ขี่รถลุยลาวในอดีต......ไปเที่ยวอิสราเอลบ้างเด้อ{แตกประเด็นจาก V11024757}
|
|
มาแว้ววววววว
คห1.....หากมีนก-หนู-นา-กา-ไก่อยู่แถวๆเมืองเทลอาวิฟ.......ธรรมชาติคงจะจัดการให้มันเอาอึของน้าต้นโพธ์ไปปลูกให้แล้วละเด้อ..... คห2-3...ไว้จะเล่าให้ฟังจนถึงระดับรากเหง้าของการอพยพเลยก็แล้วกัน คุณช่วยเตือนด้วยนะครับ.....ผมกลัวจริงๆว่าพอมีคนมากระตุ้นเรื่องนู้นนิด-เรื่องนี้หน่อย....แล้วผมจะแตกกระทู้ไปเรื่อยๆแบบกู่ไม่กลับ......
...ไว้ให้จบที่เมืองอิสราเอลก่อน....แล้วไปไต้หวัน......ช่วงนั้นก็คงเข้าหน้าหนาวไปแล้ว....น้าหยอยก็จะไปขี่รถเล่นแถวๆแม่ฮ่องสอน....แล้ววนมาออกปาย......ไปขึ้นดอยแม่สะลอง....จะถือโอกาสเล่าเรื่องของกองพล93ให้ฟังอย่างละเอียดเลยก็แล้วกัน ขออย่างเดียวอย่าเบื่อเสียก่อนเด้อ
คห4. ประมาณว่า จังหวะของชีวิตแต่ละคนมันคงไม่อำนวยนะครับ.....บางคนก็ติดภาระจำเป็นในครอบครัว บางคนก็ติดภาระทางอาชีพการงาน บางคนก็ติดธุระทางการเงิน องค์ประกอบทั้งหมดนี้เป็นเพียงไม่กี่ปัจจัยของโอกาสที่มันจะโคจรมารวมเป็นจุดเดียวกันได้........ ..............................................................................................
กลับมาเที่ยวอิสราเอลกันต่อดีกั่ว........
ย้อนกลับมาถึงเรื่องเมืองยิวที่ผมเล่าค้างเอาไว้ก็ตอนที่รัฐบาลเขาจะเข้าไปให้คำแนะนำในการจัดระบบคอมมูน......เมื่อทำไปจนครบระบบแล้ว ทุกคนในคิบบุชนี้ก็จะมีงานทำและมีอาหารการกินแบบสร้างตนเองได้ครบวงจร รัฐบาลก็ไม่ต้องใช้เงินมาอุดหนุนอีกตอ่ไป.....ทำไปทำมาคิบบุชเหล่านี้ก็สามารถทำเงินกลับไปช่วยรัฐบาลได้อีกทางหนึ่ง
นี่คือลักษณะของการต่อสู้ในทุกวิถีทางของชนชาติยิวเขาละ
อย่างโรงแรมที่ผมได้ไปพักอยู่นั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของคิบบุช ซึี่งเมื่อโรงแรมแห่งที่ว่านี้สร้างเสร็จแล้ว รัฐบาลเขาก็จะเอารายชื่อโรงแรมในกลุ่มคิบบุชทั้งหมดที่มี ส่งไปยังกระทรวงการท่องเที่ยวของเขา เพื่อให้บริษัทนำเที่ยว ส่งลูกค้ามาพักยังโรงแรมของนิคมแต่ละแห่งไป
โรงแรมอย่างที่ว่านี้ไม่ใช่โรงแรมจิ้งหรีดนะครับ เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวเลยทีเดียวแหละ พนักงานในนั้นก็คือคนในคิบบุช ที่จะต้องมีหน้าที่กันไปอย่างที่บอกไปแล้ว ส่วนพวกอาหารกินในโรงแรมก็เป็นพืชผลของชาวนิคม ที่มีหน้าที่เลี้ยงสัตว์หรือปลูกผักเป็นผู้ป้อนวัตถุดิบเข้ามาใช้ในโรงแรมนี้เอง
บ้านเรือนของคนอิสราเอลนั้น ทางการเคหะของยิว เขาจะเป็นผู้กำหนดแบบให้เสร็จครับ คือบ้านทุกหลังจะเป้นหินตัดจากภูเขา.....ตัดเป็นชิ้นเหลี่ยมแบบอิฐบล็อค.....
แต่มันไม่ได้เล็กแบบอิฐบล็อคนะครับ ก้อนหนึ่งโตขนาดรถเก๋งมิร่า(ก้อนหนึ่งคงหนักประมาณ5-6ตันขึ้นไปกระมัง)
.....แล้วก็เอามาเรียงต่อๆ กันให้เป็นห้อง.....ที่สามารถป้องกันระเบิดหรือลูกกระสุนได้ เรียกว่าเป็นที่พักด้วยและเป็นบังเกอร์กันวัตถุระเบิดได้ทุกชนิดทีเดียว.... .เพราะฉะนั้นสิ่งก่อสร้างที่เป็นบ้านเรือนของคนทั่วไปแล้ว จะมีรูปทรงเป็นเหลี่ยมบล็อคและเป็นหินสีน้ำตาลเหมือนกันหมดไปทั้งเมือง
มองสวยไปอีกแบบหนึ่ง และน่าชมเชยในความอุตสาห์วิริยะของคนยิวที่พยายามไปหาวัสดุจากธรรมชาติมาใช้ได้อย่างคุ้มค่าทีเดียว
หากเป็นคนชาติอื่นๆ เขาคงจะไม่ตัดถูเขาไปสร้างเป็นบ้านหรอกครับ อย่างเก่งก็ขุดภูเขาให้เป็นถ้ำ แล้วคนก็เข้าไปอาศัยอยู่เหมือนรูหนูนั่นแหละ
แต่คนยิวพยายามสร้างเมืองให้เป็นรูปแบบของสถาปัตย์กรรมสมัยให่ม จากภูเขาที่เอามาแปรรูปเป็นบ้าน หินก้อนหนึ่งหนักประมาณ 5 ตัน ขึ้นไปแล้วเอามาซ้อนกันเป็นบังเกอร์ผสมบ้านน่ะ มันลำบากขนาดไหน
น่าทึ่งและน่าชมเชยในความพยายามของคนยิวจริงๆ
เงินของยิวนี้ เป้นเงินสกุลของเขาเองเรียกว่า"เซกัล" มีอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 15 บาทไทยนะครับ ป่านนี้จะเทียบเท่ากี่บาทไทยไม่ทราบ เพราะตอนที่ผมไปเมืองอิสราเอลมานั้น ไทยยังไม่โดนพิษของไอเอ็มเอฟ.รู้สึกว่าผมจะใช้จ่ายเงินที่นี่ไปไม่กี่เซกัลเท่านั้น คือซื้อเชิงเทียนเป็นของที่ระลึกอย่างหนึ่ง แล้วก็ซื้อเบียร์ดื่มแก้หนาวไปนิดหน่อย นอกนั้นก็ซื้อฟิล์มถ่ายรูปไป 3 ม้วน....
.อ้อ ผมทำบุญไปบ้างอีตอนเข้าไปชมสถานที่ประสูตรของพระเยซูเด้อ.....ใจบุญนะเนี่ย ........................................................................................รูปนี้จะยังเป็นกำแพงวิปโยคอยู่เหมือนเดิม เพราะบอกไปแล้วว่า แค่กำแพงวิปโยคนี้เพียงแห่งเดียว ก็จะมีเนื้อหาสาระไปแบบเกี่ยวเนื่องได้เยอะแยะครับ.....เอาเป็นว่า หากเราสามารถเดินทะลุกำแพงที่กล่าวนี้ออกไปได้ด้วยประตูไทม์มาชีนของโดเรม่อนแล้ว........
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเราก็คือบ้านเกิดของพระศาสดาโมฮำมัด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาอิสลาม.......ตรงนี้น้าหยอยขออภัยจากท่านผู้นับถือศาสนาอิสลามที่ไม่สามารถกล่าวพระนามของท่านได้ครบเต็มตามความจริงที่ควรจะเป็น เนื่องจากน้าหยอยเป็นคนอ่อนด้อยทางปัญญาในเรื่องของศาสนาอิสลาม....ขออภัยอีกครั้งครับ
สรุปแล้วก็คือ องค์พระศาสดาแห่งศาสนาคริสต์และองค์พระศาสดาของศาสนาอิสลามเป็นเพื่อนบ้านซึ่งกันและกัน....มีระยะทางความห่างของความเชื่อถือกันก็แค่กำแพงกั้นแค่นั้นแหละ
เรื่องนี้น้าหยอยไม่ขอแสดงความคิดเห็นให้เป็นที่ระคายเคืองของเพื่อนร่วมโลกทั้ง2ศาสนานะครับ
วันนี้ขอจบลงด้วยภาพของกำแพงวิปโยค-แต่คนละมุมกัน.....
จากคุณ |
:
เคี้ยงโมโต
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ก.ย. 54 20:32:02
|
|
|
|