ขี่รถลุยลาวในอดีต......ไปเที่ยวอิสราเอลบ้างเด้อ{แตกประเด็นจาก V11033964}
|
 |
มาแว้วววววววววววว วันนี้พอมีเวลาเหลือ.....จะเล่าให้อ่านต่อกันเด้อ คห.1-2-3-4........ไงเหลือแค่4คนเองล่ะเนี่ย......อีกหน่อยน้าหยอยค นั่งเล่าให้ตัวเองฟังกับเงามั้งเนี่ยยยยยยย ไปแตกกระทู้ละเด้อ ...................................................................................... สถานที่ประสูตรของพระเยซูที่กล่าวนี้ อยู่ใกล้ๆ กำแพงวิปโยค ในเมืองเยรูซาเล็มเก่าครับ ซึ่งแต่เดิมนั้น ประวัติศาสตร์ได้ระบุเอาไว้ว่า ตรงที่บริเวณแห่งนี้เป็นโรงนาของชาวบ้าน
และต่อเมื่อพระเยซูได้ดับขันธ์ไปแล้วหลายร้อยปี ศาสนาคริสต์ก็เริ่มได้รับการยอมรับจากสังคมคนโบราณในยุคหลัง ก็เลยมีการสร้างโบสถ์ครอบลงไปบนพื้นที่ดังกล่าว เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะเข้าไปชมยังสถานที่อันศักดิสิทธิ์แห่งนี้
จึงเหมือนเข้าไปในโบสถ์คริสต์ และพื้นที่ประสูตรก็ต่ำลงไปจากพื้นโบสถ์ เหมือนห้องใต้ดินซึ่งแสดงให้เห็นว่า โบสถ์แห่งนี้ได้มีการบูรณะและเสริมพื้นขึ้นมาหลายครั้งแล้ว บริเวณภายในที่เข้าไปชมสถานที่ประสูตรดังกล่าวนั้น ค่อนข้างจะเคร่งขรึมเอาการมีหลวงพ่อฝรั่งดูแลอยู่ 5-6 องค์ซึ่งเขาเรียกกันว่า "แรปไบ" และในที่นั้นเขาห้ามถ่ายรูป แสงสว่างที่ได้จากการมองเห็นก็คือ แสงเทียนที่หลวงพ่อ 5-6 องค์นั้น ตามไฟไว้ยังจุดต่างๆ ไม่มีเสียงพูดจากใครทั้งสิ้น คงเป็นบรรยากาศของการแสดงคารวะและสงบสำรวมกันอยู่ทุกคน
เครื่องหมายหรือโลโก้ประจำเมืองยิวก็คือ เชิงเทียนนะครับ.....ทุกแห่งที่เป็นวงเวียนก็จะมีเชิงเทียนเป็นช่อ 7 ช่อ..... นั่นแหละคือเครื่องหมายประจำเมืองยิวเขาละ ในบริเวณหน้าโบสถ์ อันเป็นสถานที่ประสูตรขององค์ศาสดาของคริสต์ศาสนิกชนนั้น จะมีลานกว้างประมาณสักครึ่งสนามฟุตบอลเห็นจะได้ จะเป็นลานแห่งความเศร้าโศก
ผมก็เขียนมั่วมันอย่างนี้แหละ เพราะไม่รู้จะเรียกว่าอะไร คือจากโบสถ์ที่กล่าวมานั้น จะมีกำแพงทอดยาวออกมาประมาณสัก 100 เมตรเห็นจะได้..... กำแพงแห่งนี้ก็คือ สถานที่อธิษฐานเสี่ยงทาย หรือ สถานที่สวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าให้ประทานความสมหวังให้ใครก็ได้ที่เข้าไปสวด
โดยเฉพาะคนยิวจะมาสวดอ้อนวอนขอให้ญาติโกโหติกาบรรดามี ที่เคยพลัดพรากจากกันไปสมัยปีมะโว้นั้น จงกลับคืนมาบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างปลอดภัยเสียทีหนึ่ง ....อะไรทำนองนั้น ตอนที่ผมไปเที่ยวนั้นก็เห็นมีนักบวชของพระนิกายออโธด็อกซ์มาเดินทำธุระอยู่หลายคนเหมือนกัน ส่วนคนที่มายืนสวดนั้น ก็จะเอาหนังสือเข้าไปวางไว้ตรงช่องกำแพง โดยตัวเองก็ยืนเกาะกำแพงแล้วก็สวดไปด้วยโยกตัวไปด้วย บางคนก็ร้องไห้ผสมกับสวดอย่างที่เล่าให้ฟังไปในวันก่อนหน้านี้แล้ว............ ว่ากันมั่วไปหมด ส่วนหากมีคนเข้ามาสวดอ้อนวอนในวันนักขัตฤกษ์ จนเต็มกำแพงไปหมดแล้วคนที่มาทีหลังก็จะยืนสวดกันตรงลานที่ผมบอกว่าเป็นลานเศร้าโศกนั่นแหละ ลักษณะการยืนสวดของคนยิวนี่ก็แปลกแฮะเล่าให้ฟังไปแล้วเด้อ....แต่ขอเล่าย้อนหลังอีกนิดเดียว เพราะคนอื่นๆนอกห้องพันธ์ทิพย์(มอเตอร์ไซค์)อาจจะยังไม่ได้อ่าน เขาจะเอามือเกาะกำแพงไว้แล้วก็ยันตัวเองให้ตัวโยกออกมา แล้วก็ดันตัวกลับเข้าไปใหม่ มองเหมือนเราออกกำลังวิดพื้นอย่างนั้นแหละ และบางคนก็ยืนขย่มปลายเท้ารัวกันยิกก็มี ผมแปลความหมายเขาไม่ออกว่ามันเป็นการเร่งเร้าให้พระเจ้ารับคำอ้อนวอนของเขาคล้ายๆ เด็กจะขอขนมจากพ่อแม่หรือยังไงไม่รู้ ................................................................... นี่เป็นทหารหญิงของอิสราเอลนะครับ........ตลอดเวลาที่เราเที่ยวอยู่ในประเทศของเขา........ตลอดเวลาที่เราเดินผ่านสถานที่ท่องเที่ยว หรือนั่งรถไปไหนมาไหนทุกแห่ง จะมีทหารหนุ่มๆหรือสาวๆ วิ่งเหยาะๆบ้าง....หรือเดินแถวแบบซ้อมรบ ไปตามถนนเป็นหมวดหมู่ประมาณชุดละ20คนให้เห็นทุกๆ10นาที
ทหารเหล่านี้-หากเป็นผู้ชายจะถูกเกณฑ์มารับใช้ชาติคนละ3ปีไม่มีการยกเว้น ส่วนผู้หญิงจะให้เป็นทหารคนละ2ปี(ผมสอบบถามมาจากไกด์ท้องถิ่นเขานะครับ....ผิดหรือถูกประการใดก็เกิดจากข้อมูลของอีตาไกด์คนที่กล่าวนั่นเอง
อย่างที่บอกไปแล้วว่า เราจะได้เห็นทหารเดินแถวกันอยู่ทุก10นาที........ด้วยบรรยากาศแห่งความเคร่งเครียดนั้น......หากมีนักท่องเที่ยววิ่งไปขอถ่ายรูปกับแถวทหารนั้นเมื่อไหร่.....เขาก็จะหยุดแถวให้เราถ่ายรูปกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และทำท่า Victory ชู2นิ้วแอ็คท่าสู้กล้องโดยไม่แสดงให้เห็นเลยว่า........ในเวลานั้นคือวันและเวลาแห่งสงครามกลางเมืองที่พวกเขาจะต้องเป็นหน้าด่านในการประทะกันอย่างที่เราได้ดู+อ่านข่าวกันมาแล้วทั้งสิ้น
จากคุณ |
:
เคี้ยงโมโต
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ก.ย. 54 21:29:23
|
|
|
|