สะเทือนใจ! 2
ความไม่เป็นธรรม และการปฏิบัติหน้าที่ 2 มาตรฐาน ของเจ้าพนักงาน คปภ.
จาก เรื่องข้างต้น รู้สึกว่าเราเจอแบบนี้ โชคร้ายจัง แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นค่ะ ต่อจากนี้จะสะท้อนถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ คปภ.
ซึ่งดิฉันขอเปรียบเทียบว่าเป็น “ข้าราชการ”นะคะ เพราะได้เงินเดือนจากหลวง ถึงแม้จะเป็นองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.
(เพราะใช้ข้อบังคับเดียวกัน ผิดถูก ขออภัยตรงนี้นะคะ)
เรื่องนี้มันค่อนข้างเจ็บปวดค่ะ เพราะดิฉันก้อเป็นลูกของข้าราชการ และตั้งใจเรียนจบแล้วอยากรับราชการ
1. ในการเจรจาครั้งที่ 1 ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555
- การเจรจาค่าซ่อมรถ เนื่องจากในการประเมินครั้งแรก ศูนย์โตโยต้ามหานคร( ศูนย์ฯแรก )ไม่ได้ประเมินความเสียหายไฟหน้าใหญ่ข้าง
ซ้ายที่มีแผลเดิมแต่ยังใช้การได้ ก่อนการชน ซึ่งคุณแม่ได้เอาแผ่นเทปใสปิดไว้ เพราะศูนย์ฯแรกไม่ได้ยกกันชนหน้าออกดู
แต่เมื่อศูนย์โตโยต้าเฟรนส์ชิบได้ตรวจสอบความเสียหายโดยยกกันชนหน้าออกดู จึงเห็นว่า เสื้อไฟมีรอยแตก
จึงแจ้งแก่คุณแม่ว่าต้องเพิ่มอะไหล่ส่วนนี้ในการซ่อม
ในระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ย คุณแม่พยายามอธิบายว่า แม้ในวันเกิดเหตุ รถคู่กรณีไม่ได้ชนตำแหน่งนั้นโดยตรง แต่ถูกแรงกระแทกจาก
การชนอย่างแรงทำให้ไฟดับและมีเศษกระจกไฟแตก พนักงานคปภ. คือ นางสาวอ. ได้บอกคุณแม่ว่า
“หากพูดไม่จริงจะเข้าข่ายให้การเท็จ” คุณแม่จึงกล่าวต่อไปว่าดิฉันไปบังคับให้ศูนย์ฯเขียนลงไปไม่ได้หรอก
คุณแม่รู้สึกว่าทำไมนางสาวอ. จึงกล่าวอย่างนี้ โดยไม่พยายามฟังการอธิบาย คุณแม่จึงขอให้เรียกผอ.ของนางสาวอ. มาแทน
ท่านผอ. กลับรับฟังคำอธิบายของคุณแม่ และช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยกับบริษัทฯ จนได้ข้อยุติ
- การเจรจาค่าขาดประโยชน์
นาย ป. ตัวแทนบ.กรุงเทพประกันภัย กล่าวอ้างข้อมูลเท็จลอยๆ เกี่ยวกับการประเมินระยะเวลาการซ่อมจาก 14 วันเป็น 7 วัน ขัดแย้งจาก
หลักฐานเอกสารใบประเมินของคุณแม่ แต่นางสาว อ. กลับเชื่อถือข้ออ้างดังกล่าว โดยเมื่อรับคำแถลงมาแล้วกลับไม่แจ้งนายป.
ว่าหากพูดไม่จริง จะเข้าข่ายให้การเท็จ เช่นที่ นางสาว อ. เคยกล่าวกับคุณแม่ในระหว่างการเจรจาก่อนหน้านี้ อีกทั้งไม่พยายามเรียกหลัก
ฐานเอกสารจากนายป. เพื่อยืนยันคำกล่าวอ้างดังกล่าว
2. ในการเจรจาครั้งที่ 2 ในวันที่ 9 มีนาคม 2555
คุณแม่ซึ่งคุณแม่พึ่งอ่านเจอคำแถลงของนายป. จึงขอให้นางสาว อ. เรียกเอกสารที่บ.กรุงเทพประกันภัย อ้างว่าใช้เวลาการซ่อม 7 วัน
หากบริษัทฯไม่นำมาแสดงถือว่าบริษัทฯ ให้การเท็จ เมื่อเห็นว่าบริษัทฯจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นางสาว อ. จึงบันทึกความเห็นว่า
“ไม่สามารถวินิจฉัยได้” แต่เมื่อคุณแม่ขอให้นางสาวอ. เรียกเอกสารที่บริษัทฯกล่าวอ้างมาแสดง นางสาวอ.กลับไม่ได้ติดตาม
เอกสารนี้แต่อย่างใด และยอมรับกับคุณแม่ทางวาจาในภายหลังว่า “ขอแล้วแต่บริษัทฯไม่มีเอกสารให้” โดยไม่บันทึกข้อมูลดัง
กล่าวลงในบันทึกคำชี้แจงของพนักงานคปภ. แต่กลับแนะนำให้คุณแม่ดิฉัน ไปยื่นเรื่องต่อชั้นอนุญาโตตุลาการแทน โดยไม่แจ้งให้ทราบ
ก่อนว่าการยื่นในชั้นอนุญาโตตุลาการ คือ การขึ้นสู่ศาลซึ่งต้องมีเงินวางประกันและต้องจ้างทนาย
เมื่อคุณแม่ทราบ และเห็นว่าไม่สามารถรับภาระดังกล่าวได้ ทั้งเรื่องก็ชัดเจน ไม่น่าจะต้องพิสูจน์ถึงโรงถึงศาล
คุณแม่จึงขอนำเรื่องกลับมายังคปภ.อีกครั้ง เรื่องนี้ทำให้เข้าใจได้ว่า พนักงานคปภ. ท่านนี้ ทำเพื่อผลักข้อพิพาทออกไปจากกระบวนการ
คุ้มครองสิทธิประโยชน์ เพราะเห็นว่าหากยังดำเนินการต่อไป บริษัทฯ อาจเข้าข่ายการให้การเท็จ
3. ในการเจรจาครั้งที่ 3 ในวันที่ 15 มีนาคม 2555
จึง มีการนัดเจรจาอีกครั้ง ผู้รับมอบอำนาจจากบ. กรุงเทพประกันภัย ถูกเปลี่ยนเป็นนาย ส. ซึ่งในการเจรจาบริษัทฯยังยืนยัน
ต่อหน้าคุณแม่ว่า มีพนักงานศูนย์ซ่อมแจ้งว่าใช้เวลาซ่อม 7 วันเช่นเดิม และยอมชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 7,000 บาท
แต่นางสาวอ. กลับไม่ลงบันทึกตามที่ได้เจรจากัน คือ ไม่บันทึกว่า"บริษัทฯยืนยันการใช้เวลาการซ่อม 7 วันและจำนวนเงินที่จะชดใช้ทั้ง
หมดคือ 7,000 บาท" เพื่อต้องการเลี่ยงคำไม่ให้ บริษัทฯ ถูกกล่าวหาว่าให้การเท็จ จนคุณแม่ต้องขอให้นางสาวอ. พิมพ์บันทึกเพิ่มเติม
ข้อนี้ลงในข้อ 3. และขอให้นางสาวอ. แจ้งให้บริษัทฯ นำเอกสารของศูนย์โตโยต้าเฟรนส์ชิบที่กล่าวอ้างว่าระยะเวลาการซ่อม 7 วันมายืน
ยันในวันที่ 26 มีนาคม 2555 ลงในข้อ 4.
เนื่องจากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจา เพราะพนักงานคปภ. ติดปัญหา "ไม่สามารถวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้" คุณแม่จึง
ยินยอมให้ทางคปภ. ออกหนังสือขอทราบระยะเวลาการจัดซ่อมในส่วนความเสียหายที่บริษัทฯต้องรับผิดชอบ ซึ่งความจริงแล้วไม่จำเป็น
ต้องทำหนังสือไปสอบถามที่ศูนย์ฯซ่อมอีกก็สามารถสรุปข้อพิพาทได้แล้ว เพราะเอกสารหลักฐานของคุณแม่เป็นเอกสารที่ออกตามความ
จริงโดยศูนย์โตโยต้ามหานครและศูนย์โตโยต้าเฟรนส์ชิบทั้ง 2 ศูนย์ มีระยะเวลาการซ่อมตรงกันคือ 14 วัน
ในระหว่างการเจรจายังมี ผอ. ฝ่ายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ร่วมอยู่ด้วย คุณแม่จึงได้ทวงถามถึงการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จของ
บริษัทฯ ว่าเป็น ความผิดที่พนักงาน คปภ. ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งสองท่านยืนยันว่าเอาผิดไม่ได้ ไม่มีกฎหมายเปิดช่อง
ให้ ทำให้คุณแม่สงสัยว่า แล้วทำไมนางสาวอ. จึงกล่าวเรื่องการให้การเท็จต่อคุณแม่ ในการเจรจาเรื่องค่าซ่อมรถตอนแรก
พฤติกรรมดังกล่าวถือได้ว่ามีดุลยพินิจสองมาตรฐาน และแสดงถึงความไม่เป็นกลางอย่างชัดเจน เมื่อคุณแม่โต้แย้งการใช้ดุลยพินิจดัง
กล่าว นางสาวอ. บอกคุณแม่ว่า “จะร้องเรียนที่ไหนก็ไปร้อง”
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคุณแม่กลับมาอ่านข้อความของบันทึกคำชี้แจงในข้อ 6. ที่นางสาวอ. เป็นผู้พิมพ์บันทึก ให้ดิฉันฟังว่า
“บริษัทและผู้ร้องยินยอมให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีหนังสือ สอบถามไปบริษัทโตโยต้าเฟรนด์ชิปจำกัด ซึ่งเป็นผู้จดซ่อมรถผู้ร้อง โดยหากผล
ประการใด บริัษัทและผู้ร้องยินดียอมรับและถือเป็นข้อยุติในเรื่องของระยะเวลาการซ่อม” ทำให้เห็นว่ามีลักษณะเหมือนเป็นการปิดปาก
ทำให้คุณแม่ ต้องยอมรับข้อเท็จจริงซึ่งอาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในครั้งแรก เนื่องจากบริษัทกรุงเทพประกันภัยเป็นคู่ค้ากับศูนย์ซ่อม
เหล่านี้ จึงอาจให้ข้อมูลเข้าข้างฝ่ายบริษัทฯได้ในภายหลัง ดิฉันจึงให้คุณแม่ไปแก้ไขข้อความตรงนี้ใหม่ ที่ คปภ.
เรื่องให้การเท็จนั้น หากกระทำต่อศาล หรือพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นถือเป็นความผิดอาญาบ้านเมือง ซึ่งในเรื่องนี้โดยสามัญสำนึก
ของวิญญูชนคนธรรมดา ก็สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และควรทำเรื่องให้กระจ่าง แต่นางสาวอ. และผอ.ในฐานะเจ้าพนักงาน
คปภ. ผู้ไกล่เกลี่ย กลับไม่ถือเป็นประเด็นสำคัญ ซ้ำร้ายกลับพิจารณาว่ากฎหมายไม่เปิดช่อง และปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไป
ทำให้มองได้ว่าเป็นการช่วยเหลือบริษัทฯ ฝ่ายที่ผิด จนคุณแม่ต้องขอร้องให้เพิ่มเรื่องนี้ในข้อ 3.และขอให้นางสาวอ. เรียกเอกสาร
จากบริษัทฯมายืนยันตามข้อ 4.
อีกทั้ง การให้น้ำหนักแก่คำกล่าวอ้างลอยๆ ของบริษัทถึงสองครั้ง จึงเป็นสาระสำคัญในดุลยพินิจของนางสาวอ. ถึงเพียงนี้ ?
(ถึงขนาดลงความเห็นว่าไม่สามารถวินิจฉัยได้) ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปหากบริษัทประกันต่างๆ ให้ข้อมูลเท็จ พนักงานคปภ. ก็จะต้องให้ยื่น
เรื่องต่อชั้นอนุญาโตตุลาการทุกครั้งไปใช่หรือไม่
เรื่องนี้ส่งผลให้การได้รับค่าขาดประโยชน์ของผู้เสียหายช้าลงไปอีก ควรจะถือเป็นการประวิงเวลาการชำระค่าสินไหมซึ่งมีบท
ลงโทษแก่บริษัทประกันภัย จะมีผู้เสียหายสักกี่คนที่ทำงานหาเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว จะมีเวลาว่างเพียงพอจะดำเนินการเรื่อง
ต่างๆ เหล่านี้ได้ และสุดท้ายผู้เสียหายก็จะท้อแท้ และต้องยินยอมตามข้อเสนอของบริษัทประกันภัยต่อไป
เป็นที่น่าสงสัยว่าฝ่ายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของ คปภ. นั้น มีหน้าที่และความมุ่งหมายที่จะคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ร้อง คือ
ประชาชน ในฐานะผู้เสียหาย หรือ ฝ่ายบริษัทประกันภัยกันแน่ การใช้ดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าว มีบรรทัดฐานอย่างไร
และจริยธรรมองค์กรอยู่ตรงไหน การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การเห็นผิดเป็นชอบ และความไม่เป็นกลางเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่งสำหรับ
ผู้ที่เรียกตนเป็น เจ้าพนักงานของแผ่นดิน สิ่งนี้จะมีแต่ทำให้คุณค่าและความน่าเชื่อถือขององค์กร และตัวเจ้าพนักงานเองลดน้อยลง
ข้อความข้างต้นได้ส่งร้องเรียนไปยังเลขาฯ คปภ. เป็นครั้งที่ 2 แล้วนะคะ เพื่อขอให้ตรวจสอบพฤติกรรม 2 มาตรฐานของพนักงาน
คปภ.สองท่านนี้ ในการใช้ความรู้ทางกฎหมายเอื้อประโยชน์แก่กรุงเทพประกันภัย จนทำให้การเจรจาค่าขาดประโยชน์มีความล่าช้า
เป็นผลเสียหายและไม่เป็นธรรมค่ะ แต่จนป่านนี้ผ่านไปอีกเกือบ 4 เดือน ก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับอะไรจากท่านเลขาฯ เลย
มีต่อค่ะ
แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 55 22:17:11
แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 22:08:38
แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 22:05:15
แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 21:56:08
แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 21:44:56
แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 21:43:32