท  เป็นสัญญาณเตือนภัยว่า ระบบหล่อเย็นมีการรั่วซึม  การรั่วนั้นอาจจะเป็นแค่ตามดรูเล็กๆ ที่ไม่เคยเห็นน้ำหยดเลย แต่เมื่อน้ำร้อนก็จะขยายตัวและซึมออกมาแล้วระเหยหายไป   ฝากไว้นิดหนึ่งก็แล้วกัน  น้ำที่ใส่ลงในน้ำหล่อเย็นควรจะเป็นน้ำอะไร ? 1. ไม่ควรใช้น้ำประปา เพราะน้ำประปาถ้าปล่อยให้แห้งไว้จะทิ้งคราบตะกรัน  นั่นก็แปลว่ามันจะทิ้งคราบตะกรันทำให้หม้อน้ำรังผึ้งอุดตันได้ในระยะยาว 2. ควรใช้น้ำสะอาด ที่ไม่มีสารละลายเกลือแร่เจือปน   คำตอบก็คือ น้ำกลั่น น้ำกลั่นสำหรับเติมแบตเตอรี่ ก็คือ น้ำบริสุทธิ์ครับ ไม่ได้เจือความเป็นกรด หรือ เกลือแร่ใดๆอย่างที่บางคนเข้าใจผิด  เพราะมันคือน้ำกลั่น ไม่ใช่น้ำกรด  pH=7.0 สมัยที่ผมมีแรงทำรถเองบ่อยๆ  เวลาถ่ายน้ำในระบบหล่อเย็น ผมจะใช้ coolant ของ EXXON ซึ่งเป็น Ethylene Glycol  ( สมัยก่อนดูเหมือนบ้านเราจะไม่ค่อยมีความรู้กันเรื่องของการใช้สารประกอบตัวนี้กันสักเท่าไหร่เลย  ก็เลยไม่ค่อยมีคนใช้กัน  แต่ปัจจุบันกลายเป็นของดาษดื่นที่มีใช้กันเป็นเรื่องปกติแล้ว ) ผสมกับน้ำกลั่นเติมแบตเตอรี่นี่แหละครับ เติมในสัดส่วน 1:1 ใช้มันจนขายทิ้งไปก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องหม้อน้ำผุ หรือ อุดตันมารบกวนใจ ถ้าถามว่า แล้วน้ำกลั่นเติมแบตเตอรี่นี้ดื่มได้หรือเปล่า   มันบริสุทธิ์ในแง่ของการไม่มีเกลือแร่ใด หรือ ความเป็นกรดด่างใดมาเจือปน  แต่มันไม่ได้สะอาดปราศจากเชื้อโรคนะครับ  ถึงแม้ว่าน้ำกลั่นที่กลั่นตัวมาในตอนแรกจะปราศจากเชื้อโรค แต่ภาชนะบรรจุนั้นมันไม่ได้ปราศจากเชื้อโรคนะครับ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 54 13:54:37 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 54 13:52:04 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 54 13:50:02 จากคุณ : lucifer เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 13:40:50

ความคิดเห็นที่ 10 ปฏิบัติตามที่ผมสั่งครับ เเล้วทำทุกวัน 1.ทุกครั้งที่กลับที่พัก จะต้องจอดรถโดยการทิ่มหน้าเข้า เพราะ   เมื่อเช้าวันต่อมา เมื่อคุณจะใช้รถคุณจะต้องถอยหลังออก เเละ   ถ้าเกิดสิ่งผิดปกติกับระบบรถคุณ เช่น น้ำมันเครื่องรั่ว คุณก็จะได้เห็น   ไม่ใช่ ขึ้นรถมาเเล้ว เเว๊นๆๆๆออกไปเลย 2.อันนี้อาจจะทำทุกๆ 1 อาทิตย์ วันเสาร์ อาทิตย์วันไหนก็ได้  ตอนเช้าก่อนใช้รถให้เปิดกระโปรง(รถ)คุณ  ดูดังนี้  - น้ำในหม้อน้ำ อันที่ติดกับสะดือคุณมากที่สุด ที่มีเขียนไว้ว่า         "ห้ามเปิดขณะเครื่องร้อน" ดูว่าน้ำหายไปไหม ถ้าน้ำหายไปเยอะๆ     จนเห็นครีบ แสดงว่า "หม้อน้ำแห้ง" ก็ให้เติมน้ำลงไปสะให้เต็ม     โดยปกติรถใหม่ๆ ถ้าไม่มีปัญหาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเป็น  -  น้ำที่ปัดน้ำฝน อันนี้ก็เติมไว้เพราะเพื่อใช้ บอกไม่ได้ว่าเป็นแบบไหน     สั่งเกตุว่าถ้าเป็นพวกให้เติมน้ำภาชนะจะเป็นพลาสติกสีขุ่นๆ - น้ำแบตเตอรี่ อันนี้ถ้าเข้าซ่อมตามระยะก็ไม่ต้องห่วงมาก   แบตเตอรี่ ถ้าซื้อป้ายแดงมา เขาจะเติมน้ำกรดมาให้ แต่ถ้าใช้ไปสัก   6 เดือนก็ดูว่าน้ำในแบตลดลงไหม เมื่อเห็นว่าลดลงก็ให้ไปซื้อ "น้ำกลั่น"   ขวดละ 10-15 บาทมาเติม โดยซื้อมาสัก 4 ขวด เเล้วก็เปิดจุกแบตเเล้วก็เติม 3.น้ำมันเครื่อง   - อันนี้อาจจะต้องสักเกตุ ถ้าไม่รู้เลยว่าที่เช็คน้ำมันเครื่องอยู่ตรงไหน     ก็ให้ไปถามเพื่อนผู้ชาย ถ้าไม่มีเพื่อนผู้ชายเลย ก็ให้ไปถามผู้ชายคนอื่น     ที่เช็คน้ำมันเครื่อง จะเช็ค 2 ครั้ง คือตอนเครื่องไม่ start ชักขึ้นมาดูว่า     ยังอยู่ขีดบนไหม     และเช็คตอน start เครื่องอันนี้ต้องระวัง เข้าเกียร์ P ให้สุด เเล้วดึงเบรคมือ     ให้สุด เเล้วลองเช็คน้ำมันเครื่องดู วิธีนี้จะรู้ว่าน้ำมันเครื่องมีจริงๆพอไหม     เพราะน้ำมันเครื่องมันวิ่งไปทั้งเครื่องเเล้ว และระวังอย่าสัมผัสกับ     โลหะทุกชนิดบนเครื่อง มัน "ร้อน" ทุกอย่างที่กล่าวมาทำตอน "รถไม่ start "  อย่าลืม และเข้าศูนย์เช็คระยะเป็นประจำ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเช็คเอง ขอบคุณไปละครับ ปล.ถ้าคิดว่าคุณหน้าตาดี แล้วโสดต้องการคนเช็ครถให้ตลอด ชีวิตติดต่อผมได้หลังไมล์ ถ้าไม่สวยอย่าติดต่อมาครับ 555555555++ จากคุณ : MAXSIM_lot เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 14:00:27

ความคิดเห็นที่ 11 "ปล.ถ้าคิดว่าคุณหน้าตาดี แล้วโสดต้องการคนเช็ครถให้ตลอด ชีวิตติดต่อผมได้หลังไมล์ ถ้าไม่สวยอย่าติดต่อมาครับ 555555555++" เอาไปเลย 10 like ฮ่า ฮ่า จากคุณ : lucifer เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 14:05:42

ความคิดเห็นที่ 12 ลูกไม้เดิมๆ ขายของแบบหวังดี น้ำหล่อเย็น มันจะพร่องลงไปบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไม่มีอะไรขาด หายเลย แล้วจะเข้าศูนย์หรืออู่ เช็คระยะทำไมละ ก็ใช้มันจนพังไปเลย จากคุณ : BaLL182 เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 15:52:47

ความคิดเห็นที่ 13 ลองหาคนข้างบ้าน(ที่เป็นผู้ชาย)ให้ช่วยดูให้หน่อย สักอาทิตย์ละครั้งก็ได้ครับ น่าจะดี จากคุณ : Eakiji Onisuka เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 15:54:19

ความคิดเห็นที่ 14 ปั๊มปิโตรนาสก่อนถึงเซ็นทรัลปิ่นเกล้า อีกแล้วหรอ หลายกระทู้แล้วครับ ผมเจอเองกับตัวด้วย "ระวัง!" ปั๊มนี้ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 54 16:04:35 จากคุณ : angel_sugar_white เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 16:04:08

ความคิดเห็นที่ 15 ผมเคยเจอนะ เด็กผู้หญิง อายุไม่ถึง 20 ใส่เสื้อช็อป จะมาเช็คเครื่องรถให้ผม ผมไม่ได้ดูถูกนะ แต่ดูสภาพแล้วเชื่อยาก จากคุณ : พขร. (ปลอมตัวมา) เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 17:31:37

ความคิดเห็นที่ 16 กราบขอบพระคุณงามๆทุกความคิดเห็นค่ะ ได้ความรู้อีกเยอะเลย เป็นครั้งแรกที่เข้าห้องรัชดา ปกติอยู่แต่โต๊ะเครื่องแป้ง อายนึดนึงเพราะอ่านหัวกระทู้กับเขียนเรื่องน้ำกลั่น อาจในกระทู้เขียนเรื่องหม้อน้ำ ความรู้หางอึ่งจริงๆ ยังไงขอบพระคุณอีกที ปลาบปลื้มจริงๆ ปล.ใครสงสัยปัญหาเครื่องสำอางค์ ความงาม การดูแลตัวเองอย่าได้เกรงใจ แวะถามมาได้เลย สาวห้องแป้งใจดี กันทุกคน ขอบคุณอีกครั้งค่ะ จากคุณ : ปีกแมลงทับ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 17:42:59

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนเด็กๆ วิชาเคมีเคยบอก  น้ำกลั่น จะเป็นกรดอ่อนๆ ค่ะ  (มั่นใจมาก) ไม่ควรเติมในช่องเติมหม้อน้ำ  เพราะนอกจากจะเป็นกรดอ่อนๆ แล้ว ยังแพงกว่าอีกด้วย   เอาน้ำดื่มเติมดีกว่าค่ะ   บางคนเค้าว่าน้ำประปาเติม อาจเป็นตะกรันได้นะคะ จากคุณ : hispeedxxgirl เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 18:40:31

ความคิดเห็นที่ 18 น้ำกลั่น pH=7.0 ครับ   เป็นกรดอ่อนหรือเป็นกลางครับเนี่ย แพงกว่าน้ำดื่มบรรจุขวดอีกหรือครับ โฮ่ โฮ่ โฮ่  แบบนี้ท่าทางจะไม่เคยซื้อน้ำกลั่นเอง   น้ำฝนสิครับ เป็นกรดอ่อนๆ เพราะตอนตกลงมาจะละลายCO2 กลายเป็นกรดCarbornic จากคุณ : lucifer เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 21:17:25

ความคิดเห็นที่ 19 คอนเฟิร์ม คห.17 ครับ อยู่ห้องแลบ ไม่น้อยกว่า 30 ปี ใช้เครื่องทำน้ำกลั่นใช้เองหลายเครื่อง ทุกเครื่อง ได้ค่า พีเอช ระหว่าง 6.6 - 6.9  น้อยครั้งที่จะได้ 7.0 หลายคนในแลบก็ใช้ดื่มกันบ้าง ถ้ากลั่นได้เหลือใช้  ยืนยันว่าดื่มได้ครับ จากคุณ : ชัยนาม เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 21:28:22

ความคิดเห็นที่ 20 โดยideal แล้วน้ำกลั่นควรจะมีpH=7.0 ไม่ใช่หรือครับ แต่ถ้าไม่purifyได้ดีพอจึงจะมีภาวะเป็นกรดอ่อนหนะ อันนี้ใช่อยู่แล้ว   เรื่องดื่มหนะ ดื่มได้อยู่แล้วครับ  อย่าcontaminate micro-organismก็พอแล้วครับ ขอบคุณข้อมูลจากห้องlab แต่เท่าที่ผมรู้น้ำกลั่นทางการแพทย์จะมีpH=7.0 เพราะสามารถpurifyได้ในทุกขั้นตอน   ( ไม่งั้นไม่ผ่าน audit ) ในขณะน้ำดื่มบรรจุขวดส่วนใหญ่เท่าที่จำได้ถึงผลการสำรวจก็ดูเหมือนว่าจะมีpHต่ำกว่า 7.0 เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 54 08:15:57 จากคุณ : lucifer เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 54 22:38:37

ความคิดเห็นที่ 21 http://www.bettersyndicate.com/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99.html จากคุณ : hispeedxxgirl เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 54 13:10:29