ความคิดเห็นที่ 1 ป.ล. 4 บางคนกว่าจะเก็บเงินดาวน์รถคันแรกได้ก็อายุ 40 แล้วก็มีนะหนู .. จากคุณ : 9Jan เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 11:09:03

ความคิดเห็นที่ 2 จริงๆ ไม่ชอบข้อ ๗ เลย มันต้องครอบครองไปเรื่อยๆ ห้ามขาย หรือเปลี่ยนมือ ยกเว้น กรณีตกทอด มิฉะนั้น ต้องคืนภาษีให้แก่รัฐ ตามจำนวนที่รัฐ ชดเชยให้ไป เทียบกับราคาทองคำ ณ วันนั้น จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 11:23:39

ความคิดเห็นที่ 3 ยังติดที่ 5 ปีครับ แล้วเงื่อนไขการคืนก็ช้า แล้วไม่ใช่คืนแสนนึงเลย สูงสุดไม่เกินแสนบาท แล้วใครจะได้คืนภาษีทีเดียวแสนนึง ต้องมีรายได้ หักลดหย่อนที่มีแล้วต้องเหลือ เยอะพอสมควรเลย ถ้าคนที่มีกำลังซื้อเงินสดผมว่าเขาคงมองข้ามจุดนี้ไปก่อนละครับ มองถึงจุดประสงค์การใช้งาน เลือกรถให้ตรงก่อน แล้วค่อยมาดูว่า เข้าส่วนนี้ไหม ถ้าไม่ใช่ ก็คงต้องข้ามไปครับ ถ้าเขาดูแล้วว่า ไม่เข้าเกณฑ์  ก็อาจจะมองข้าม shot ดู Altis Civic แทนครับ ส่วนเงินผ่อน คงต้องดูทุกเม็ดละครับ ได้น้อยก็ดีกว่าไม่ได้แต่ต้องมั่นใจนะว่าผ่อนไหว ไม่งั้นจะแย่ จากคุณ : Themad เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 11:34:14

ความคิดเห็นที่ 4 ปล.3 ไม่เสมอไปครับ ถ้าคนที่จบมาแล้วไม่ได้แบมือขอเงินพ่อแม่มาออกรถ เงินเดือนไม่มาก ทำงานเก็บเงินเอง  บางทีต้องใช้เวลาอย่าง คห.1 ว่าละครับ จากคุณ : zerg1 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 11:52:48

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนคุณคห.ที่3 - ภาษีที่รัฐบาลคืนให้เป็นภาษีสรรพสามิตรนะครับ ไม่ใช่ภาษีเงินได้ มันไม่เกี่ยวกัน - อีกอย่างเค้าคืนให้เป็นเช็คเงินสดเหมือนกันเช็คช่วยชาติอ่ะครับ - แล้วก็คืนตามภาษีที่จ่ายจริง (รถเก๋ง25% ,eco car 17% ,รถกระบะจำไม่ได้ว่ากี่% จากราคาหน้าโรงงาน) มันมีที่เกินแสนอยู่ไม่กี่รุ่น เค้าก็ปัดให้แค่แสนเดียว มันก็ถูกแล้วล่ะครับ จากคุณ : pallsdcu เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 11:59:09

ความคิดเห็นที่ 6 นโยบายรถคันแรกเค้าไม่ได้ให้ส่วนลดหรอก มันถือเป็นการคืนหย่อนภาษีสรรพสามิต ที่ปกติรัฐเก็บเอามาคืนให้ปชช.โดยรอปีนึงซึ่งมันก็สมควรกับรอบภาษี ถ้าตั้งใจจะซื้อรถมันก็ราคานั่นตามปกติแระ แสนนึงได้คืนคือผลพลอยได้ ส่วนต้องถือครองห้าปีก็สมควร เพราะเค้าอยากให้ซื้อเอาไว้ใช้กันจริงๆ ไม่ใช่เอาไปขายต่อแล้วซื้อใหม่ ปล.3ไม่เห็นด้วยอย่างสูงค่ะ เพราะคนบางคนวัยนั้นเค้าก็เดือดร้อนมีภาระเหมือนกัน จากคุณ : N.J.Dahlia เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:02:37

ความคิดเห็นที่ 7 7. ข้อนี้ผมว่ามีคนโอนลอยแหงมๆ อิอิ จากคุณ : DarKTaMaBoO เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:19:45

ความคิดเห็นที่ 8 #7 ต้องเหลืออีกปีเดียว ถึงจะมีคนกล้าซื้อแบบโอนลอย   รถที่ซื้อมาด้วยนโยบายนี้ น่าจะคึกคักตอนปีสุดท้าย   โอนลอยกันบาน เพราะจะถูกว่ารถมือสองรุ่นเดียวกันเป็นแสน จากคุณ : อ่อนนุช เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:28:41

ความคิดเห็นที่ 9 ปล.2 กระแทกใจผมมากครับ จากคุณ : เขียนบน iPhone (bossey010) เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:41:01

ความคิดเห็นที่ 10 งงอ่ะ ใครพอจะยกตัวอย่าง แบบละเอียดได้ไหมครับ สมมุติ รถราคา 694,000 ผ่อน 5 ปี จะได้รับเงินคืนเท่าไหร่ กี่งวด กี่ปี ? ถ้ามันลดได้เป็นแสนจริง ผมก็สนใจแล้ว หุหุ จากคุณ : expert_punch เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:53:10

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าหัวงผลอย่างอื่น จะคิดหนักก็ข้อ 7 ข้อเดียวนี่แหละ แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนไทย อิอิ จะ 5 ปี หรือ 10 ปี เรื่องจิ๊บๆ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 54 13:01:24 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 54 12:59:29 จากคุณ : GoFast2012 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 12:58:25

ความคิดเห็นที่ 12 ข้อ 7 มันไม่ควรจะเป็น 5 ปีครับ ควรจะเป็นซัก 10 ปี หรืออย่างน้อยก็ต้อง 7 ปี ตามเกณฑ์การตรวจสภาพรถก่อนต่อภาษี และสงสัยข้อนี้อีกอย่างคือ ถ้าซื้อผ่อนมันต้องเ็ป็นชื่อไฟแนนซ์นี่นา ชอบปล. 2 มากครับ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 54 13:43:37 จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 13:41:32

ความคิดเห็นที่ 13 ความคิดเห็นที่ 10 ขอเดาว่ากำลังเล็งซิตี้ ตัวท๊อป อยู่ ใช่ป่าวครับ อิอิ จากคุณ : เด็กข้างห้างฯ เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 14:27:34

ความคิดเห็นที่ 14 เข้าใจเหมือนกัน  คือซื้อสด  (ชัวร์กว่า) ปล.  ถ้ามีเงินซื้อสด  จะเรียกว่า เพิ่งทำงานได้ไง จากคุณ : MOOM_SOM เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 14:32:56

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าให้ซื้อสดอย่างเดียว  รัฐคงโดนด่าเละกว่านี้ จากคุณ : Ch_jew10 เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 14:57:45

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่เห็นด้วยกับข้อ7เหมือนกัน น่าจะให้เป็นมรดกตกทอดเท่านั้น คือใช้ให้พังหรือจนกว่าจะซ่อมไม่ไหว กรณีผ่อนไม่ไหวนอกจากจะโดนไฟแนนซ์ตามยึดทรัพย์แล้ว เงินส่วนลดต้องคืนรัฐ ถ้าหนีก็ทำแบบกรณีหนีทหารไปเลย จากคุณ : tanix เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 16:34:03

ความคิดเห็นที่ 17 ปีที่5 รัฐบาลชุดนี้ก็ไปพอดี (ถ้าอยู่เต็มวาระนะ) ปัญหาที่บานปลาย ตอนนั้นคุมให้อยู่ และคิดเผื่อกันด้วยนะครับ ผมคิดว่า เมื่อครบถึง 5ปี ก็ค่อยรับเงินดีกว่า ยังไงก็อยู่ในเงื่อนไขเดิม 5ปีเหมือนเดิม แต่ได้ความชัวร์ และลดโอการเสี่ยงกับคนที่อยากได้เงินคืน  แล้วหาช่องทางมาซื้อรถ  โดยไม่คิดถึงการเงินของตัวเองด้วยนะ เอาง่ายๆนะครับ  ตัวอย่างเงินกู้เพื่อการศึกษา  สมัยผมเรียน มีทั้งคนจนจริง และแกล้งจน เพื่ออยากได้สิทธิกู้เงินเรียน (มีจริงๆนะและเยอะด้วย) ได้เงินกู้มาจ่ายค่าเทอม โดยธนาคารโอนให้สถาบันเลย และเหลือเท่าไหร่หายรายเดือน/ปี พวกที่แกล้งจนแล้วได้สิทธิกู้ไป  พวกนี้ก็ขอเงินที่บ้านเพิ่มทั้งค่าเทอม ค่าเงินเดือน อ้างว่าไม่พอใช้ และลงวิชาเพิ่ม พอจบแล้ว ชิ่งเงินกู้ไม่ผ่อนต่อ เลี่ยงบ้าง เฉยบ้างหนีบ้าง,,,, นี่แค่ตัวอย่าง คนพวกนี้มีจริงและเยอะด้วย ไม่ว่ากันครับ งานนี้ มันก็คล้ายๆกัน เปิดช่องว่างให้บางคน  ที่ไม่ใช่คนมีสิทธิแท้ๆ  "หาช่องทาง" เข้ามาแจมน่ะสิ จากคุณ : pronong เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 19:09:43

ความคิดเห็นที่ 18 คิดว่าหนี้เสียคงอีกเยอะแน่นอน......คนอยากมี อยากได้  มีอีกเยอะ เหมือนเงินกู้เรียนจริงๆๆค่ะ  ปล. เรายอมรับเป็นหนึ่งแกล้งจนในการขอกู้เงินเรียน แต่เราก็เสียคืนทุกปี.........นะ จากคุณ : crazy_beauty เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 09:46:09

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ  crazy_beauty ครับ ส่งคืนก็ดีแล้วครับ  ที่รู้เพราะผมก็กู้เรียน บ้านไม่มีตังค์ ตอนนั้นพ่อออกจากงาน เศรษฐกิจไม่ดี ยืมเงินเค้าจ่ายเพื่อเข้าเรียนไปก่อน ถึงทำเรื่องกู้ได้  ถ้าไม่ได้เงินพวกนั้นก็คงไม่ได้เรียน   เลยเ้ข้าใจว่าเงินบางก้อนที่หน่วยงานนึงสรรหามาได้ เพื่อประโยชน์อะไรซักอย่าง   คนที่ต้องการจริง จะเห็นความจำเป็นมากๆ จากคุณ : pronong เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 10:48:57

ความคิดเห็นที่ 20 ถ้าวันนั้น ผมไม่ได้กู้เรียนปริญญาตรี วันนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้เรียนปริญญาเอก ^^ จากคุณ : bossey010 เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 54 19:42:06