Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
[[ สะเทือนใจ! กับความไม่เป็นธรรมของ คปภ. และเมื่อกรุงเทพประกันภัยบอกว่า"มีนโยบายจ่ายเงินให้น้อยที่สุด"]] ติดต่อทีมงาน

สวัสดีค่ะ จริงๆ ตั้งใจจะโพสต์เรื่องนี้ตั้งแต่เกิดเรื่อง เพื่อให้สังคมรับทราบ เพราะรับไม่ได้จริงๆ กับพฤติกรรมของตัวแทนผู้รับมอบอำนาจของบริษัทกรุงเทพประกันภัย
             เรื่องนี้ได้ร้องเรียนไปถึงเลขาธิการ คปภ.( สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย) แล้วค่ะ ซึ่งในครั้งแรก
อยากให้เรื่องมีการแก้ไขเป็นขั้นเป็นตอน และอยู่ในระบบที่เกี่ยวข้องก่อน แต่ตอนนี้เข้าเดือนที่ 5 แล้วค่ะเรื่องก็ยังเงียบอยู่
เรื่องที่จะเล่านี้ขอให้เป็นตัวอย่างของการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความถูกต้อง และความเป็นธรรมของประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง ระหว่าง บ.
กรุงเทพประกันภัย และ คปภ. รวมถึง ศูนย์ซ่อมโตโยต้าเฟรนด์ชิป (เรื่องของศูนย์โตโยต้าจะเล่าภายหลังนะคะ) กับคุณแม่ดิฉันเองค่ะ
  
เรามาดูกันนะคะ ว่าประชาชนคนหนึ่ง ถ้าไม่ยอมรับข้อเสนอของบริษัทประกันภัยจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง 

ข้อเท็จจริงเบื้องต้น และความไม่ซื่อตรงของกรุงเทพประกันภัย   
        คุณแม่มีรถตู้ป้ายเหลืองวิ่งวินให้เช่าคันนึงค่ะ เป็นรถมือแรกโตโยต้าหลังคาสูง ทีนี้รถโดนรถที่ทำประกันไว้กับ กรุงเทพประกันภัย
เฉี่ยวชนค่ะ(ก.พ. 55) จริงๆ มีแผลเก่าเล็กน้อยอยู่แล้ว แต่ว่ารถยังวิ่งได้  ช่วงนั้นน้ำพึ่งลด รถตู้วิ่งได้ก้อให้เช่าวิ่งหาเงินส่งไฟแนนซ์ไปก่อน
พอเกิดการชนขึ้น  คุณแม่จึงให้ส่งให้อู่โตโยต้ามหานครประเมินความเสียหายเฉพาะตรงที่ชนครั้งหลัง     ทีนี้อู่บอกว่า การชนครั้งหลัง
รุนแรงมากกันชนหน้าด้านซ้ายพังเสียหายทำให้เปิด-ปิดประตูรถจะมีเสียงดังลั่นจนรับผู้โดยสารไม่ได้ เลยจำเป็นต้องส่งเข้าซ่อมอย่างเดียว
ค่ะ :(   อู่ประเมินความเสียหายจากการชนครั้งหลังนี้แล้วต้องซ่อมถึง 14 วัน แต่เนื่องจากเป็นช่วงหลังน้ำท่วมคิวซ่อมรถของอู่นี้นานมาก
ประมาณ 3 เดือน   คุณแม่จึงเปลี่ยนไปเข้าศูนย์โตโยต้าเฟรนด์ชิปแทน ซึ่งอู่นี้ก้อประเมินเวลาซ่อม 14 วันเช่นกันค่ะ ซึ่งพอซ่อมจริงๆ แล้ว
ต้องรออะไหล่อีก กินเวลาจริงๆกว่า 20 วันค่ะ 

การเจรจาไกล่เกลี่ย ณ คปภ. ครั้งที่ 1

        คุณแม่ในฐานะผู้เสียหาย  ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทกรุงเทพประกันภัยต่อคปภ. เพื่อเจรจาค่าซ่อมรถ
และค่าเสียประโยชน์ในวันที่ 29  ก.พ. 55  มีค่าเสียหาย 2 ส่วน
1. ค่าซ่อมรถ > ตกลงได้ 
2. ค่าเสียประโยชน์อันเกิดจากการไม่ได้ใช้รถ       
          > มีนายป. เป็นผู้รับมอบอำนาจในการเจรจาจากกรุงเทพประกันภัย  ซึ่งเมื่อพบหน้าคุณแม่ได้กล่าวว่า  “บริษัทมีนโยบายที่จะ
จ่ายเงินให้น้อยที่สุดหรือไม่ก็ไม่จ่ายเงินเลย    อย่าคิดหวังว่าจะได้เงินหมื่น หรือสองหมื่นก็ไม่มีให้แม้จะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม”

 (โอ้โห เค้ามีการมาพูดแบบนี้กับผู้เสียหายด้วยเหรอ) คุณแม่บอกว่าทำไมพูดแบบนี้ นี่กำลังสนใจจะทำประกันกับบริษัทฯ 
 เค้าตอบกลับมาว่า “ไม่ต้องสนใจ” (พูดจริงๆ นะ คนถูกชน ผู้เสียหายน่ะ เค้าไม่ได้เลือกจะมาเอาเงินจากคุณนะ รถมาชนรถเค้าเอง เค้า
ต้องมาเจอคุณพูดแบบนี้อีกเหรอ) > การเจรจาครั้งนี้หาข้อยุติไม่ได้

การเจรจาไกล่เกลี่ย ณ คปภ. ครั้งที่ 2

    ต่อมาทางคปภ. ได้นัดให้คุณแม่มารับเช็คค่าซ่อมรถ และเจรจาค่าเสียประโยชน์อีกครั้งในวันที่ 9 มีนาคม 2555 
ซึ่งก่อนเวลานัด คุณแม่ได้อ่านทบทวนคำชี้แจงของกรุงเทพประกันภัยอีกครั้งพบว่า  ในคำแถลงของบริษัทฯ ได้ระบุว่า  “ในวันที่ 29
กุมภาพันธ์ 2555   บริษัทฯได้สอบถามศูนย์โตโยต้าเฟรนส์ชิบแล้ว   ซึ่งศูนย์แจ้งว่า ศูนย์ฯใช้เวลาซ่อมรถตามรายละเอียดการซ่อมเป็น
เวลา 7 วัน”       
คุณแม่จึงได้ติดต่อไปยังศูนย์โตโยต้าเฟรนส์ชิบว่า  มีการแจ้งเรื่องดังกล่าวกับกรุงเทพประกันภัยหรือไม่   ซึ่งทางศูนย์ฯยืนยันว่า
ได้ตรวจสอบแล้วไม่มีผู้ใดให้ข้อมูลเช่นนี้   เท่ากับว่า   บริษัทฯแถลงและบันทึกข้อมูลอันเป็นเท็จต่อคปภ.  ใช่มั้ย? 
เพื่อหวังผลว่าจะเป็นข้อได้เปรียบและเป็นประโยชน์แก่บริษัทของตน นี่ทำโดยไม่คำนึงถึงหลักจรรยาบรรณ
และหลักกฎหมายบ้านเมืองเลยเหรอ
     
       คุณแม่จึงร้องเรียนเลขาธิการ คปภ. ค่ะ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และชี้ประเด็นเรื่องการประวิงเวลาการจ่ายค่าสินไหม
เพราะการเจรจาแต่ละครั้งบริษัทเสนอค่าเสียประโยชน์ต่ำมาก คือ  5,000 บาท รถตู้เช่าวิ่งไม่ได้ 20 กว่าวัน คุณแม่เรียกร้องค่าเช่าแค่ 14
วัน  ตามการประเมินครั้งแรก และไม่ได้เรียกร้องค่าเสื่อมราคาของตัวรถอะไรอีก  ทำให้สงสัยว่า ในฐานะตัวแทนของบริษัทฯ นายป.ใช้
หลักการใดในการคำนวนค่าเสียประโยชน์   หรือคิดเพียงแต่ว่าจะต้องทำตามนโยบายของบริษัทที่เคยกล่าวไว้ ตั้งแต่ต้น คือ จ่ายให้น้อย
ที่สุด
 นี่จึงถือเป็นการประวิงเวลาช่วยให้บริษัทฯ จ่ายเงินช้าที่สุด และน้อยที่สุดโดยไร้ซึ่งหลักจรรยาบรรณและจริยธรรมของผู้ประกอบ
ธุรกิจประกันภัย    เพียงหวังว่าให้ผู้เสียหายเกิดความอ่อนล้า    และสิ้นหวังในการเจรจา  จนต้องยอมรับเงินที่เสนอให้เท่านั้น
  
      สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกว่า บ.กรุงเทพประกันภัยนี้ ที่เคยจ่ายค่าโฆษณาเพื่อชวนเชื่อให้ประชาชนสนใจ  และเชื่อมั่นในตัวบริษัทฯ เป็น
จำนวนเงินหลักแสน หรือหลักล้าน  ควรแล้วหรือที่จะดำเนินนโยบายการจ่ายให้น้อยที่สุด (และยังมาบอกกับผู้เสียหายอีก)  
แล้วเอาเงินส่วนต่างที่ผู้เสียหาย ต้องยอมรับเพราะสิ้นหวังในการเจรจาไปจ่ายค่าโฆษณาแทน
ดังนั้น  เรื่องที่น่าคิด คือ การที่บริษัทประกัน
ภัยต่างๆมีสิทธิโฆษณาสวยหรูเรียกลูกค้าเพื่อหวังผลกำไร แต่กลับมีนโยบายกับคู่กรณีเช่นนี้  เป็นการเหมาะสมหรือไม่    เงินค่าโฆษณา
เหล่านั้นอาจจะสามารถจ่ายค่าเสียหายให้กับผู้เสียหายอย่างคุณแม่ดิฉันได้เป็นร้อยคนทีเดียว     ธุรกิจประกันภัยนั้น จรรยาบรรณของผู้
ประกอบธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญมาก   เพราะรถยนต์บางคันจ่ายค่าประกันภัยตลอดทั้งปี แต่ไม่ได้มีการเฉี่ยวชนและประสบเหตุเลยก็มีอยู่มาก
 และเงินส่วนนั่นถือเป็นกำไรของบริษัท  ต่างจากบริษัทประเภทอื่นที่รายได้เกิดจากขายสินค้าและบริการโดยตรง
 
ประโยคข้างต้นนี้ได้ถูกเขียนส่งไปเพื่อร้องเรียน บ. กรุงเทพประกันภัย ต่อเลขาธิการคปภ. แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านเลขาฯ จะติดต่อกลับมา เป็นเวลา 5 เดือนแล้วค่ะ : 

มีต่อค่ะ
 ความไม่เป็นธรรมและ การปฏิบัติหน้าที่ 2 มาตรฐานของพนักงาน คปภ.


แก้ไขเมื่อ 12 ก.ค. 55 22:18:12

จากคุณ : Mama IT
เขียนเมื่อ : 12 ก.ค. 55 19:16:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com