 |
เอาเหอะครับ.. เบาๆ กันดีกว่า ด่ากันไป ด่ากันมา..ไม่ได้ ข้อมูล ไมได้อะไร..ไม่เกิดประโยชน์..เอาเป็น ข้อมูล มีอะไรมาอ้างอิงกัน จะได้คุยกันได้.. ถ้าอยากจะต่อ เรื่องการบริหารกองทุน น้ำมัน..ข้อมูลที่พอคุยกันได้มา ดีไม๊.. ด่ากันไป ด่ากันมา กระทู้ก็ถูกลบเปล่าๆ.. เอาว่าคุยกัน ตรงที่ ..การบริหารจัดการ..ขอเปรียบเทียบ กับ 2 รัฐบาล เพราะเป้นคู่แข่งกันโดยตรง.. รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ ตอนเข้าบริหาร..มีเงินกองทุน น้ำมันคงเหลือ ที่สะสม มาจากรัฐบาล ขิงแก่ อยู่ราว สองหมื่นแปดพันล้าน..ตามที่เป้นข่าว ขอ แปะ เอาเฉพาะท่อนสุดท้าย เพื่อสะดวกในการอ่าน.. เนื่องด้วยกระทรวงพลังงานเห็นว่า ปตท. เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐ ดังนั้นรัฐบาลจึงเห็นว่าสามารถถ่วงเวลาจ่ายหนี้ไปก่อนได้ และภาระหนักก็ตกกับ ปตท.ที่ขณะนี้แบกรับภาระการชดเชยแอลพีจีไปแล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท และเอ็นจีวีอีกเกือบ 20,000 ล้านบาท สำหรับเงินกองทุนน้ำมันฯที่หมดไปกับมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรต่อลิตรของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นั้น เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 จนถึงวันนี้ใช้เงินพยุงราคาดีเซลไปแล้วทั้งสิ้น 23,301 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งขึ้นช่วงปี 2523 - 2524 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือชั่วคราวในการทยอยปรับเปลี่ยนราคาน้ำมันให้เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น โดยใช้วิธีดังนี้คือ เมื่อราคาน้ำมันแพง ก็เอาเงินกองทุนฯไปพยุงราคาไว้ไม่ให้ขึ้นราคาอย่างรวดเร็ว แต่จะค่อยๆ ทยอยขึ้นราคาน้ำมันทีละนิดเพื่อให้ประชาชนได้ปรับตัว แต่เมื่อราคาน้ำมันถูกลง ประชาชนยังคงต้องใช้น้ำมันราคาสูงไปสักระยะเพื่อเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯก่อน ต่อมาเกิดวิกฤติราคาน้ำมันโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี 2522 - 2529 ราคาน้ำมันพุ่งจาก 7 บาทต่อลิตร เป็น 13.45 บาทต่อลิตร ต่อมาประเทศไทยพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยปี 2524 และไทยเริ่มผลิตแอลพีจีได้เป็นครั้งแรก มีการส่งเสริมใช้แอลพีจีในรถยนต์ โดยรัฐบาลอนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำมันเบนซินสูงสุดตามตลาดโลกสมัยนั้น 13.45 บาทต่อลิตร แต่ตรึงราคาแอลพีจี 6 บาทต่อลิตร เมื่อมีทางเลือกในการใช้พลังงานแล้วรัฐบาลต่อมาจึงประกาศลอยตัวราคาน้ำมันในปี 2532 ผลจากการลอยตัวทำให้ไม่ต้องใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ จนเมื่อราคาน้ำมันกลับมาสูงอีกครั้งสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2533-2534 ประชาชนแห่มาใช้แอลพีจีอย่างหนัก และรัฐบาลต้องแบกรับภาระชดเชยแอลพีจีเป็นครั้งแรก ดังนั้นเมื่อประกาศลอยตัวราคาน้ำมันไปแล้วทำให้ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันเข้ากองทุนฯได้ ขณะที่ต้องมีภาระชดเชยแอลพีจี ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯติดลบเป็นครั้งแรก 10,000 ล้านบาท และต้องกู้เงินจากธนาคารมาชำระหนี้แอลพีจี ต่อมายุค พล.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีปี 2540 ได้จัดการเคลียร์ปัญหากองทุนน้ำมันฯจนกลับมาเป็นบวก ด้วยการขึ้นราคาแอลพีจี 3 บาทต่อกิโลกรัม และไม่แทรกแซงราคาน้ำมัน แต่แล้วก็เกิดวิกฤติราคาน้ำมันโลกอีกครั้งสมัยรัฐบาลทักษิณ2 ในปี 2548 - 2549 มีการนำเงินไปพยุงราคาดีเซลจนกองทุนติดลบเป็นครั้งที่ 2 ถึง 90,000 ล้านาท จนสมัยนายปิยสวัสดิ์ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในยุครัฐบาล คมช. แก้ไขปัญหาจนกองทุนน้ำมันเป็นบวกกว่า 30,000 ล้านบาท และแล้วก็มาสู่ยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนล่าสุด ที่ทำให้ตัวเลขทางบัญชีกองทุนน้ำมันฯกลับกลายเป็นลบ นับเป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนน้ำมันฯขึ้นมา ปัญหาที่ถมทับกองทุนน้ำมันฯในขณะนี้คือ การพยุงราคาแอลพีจีมานานและรัฐบาลไม่กล้าขยับขึ้นราคาแอลพีจีในประเทศ โดยยังตรึงไว้ 330 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคาตลาดโลกพุ่งไป 930 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ที่ผ่านมามีการพยายามจะปรับขึ้นราคาแอลพีจีเป็นระบบขั้นบันได หรือทยอยปรับขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้เริ่มรับรู้ราคาพลังงานจริงที่เกิดขึ้น แต่หลายรัฐบาลไม่กล้า เนื่องจากหวั่นปัญหาคะแนนเสียงทางการเมือง จนปัญหาด้านราคาเอ็นจีวีมาซ้ำเติม เพราะรัฐบาลตรึงราคาอีกเช่นกันที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาจริงขึ้นไป 13 - 14 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ภาระเพิ่มพูน และบวกภาระการชดเชยราคาดีเซลเข้าไปอีก ท้ายที่สุดกองทุนน้ำมันฯหนีไม่พ้นกลับมาเป็นหนี้ต้องกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมาใช้หนี้ค้างชำระต่างๆ อีกครั้ง รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ โชคร้ายตรงที่ราคาพลังงานมาปรับสูงขึ้นเกือบทุกอย่าง แต่แล้วก็ไม่มีวิธีการแก้ปัญหาใดๆ ออกมา มีเพียงแต่พยุงราคาเพียงอย่างเดียว จนประชาชนผู้ใช้น้ำมันดีเซลยังไม่ตระหนักรับรู้ว่า ราคาน้ำมันโลกสูงต้องร่วมมือกันประหยัดแล้ว แต่ผู้ใช้น้ำมันเบนซินคงทราบดี เนื่องจากเงินทุกบาทที่จ่ายไปกับการซื้อน้ำมันเบนซินต้องจ่ายเพิ่มไปยังกองทุนน้ำมันฯด้วย และกองทุนน้ำมันฯก็นำไปพยุงราคาให้กับผู้ใช้ดีเซล เอ็นจีวี แอลพีจี เท่ากับวันนี้ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน เป็นผู้เสียสละอย่างจำใจ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ดีเซล เอ็นจีวี และแอลพีจี ได้มีพลังงานใช้ราคาถูกกันต่อไป ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) ที่มี น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังคงยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้มีเงินสดพอที่จะพยุงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปจนยุบสภาและรอรัฐบาลชุดหน้ามาบริหารจัดการภาระหนี้กองทุนน้ำมันฯ แทน เป็นอันว่า รัฐบาลชุดนี้ใช้เงินหมดแล้ว ใครมาเป็นรัฐบาลชุดหน้าก็แก้ปัญหาไปก็แล้วกัน..... ก็ได้แต่หวังว่ารัฐบาลชุดหน้าจะมีกึ๋นในการบริหารจัดการพลังงานของประเทศได้ดีกว่าทุกวันนี้ แหล่งข้อมูล : สยามรัฐ วันที่ 25 เมย. 54 เวลา 10.59 น. *************************************** คือ ง่ายๆว่า มีเงินกองทุนอยู่ สองหมื่นแปดพันล้าน..สุดท้าย ตอน จะออก เหลืออยู่ ในราว 3 พันล้าน ขอแปะ เป็นลิงค์นะครับ เพราะมัน ยาว http://www.eppo.go.th/nepc/kpc/kpc-136.htm เรื่องที่ 11สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง สรุปสาระสำคัญ 1. ราคาน้ำมันดิบ กุมภาพันธ์ 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 100.24 และ 89.57 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 7.72 และ 0.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากผู้นำการประท้วงในลิเบียข่มขู่ที่จะหยุดส่งออกน้ำมันดิบหากรัฐบาลไม่หยุดปราบปรามการชุมนุม ล่าสุดบริษัทน้ำมันต่างชาติ อาทิ เยอรมัน อิตาลี และฝรั่งเศสหยุดดำเนินการผลิตน้ำมันดิบรวม 300,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่เส้นทางการเดินเรือขนส่งน้ำมันบริเวณอ่าวเม็กซิโก ของสหรัฐฯ ปิดเนื่องจากมีหมอกปกคลุมหนาแน่นทำให้เรือไม่สามารถสัญจรได้ ส่วนเดือนมีนาคม 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 108.71 และ 102.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 8.47 และ 13.42 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความกังวลต่อปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบที่ลุกลามในกลุ่มประเทศอาหรับ อีกทั้งความกังวลต่อสถานการณ์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นที่เกิดการระเบิดขึ้นและมีกัมมันตภาพรังสีรั่วไหล และในช่วงวันที่1 - 21 เมษายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 115.29 และ 108.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.59 และ 5.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่ยืดเยื้อและรุนแรงในลิเบีย รวมถึงการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ยังเป็นแรงขับเคลื่อน อีกทั้งความไม่แน่นอนของเสถียรภาพทางการเงินของยุโรปที่เผชิญความเสี่ยงจากปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซและปัญหาหนี้เสียของสเปนที่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการแก้ไข 2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูป ราคาน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวขึ้นลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยราคาเบนซิน 95, 92 และดีเซล กุมภาพันธ์ 2554 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 111.84 , 109.63 และ 117.46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 5.46 , 5.28 และ 9.27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากโรงกลั่นในภูมิภาคต่างๆ มีแผนปิดซ่อมบำรุง ขณะที่กรมศุลกากรของจีนรายงานปริมาณการส่งออกดีเซล เดือนมกราคม 2554 อยู่ที่ระดับ 700,000 บาร์เรล สำหรับเดือนมีนาคม 2554 เบนซิน 95 , 92 และดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 120.97, 118.87 และ 130.41 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.13, 9.25 และ 12.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเรือขนส่งน้ำมันเบนซินให้บริษัท Libyan National Oil Company ถูกโจรสลัดจี้ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในลิเบียขาดแคลน ประกอบกับอุปสงค์น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากความต้องการของญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าจากการได้รับผลกระทบภัยพิบัติสึนามิ และในช่วงวันที่ 1 - 21 เมษายน 2554 เบนซิน 95 , 92 และดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 128.47, 126.39 และ 137.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 7.50 , 7.52 และ 7.53 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก Arbitrage น้ำมันเบนซินจากเอเชียไปภูมิภาคตะวันตกเปิด นอกจากนี้ญี่ปุ่นมีความต้องการนำเข้าน้ำมันดีเซล 0.001%S ปริมาณประมาณ 630,000 บาร์เรล ในเดือนเมษายน 2554 เพื่อทดแทนโรงกลั่นที่หยุดดำเนินการจากแผ่นดินไหว 3. ราคาขายปลีก ราคาเฉลี่ยขายปลีกเดือนกุมภาพันธ์ 2554 กองทุนน้ำมันฯ ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว มาอยู่ที่ระดับ 4.00 บาท/ลิตร และเพิ่มอัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 มาอยู่ที่ระดับ 4.05 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกเบนซิน 95, 91 , แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 อยู่ที่ระดับ 45.74, 41.24, 36.84, 33.44, 21.72, 34.34, 29.99 และ 29.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ เดือนมีนาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว มาอยู่ที่ระดับ 5.10 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกเบนซิน 95, 91 , แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 47.64, 42.34, 37.44, 34.04, 22.12, 34.94, 29.99 และ 29.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ และวันที่ 1 - 22 เมษายน 2554 กองทุนน้ำมันฯ ปรับลดอัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว มาอยู่ที่ระดับ 0.1645 บาท/ลิตร จากการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล โดยราคาขายปลีกเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 อยู่ที่ระดับ 48.44, 43.44, 38.44, 35.04, 22.72, 35.94, 29.99 และ 29.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ 4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ราคา LPG ตลาดโลก เดือนกุมภาพันธ์ 2554 ปรับตัวลดลง 113 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 816 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน สำหรับเดือนมีนาคม 2554 ราคา LPG ตลาดโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 836 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนในเดือนเมษายน 2554 ราคา LPG ตลาดโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 45 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 881 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากรัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจใช้ก๊าซ LPG ที่สำรองตามกฎหมายออกมาใช้เพื่อป้องกันภาวะการขาดแคลนก๊าซ LPG จากเหตุภัยสึนามิ และญี่ปุ่นมีความต้องการใช้ก๊าซ LPG อีกเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ทำความอบอุ่น นอกจากนั้นแอลจีเรียได้กำหนดราคา โพรเพนส่งมอบเดือนเมษายนที่ 925 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และบิวเทนที่ 935 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน สำหรับราคาก๊าซ LPG ในประเทศรัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ระดับ 10.1523 บาท/กิโลกรัม และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาท/กิโลกรัม และตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - เมษายน 2554 ได้มีการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 3,105,357 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 43,042 ล้านบาท 5. สถานการณ์เอทานอลและไบโอดีเซล การผลิตเอทานอล มีผู้ประกอบการ จำนวน 19 ราย กำลังการผลิตรวม 2.93 ล้านลิตร/วัน แต่มีรายงานการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงเพียง 15 ราย มีปริมาณการผลิตประมาณ 1.46 ล้านลิตร/วัน ราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน 2554 อยู่ที่ 26.73 , 26.87 และ 23.41 บาท/ลิตร ตามลำดับ สำหรับการผลิตไบโอดีเซล มีผู้ผลิตที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 14 ราย โดยมีกำลังการผลิตรวม 1.29 ล้านลิตร/วัน การผลิต อยู่ที่ประมาณ 2.54 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศ เฉลี่ยเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และ 1 - 24 เมษายน 2554 อยู่ที่ 61.24 , 43.11 และ 35.82 บาท/ลิตร ตามลำดับ 6. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 21 เมษายน 2554 มีเงินสดในบัญชี 34,996 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 31,155 ล้านบาท แยกเป็นหนี้อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายชดเชยค้างชำระเงินชดเชย 30,942 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 213 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเบื้องต้นสุทธิ 3,841 ล้านบาท เอาสักท่อน..นึงหล่ะกัน.. สรุปแบบตัวเลขกลมๆ 28000- 3800 รัฐบาลพี่มาร์ค ใช้ กองทุน ไป 2.4 หมื่นล้าน แต่ รบ..ยิ่งลักษณ์.. เข้ามา ตีซะว่า ช่วงคาบลูกคาบดอก ก็ยังต้องใช้กองทุนอุดหนุน อยุ่ ..ก็น่าจะใกล้หมด แต่ เหมานับไปด้วย เพราะถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบ.. 3800 + ที่ลบอยู่ ราว 15000 ก็จะอยู่..18800 ล้าน.. ที่ผมยกมาคร่าว ๆเพื่อจะบอกว่า ทุกรัฐบาล ล้วน ใช้ เงินจากกองทุนในการบริหารจัดการ..ราคาน้ำมัน.. ฉะนั้น ถ้าไม่มีข้อมูล อื่นเพิ่มเติม มาว่า รัฐบาลคุณมาร์ค ใช้วิธี พิศดาร อะไรกว่านี้.. มาช่วยในการบริหาร.. มันก็คือ กัน พอกัน.. แล้ว ทำไม พูดได้ว่า..รัฐบาล นึงบริหารดี อีกรัฐบาลนึงบริหาร ไม่ดี.. ถ้าเป็นคนมี เหตุผล แล้ว ไม่โง่ เท่าผม..ฉลาด เหมือนที่โฆษณา ก็ช่วยอ่าน ข้อมูล สักนิด.. เป็นข้อมูล ที่คน โง่ๆ ..ไม่ค่อย รู้อะไร ไปหามา ..เพื่อ คนฉลาดๆ .จะได้ เก็บไว้พิจารณา ...
จากคุณ |
:
~cupid~
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ก.พ. 55 13:09:08
A:223.205.40.224 X: TicketID:347422
|
|
|
|
 |