ถ้ามองในแง่สิ่งแวดล้อม EV คงไ่ม่ใช่คำตอบหากเรายังปั่นไฟด้วย FOSSIL source เป็นหลัก
รถไฟฟ้า เอาไฟที่มาจากการเผ่าถ่านหิน ก็ต้องมีการแปลงพลังงานจากความร้อน เป็นพลังงานไอน้ำ ขับเทอร์ไบน์ให้หมุนไปปั่นไฟผ่านหม้อแปลงไฟฟ้า ผ่านสายส่ง ผ่านsubstationผ่านสายส่งอีกที ผ่านหม้อแปลงแรงดันลงเข้าบ้าน ผ่านเครื่องแปลงแรงดันของรถ มาชาร์จไฟใส่แบต แปลงกลับเป็นพลังงานกลผ่านมอเตอร์ electro magnetic เรียกว่า Loss ไม่รู้เท่าไหร่ energy transfer ได้แค่ไม่ถึง 40%
ถ้าเอาน้ำมันเชื้อเพลิงแปลงเป็นพลังงานกลโดยเครื่องยนต์สันดาบ ยิ่งมีเครื่องยนต์ใหม่ ๆ พลังงานร่วมอีก อาจจะทำได้ถึง 50% หรือใกล้เคียงด้วยครับ
แต่ถ้าต้นกำเนิดพลังงานไฟฟ้ามาจากRenewable source มันจะน่าใช้มาก
มอเตอร์ไฟฟ้าแรงเยอะ กินไฟน้อย ราคายังแพงมากครับ แพงกว่าเครื่องยนต์เยอะ และไม่นับตัวเก็บพลังงานนั่นก็คือแบตเตอรรี่ ที่มีแต่จะแพงขึ้นทุกวัน ๆ ยิ่งใช้มากก็ยิ่งแพง เพราะต้องแย่งกัน
รถไฟฟ้ามันเลยตายไปแบบนั้น
ถ้าผมอยากขับรถจากกทม ไปเชียงใหม่ ด้วย Nissan Leaf ต่อให้มีที่ชาร์จไฟ ระหว่างทาง ตามปั๊ม ถามจริง ๆเหอะ คุณจะเอาเหรอ ? ชาร์จทีเป็นชั่วโมง วิ่งได้แค่ 2xx km
ถ้าจะให้วิ่งถึงเชียงใหม่แบบถังเดียวเหมือนน้ำมัน คงต้องเอาแบตหนักร่วม 1 ตันใส่ท้ายรถ ราคาคงเพิ่มอีกไม่รู้เท่าไหร่
สื่อบางอย่างทำออกมาให้เราดูไปงั้น ๆ เป็นความบันเทิงของคนทำ ไม่ไ้ด้มีสาระอะไรที่เอามาปฏิบัติได้นอกจากข้อโต้แย้งที่จะ่พิสูจน์ได้จริงง่ายกว่าครับ ใช้วิจารณญาน มองดูโลกความจริงข้างนอก ไมใช่แค่จอทีวี จะรู้ว่า เทคโนโลยีบนโลกมันไม่ได้โตเร็วขนาดนั้นครับ เรายังใช้ขดลวดพันรอบแกนสร้างสนามแม่เหล็ก เอาไฟฟ้ามาปั่นให้หมุนอยู่เลย ถ้าจะขับเคลื่อนรถ คงหนี Electro-mechanical transfer พื้นฐานนี้ไม่ได้ ซึ่งมันก็แทบจะสุด ๆ แล้วครับกับการแปลงพลังงานไฟฟ้าในปัจจุบัน
สิ่งที่ทุกคนทำได้ ไม่ใช่หาเทคโนโลยีครับ แต่เปลี่ยนพฤติกรรม การใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้รถสาธารณะ ใช้รถให้เหมาะกับความต้องการ ไม่ใช่ขับกระบะคันละ 1.5 ตัน วิ่งไปวิ่งมาัตัวเปล่า ๆสิ้นเปลืองไปวัน ๆ
รัฐบาลก็ต้องสนับสนุนการวางผังเมือง การขนส่ง การใช้พลังงานให้คุ้มค่าด้วย
...
จากคุณ |
:
Crayonz
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ส.ค. 55 14:09:44
A:180.180.234.185 X: TicketID:158059
|
|
|
|