|
ระหว่าง มติ ครม. กับประกาศของกรมสรรพสามิต ใครใหญ่กว่ากัน
มติครม. สำหรับหลักเกณฑ์และแนวทางดำเนินการในโครงการดังกล่าว มีดังนี้ 1.เป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.2554 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2555 2.เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน 3.เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) 4.เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ) 5.คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน 6.ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป 7.ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี 8.การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปี ไปแล้ว (เริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้นไป) แนวทางการดำเนินงาน 1.ผู้ซื้อรถยนต์ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.2554 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2555 ต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน ดังนี้ -หนังสือยินยอมสละสิทธิการโอนภายใน 5 ปี -สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ -สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ) 2.กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มีหนังสือถึงกรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิการโอนภายใน 5 ปีของผู้ซื้อ 3.กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ลงในคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน 4.กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดส่งหนังสือรับรองการครอบครองรถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ให้กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ 5.กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ และสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้นไป
อย่างนี้ คนที่ซื้อรถทันตามมติครม แต่จดทะเบียนไม่ทันตามคำสั่ง กรม จะฟ้องต่อศาลปกครองได้หรือไม่ครับ ในเมื่อจะได้เงินต่อเมื่อถือครองจนครบ 1 ปี ทำไมต้องไปเร่งให้ส่งภายใน 31 ธ.ค.55
จากคุณ |
:
พันละที
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ม.ค. 55 22:20:28
|
|
|
|
|