ความคิดเห็นที่ 1 1. เรื่องของล้อ ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่ต้องการแต่งรถ ส่วนใหญ่จะเริ่มกันที่การเปลี่ยนล้อเป็นอันดับแรกๆ  แน่นอนว่าล้อนั้นมีหลายระดับหลายราคา  มีตั้งแต่ วงละ พันกว่าบาท  ไปจนถึงล้อละแสน (ชุดละสี่แสน)ก็ยังมีให้เห็นราคาที่ต่างกันนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวัสดุและวิธีการสร้างต่างกันนั่นเอง  แต่อย่างลืมว่าราคาที่เพิ่มมาเท่าตัวกับคุณภาพที่เพิ่มขึ้นมานั้นจะคุ้มค่าเงินในกระเป๋าหรือเปล่า  อันนี้ต้องตัดสินกันเอง แบ่งออกเป็นประเภทที่สำคัญๆในการเลือกซื้อก็น่าจะได้ประมาณนี้ครับ ล้อชิ้นเดียว : เป็นล้อในฝันสำหรับใครหลายๆคน  เพราะเป็นล้อที่ราคาแพง ส่วนใหญ่ล้อระดับ Hi-end จะเป็นล้อประเภทนี้ซะเกือบหมด มีคุณสมบัติที่ดีคือ เบา (อาจจะไม่เสมอไปขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต) และแข็งแรง ล้อประกอบ: หมายถึงล้อที่มีการประกอบขึ้นรูปขึ้นมา(งงมั๊ย)  คือวงล้อและจานจะแยกชิ้นส่วนกันได้ครับ  โดยจะยึดกันโดยหมุด(หรืออย่างอื่น)เพื่อนำแต่ละส่วนมายึดติดกันเพื่อเป็นล้อที่สมบูรณ์  บางคนจะเรียกล้อชนิดนี้ว่า ล้อสองชิ้น ล้อสามชิ้น เป็นต้น  ล้อประเภทนี้จะราคาถูกกว่าล้อชิ้นเดียว เนื่องจากการผลิตที่ค่อนข้างจะง่ายกว่า แต่ความแข็งแรงที่ได้อาจจะน้อยกว่า แต่ก็ไม่เห็นผลเท่าไหร่นะ(คหสต.) จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:20:06

ความคิดเห็นที่ 2 1.2 ค่าต่างๆที่ควรจะรู้ก่อนไปเลือกซื้อล้อ ค่าออฟเซ็ต(Offset,ET) : คือค่าระยะห่างระหว่างเส้นกึ่งกลางล้อ ไปจนถึง Hub(จุดยึดที่ดุมล้อ) ซึ่งออฟเซ็ตจะมีทั้งค่าฝั่ง + และฝั่ง -   (ดูรูปประกอบ) โดยปกติ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหน้า และ ขับเคลื่อนล้อหลัง จะมีค่าออฟเซ็ตที่ไม่เท่า ก่อนจะเปลี่ยนล้อ เราจึงจำเป็นต้องรู้ค่า Standard ของรถว่าแต่ดั้งแต่เดิมเนี่ย มีค่า ออฟเซ็ตเท่าไหร่ แล้วไอ้ที่เปลี่ยนใหม่เข้าไปเนี่ย มันเท่าไหร่ โดยปกติรถยนต์ทั่วๆไป (ขับหน้า) จะมีออฟไต่อยู่ราวๆ +35 ถึง +45  ซึ่งการเลือกเปลี่ยนล้อมาใส่ให้รถตัวเองนั่น จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับออฟเซ็ตให้มากๆเพราะว่า ถ้าเลือกออฟเซ็ตไม่ตรงกับ Standard แล้วจะเกิดปัญหาตามมาคือ  ล้ออาจจะติดซุ้มด้านนอก (ล้อยื่นออกมานอกตัวถัง) หรือ ล้ออาจจะติดซุ้มด้านใน (ล้อหุบเข้าด้านในมากเกินไป) ซึ่งเป็นปัญหาอันดับต้นๆที่หลายๆคนจะเจอ หน้ากว้างของล้อ : ค่านี้จะมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับค่า Offset เพราะจะบอกว่า ความกว้างของล้อนั้นมีขนาดเท่าไหร่ ซึ่งถ้าถ้า Offset ไม่สัมพันธ์กับความกว้างของล้อแล้วล่ะก็ อาจจะเกิดการติดซุ้มด้านนอกและด้านในก็ได้ครับ โชคดีที่เทคโนโลยีสมัยนี้ช่วยได้เยอะ  จึงมีผู้คิดค้น Offset calculator ให้เรามาใช้ได้แบบฟรีๆ ยังไงลองดูตามลิงค์กันได้เลยนะครับ http://www.1010tires.com/WheelOffsetCalculator.asp จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:21:09

ความคิดเห็นที่ 3 ค่า PCD หรือ PITCH CIRCLE DIAMETER  : คือค่าที่บ่งบอก "ระยะ" ของรูน็อตบนดุมล้อ  โดยทั่วไปส่วนใหญ่จะเขียนกันแบบง่ายๆ ดังนี้เช่น  4/100  จะหมายถึง ล้อชนิดนี้ มีรูน็อต 4 รู  และมี PCD 100 นั่นเอง  รถเก๋งส่วนใหญ่ก็คงจะหนีไม่พ้นล้อตามนี้เช่น 4/100 , 4/114.3 , 5/100,5/114.3 เป็นต้น  ค่าพวกนี้จะมีค่าตายตัวติดกับรถยนต์ของเราไปจนวันที่มันสิ้นชีพ(ยกเว้นเปลี่ยนดุมใหม่เป็นแบบอื่น)  ดังนั้นถ้าต้องการจะเปลี่ยนล้อแล้ว จำเป็นจะต้องจดจำ Spec ตรงนี้ให้ได้ นะครับ จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:22:02

ความคิดเห็นที่ 4 1.3 เลือกล้อมาใส่รถกันเถอะ เนื่องจากล้อมีหลายแบบมากมาย  จะเลือกอย่างไรดีว่าอันไหนเหมาะสมกับรถเรา อันไหนไม่เหมาะล่ะ ?? ถ้าคุณได้อ่าน คห. บนๆ เรื่อง Offset และ PCD มาแล้ว ก็พร้อมจะเลือกล้อใส่รถยนต์แล้วล่ะครับ  ทั้งนี้มีอีกเรื่องนึงที่อยากจะบอก  นั่นก็คือ Size ของล้อที่เราจะใส่นั่นเอง  ล้อปัจจุบันมีหลายไซส์มากๆ ไล่ไปกันตั้งแต่ 12" - 25" (อันนี้เท่าที่ผมเคยเจอนะ) อย่าลืมว่า ถ้า Standard ของรถคุณ เป็นล้อขอบ 15" (สมมติ) แล้วอยากอัพเป็น 18"  สิ่งที่คุณจะต้องคำนึงถึงก็คือ - ค่า Offset หน้ากว้างของล้อ   อย่างที่บอกไปใน คห.บนๆว่ามันมีความสัมพันธ์กัน  ดังนั้นถ้าจะให้ดี ควรศึกษาก่อนว่า ใส่แล้วจะมีผลทำให้ล้อมันล้นออกมานอกตัวถังรถ หรือหุบเข้าไป มากน้อยขนาดไหนด้วยนะครับ - ความสูงของตัวรถ  แน่ล่ะว่าถ้าเปลี่ยนล้อให้ Size ใหญ่โตมโหฬาร ความสูงของรถจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่สำหรับรถที่ล้อใหญ่ๆแล้วนั้น ยางที่ใช้ควบคู่กัน มักจะมี Series ต่ำๆเสมอ (จะอธิบายใน คห.ล่างๆต่อไปครับ) - ปัญหาของระบบเบรค  จากการที่ล้อมี Radius มากขึ้น ส่งผลให้แรง Torque มากขึ้นตาม(T=Fr) นั่นแปลว่า เบรคจะต้องรับภาระหนักขึ้นตามตัวไปด้วยนั่นเอง อีกอย่างคือ อัตราเร่งก็จะมีผลตามไปด้วย  ใส่ไปแล้วจะรู้สึกหน่วงๆหน่อย ทั้งเบรคทั้งเร่ง หน่วงหมดเลยครับ แพงหรือถูกดีกว่ากัน??? แน่ล่ะ ของแพงย่อม "หล่อ"กว่าและดีกว่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าของถูกจะไม่ดีเสมอไปนะครับ  บางแบรนด์ของไทย ตีตลาดไปไกลถึงต่างแดนได้เพราะคุณภาพที่ดี  เชื่อว่าหลายๆคนพอจะเดาออกนะว่ายี่ห้ออะไร (อิๆ) ตัวผมเองไม่เน้นว่าล้อจะแพงหรือถูกขนาดไหน แต่ขอให้ล้อนั้นเหมาะสมกับรถเราเป็นพอ  บางคนใส่ Volk Te37 ขอบ 18"  สี่วง ราคาก็ตกอยู่เฉียดๆแสน ในขณะที่อีกคนนึงใส่ Lenso ธรรมดาๆ ขอบ 18" เหมือนกัน แต่ราคาถูกกว่า Volk เกินครึ่ง  ทั้งนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจด้วยล่ะครับ  ตังค์ใครตังค์มัน  หากไม่เดือดร้อนและอยากได้ของแพงๆ ก็ใส่ไปเถอะครับ มันก็หล่อดี คุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างของล้อที่แพงๆคือจะเบา  เพราะใช้กรรมวิธีแบบ Forge ซึ่งจะทำให้วัสดุนั้นๆ มีความแข็งแรง แถมเบาอีกต่างหาก ด้วยการที่กรรมวิธีในการผลิตยุ่งยาก จึงทำให้ล้อแพงขึ้นเป็นธรรมดา รูปภาพ : Volk Te37  ล้อสวยๆในตำนาน แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 08:24:43 จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:23:11

ความคิดเห็นที่ 5 2. เรื่องของยาง ยางนี่ค่อนข้างสำคัญเลยนะครับสำหรับการแต่งรถ  ผมว่าหลายๆคนมองข้ามตรงจุดนี้ไปนะ  เห็นมัวแต่ไปโมเครื่องกันหกเจ็ดร้อยม้า แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องยางกันเล๊ยยยยย   ไม่รู้สิ ผมคิดแบบนี้นะ  เพราะว่าไม่ว่ารถคุณจะแรงเท่าไหร่ ม้ามากขนาดไหน สุดท้ายแล้วมันก็จะต้องถ่ายทอดลงพื้นโดยผ่านยางเสมอ ซึ่งถ้าม้าลงพื้นไม่เต็ม ก็ไม่รู้จะโมกันให้แรงกันทำไม จริงมั๊ย ?? 2.1 ขนาดของยาง มีตัวเลขหนึ่งชุดที่คุณสมควรจะรู้ครับ   สมมติตัวเลขหนึ่งขึ้นมาดังนี้   205/50/R15 85H 205 คือ ความกว้างของยาง ระยะจาก แก้มยางด้านใน ถึง แก้มยางด้านนอก  โดยมีหน่วยเป็น mm. ส่วนนี้จะต้องเลือกให้เหมาะสมกับขนาดหน้ากว้างของล้อด้วยครับ 50 คือ Series ของยาง(หรือความสูงของแก้มยางนั่นแหละ) ซึ่งอันที่จริงมีค่าเป็น % นะครับบ่งบอกว่า เจ้ายางตัวเนี่ยมีความหนาของยางเป็น 50% ของหน้ากว้าง 205 นั่นเองครับ  จากตัวอย่างข้างต้นสามารถคำนวณเป็น mm. ได้ว่า   (205x50)/100 ในที่นี้จะเท่ากับ 102.5 mm. ด้วยประการฉะนี้แล R คือ ลักษณะของยาง ในที่นี้คือ Radial 15 คือขนาดของยางครับ  ใช้กับล้อขนาด 15 นิ้ว 85 คือ ดัชนีการรับน้ำหนักต่อยางหนึ่งเส้น H คือ ขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ยางนี้สามารถทนได้   ทั้งนี้ยังมีเรื่องของตัวเลขที่บ่งบอกว่ายางผลิตเมื่อไหร่ด้วยนะครับ ลักษณะจะเป็นตัวเลข 4 หลัก  อยู่บนขอบยางนั่นแหละ  แต่ละยี่ห้อก็จะเหมือนกันคือจะเรียกลำดับตัวเลขกันประมาณนี้ครับ   _ _ _ _  โดยสองหลักแรก(นับจากทางด้านซ้าย) จะบ่งบอกว่าผลิต "สัปดาห์"ที่เท่าไหร่  ส่วนอีกสองหลักที่เหลือจะบอกว่าผลิตปีอะไรครับ  ยกตัวอย่างเช่น 0212  ก็จะได้ประมาณว่า ยางชุดนี้ผลิตเมื่อสัปดาห์ที่ 2 ในปี 2012  ประมาณนี้ครับ เพิ่มเติมให้นิดนึงเรื่องการดูยางว่าเก่าเก็บแล้วจะซื้อได้หรือไม่   ...  อันที่จริงมีหลายบทความเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกันนะครับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เท่าที่ผมพอจะทราบคือ สามารถเก็บไว้ได้(ในกรณีที่ยังไม่เคยใช้งาน) อย่างต่ำๆ 2 ปีครับโดยที่ยางจะไม่เสื่อมสภาพ  ดังนั้นอันนี้เป็นเทคนิคส่วนตัวเล็กๆน้อยๆว่า ยางใหม่ แต่ปีเก่า(ไม่เกิน2ปี) ราคาจะถูกกว่ายางที่ผลิตในปีปัจจุบัน ดังนั้นถ้าจะเลือกยางราคาถูกๆแล้วล่ะก็  เลือกปีเก่าหน่อยก็ได้ครับ จะได้เซฟเงิน  อ่อ อีกอย่างคือ ให้ซื้อยางกันตอนต้นปีนะครับ เพราะยางเก่าราคาจะลดลงมากว่าตอนเปิดตัวใหม่ๆซะอีก คำถามคือ แปลว่ายางใหม่เก่าเก็บ(อายุไม่เกิน2ปี) ก็จะมีสภาพเหมือนยางใหม่ทุกประการหรือไม่?  .....  ในกรณีที่เก็บอย่างถูกต้อง และยางนั้นๆไม่เคยใช้งานเลย อาจจะบอกได้ว่ายางจะมีสภาพไม่แตกต่างจากยางผลิตใหม่ๆครับ  ใช้งานได้เหมือนกัน ส่วนเรื่องบางท่านชอบซื้อยางปีใหม่ๆ  ประมาณว่ายางเพิ่งออกจากโรงงานมาได้หนึ่งอาทิตย์ แล้วเอามาใส่กับรถยนต์เลยเนี่ย  เรื่องนี้ผมเคยอ่านบทความของเมืองนอกเมื่อนานมาแล้ว(ประมาณสองปีที่ผ่านมา)  เค้าบอกว่าอาจจะไม่ดีอย่างที่คิดครับ เพราะว่ายางมันยังไม่เซ็ตตัว ประสิทธิภาพยังได้ไม่เต็มที่   ตรงจุดนี้จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ ใครมีข้อมูลมากกว่านี้เพิ่มเติมได้เลยนะครับ ยินดีเสมอ ที่มารูปภาพ:http://www.bridgestone.co.th/th/tire_safety/tire_safety_knowledge_detail.aspx?kid=13 จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:26:05

ความคิดเห็นที่ 6 2.2 ลักษณะของดอกยาง 1) ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง เป็นลักษณะของลายดอกยางที่จะสามารถสลับยางได้ในทุกตำแหน่งล้อของรถ ลักษณะดอกยางทั้ง 2 ด้าน จะสวนทิศทางกันหาก เป็นการขับขี่ทั่วไปไม่เน้นความเร็วสูง ดอกยางลักษณะนี้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างดีเยี่ยม 2) ดอกยางทิศทางแบบทิศทางเดียว (Uni-Direction) ลายของดอกยางจะถูกบังคับให้หมุนไปในทิศทางเดียวเท่านั้น โดยมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนอยู่ที่แก้มยางทั้ง 2 ด้าน ดังนั้น การสลับยางจะสลับได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น เช่น สลับด้านหน้าขวากับหลังขวา หรือด้านหน้าซ้ายกับหลังซ้ายเว้นแต่จะถอดตัว ยางออกจากกระทะล้อเดิมไปใส่กับกระทะล้อฝั่งตรงกันข้าม แต่ต้องจัดวางทิศทางการหมุนของดอกยางให้ถูกต้องเช่นเดิม มิเช่นนั้น แล้วจะทำให้ทิศทางการหมุนของยางเปลี่ยนกลับทิศทางทำให้ประสิทธิภาพของยางลดลง จุดเด่นของดอกยางแบบทิศทางเดียว คือ สามารถไล่น้ำออกจากหน้ายางได้รวดเร็วกว่าแบบ 2 ทิศทางป้องกันอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งจะทำให้ควบคุมบังคับ รถได้ลำบากและเกิดการลื่นไถลได้ง่าย ที่มา:http://www.bridgestone.co.th จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:27:24

ความคิดเห็นที่ 7 3 โช๊ค+สปริง สองอย่างนี้เกี่ยวเนื่องกัน ยังไงผมขออนุญาตยกไว้ในหัวข้อเดียวเลยแล้วกันนะครับ 3.1 โช๊คอัพ แยกให้ออกกันก่อนนะครับว่า โช๊คอัพ และสปริงนั้นจะแยกกันเสมอ  เมื่อรถเรามีแรงกระแทก กระเทือน กระทั้น ฯลฯ อันใดก็ตามเนื่องมาจากถนนหลวงเมืองไทย เจ้าโช๊คอัพและสปริงจะมาทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทกไว้ เพื่อการควบคุมรถได้อย่างมั่นคง อันที่จริงไม่ได้มีแค่นี้นะครับสำหรับช่วงล่างรถ มันยังมีจุดอื่นอีกพอสมควรเลยที่มีส่วนช่วยตรงจุดนี้  แต่เนื่องจากกระทู้นี้จะพูดเฉพาะเรื่องของแต่ง ดังนั้นขอลงลึกแค่เรื่องนี้ก็แล้วกันเนาะ อ้าวโม้มาซะยาว ถึงไหนแล้วล่ะเนี่ย  ???   - -"   โช๊คอัพ มีหน้าที่ หน่วงการสั่นของสปริง  ....  อ้าว งงล่ะสิ  ....   ภายในโช๊คอัพเนี่ย หลักๆจะมีแกน ลิ้น น้ำมัน แก๊ส กระบอก เป็นส่วนประกอบทั้งหมดครับ  นึกภาพตามนะ  เนื่องจากภายในกระบอกโช๊ค จะมีน้ำมัน(และ/หรือ แก๊ส ) อาศัยอยู่ภายใน  ซึ่งจะมีความหนืดแตกต่างกันไปตามแต่รุ่นและยี่ห้อของโช๊คอัพนั้นๆครับ   โช๊คบางรุ่น หนืดมาก โช๊คบางรุ่นหนืดน้อย  ถามว่าทำไมมันถึงไม่ทำให้ความหนืดมันเท่ากันทุกตัวล่ะ ?  ก็เพราะว่าลักษณะการใช้งานที่ต่างกันนั่นเองครับ  ในรถแข่ง จำเป็นต้องทำให้โช๊คแข็งกระด้าง เนื่องจากไม่ต้องการให้มีการโยนตัวของรถยนต์มากเกินไปเวลาเข้าโค้ง (แต่ก็ต้องแลกกับความแข็งกระด้างเวลาขับถนนไม่เรียบ) ในขณะที่รถบ้านธรรมดาๆ โช๊คอัพจะถูกเซ็ตมาให้อ่อนหน่อย มันจะมีผลโดยตรงเวลาขับถนนเมืองไทย  จะไม่แข็งกระด้างจนเกินจะอดทนครับ แต่ก็ต้องแลกกับการที่เวลาเข้าโค้งแรงๆ อาจจะเกิดอาการย้วย ยวบยาบ กันได้ โช๊คอัพแต่งบางรุ่นสามารถปรับระดับแข็งอ่อนได้ครับ บางรุ่น ปรับ 4 ระดับ 8 ระดับ 36 ระดับ (จะมากไปไหน)  เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานของคนขับ  แข็งมากแข็งน้อยก็สมารถปรับหมุนปรับกันได้ตามใจชอบกันเลย ส่วนเรื่องราคา แน่นอนว่าส่วนใหญ่ พวกที่ปรับแข็งอ่อนได้นี่จะราคาแพงกว่าอยู่แล้วครับ โช๊คอีกแบบที่หลายๆท่านสนใจกันก็คือพวกปรับสูงต่ำได้(สตรัท)  อันนี้เนี่ยก็มีหลายยี่ห้ออยู่เหมือนกันครับ แนะนำอย่างนี้ว่า หากอยากซื้อใส่และไม่มีปัญหาทางการเงิน ก็ซื้อไปเถอะครับ  แต่ถ้าต้องการจะเซฟเงินหน่อยเนี่ย ผมมองว่าควรจะคำนวณล้อที่เราจะใส่ก่อนว่าจะทำให้รถเราสูงหรือต่ำขึ้นเพียงไหน จะได้เลือกโช๊คอัพ(และสปริง)ได้ถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งาน  โดยที่ไม่ต้องไปเปลืองตังค์มากขึ้น  ส่วนจะเลือกยี่ห้อไหนเนี่ย ไม่มีคำแนะนำให้ได้สำหรับคำถามนี้ครับ เพราะว่าโช๊คอัพที่มียี่ห้อส่วนใหญ่ ความแข็งแรงของเกลียว(สตรัท) ก็จะใกล้เคียงกัน ดังนั้นไม่มีปัญหาเกลียวรูดแน่นอน ซึ่งจะแตกต่างกับสตรัทโอท็อปที่หลายๆท่านชอบไปทำกันครับ เดี๋ยวขอกระโดดข้ามเรื่องโช๊คอัพไปก่อนนะครับ จะมาอธิบายทีหลังว่าทำไมมันต้องทำงานควบคู่กับสปริงด้วย รูป: Ohlin DFV สนนราคาไม่แพง ไต่อยู่ราวๆ 3xxx USD หรือตีเป็นสกุลเงินสยามก็ราวๆ แสนกว่าบาทเท่านั้นเอง  - -" จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:29:50

ความคิดเห็นที่ 8 3.2 สปริง จาก คห. ข้างบนผมกล่าวเรื่องโช๊คอัพกันไปแล้ว  อันนี้เรามาต่อกันเรื่องสปริงดีกว่าครับ หน้าที่ขอสปริงคือรองรับแรงที่เกิดขึ้นนั่นเอง  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือรองรับการยุบตัวของรถยนต์นั่นแหละ  ซึ่งเจ้าสปริงเนี่ยมันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ครับ  ค่าต่างๆที่น่าจะเป็นประเด็นมีอยู่อย่างเดียวก็คือ ค่า K ของสปริง   ใครเรียนฟิสิกส์มาคงจะพอจำกันได้ว่า ค่า K คือค่าคงที่ของสปริงโดยมีหน่วยเป็น Kg/mm ,N/mm หรือ Lbs/in แล้วแต่เค้าจะกำหนดกันมา  ค่าเหล่านี้จะเขียนบอกอยู่บริเวณขดของสปริงนั่นแหละครับ ค่ามากก็คือแข็งมาก ค่าน้อยก็คือแข็งน้อยนั่นเองครับ สามารถแบ่งชนิดของสปริงได้ประมาณนี้ครับ - Linear : คือมีระยะห่างระหว่างขดที่เท่ากันตลอดความยาวของท่อนสปริง ซึ่งแบบนี้จะมีค่า K ค่าเดียวครับ - Step : แบบนี้สปริงท่อนเดียว จะมีระยะห่างระหว่างขดไม่เท่ากันครับ มีทั้งขดถี่ และก็ขดห่างๆ ในวงเดียวกัน ค่า K จะมี 2 ค่าครับ โดยเมื่อมีน้ำหนักมากดทับ (ยังไม่หนักมาก) เจ้าขดที่ถี่ๆ จะยุบตัวก่อนเพื่อนเลย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่น้ำหนักมากขึ้น เจ้าขดห่างๆ ก็จะเริ่มหดตัวลงบ้าง - Progressive : แบบนี้จะแปลกสุดคือ ระยะห่างมันจะไม่เท่ากันเลยครับ  ค่า K จะมีค่าตั้งแต่น้อย ไปจนถึงมาก ข้อดีคือ มันจะค่อยๆเพิ่มความแข็งขึ้นไปเรื่อยๆครับ ประมาณว่าขับช้าก็ชิลหน่อย แต่ถ้าจะเข้าโค้งความเร็วสูงๆก็ยังไหวครับ คำถามคือ แล้วจะเลือกค่า K เท่าไหร่ดีจึงเหมาะกับโช๊คอัพ? ตามปกติแล้ว โช๊คอัพนั้นจะมาเป็นเซ็ตพร้อมสปริงอยู่แล้วครับ ส่วนใหญ่ที่เค้าขายแยกเช่น โช๊คแยก สปริงแยกนั้น เพื่อนำมาเป็นอะไหล่ทดแทนของเดิมเท่านั้นเอง ดังนั้นหากจะเลือกโช๊คอัพและสปริงซักชุดแล้ว ควรจะเลือกที่มาพร้อมๆกันทั้งสี่ต้นจะดีที่สุดครับ เพราะทุกอย่างจะถูกออกแบบให้เหมาะสมต่อการใช้งานอยู่แล้ว   ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนเฉพาะสปริงให้แข็งขึ้นเพียงอย่างเดียว จะทำให้รถกระด้างและเด้งครับ เหมือนจะดีแต่มันไม่ดีครับ ฟันธง !  ส่วนถ้าจะเปลี่ยนโช๊คหรือนำโช๊คเดิมไปอัดน้ำมันให้มันแข็งๆแล้วล่ะก็ จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า โช๊คยืดไม่สุดได้เหมือนกันครับ (ประมาณว่าอยู่ดีๆรถเราก็เตี้ยลงเองซะงั้น) สรุป ในทางปฏิบัติแล้ว รถที่ช่วงล่างดี ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง  คนที่เล่นรถมานานจะทราบดีว่า รถยนต์ที่ขับสนุก ไม่ใช่รถที่มีแรงม้าสูงๆเท่านั้นครับ แต่ต้องเป็นรถที่มีช่วงล่างที่ดีด้วย การเข้าโค้ง เปลี่ยนเลน จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะเลยทีเดียวเชียวแหละ รูป: Tein Coilovers จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:31:43

ความคิดเห็นที่ 9 4. ค่ามุมล้อ ค่ามุมล้อต่างๆของรถยนต์ มีหลักๆก็เพียงแค่สามแบบสามสไตล์ครับ  แต่ละอย่างก็จะทำหน้าที่แตกต่างกันไป แนะนำให้ดูภาพประกอบไปด้วยนะครับ  สามารถอธิบายได้คร่าวๆดังนี้ครับ 4.1 Camber: ค่ามุมนี้คงเป็นที่รู้จักกันมากแน่นอนเลย เพราะเรามักจะปรับค่านี้กันเองครับ  โดยโช๊คอัพบางรุ่นจะสามารถปรับค่า Camber นี้ได้จากตรงเบ้าโช๊คเลย  โดยค่า Camber นั้นจะมีสองแบบครับคือ +กับ-  (ล้อแบะออกคือ +  ล้อหุบเข้า คือ - ) ทำหน้าที่ต้านการเอียงข้างของรถขณะเข้าโค้ง ลดรัศมีหมุนเลี้ยวลง เพื่อให้หมุนพวงมาลัยได้เบา อันเนื่องมาจากพื้นที่สัมผัสของยางกับถนนนั้นน้อยลง ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ อย่างเช่นถ้าล้อแบะ(แคมเบอร์เป็นลบ) เวลาขับรถตรงๆเนี่ย ยางจะไม่สัมผัสกับถนนแบบเต็มๆนะครับ(นึกภาพตาม) แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าโค้งเนี่ย ล้อด้านนอกโค้ง จะสัมผัสกับพื้นถนนแบบเต็มที่เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ด้วยการเซ็ตค่าแคมเบอร์ จะยังคงทำให้การหักเลี้ยวทำได้ง่ายเหมือนเดิม ไม่หนืด หมุนพวงมาลัยลื่นปรึ๊ด กันเลยทีเดียว 4.2 Caster: มีผลต่อการควบคุมรถในการเลี้ยวโค้งครับ โดย ค่า - (ดูภาพตาม) มันจะทำให้รถไม่ค่อยนิ่งครับ หรือเรียกกันง่ายๆว่าหน้าไว ไม่เหมาะกับรถบ้านๆทั่วไปด้วยประการทั้งปวง แต่มีผลดีกับรถแข่งเวลาเลี้ยวโค้งครับ พวงมาลัยมันจะตอบสนองดีกว่า เข้าโค้งได้เร็วและคมกว่า  ส่วน Caster + นั้น จะมีผลดีต่อความนิ่งของรถยนต์ โดยจะนิ่งกว่าครับ และไม่เสียกำลังของเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนไปด้านหน้ามากเท่าไหร่ 4.3 Toe : บางตำราเขียนไม่เหมือนกันนะครับ เค้าอาจจะแบ่ง Toe in กับ out แค่นั้น หรืออาจจะมีทั้ง Toe in +,- และ Toe out ผมขออธิบายตามที่เข้าใจแล้วกันนะครับ(จากรูปข้างล่าง ในส่วนของมุม Toe น่าจะเป็น Toe in +,- มากกว่า) เจ้ามุมนี้จะมีผลต่อมุมในการเลี้ยวโค้งครับ อธิบายคือ มุมกว้างหรือแคบของวงเลี้ยว ก็จะอยู่ที่ค่านี้น่ะแหละครับ  ครั้นจะเซ็ตค่ายังไงให้ถูกต้อง เห็นทีคงจะบอกไม่ได้ เพราะการแข่งรถแต่ละแบบก็จะเซ็ตต่างกันด้วย มุมนี้ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยจะไปยุ่งกับมัน แต่ถ้าจะให้เซ็ตกันจริงๆ(รถดริฟ) ก็ใส่มุม Toe เป็น + ครับ การเซ็ตติ้งค่ามุมล้อต่างๆของช่วงล่างรถยนต์นั้น ผมว่ามันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมากนะครับ กว่าจะเซ็ตกันลงตัว ถ้าทำกันจริงๆแล้ว กินเวลานานพอสมควรเลยล่ะ เพราะว่าการขับขี่ของแต่ละคนก็ต่างกัน ความชอบก็ต่างกัน ดังนั้นรถยนต์ ควรจะจูนเข้าหาคนขับขี่มากกว่าครับ( คหสต. ) จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:34:00

ความคิดเห็นที่ 10 ประโยนช์สุดๆ ๆ ๆ ...โหวตครับ จากคุณ : ถูกทิ้งที่รังสิต เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:36:17

ความคิดเห็นที่ 11 เดี๋ยวขอตัวไปนั่งเขียนต่อก่อนนะครับ  ยังเหลือเรื่องเบรค แล้วก็ บทสรุปของการใส่อะไหล่ช่วงล่างซิ่ง ไม่เกินเที่ยง น่าจะจบครับ  รอซักแป๊บเน้ออออ จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 08:38:40

ความคิดเห็นที่ 12 รบกวนช่วยอธิบาย เกี่ยวกับ คห 9  ด้วยนะครับ ว่า Negative Caster กับ Positive Caster ของ แต่ล่ะรูป มีข้อดียังไงครับ ขอความกรุณาด้วยนะครับ จากคุณ : kie001 (kook_ng) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 09:29:02

ความคิดเห็นที่ 13 เยี่ยมไปเลยครับ  ขอบคุณครับ จากคุณ : PaoChelsea เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 09:29:34

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ จากคุณ : พ่อ น้องทะเลน้อย เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 09:31:15

ความคิดเห็นที่ 15 #12 เอาสั้นๆง่ายๆ ได้ใจความแล้วกันนะครับ ในส่วนของมุม Caster เนี่ย จะมีผลโดยตรงต่อ "การบังคับเลี้ยว" โดยการเซ็ตช่วงล่างแต่ละแบบ ก็จะทำให้ได้อาการบังคับเลี้ยวที่ต่างกันครับโดย Negative Caster : จะทำให้หน้าไวและคม กล่าวคือ หักเลี้ยวนิดเดียวลดก็เป๋เลย ประมาณนั้นครับ อีกอย่างนึงคือ เวลาเราเลี้ยวไปแล้วเนี่ย พวงมาลัยมันจะคืนตัวเร็วครับ (ตามตำรานะ) Positive Caster : ตรงกันข้ามกับ Negative Caster เลยครับ  โดยการเซ็ตแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการเซ็ตอยู่ในรถยนต์ปกตินะ *แก้ไข* เบลอไปหน่อยครับ แก้เรียบร้อยแระ เพิ่มเติมเรื่องการเซ็ตติ้งนิดนึงครับ  เมื่อกี้ด้วยความฉงน เลยออกไปดูรถมาเพื่อความชัวร์ รถทั่วๆไปจะถูกเซ็ตไว้เป็น Positive นะครับ ส่วน Negative เนี่ย เดี๋ยวต้องไปดูที่อู่ก่อนว่าเซ็ตกันแบบไหน แต่เดาว่าน่าจะ Positive เหมือนกัน  ส่วนตัว ไม่ค่อยได้ไปยุ่งกับ Caster และ Toe เท่าไหร่ครับ ปกติจะปรับแต่ Camber อย่างเดียวเลย แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 10:03:19 จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 09:45:47

ความคิดเห็นที่ 16 ขออนุญาต ลงชื่อไว้อ่านวันหน้า ^^ จากคุณ : เขียนบน iPhone (killery) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 09:58:18

ความคิดเห็นที่ 17 มาเก็บเข้าคลังก่อน จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 10:33:07

ความคิดเห็นที่ 18 5. เบรค มาถึง เรื่องสุดท้ายสำหรับ Part 1 กันแล้วนะครับกับเรื่องเบรค ส่วนนี้ผมจะให้ความสำคัญในการเลือก Spec ของเบรคแล้วกันนะครับ  ...  เบรครถยนต์ปัจจุบันที่ใช้กันเยอะๆจะมีอยู่สองแบบคือ ดรัมเบรคและดิสก์เบรค ซึ่งในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะในหมวดดิสก์เบรคแต่เพียงอย่างเดียวแล้วกันนะครับ 5.1 ส่วนประกอบของเบรค จริงๆเบรคเนี่ยจะประกอบด้วยส่วนต่างๆอยู่ไม่กี่ส่วนหรอกครับ ถ้าให้ผมแบ่งเอาเฉพาะส่วนที่สำคัญๆอาจจะบอกได้ว่ามันจะมี  คาลิปเปอร์(ก้ามเบรค) ลูกสูบเบรค ผ้าเบรค จานเบรค ประมาณนี้ครับ ปล. ขออภัยที่ คห. บนๆ ตัวหนังสือเยอะไปหน่อย พอดีพิมพ์ใน Notepad ครับ จัดหน้าไม่ถูกเลย - -" จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 10:40:19

ความคิดเห็นที่ 19 5.2 ชนิดของcaliper เบรคซิ่งราคาแพงนั้นจะมีขั้นตอนในการผลิตที่ค่อนข้างยุ่งยากมากครับ  โดยจะใช้วิธีการ Forge ขึ้นรูป เพื่อจะได้ชิ้นงานที่มีคุณสมบัติ  เบา แข็งแรง ทนความร้อนได้ดี  แน่ล่ะ คุณสมบัติเหล่านี้ย่อมมีผลต่อการใช้งานโดยตรง เพราะเบรคนั้นจะต้องรับภาระหนัก(มาก) ยิ่งรถซิ่งแรงม้าเยอะๆแล้วล่ะก็ ต้องรับภาระหนัก(สุดๆ)กว่ารถเดิมๆเยอะพอตัวเลย ความใหญ่ของ Caliper นั้นจะแปรผันตรงกับขนาดและจำนวนของลูกสูบเบรค(pot)ครับ รูปภาพ: เบรคในฝัน Project mu ที่แสนจะแพง Y_Y จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 10:41:25

ความคิดเห็นที่ 20 5.3 ลูกสูบเบรค บางคนเริ่มงงว่าเบรคมันมีลูกสูบด้วยเหรอ ...  แรกๆผมก็เป็นครับ เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วยังเคยคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่า " กรูนึกว่าลูกสูบมันมีเฉพาะในเครื่องซะอีก" ลูกสูบ(ขออนุญาตเรียกว่าพอตแทนแล้วกันนะครับ)จะมีหลายไซส์หลายขนาดครับ  ที่เคยพบเจอในตลาดของแต่งรถและที่เคยผ่านๆมือมาน่าจะมีประมาณนี้ - 2 พอตเล็ก - 2 พอตใหญ่ - 4 พอตเล็ก - 4 พอตใหญ่ - 6 พอต - 8 พอต - 12 พอต  !!! ??   จากตัวเลข สังเกตุได้ว่าเป็นเลขคู่ทั้งหมด ก็เพราะว่า ลูกสูบจะถูกติดตั้งทั้งสองข้างของคาลิปเปอร์(มีกี่พอตก็หารสองเข้าไป)ประกบจานเบรคเอาไว้  เวลาเรากดเบรค น้ำมันเบรคจะดันลูกสูบทั้งสองด้านเลื่อนออกมาเข้าประกบกับจานเบรคโดยผ่านผ้าเบรคนั่นเองครับ รูปภาพ : เบรค 12 pot (เดาว่าล้อแม็กเล็กๆ ก้านไม่ยก น่าจะติดกับเบรคแหงๆ) จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 10:47:58

ความคิดเห็นที่ 21 5.4 ผ้าเบรค โถ่ อันนี้มันลูกเมียน้อยชัดๆ  คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยนึกถึงผ้าเบรคกันซักเท่าไหร่ ทั้งๆอันที่จริงมันเป็นตัวเสียดสีกับจานเลยนะ ตรงส่วนนี้ไม่มีอะไรจะแนะนำครับ เพราะแต่ละยี่ห้อเค้าก็อวดอ้างสรรพคุณกันอย่างละเอียดยิบ ผสมสารนู่นนี่นั่นเยอะแยะเต็มไปหมด  ....... อ่อ แต่จะบอกว่า ผ้าเบรคแต่ละแบบก็ต่างกันนะ คร่าวๆคือ Standard : อันนี้ก็บอกอยู่แล้วว่าเกรดทั่วๆไปครับ เน้นการใช้งานธรรมดาเป็นหลัก ผ้าเบรคจะหมดช้าหน่อย ฝุ่นจากการเบรคน้อยครับ Street racing : อันนี้เขียนประเภทเอาเอง อย่าไปอ้างอิงนะครับ  ตัวนี้ดีขึ้นมาหน่อยนึง คือสามารถทนความร้อนได้สูงกว่า Standard ราคาสูงขึ้นมาหน่อยนึง Racing : เป็นผ้าเบรคเกรดซิ่ง เรียกได้ว่าดีที่สุดในหมู่ผ้าเบรค สามารถทนความร้อนได้ดีมาก ป้องกันการ *Fade ของผ้าเบรค  เบรคนิ่งสนิทหยุดทุกสิ่งอย่าง มีอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น ผ้าเบรคจะหมดเร็วมากครับสำหรับชนิดนี้ ฝุ่นจากการเบรคจะเยอะเป็นพิเศษ ราคาแพง  ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าจานเบรคไม่ได้เป็นเนื้อคู่กับผ้าเบรคแล้วล่ะก็ อาจจะเกิดอาการผ้าเบรคกินจานเบรคได้ครับ *Fade- หมายถึงการเสื่อมสภาพของผ้าเบรค โดยจะสูญเสียแรงเสียดทานในการเบรคไป ทำให้เบรคไม่อยู่ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเกิดความร้อนในการเบรคมากเกินกว่าที่ผ้าเบรคจะรับได้จนเสื่อมสภาพสิ้นชีพไป รูปภาพ:จานเบรคที่มีความร้อนสูงมากจนเปลี่ยนสีไปเลยทีเดียว จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 10:51:26

ความคิดเห็นที่ 22 5.5 จานเบรค แบ่งออกเป็น 2 ประเภทครับ คือ - จานเบรคตัน หรือ Solid rotor : จานประเภทนี้พบเห็นได้ทั่วไป(หลายๆรุ่น) จานจะมีลักษณะเป็นเหล็กตันชิ้นเดียว  หน้าตาบ้านๆ เรียบๆ - จานเบรคมีรูระบายตรงกลาง หรือ Ventilated Rotor : จานประเภทนี้จะอยู่ในรถที่มีแรงม้าสูงหน่อย หรือมีน้ำหนักมาก (ไม่จำเป็นต้องรถแพงนะ ของผม Evo2 ก็เป็นสองชิ้นเนี่ยแหละ) โดยจะเป็นเหล็กสองชิ้นประกบกัน โดยมีช่องระบายอากาศตรงกลาง เพื่อระบายความร้อนออกมา(ไม่ใช่เอาอากาศเย็นเข้าไปนะ)   รูปภาพ : จานเบรคชนิด Ventilated Rotor แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 11:17:36 จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 11:13:48

ความคิดเห็นที่ 23 ขอเพิ่มเติมนิดหน่อย พอดีเพิ่งจะนึกขึ้นได้ครับ จานเบรคอีกประเภทนึงที่นิยมในปัจจุบันและราคาค่อนข้างแพงมากก็คือ จานเบรคแบบสองชิ้น   โดยจะแยกกันออกเป็นสองส่วนครับคือ Hub และ Disk โดย Hub เนี่ยจะเป็นจุดที่ติดอยู่กับดุมล้อรถยนต์ของเรา ส่วน Disk ก็คือจานเบรคก็อ้ายที่มันสัมผัสกับผ้าเบรคนั่นแหละ ข้อดีของจานเบรคชนิดนี้ก็คือ  มันจะสามารถให้ตัวได้เมื่อเบรคมีความร้อนสูงๆครับ เป็นผลให้ป้องกันจานคดได้ดีทีเดียวเชียว   ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ น้ำหนักเบา   ส่วนข้อเสียมีอยู่อย่างเดียวครับ ...........  แพงมว๊ากกกกก รูปภาพ: จานเบรคสองชิ้น ชนิด Ventilated Rotor จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 11:30:40

ความคิดเห็นที่ 24 ตรงส่วนนี้ผมเพิ่มเติมจากบทความที่เขียนเอาไว้ เนื่องจากมีเยอะมากที่คิดผิด เอาจานเบรคเดิมไปเจาะรูเซาะร่อง  จะบอกว่ามันไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่งเลยนะครับ  เพราะจานเดิมๆนั้น ไม่ได้ถูกออกแบบมา  เมื่อเจาะหรือเซาะร่องลงไป มันจะทำให้ความแข็งแรงของวัสดุลดลงครับ เป็นเรื่องของ Grain ในเหล็กนั่นแหละ เมื่อมันไม่แข็งแรงเท่าเดิม จะก่อให้เกิดอะไรขึ้นครับ ???  ...........   ก็จานเบรคแตกน่ะสิ  ...  อันนี้เตือนด้วยความหวังดีจริงๆนะครับ  อย่าทำเลย มันไม่คุ้มกับความเท่ห์หรอก จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 11:36:49

ความคิดเห็นที่ 25 เอาล่ะ จบแล้วนะครับสำหรับในส่วนของช่วงล่าง ครั้งต่อไปพบกันกับส่วนของเครื่องยนต์กันบ้าง ใครมีติดขัดเรื่องอะไรตรงไหน ลองโพสต์ไว้ในกระทู้ได้เลยนะครับ  เชื่อว่ามีเทพๆในห้องนี้พร้อมตอบให้อยู่แล้วครับ บ๊ายบาย จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 11:56:36

ความคิดเห็นที่ 26 เขาเก็บเข้า คลังกระทู้ยังไงครับ มีประโยช์มากเลยอันนี้ จากคุณ : สำราญ บานบุรี เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 12:03:37

ความคิดเห็นที่ 27 คลิกคำว่า เก็บเข้าคลังกระทู้ ตรง ความเห็นแรกของ จขกท เลยครับ  หรือ ตรงหัวกล่องที่เราจะพิมพ์ตอบก็มีครับ หรือคลิกนี่ก็ได้ครับ http://www.pantip.com/cafe/php/topicstock.php?id=12727320 จากคุณ : เด็กแคสติ้ง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 12:12:01

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณมากครับ............ ล้อเดิม กระทะเดิม ๆ ถ้าเราไม่หวัง เท่ห์ หรือ แต่งซิ่ง สมรรถนะ ความปลอดภัย แบบไหนดีกว่า ครับ ระหว่าง แต่ง กับ ไม่แต่งเลย..... เคยคิดอยากเปลี่ยนยาง ให้กว้างขึ้น แต่ห่วงเรื่อง ความปลอดภัยครับ ขอความรู้นิดหนึ่ง ขอบคุณครับ จากคุณ : น้าลีโอ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 12:21:13

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณคับ  ได้ความรู้เยอะเลย :) จากคุณ : ไม่บอกไม่รู้ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 12:34:15

ความคิดเห็นที่ 30 มาเจิมไว้ก่อน จากคุณ : โรแมนติคโครตพิศดาร เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 12:38:02

ความคิดเห็นที่ 31 เดี๋ยวมาอ่านใหม่ จากคุณ : Eastern Far away เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 12:39:07

ความคิดเห็นที่ 32 @น้าลีโอ ในเคสล้อกระทะเดิมๆนี่ ถ้าเราเปลี่ยนล้อแล้วน้ำหนักมันเบากว่าเดิม และ/หรือ หน้ากว้าง กว้างกว่าเดิม ก็ย่อมส่งผลถึงความปลอดภัยที่จะมีมากขึ้นครับ น้ำหนักเบาขึ้น มันจะลดแรงเฉื่อยครับ มีผลต่อความหน่วงในการเร่งและการเบรค สมรรถนะก็จะดีขึ้นครับ เรื่องขนาดความกว้างของล้อ หรือหน้ายางเพิ่มขึ้น ก็จะส่งผลเรื่อง แรงเสียดทานที่เพิ่มมากขึ้น ปลอดภัยขึ้นครับน้า แต่จะมากเท่าเงินที่ลงไปหรือเปล่านั้น ต้องมานั่งพิจารณากันอีกทีครับ ปล ผมขาย d70+35mm 1.8g แล้วไปเล่น j1 ดีมั๊ยครับน้า ปล2 เอ่อ........ นี่มันไม่ใช่ห้องกล้องนี่หน่า อิอิ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 12:45:32 จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 12:41:29

ความคิดเห็นที่ 33 ขอชื่นชมท่าน จขกท. มากๆครับ เป็นประโยชน์มากเลยทีเดียวครับ ถึงจะไม่ได้แต่งรถ ก็ถือเป็นความรู้ทีดีจริงๆครับ จากคุณ : Camacrillo เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 12:56:15

ความคิดเห็นที่ 34 เจ๋งมากครับกระทู้นี้ ชอบๆๆ จากคุณ : JIRATH เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 13:05:43

ความคิดเห็นที่ 35 ยกนิ้วให้เจ้าของกระทู้เลยครับ สำหรับข้อมูลดีๆ แบบนี้ สำหรับคำถามน้าลีโอ ในความเห็น 28 (ใช่น้าลีโอที่เล่นห้องศุภชลาศัยหรือเปล่าครับ) อันนี้ ขออนุญาตช่วยตอบแทนเจ้าของกระทู้แล้วกัน แต่ก็น่าจะมีประโยชน์ถึงคนอื่นด้วยเช่นกัน (ทั้งหมดความเห็นส่วนตัวนะครับ ถูกผิดก็ทักหรือเสริมกันได้ครับ) เรื่องรถแต่งหรือแบบเดิมๆ อันไหนปลอดภัยกว่ากัน ผมมองแบบนี้นะครับ ถ้าแต่งแต่ใส่ของมาตราฐานต่ำ หรือ ประสิทธิภาพต่ำ ผมว่าอันตรายกว่าแบบเดิมๆ อีกนะครับ ที่ผมใช้คำว่า ประสิทธิภาพ ไม่ได้กำหนดที่ราคา ก็เพราะของถูกที่ดีกว่าของแพงก็มี อีกมุมหนึ่งของแพงที่ดีกว่าของถูก นั่นก็มีเช่นกัน แต่จะให้พูดประเด็นนี้แบบละเอียดมันก็กว้างและยาวเกินไป ก็เลยขอสรุปแบบนี้แล้วกันว่า รถเดิมๆ ปลอดภัยได้แน่นอนครับ ถ้าเราดูแลได้ถูกต้องและใช้ตามอายุการใช้งาน เช่น เบรคเปลี่ยนเมื่อหมดสภาพ ยางสลับตามกำหนดและเปลี่ยนเมื่อหมดสภาพ น้ำมันเบรคดูแลไม่พร่อง เชคลมยางให้อยู่ระดับเหมาะสม รวมถึงดูแลด้านอื่นๆ ตามปกติ แค่นี้ก็ปลอดภัยแล้วครับ ส่วนกรณีรถแต่งแล้วปลอดภัยยิ่งขึ้นไหม อันนี้ ก็ขอตอบแล้วกันว่า ปลอดภัยขึ้นครับ ถ้าใช้ของที่มีประสิทธิภาพ เช่น เบรคได้ดีขึ้นกว่าระบบเดิม เกาะถนนมากขึ้น เป็นต้น แต่ลักษณะที่แต่งแล้วอาจแย่กว่าแบบเดิมๆ อีก ยกตัวอย่างเช่น อยากหล่อยอมจ่ายเงินซื้อล็อแม็กซะราคาแพง แต่ดันใส่ยางมือสองดอกแทบไม่เหลือ ซื้อล้อแม็กมาใส่แล้ว รถโด่งไม่สวย แต่ไม่เหลือเงินจะซื้อโช็คแต่งหรือสปริงโหลด ก็เลือกใช้วิธีง่ายสุด อย่างตัดสปริง หรือ บางคนวางเครื่องใหม่เพราะอยากแรงขึ้นกว่าของเดิม แต่ไม่ยอมทำระบบช่วงล่างใหม่ เพื่อรับความแรงที่สูงขึ้น อะไรแบบนี้แหละ ที่ผมว่าแต่งแล้วอันตรายกว่าใช้แบบเดิมๆ อีก สำหรับตัวผมเองก็เป็นคนชอบรถเหมือนกัน ก็มีแต่งบ้างเล็กน้อยพอประมาณ ทยอยๆ ไล่ทำไล่เก็บกันไป แต่ถ้าเกี่ยวระบบความปลอดภัย เปลี่ยนทันทีเมื่อถึงเวลา เพราะผมคิดว่า ยอมหล่อช้าดีกว่าหล่อเร็วแต่เสี่ยงอุบัติเหตุ เพราะซ่อมกันทีแพงกว่าค่าซื้อของเยอะครับ จากคุณ : Ai_Benz เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 13:23:37

ความคิดเห็นที่ 36 ขอเสริมเรื่องล้อหน่อยนะครับ กรรมวิธีการผลิตจะแปรผันโดยตรงกับราคาล้อ 1. ล้อแบบ Cast คือการเทอลูมินัมอัลลอยเหลวลงในแม่พิมพ์เพื่อให้ได้รูปทรงตามต้องการ จะมีเทคโนโลยีหลายแบบ ทั้งแบบปกติและเหวี่ยงหนีศูนย์กลางเพื่อให้มวลของอัลลอยแน่นและได้ความแข็งแรง ล้อทั่วๆไปที่ขายๆกันจะใช้การผลิตแบบนี้ ข้อดี: - มีลวดลายมากมาย - ราคาไม่แพง - ซ่อมได้ง่าย ข้อเสีย - ความแข็งแรงค่อนข้างจำกัด - น้ำหนักมาก 2. ล้อแบบ Forged จะเป็นการตีขึ้นรูปโดยใช้น้ำหนักสูงกดจนได้รูปแบบที่ต้องการ น้ำหนักที่กดเพื่อฟอร์มตัวอาจถึงระดับพันตัน ล้อที่ได้จะแข็งแรงมากเพราะโมเลกุลโดนบีบอัดจนแน่น ข้อดี - มีความแข็งแรงสูง - น้ำหนักเบา ข้อเสีย - ราคาแพง - ซ่อมแซมยาก คุณภาพอาจไม่เหมือนเดิม ราคาล้อ Forged ที่ขายในไทยจะอยู่ที่ระดับ เกือบแสนถึงหลายแสน ในขณะที่ล้อ Cast ราคาอยู่ระดับหลักพันจนถึงแสนต้นๆ ล้อ Forged ส่วนใหญ่จะเป็นแบบหลายชิ้น Custom made คือเลือก Offset เลือก PCD ได้ โดยถ้าดูดีๆ จะพบว่าส่วนใหญ่จะ Forged แค่ตัวชิ้นกลาง มีที่ Forged ตัวขอบด้วยซึ่งราคาจะสูงมาก ส่วน Forged ชิ้นเดียวเพิ่งเริ่มมีแพร่หลายไม่กี่ปีมานี้ สุดยอดของล้อคือล้อ Forged ที่ใช้วัสดุคือ Magnesium Alloy น้ำหนักเบา แข็งแรง แต่ต้องแลกมาด้วยค่าตัวราคาหลายแสน โดยมากใช้ในรถแข่ง ส่วนล้อ Forged ที่ขายโดยทั่วไปจะเป็นอลูมินัมอัลลอย จากคุณ : coolknott เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 13:28:48

ความคิดเห็นที่ 37 เก็บเข้าคลังเรียบร้อยโรงเรียนพันทิพย์ แล้วครับ จากคุณ : nattabird เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 13:34:01

ความคิดเห็นที่ 38 สำหรับคนที่อยากจะเปลี่ยนล้อให้ใหญ่ขึ้นแต่ไม่รู้ว่าควรจะใส่ยาง Size ไหน เชิญที่ http://www.1010tires.com/tiresizecalculator.asp ใส่ขนาดยางเดิมของเราที่ช่อง Vehicle Stock Tire Size แล้วใส่ขนาดยางใหม่ในช่องข้างล่าง ลองใส่ดูหลายๆ Size แล้วดูว่าเส้นรอบวง (Overall Diameter) ใหม่ไม่ควรเพิ่มเกินกว่า 3% อย่าลืมดูด้วยว่าขนาดหน้ากว้างของยางใหม่นั้น Match กับความกว้างของล้อหรือไม่ซึ่งจะมีบอกเป็นตารางหลังจากใส่ข้อมูลครบแล้ว จากคุณ : coolknott เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 13:38:03

ความคิดเห็นที่ 39 เก็บข้อมูล ขอบคุณครับ จากคุณ : mairuna เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 13:39:04

ความคิดเห็นที่ 40 Cool จากคุณ : rambleszaa เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 13:57:37

ความคิดเห็นที่ 41 สปริงของรถยุโรป บางรุ่นจะเปนแบบถังเบียร์ คือตรงกลางป่อง  ตรงปลายจะแคบเข้า เช่นของ Opel Corsa ซึ่งผู้รู้ท่านว่า  จะทรงตัวได้ดีกว่า แล้วล้อหลังของรถฝั่งยุโรปจะแบะออก เพื่อตอนเข้าโค้งแรงๆ มีแรงเหวี่ยงเยอะ จะไม่หลุดโค้ง อันนี้จริงแท้แน่นอน   แต่ต้องสลับยางบ่อยๆ เพราะยางจะกินไม่เท่ากัน จากคุณ : โอ๊ะเอ๊ะ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 14:05:40

ความคิดเห็นที่ 42 แจ่ม มาก เลย ครับ ขอบ คุณ มากก จากคุณ : หมอนน้อย (หมอนน้อย) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 14:22:40

ความคิดเห็นที่ 43 ส่วนตัวผม เวลาผมแต่งรถ ผมจะโม ช่วงล่างเป็นอันดับแรก (มันสำคัญมาก) โช๊คสตัท 1 ชุด เปลี่ยนกันโคลงหลัง เปลี่ยนตัวปรับมุมล้อหลัง และผ้าเบรคใหม่ แค่นี้สำหรับช่วงล่างรถผม  (ไอพวกสารพัดค้ำ ผมไม่ใส่เลย ไม่ชอบ) แค่นี้ก้หนึบขี้แตกแล้ว ส่วนพวก แอร์โร่พาร์ท อันนั้น ไว้โมทีหลัง หุหุหุ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 14:30:52 จากคุณ : TVIC_1408 เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 14:25:16

ความคิดเห็นที่ 44 ล้อแท้ นอกจากมีข้อดีเรื่อง ไม่กินน้ำมัน เบา สวย แข็งแรง ยังมีข้อดีเรื่องลด unsprung weight ด้วยนะครับ unsprung น้อย ผู้โดยสาร จะนั่งสบายกว่า การขับขี่นุ่มนวลกว่า ถ้านึกภาพไม่ออกให้ลองนึกดูว่าตัวคุณ เป็นตัวถังรถ และมีสปริงยึดกับก้อนเหล็กก้อนนึง ก้อนเหล็กยิ่งหนัก เจอหลุมเจอ อะไร ตัวถังรถ ยิ่งได้รับแรงกระทบกระเทือนเยอะ แต่ถ้ามันเบาอย่างปุยนุ่น ตัวถังรถแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย และยังมีเรื่องการเข้าโค้งฯลฯ จากคุณ : เฮียเรียกพี่ เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 14:56:10

ความคิดเห็นที่ 45 ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม  เจิมได้ตามสะดวกเลยนะครับ  จขกท. จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากพี่ๆน้าๆ หลายๆท่านจะใส่ความรู้เพิ่มเติม  นอกจากคนอื่นจะได้อ่านแล้ว ผมจะได้อ่านด้วยเหมือนกันครับ  อิๆ เพิ่มเติม - ผมลืมเรื่องลมยางกับน็อตล้อแฮะ   - -" แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 15:01:09 จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 14:57:30

ความคิดเห็นที่ 46 แต่งรถต้องมีเรื่องตุ๊กตาหน้ารถด้วยครับ จากคุณ : ptboy เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 15:44:25

ความคิดเห็นที่ 47 กำลังอยากเริ่มแต่งรถอยู่พอดีเลยค่ะ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง จากคุณ : ผีหลายบทบาท เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 16:44:54

ความคิดเห็นที่ 48 น็อตล้อแต่งนี่เบากว่าของจากโรงงานเยอะมาก เบากว่าประมาณ 3-4 เท่า คุณสมบัติก็เกี่ยวเนื่องกับด้านน้ำหนัก ช่วยในด้านการบังคับควบคุมให้ดีขึ้น ส่วนเสริมก็ความสวยงาม แล้วก็ช่วยกันพวกขโมยกระจอกที่จะมาขโมยล้อได้ในระดับหนึ่ง แต่ราคาก็แรงกว่าเยอะมาก ของก๊อปก็ถูกหน่อย แต่ก็ต้องระวังด้านความทนทาน เกลียวรูดเกลียวหวานง่าย อีกอันที่ล้อแต่งแบรนด์(แท้) ต่างจากล้อโรงงาน กับแมกก็อป ก็คือ จุ๊บลมยาง จะให้มาเป็นอลูมิเนี่ยม (ตามรูป) http://imageshack.us/a/img29/1313/sam6041.jpg ข้อดีไม่เกิดการรั่วซึมของลมง่าย ทนทานกว่าแบบที่เป็นยาง เพราะบางครั้งต้องเจอความร้อน ทำให้ยางเปื่อยเสื่อมง่าย พอรั่วตรงนี้ปะไม่ได้ อันไม่กี่บาทก็จริง แต่พอยางแบนเราขับไปมันบดยางจนโครงสร้างยางเสียไปหมด ก็ต้องเปลี่ยนยางไปด้วย ล้อก๊อปก็หามาใส่เปลี่ยนได้ มั่นใจขึ้นเยอะ ส่วนความสำคัญของลมยาง ก็เกี่ยวข้องกับหน้าสัมผัสของยาง ลมยางที่เหมาะสมก็จะทำให้หน้ายางมีผิวสัมผัสที่ดีที่สุด ลมยางน้อย ผิวสัมผัสก็จะไปอยู่ตรงขอบๆ ของหน้ายาง ลมยางมาก ผิวสัมผัสก็จะไปอยู่ตรงกลาง ของหน้ายาง ดังนั้นต้องเติมลมยางให้พอดี เพื่อให้ได้หน้าสัมผัสที่เต็มๆหน้ายางกับพื้นถนน และลมยางที่น้อยไปมีโอกาสทำให้เกิดการระเบิดของยางในกรณีที่วิ่งทางไกลความเร็วสูง เพราะ ลมยางอ่อน ตัวยางจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ง่าย พอล้อหมุนเร็วๆ ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างต่อเนื่อง จึงความร้อนสูง เมื่อเกิดความร้อน ก็ทำให้เนื้อยางมีความอ่อนแอลง เกิดการฉีกขาด หรือแตกง่าย แถมกินน้ำมันมากขึ้น ถ้าเติมแข็งเกิน ข้อเสียก็ทำให้เกิดความกระด้าง และก็ถ้าวิ่งทับผ่านวัตถุที่คม หรือกระแทกแรงๆ ก็จะระเบิดได้ง่าย (เหมือนลูกโป่ง) ส่วนใหญ่จะเป็นพวกรถบรรทุกหนักๆ ที่เติมเกินกันเยอะ ลมยางไนโตรเจน จะว่าดีก็ดี แต่จะเห็นผลชัดๆก็ตอนใช้ความเร็วสูง ยางมีควาามร้อนสูง ถ้าวิ่งกันธรรมดา เติมลมธรรรมดาก็พอแล้ว จากคุณ : ตามนั้น เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 16:58:56 A:61.90.97.153 X: TicketID:221435

ความคิดเห็นที่ 49 โอ้ ความรู้ทั้งนั้น ขอบคุณมากครับ จากคุณ : lnwraijin เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 18:48:04

ความคิดเห็นที่ 50 โห รักกระทู้นี้อ่ะ นานนานนนนนนนทีจะได้ความรู้จากกระทู้แบบนี้ โหวตรัวๆ จากคุณ : อาซิ่ม เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 20:37:35

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้นะครับ  หวังว่าคงได้รับความรู้ไปไม่มากก็น้อย ผมจะขออนุญาตเข้ามาอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เห็นภาพจริงๆกับเรื่องมุมล้อกัน ตามภาพข้างล่างนี้ จะสังเกตุเห็นว่าล้อหน้า "แบะ"  เราอาจจะอธิบายได้คร่าวๆว่า นี่คืออาการของ มุม Camber เป็น ลบครับ   ลองดูสิ เปรียบเทียบล้อหน้ากับล้อหลัง ... สังเกตุเห็นอะไรบ้างมั๊ยครับ  อาการ "แบะ" ไม่เท่ากัน ดังนั้น Camber ล้อหน้า และล้อหลัง ของรถคันนี้ไม่เท่ากันครับ อีกทั้งเมื่อ Camber เป็น ลบ  เห็นมั๊ยครับว่า เวลารถอยู่ในภาวะทรงตัว ไม่ได้โยนซ้ายโยนขวา พื้นที่ผิวสัมผัสของยางรถยนต์กับถนนนั้น จะไม่เต็ม แคมเบอร์ลบ ยางด้านในจะหมดเร็วกว่า ลองดูรูปประกอบแล้วกันนะครับ จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 20:55:54

ความคิดเห็นที่ 52 อันนี้ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ จากการปรับค่า มุม Toe เพื่อปรับวงเลี้ยวครับ ขอบคุณรูปภาพจากพี่เอกนะครับ ขอจิ๊กมาใช้หน่อย อิๆ จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:05:45

ความคิดเห็นที่ 53 อันนี้ตัวอย่างล้อ Offset ลึกๆหน่อย Hub ที่ยืดกับดุมล้อ ลึกเข้าไปเกินกว่า Center ของล้ออีก วงนี้น่าจะ Off set - เยอะพอสมควรเลยทีเดียวเชียว (จำได้มั๊ยครับใน คห.บนๆว่า Offset มีตั้งแต่ + , 0 , -  ) จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:16:20

ความคิดเห็นที่ 54 ส่วนคู่นี้ Offset 0   เห็นถึงความแตกต่างมัียครับ ปล. รูป 53-54 เป็นล้อ กล้วย Watanabe แบบชิ้นเดียว  ราคาแพงระยับ  ขา Retro คงจะเป็นล้อในฝันแน่ๆ จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:19:34

ความคิดเห็นที่ 55 น่าไปเขียนหนังสือเนอะ ๆ อ่านเข้าใจง่ายดีค่ะ ขอบคุณค่ะ เซฟคำถามโง่ ๆ เราไปได้หลายคำถามเลยแฮะ จากคุณ : mangek (mangek) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:24:31

ความคิดเห็นที่ 56 ภาพนี้ เป็นหน้าตัด ของจานเบรคทั้งแบบเซาะร่อง และ เจาะรู  น่าจะเป็นเหตุผลด้านการออกแบบทางวิศวกรรม เลยทำให้มันราคาแพง  ดูจากภาพ เดาได้ว่า คงระบายความร้อนได้ดี แถมน้ำหนักเบา โดยไม่สูญเสียความแข็งแรงเลย จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:31:59

ความคิดเห็นที่ 57 เรื่องล้อยังขาดไปเรื่องนึง คือ center bore http://www.justforwheels.com/hub-centric-rings.jsp จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:32:00

ความคิดเห็นที่ 58 ความรู้ทั้งน้านนน อ่านๆๆ จากคุณ : silverstein เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:35:49

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณสำหรับ บทความดีๆ ครับ ^^ จากคุณ : kakboon เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:45:38

ความคิดเห็นที่ 60 #57  จัดให้ครับ ... คห.นี้ พิมพ์สด โปรดทำใจนิดนึงนะ - -" ปลอกกันสั่นของล้อ เมื่อเวลาเราเปลี่ยนล้อมาแล้วเนี่ย มันจะมีเหมือนรูโหว่ๆ อยู่ตรงกลางของดุมล้อครับ บางรุ่นอาจจะโหว่มากหน่อย บางรุ่นอาจจะโหว่น้อยหน่อย (แนะนำให้ดูรูป คห.19 ตาม ตรงดุมตรงกลางล้อ) ซึ่งเจ้ารูเนี่ยส่วนใหญ่มันมักจะไม่พอดีกับดุมล้อของเราหรอกครับ จำเป็นจะต้องนำปลอกกันสั่นใส่เข้าไป เพื่อให้รูโหว่ๆที่ล้อ ล็อกได้พอดีกับตัวดุม   เค้า(ใครก็ไม่รู้)ส่วนใหญ่บอกว่าถ้าไม่ใส่ปลอกกันสั่นแล้วล้อจะสั่น .... จากการใช้งานจริงผมมองว่าก็พอจะรู้สึกได้เหมือนกันนะว่ามันสั่น  แต่ก็สั่นเพียงเล็กน้อย ที่ความเร็วสูงๆเท่านั้น แต่ถ้าหากต้องการความเป๊ะ เซฟทุกจุด  จะใส่เข้าไปก็ได้ครับ  ข้อมูลภาคภาษาอังกฤษ ก็ตาม คห.57 เลยครับ  บางท่านอาจจะนึกไม่ออกว่ามันใส่กันตรงไหน ลองดูภาพข้างล่างดูก็ได้ครับ น่าจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น(มั๊ย?) จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 21:47:26

ความคิดเห็นที่ 61 ทำอะไรทำจริงครับ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 55 22:30:16 จากคุณ : หมอฮิล เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 22:29:33

ความคิดเห็นที่ 62 ช่วยๆกันครับ  เห็นว่าขาดไปเลยมาช่วยเติมให้หน่อย ส่วนเครื่อง center bore นี่ต้องขยายความนิดนึง รูตรงนี้ที่ล้อมันต้องพอดีกับบ่าที่ดุม เพราะรูตัวนี้มันเป็นตัวบังคับให้ล้อนั้นได้ศูนย์กับดุม และตัวบ่าตรงนี้มันก็จะเป็นตัวรับแรงจากล้อด้วยอีกทาง พวกล้อแต่ง มักจะทำรูที่ว่านี้ให้ใหญ่ไว้ก่อน  ก็เพื่อที่จะใส่กับรถได้หลายๆรุ่น รูใหญ่ไปก็ใส่  ปลอกเสริมเอา แต่ถ้าทำรูเล็กไป  มันจะใส่ไม่ได้  ถ้าอยากใส่จริงๆคงต้องควานล้อออกสถานเดียว จากคุณ : ton99 เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 22:33:23

ความคิดเห็นที่ 63 สุดยอมมากคับ ของคุณมาก จากคุณ : One X (stlive) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 55 23:18:28

ความคิดเห็นที่ 64 เรื่องช่วงล่างนี้สำคัญจริงๆ น่ะครับ ผมคนหนึ่งที่แต่งรถมามากและทำรถกับอู่ๆหนึ่งมาตลอด 8-9ปี แกเป็นคนปากไว้แต่จริงใจ ถึงเรามีเงินแค่ไหน แกจะดูการขับของเราว่ามีประสบการณ์มากขนาดไหน ใจร้อนไหมขับสไตร์ไหน มีอยู่วันหนึ่งมีเด็กมีเงินมาให้แกทำรถให้ บอกว่าอยากได้600ม้า++แต่แกดูแล้วว่าขับรถได้ห่วยมาก แกก็ไม่ทำให้ แกให้ไปเรียนขับรถเพิ่มก่อนค่อยว่ากัน และมีสิ่งหนึ่งที่แกจะให้ทุกคนในอู่ที่่มา ทำรถกับแกทำคือช่วงล่างทั้งหมด อย่างเบรกช่วงแรกที่ทำรถผมยังไม่อยากวางเครื่องเทอร์โบ แต่แกกับให้ผมใส่เบรกapทั้งชุด โช๊ค โอลิน บูชทั้งคันเป็นยูรีเทน แทบกันโคลงหน้าหลังแต่ง ซึ่งมันทรมานมากและเดินจำเป็น ผมก็ถามว่าทำไหมต้อง ใส่เยอะขนาดนี้อะ ทำไม่เก็บเงินไว้ทำเครื่องผมบ้าง เพราะของที่ใส่เข้ามามันราคาเกือบๆสองแสน กับช่วงล่างที่เป็นรถ na แต่แกบอกมาคำหนี่งว่า นิสัยผมมันชอบยัดในโค้ง คือก่อนเข้าโค้งผมจะชะลอรถ แล้วพอเริ่มอยู่ในโค้งผมจะเดินคันเร่ง อาการนี้ผมไม่เคยทราบจน วันที่ขับรถเพื่อน รถมันหมุนกลางโค้งเลยครับ ถึงได้รู้ว่ามันสำคัญมากกับการทำช่วงล่าง มีทักษะการขับรถมากน้อยแค่ไหนหรือแม้กระทั้งนิสัยการขับ เพราะคนกับรถต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ขนาดรถใช้ของเหมือนๆกันแรงม้าเกือบเท่าๆกัน แต่การเซ็ทเครื่องกับช่วงล่างต้องตามคนขับ ผมใช้เวลาในการทำช่วงล่างปรับเล็กๆน้อยๆ กว่าจะลงตัวถึงสองสามวัน เครื่องก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์ทั้งรอประกอบรันอิน จูนบนถนน จูนบนไดโน วื่งไปตามถนนเส้นต่างๆใน กทมหรือเส้นที่เราขับประจำเพื่อดูอาการรถ "การตกแต่งรถมันเป็นเรื่องละเอียดออ่นไม่ใช้มีเงินจะดีไปทุกอย่างให้เวลากับมันเข้าใจตัวเราและเข้าใจลักษณะของรถเราแล้วมันจะแสดงประสิทธิภาพของมันได้100%" จากคุณ : GOBANK เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 01:50:07

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณ สำหรับความรู้ครับ จากคุณ : captainmote เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 02:40:23

ความคิดเห็นที่ 66 ขอบคุณมากครับ อ่านแล้วมีความสุขจริงๆ จากคุณ : cud28 เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 08:02:22

ความคิดเห็นที่ 67 มีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังครับ เมื่อก่อน ขับวีออสเดิมๆ ไม่เคยรู้เรื่องแต่งรถมาก่อน เข้าโค้งที่มหาลัยโค้งนึง ลิมิตอยู่ที่ 60 ไม่เคยเข้าได้แรงกว่านั้น จนกระทั่งวันนึง เห็นวีออสสีดำคันนึง เข้าโค้งๆนั้นเร็วกว่าผมมาก วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมเริ่มหาความรู้ เริ่มหัดแต่งรถ ลองมาเรื่อยครับ ตั้งแต่ค้ำโช๊ค สปริงโหลด ค้ำตัวถัง โมฯโช๊ค เปลี่ยนโช๊คแต่ง เปลี่ยนล้อ ที่บ้านมีรถ 3 คัน วีออส แคมรี่ พรีอุส วีออสเกาะถนนที่สุด มั่นคงที่สุด และขับสนุกที่สุด โลกของรถแต่ง เป็นโลกที่คนที่ไม่เคยหาความรู้จะไม่มีวันเข้าใจ จากวีออสกระป๋องกระจอกๆ ขับแล้วร่อน เข้าโค้งแล้วย้วย บุคลิคหลังจากโมดิฟายช่วงล่างมา มันเหมือนขับรถคนล่ะคัน ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ บางครั้งบางที คนที่ไม่เคยเข้ามาหาความรู้ตรงนี้จะไม่มีวันเข้าใจ ว่ารถแต่งที่แต่งอย่างถูกต้อง มันสุดยอดขนาดไหน แต่รถแต่งบางคันที่แต่งผิดๆหรือแต่งมากจนเกินไป มันก็ไม่ถูกต้อง "ทางสายกลาง"หรือ"ความพอดี" คือสิ่งที่คนบ้ารถทุกคนควรระลึกไว้เสมอๆครับ เซตเป้าหมาย อยากแต่งรถแบบไหน แต่งขนาดไหน แต่งเพื่ออะไร วางงบประมาณ อย่าให้บานปลาย อย่าให้ถึงขนาดต้องผ่อนหรือเดือดร้อน ที่สำคัญ พึงระลึกไว้เสมอว่ารถก็มีลิมิตของมัน จะแต่งวีออส ให้เกาะเท่า BMW ทำได้ เกาะกว่าก็ทำได้ แต่ถ้า BMW แต่งบ้าง ทำบ้าง เจ้าวีออสคันกระจ้อยจะเอาอะไรไปสู้ เข้าใจว่าพื้นฐานรถยนต์ก็แตกต่างกันไป จากคุณ : TearNa เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 08:09:55

ความคิดเห็นที่ 68 ขอเสริมเรื่องล้อนิดนึง ล้อที่ว่ามันมี Cast กับ Forge เนี่ย ล้อ Forge ต้องผลิตด้วยวิธี Forging นะครับ เด๋วนี้เวลาอ่านโฆษณาล้อในหนังสือแต่งรถ เค้าบอกว่าล้อ Forge เนี่ย บางทีมันเป็นวิธีทำแบบ Spinning Forge นะ ไม่ใช่ล้อ Forge แท้ๆ อย่าหลงเชื่อง่ายๆล่ะ จากคุณ : ของมีคม เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 08:47:45

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณครับ สำหรับบทความดีๆ จากคุณ : เงาะสีชมพู เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 09:17:09

ความคิดเห็นที่ 70 ล้อแบรนด์แท้ ถ้าเบิกใหม่ ไม่ต้องใส่ปลอกกันสั่นครับ เซ็นเตอร์จะทำมาพอดีเป๊ะ พวกที่ต้องใส่ปลอกกันสั่นคือ ล้อก็อป ไม่ก็ เอาล้อยี่ห้ออื่นรุ่นอื่นมาใส่ ถ้าใส่ล้อก็อป จำเป็นต้องใส่แทบทุกคัน จากคุณ : ตามนั้น เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 09:57:30 A:58.9.56.224 X: TicketID:221435

ความคิดเห็นที่ 71 ขอลงชื่อจองกระทู้ไว้ก่อนค่ะ ^^ เดี๋ยวกลับมาอ่านจ้า จากคุณ : i-Aun เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 11:31:16

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณข้อมูลดีๆนะคับ จากคุณ : โอ๊ต ประชานุกูล เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 12:50:25

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ อยากให้กระทู้แบบนี้เยอะๆ จังครับ จากคุณ : พ่อผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 14:44:53

ความคิดเห็นที่ 74 โอสุดยอดกระทู้ เห็นล๊อกอิน นึกว่ามาจากห้องศาสนา พวกกระทู้ตีกันด่ากันไปด่ากันมา แบ่งพวกเป็นฝ่ายนู้นนี้ จิกกัดค่อนแคะ โปรดดูกระทู้นี้เป็นตัวอย่าง ปริ้นท์กระทู้นี้งชงน้ำแทนกาแฟดื่มวันละครั้ง 5555 จากคุณ : kittyducati เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 16:09:35

ความคิดเห็นที่ 75 สอบถามมุม Caster หน่อยครับ ถ้าดูจากภายนอกรถ (ดูตรงล้อกะยาง) มันดูออกไหมครับ อย่าง camber ล้อจะแบะๆหรือหุบๆ มุม toe ก็ดีออกว่ามันเข้าหากันหรือออกจากกัน แต่ caster ยัง งงๆ ครับ จากคุณ : onspeed เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 16:40:25

ความคิดเห็นที่ 76 ขอถามนิดนึงนะครับ  คือว่าล้อที่ว่าเบานี่ เบากว่าล้อแม็กธรรมดาติดรถมากมั๊ครับ เคยชั่งน้ำหนักหรือวัดกันรึเปล่าครับ  แล้วฟิลลิ่งในการขับขี่หลังจากเปลี่ยนใส่แล้ว จะเปลี่ยนไปขนาดไหนครับ  อย่างเช่นเดิมแม๊ก 17" ติดรถมา แล้วเปลี่ยนเป็น 17" ลาย 5 ก้าน บางๆ ยี่ห้อมาตรฐานของไทย เช่น Lenso น้ำหนักและฟิลลิ่งในการขันขี่จะเปลี่ยนไปมากมั๊ยครับ    แล้วสเตปต่อมาถ้าเกิดต่อมคัน ไปเปลี่ยนเป็นล้อ forge 17" ของ Rays เช่น te37 น้ำหนักและฟิลลิ่งในการขันขี่จะเปลี่ยนไปจากล้อ Lenso มากมั๊ยครับ  หรือว่าเปลี่ยนทีเดียวจากแม๊กเดิมติดรถ ไปเป็น Rays เลยดีครับ  อยากลองครับ แต่ไม่รู้ว่าจะคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปรึเปล่าครับ จากคุณ : tawat1991 เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 16:40:29

ความคิดเห็นที่ 77 ชอบครับ โหวตและเก็บเข้าคลัง รออ่านภาคต่อ ๆ ไปนะครับ :) จากคุณ : BeneBeni เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 16:59:13

ความคิดเห็นที่ 78 สงสัยเรื่องล้อแม็กอะครับ เคยอ่านมาว่า แม็ก2-3ชิ้น ราคาแพงกว่าแบบชิ้นเดียว เลยมีล้อก็อปปี้แม็ก2-3ชิ้นออกมา โดยที่หัวน็อตที่ใช้ยึดทำหลอกขึ้นมาเหมือนเป็นแค่ลวดลาย ซึ่งจริงๆแล้วเป็นแม็กชิ้นเดียวทั้งอัน จากคุณ : NIHAJ เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 17:21:01

ความคิดเห็นที่ 79 ปลอกกันสั่นผมใส่ล้อแท้มันก็มี มาให้น่ะครับเพราะความพอดีของดุมมันไม่ได้ทำมาพอดีทุกรุ่นรถน่ะครับ นอกจากล้อรถนี้ผลิตมาเพื่อskyline 34 เพราะล้อที่ผมใส่ทำกับเบรกสเปกz33อะไรประมานนี้ ซึ่งแต่เดิมผมใส่เบรกของรุ่นนี้อยู่แต่พอเปลี่ยนเบรกที่ใหญ่ขึ้นมัน ก็ไม่พอดีลองศึกษาดีๆครับ จากคุณ : GOBANK เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 17:59:30

ความคิดเห็นที่ 80 สุดยอด จากคุณ : Fujiwara Takumi เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 18:12:53

ความคิดเห็นที่ 81 #76 เคยชั่งล้อเหมือนกันนะครับ แต่นานมากแล้วล่ะ  เอาล้อ Regamaster EVO แท้ๆ มาชั่ง เทียบกับ ของก๊อปปี้(Rota) จำตัวเลขแม่นๆไม่ได้ แต่ต่างกันประมาณ โลกว่าๆ นะครับถ้าจำไม่ผิด สำหรับขอบ 17"  ส่วนเรื่องความแข็งแรง ไม่ทราบจริงๆครับ เพราะไม่เคยดุ้งเลยทั้งคู่เลย 17" ติดรถมา ต้องถามต่อว่าใช้ยาง Series อะไรครับ ฟีลลิ่งในการขับก็เปลี่ยนนะถ้า Series ยางเปลี่ยน ถ้ายางบางขึ้น มันก็จะกระด้างขึ้นครับ  Lenso เลือกได้ใช้ได้ไม่มีปัญหา โดยส่วนตัว อยากจะแนะนำด้วยซ้ำว่าให้ใช้ยี่ห้อนี้  เพราะผมว่าล้อของเค้าดีเลยทีเดียวแหละ ล้อForge ใส่ได้ครับ รายละเอียด ใส่ไว้ให้แล้วใน คห. บนๆ  ฟีลลิ่งในการขับขี่ ไม่ต่างกันมากนักครับ(ในกรณีที่ล้อเดิมติดรถมาเป็นไซส์เดียวกันกับที่จะเปลี่ยนใหม่) ส่วนใหญ่มันจะมีความรู้สึกทางใจมากกว่าครับ  ใครเล่นรถเซียนๆ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าล้อแท้ล้อปลอม ดูกันไม่ยากหรอกครับ หลักๆถ้าจะดูจากภายนอก แบบเดินผ่านๆ ให้ดูสองอย่าง 1. สี  2. สติ๊กเกอร์  ดูเข้าไปลึกอีกหน่อยก็ ความคมตามขอบ  หรือ ตามตัวหนังสือที่ปั๊มนูนเอาไว้ครับ จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 19:03:26

ความคิดเห็นที่ 82 #79 ถูกต้องครับ ดุมกับล้อ ผมยังไม่เคยเจอว่ามันพอดีกันซะที ยกเว้นจะซื้อล้อที่ผลิตมาเพื่อรถยี่ห้อนั้นๆจริงๆมันถึงจะพอดีกันครับ จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 19:05:02

ความคิดเห็นที่ 83 คห. 79 คุณตอบในตัวเองไปแล้วน่ะครับ คุณไม่ได้สั่งหรือใส่ตรงรุ่น ล้อแบรนด์แท้ มันมีขนาดรูตรงกลางให้เลือกหลายไซส์ มีคำนวณบอกว่ารถรุ่นไหนต้องใส่สเปคยังไงหมด แค่เราบอกยี่ห้อรถ รุ่นรถไป เค้าก็แจงมาให้ เราก็เลือกอยากได้แบบไหน ออฟยังไง หน้ากว้าง ขนาดล้อแค่ไหน ก็สั่งไป จากคุณ : ตามนั้น เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 19:05:25 A:58.9.140.115 X: TicketID:221435

ความคิดเห็นที่ 84 คห70.  ใช่เหรอครับ.ลองยกตัวอย่างรถ ยี่ห้อล้อหน่อย  ดุมล้อรถทั่วไปเล็กกว่าเสมอ ไม่ว่าล้อแท้ล้อเทียม.  จากคุณ : ต้อมMRP เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 23:37:48

ความคิดเห็นที่ 85 ต่อภาค2 เรื่องกล่องจูนก็ดีนะครับ สนใจ รวมถึงชุดแต่งรอบคัน จากคุณ : อ่านเฉยเฉย เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 55 23:38:21

ความคิดเห็นที่ 86 นี่คือกระทู้ ที่ดีมากเลยครับ เหมือน เข้ามาอ่าน หนังสือคอลัมน์ๆ หนึ่งเลย เยี่ยมเลยครับ จากคุณ : wittwat2123 เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 00:06:42

ความคิดเห็นที่ 87 เคยสั่งครับ แต่เบรกที่เปลี่ยนมันมีผลน่ะครับ ขนาดบออกสเป๊คว่าใส่กับr32มันก็ยังใหญ่กว่าอยู่ดี แต่ไม่อยากทะเลาะหรือแย่งอะไรน่ะครับแค่เท่าจับมามันเป็นแบบนี้ครับ เช่น ล้อติดรถมากับr32คันที่ตัดเข้ามา เป็นรุ่นที่ผมสั่งไว้พอดีแต่พอถอดล้อมาก็มีปลอกเหมือนกันทั้งที่ off มันก็ตรงรุ่นของมัน แล้วที่เจอที่มันพอดีก็จะเป็นล้อติดรถรุ่นนั้นๆ หรือที่ทำมาพิเศษจริงๆ ซึ่งทุกวันนี้ของrayจะสั่งแค่ ค่าอ๊อฟ ขนาดและความกว้างแต่เค้าจะระบุมาว่าควรใส่อ๊อฟขนาดไหนกับรุ่นไหน เพราะขนาดเบรกติดรถของz33กับ imp gdaขนาดcaliperพอๆกันเค้ายังระบุแยกแต่ที่เห็นทำมาพอดีกับรถคัน นั้นเลยก็จะมีworkเลย สามารถสั่งได้ครบทุกอย่าง แต่ดุมของแต่ล่ะรุ่นมันไม่เท่ากันบ่าดุมมันมีโอกาสสึกหรือแม้แต่บิ่นจากการ ที่เราถอดล้อ จากคุณ : GOBANK เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 04:37:27

ความคิดเห็นที่ 88 #76 น้ำหนักล้อมีผลของการทำงานของช่วงล่างมากเลยครับ น้ำหนักของพวกมาลัยก็ต่าง ต.ย. ล้อที่มีน้ำหนักที่มากจะทำให้การทำงานของช่วงล่าง ช้าลงและรับภาระมากขึ้น เค้าจึงทำพวกปีกนกแต่งที่มีน้ำหนักเบาช่วย อย่าแต่แค่ล้อเลยครับ ลมยางยังมีผลเลยครับ ปล.ถ้ามีเงินพอแนะนำrayแท้เลยดีกว่าครับของใหม่ te37sl black edition ตัวล่าสุด 17x9 inset 45 ตอนนี้วงล่ะ 23,500 ยังไม่รวมvatและค่าขนส่ง สเป๊กนี้ใส่fd น่าจะพอดี จากคุณ : GOBANK เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 04:50:59

ความคิดเห็นที่ 89 รูปตัวอย่างพร้อมขนาด น่ะครับ ดูที่boreน่ะครับขนาดของrayให้มา 73.1 แต่สเปกของ skyline อยู่ที่66 มันก็จำเป็นต้องใส่น่ะครับ จากคุณ : GOBANK เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 05:01:10

ความคิดเห็นที่ 90 #83 รูตรงกลางหรือดุมเราสามารถสั่งได้ครับแต่ แต่ช่องตรงบ่าล้อส่วนใหญ่ magแต่จะทำมาใหญ่กว่า ดุมกลางเพราะเค้าขายเป็นจำนวนมากนอกจากเรา จะสั่งโดยเอารถของเราไปวัด ขนาดวัดแล้วผมใส่hub ring ของแต่ล่ะล้อยังไม่เม่ากันเลยครับ ต้องทำเป็นคันๆไป อันนี้เป็นความรู้ที่ผมได้รับมาน่ะครับ แต่ถ้ามีความรู้ใหม่ผมก็พร้อมที่จะรับฟังและลองศึกษาเพิ่มเติม ไม่ใช่ตอบในตัวเองที่คุณบอก แต่ที่เล่าคือประสพการที่ทำรถมา รถcefiro a31 เบรก ap ตรงรุ่นของskyline r32 ล้อ nismo gt4 ตรงรุ่นเหมือนกัน กับเบรก r32 gtr ล้อ32gtr ไม่ได้ใสปลอกอันนี้มีนเป็นoemโรงงาน จากคุณ : GOBANK เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 05:27:57

ความคิดเห็นที่ 91 ปกติเล่น GT หรือเกมรถแข่งอื่นๆ โมไม่เคยถูก ขอเอาความรู้ตรงนี้ไปโมใหม่หน่อยเถอะ =) จากคุณ : Xellent เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 10:48:38

ความคิดเห็นที่ 92 งั้นขอแก้จากทั้งหมดจากคห. 70 และ 83 เป็นตามประสบการณ์ผมละกันครับ ก่อนหน้าที่เริ่มเล่นรถใหม่ๆ (คันเก่า) เคยใช้ล้อก๊อป ต้องใส่ปลอกตลอด แต่หลังจากเปลี่ยนรถ ก็ใส่ล้อแบรนด์มา ไม่ต้องใส่ปลอก แค่ถ่วงล้อก็หาย ไม่เคยต้องมาพึ่งปลอกอีกเลย เลยเป็นความเข้าใจมาตลอดว่ามันทำมาพอดีรุ่นนั้นๆ ถ้าผิดพลาดอไรไปก็ขออภัย GOBANK และทุกคน ด้วยครับ จากคุณ : ตามนั้น เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 10:57:51 A:58.9.48.120 X: TicketID:221435

ความคิดเห็นที่ 93 ช่วงนี้ จขกท เพิ่งเริ่มจะศึกษาเรื่องจูนกล่องเองครับ แถมยังไม่เคยลองจูนเองซักที ดังนั้นคงมิอาจเอื้อมเขียนบทความเรื่องนี้แน่นอนครับ แต่ถ้าเรื่องพื้นฐานๆเกี่ยวกับเครื่องยนต์ล่ะก็พอไหวอยู่ครับ อิอิ เพิ่มเติม สำหรับกระทู้หน้า ขออนุญาต ยกยอดเป็นวันจันทร์หน้านะครับ ขอใช้เวลานานหน่อย เพราะรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 55 13:48:09 จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 13:15:43

ความคิดเห็นที่ 94 ผมอยากทราบว่าโช๊ค H drive damper ดีรึเปล่าครับ พอดีว่าอยากเปลี่ยนโช๊คใหม่ให้Fiesta อ่ะครับ หารีวิวมีน้อยมากเลย หรือผมต้องไปเล่น TEIN ไปเลยครับถึงจะโอเค จากคุณ : 13ison เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 16:55:15

ความคิดเห็นที่ 95 #94 คำว่าโช๊คดี สำหรับผมไม่มีคำจำกัดความที่แน่นอนครับ มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอย่างอื่นด้วยเช่น 1. ความทนทาน ปัจจัยนี้ไม่สามารถรู้ได้เลยครับว่า มันทนทานหรือไม่นอกจากได้ลองใช้งานเอง ผ่านการลองผิดลองถูกเองครับ 2. เหมาะสมกับรถ ต้องเลือกรุ่นที่ตรงกับรุ่นรถที่เราใช้งานจริงๆครับ เพราะอย่างที่บอก ของพวกนี้มันถูกออกแบบมาแล้วเป็นอย่างดี รุ่นรถเปลี่ยน มิติเปลี่ยน น้ำหนักเปลี่ยน สมการการสั่นสะเทือนก็ต้องเปลี่ยนตามด้วยครับ ซึ่งถ้าลงถึงรายละเอียดเรื่อง vibration ล่ะก็ร่ายกันยาวเลยทีเดียวล่ะ ที่กล่าวเรื่องนี้เพราะหลายคนนิยมเอาโช๊ครุ่นอื่นมาแปลงหูกันนั่นเองครับ 3. เหมาะสมกับคน อันนี้จำเป็นมากๆ เพราะหลายคนมักจะเลือกของแต่งประมาณว่า "เหลือ ดีกว่าขาด" โดยที่ยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำว่า เราจะใช้เพื่ออะไร ดังนั้นต้องตอบโจทย์ตัวเองให้ได้ก่อนครับว่า ต้องการขับแบบไหน การใช้งานหลักๆเป็นลักษณะไหน ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเท่าไหร่ ถ้าตอบโจทย์ได้ทั้งหมด มันก็สามารถเซฟเงินในกระเป๋าไปได้เยอะกว่าการซื้อของแต่งแบบ "หว่านแห" ครับ อีกเรื่องนึงคือยี่ห้อ จากประสบการณ์ผมบอกได้ว่า ยี่ห้อดังๆ กับยี่ห้อไม่ดัง ลักษณะการใช้งานมักจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ ยกเว้นเสียแต่แบรนด์แท้ทำเอง อันนั้นไม่ค่อยเวิร์คครับ ดังนั้นผมไม่ชี้นำนะครับว่าเล่นยี่ห้อไหนดี แต่อยากแนะนำว่า ให้หาราคาพอประมาณ ซ่อมไม่ยาก ยืดหยุ่นในการปรับแต่งพอสมควร แค่นี้น่าจะเพียงพอแล้วครับ จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 17:22:17

ความคิดเห็นที่ 96 รอเรื่องเครื่องยนต์จ้าาา จากคุณ : NG-Master-BS เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 18:12:03

ความคิดเห็นที่ 97 #76 เคยชั่งล้ออยู่ครั้งนึงครับ ได้ประมาณนี้ถ้าจำไม่ผิด ล้อ Forged Ray's TE37 16 นิ้ว (วงละ 9 กิโล) เทียบกับ ล้อเดิมติดรถ Jazz SV 16 นิ้ว (วงละ 14 กิโล) สรุปว่าใส่ครบ 4 ล้อ เซฟน้ำหนักไปได้ 20 กิโล ปล. ส่วนมากล้อแท้ๆ จะมีน้ำหนักบอกมาให้เลยครับ จากคุณ : ตัวตุ้ย เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 19:33:01

ความคิดเห็นที่ 98 ด้วยความข้องใจ ว่ามันหนักเท่าไหร่ เลยเอา Spec คร่าวๆพร้อมราคา(ต่อวง) มาให้ชมกันครับสำหรับ TE37 เพิ่มเติม ช่องที่ 3 นับจากซ้าย เป็นน้ำหนักนะครับ หน่วยเป็นปอนด์ ช่องที่1 เป็นขนาดของล้อ ช่องที่2 เป็น Spec แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 55 20:07:28 จากคุณ : กยิราเจ กยิราเถนัง เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 20:05:59

ความคิดเห็นที่ 99 รถเดิมๆ (almera) สามารถปรับปรุงให้เป็น negative camber ได้มั้ยครับ จากคุณ : dear.de เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 22:27:29

ความคิดเห็นที่ 100 คุณตามนั้นครับ ผมขอโทษด้วยแล้วกันครับ เรามาแชร์ความรู้และความ้เข้าใจกันดีกว่าครับ ผมก็ไม่อยากแตกแยกตรับ มีความรู้อะไรก็มาให้กันดีกว่า #99 มันมีวิธีแต่อย่าทำเลนครับ อันตรายรอเก็บเงินค่อยมาทำดีกว่าตรับ ลองเรียนรู้และเข้าใจในลักษณะรถของเราดีกว่าครับมีอะไรแนะนำได้เสมอครับ ตย.น่ะครับ ผมไม่เคยขับporsche มาก่อนเลยอยู่มาวันเพื่อนที่ขับรถเกียร์ธรรมาดาไม่เป็นให้ช่วย ขับ911ของพ่อเค้าไปทำให้ ด้วยวัยและไม่เคยรู้มาก่อนว่ารถมีนิสัยรถเป็นแบบไหน ก็ใส่ในโค้งไป กลายเป็นรถหมุนและเสียอาการ จนทำให้ผมต้องมาศึกษามันว่ารุ่นแรกๆไม่มีระบบช่วยเหลือ อะไรเลย ต้อ สมควรจะเบรกในโค้งเพื่อถ่ายน้ำหนักไปด้านหน้าที่เบา เพื่อกดล้อหน้าให้เข้าโค้งได้ แต่เวลาออกจากดค้งใส่ได้เต็มๆ จนทุกวันนี้พ่อผมซือporscherมาแล้วได้มีโอกาสขับถึงได้รู้ว่าอาการรถและนิสัยมันมีผลมากถึงทำให้ดียังไงก็ยังเหมือนเดิม อีกตย คือr34มันก็ยังเข้าโค้งได้ช้าแต่เสถียนกว่า911เพราะมีระบขับ4มาช่วย สุดท้าายใครมีปัญหาเกี่ยวกับรถหรือจะแต่งรถมาปร฿กษาได้น่ะครับ จะแนะนำเท่าที่ผมเองมีความรู้ 086-328-2067 แบงค์ครับ จากคุณ : GOBANK เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 55 23:52:16

ความคิดเห็นที่ 101 เจ้าของกระทู้ครับ เรื่องกล่องมันละเอียดอ่อนครับ ถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องเครื่องแบบช่างยนตร์ที่ จบมาหรือได้รับการอบรมณ์มา อย่าไปยุ่งเลยครับแค่พอเข้าใจก็พอครับ ผมเคยคิดอยากลองบ้างเจอช่างไฟมาสอนที่ผมมึนเลยครับเยอะมากจริงๆ รถพักพวกทำมาเต็มๆ2j โบเดิมปรับบูสเพิิ่มพวกผมคิดว่าม้าน่าจะได้สัก350++กับโบเดิมๆแต่ทำไงก็ได้แค่ไม่เกิน300เลยกลับมาเช๊คดู กลายเป็นว่าที่สายไฟเกียร์มี ขี้เกลือขี้น ท่อที่สั่งทำเอียงและโค้งผิดองศาไปหน่อย พอทำเสร็จลองไปวัดใหม่ ได้เกือบ400กับโบเดิมแค่ปรับบูสกับเปลี่ยนป๊ัมติ๊กและที่วัดใช้แก๊สlpgที่ทุกคนว่ามันทำให้เครื่องพัง \ เรื่องโช๊คใส่ในเหียสต้าตมนั้นครับผมก็แนะนำไม่ได้ว่ามันดีหรือไหมแต่ถ้ามีโอกาสก็ลอง นั่งรถในชมรมดูว่าโช๊คไหนเข้ากับเราที่สุด แต่เจ้าเขียวมันมีศูนย์ซ่อมที่แน่นอน และคุณสามารถให้ช่างปรับโช๊คที่สั่งให้เข้ากับเราได้มากที่สุด จากคุณ : GOBANK เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 00:03:20

ความคิดเห็นที่ 102 บางคนทำเครื่อง โน่นนี่ แรงม้าเป็น 400 500 แต่ผมดู โหแม้งช่วงล่างเดิม เบรคเดิม เคยวิ่งด้วยกันทีมันถามทำไมพี่ซัดโค้งแรงขนาดนั้นรถเดิมๆ ผมบอกรถกูมีเดิมอย่างเดียวอะ ตัวถังเดิม เมิงก้มลงดูดิ เบรค ช๊อค สปริง กันโคลง ค้ำโช้ค ค้ำตัวถัง บูชยูรีเทน เครื่องเดิม 200ม้า na กุก็ว่ามันโอเคละ เลยสอนมันไปแต่งเอาแรงมันก็แรงใช่ ถูกใจ แล้วเมิงดูถนนเมืองไทยดิ ทางตรงเมิงก็แซ๊ดไปเหอะ ถึงโค้งก็โดนแดก สุดท้ายก็เลี้ยวเข้าปั๊มพร้อมกู แล้วอะไรตัดหน้าเมิงไม่ต้องเบรคเลย เพราะเบรคเมิงไม่ทำ ช่วงล่างเมิงไม่ทำ แต่ไอที่กุเปลี่ยนไปทั้งหมดเนี่ย มันช่วยเซฟเราได้ เอาปลอดภัยใว้ก่อน จะได้มีเวลาซิ่งไปจนแก่ จากคุณ : ร้อยละสิบสลึง เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 00:51:29

ความคิดเห็นที่ 103 ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากๆ ที่นำสิ่งดีๆ มาแบ่งปันกันครับ ส่วนตัวยังขับรถเดิมๆ อยู่เลย ยังมีความรู้น้อย คงได้ประโยชน์จากกระทู้นี้ จากคุณ : นายปู.. เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 08:12:40

ความคิดเห็นที่ 104 เป็นกระทู้ที่เยี่ยมมากๆครับ รวมความรู้ต่างๆมาไว้ทีเดียวอ่านดีเดียวเข้าใจเลยครับ โหวตไว้ก่อนละครับ จากคุณ : Genocider เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 10:16:22

ความคิดเห็นที่ 105 H drive จะดีกว่า Tein SS ก็ตรงที่มันปรับได้ละเอียดกว่านี่แหละ TEIN เกินระดับที่16ไปไม่มีวคามต่างแล้วมีแต่เสี่ยงหมุนหัวปรับอย่างเดียวและ TEIN สไลด์กระบอกไม่ได้ด้วย มันไม่สามารถปรับได้ยืดหยุ่นเท่า H drive และ H drive เองก็เป็นแบบ mono tube ยี่ห้อของ TEIN จะมีดีอย่างเดียวคือสามารถเอาไปซ่อมเวลาโช๊ครั่วโช๊คเสียหายได้แต่ H dive ซื้อตัวกระบอกใหม่ต้นละ3000 กับความนิยมที่ TEIN คนไทยนิยมมากเลยเอาไปโก่งราคาขายต่อได้ แต่ในเรื่องคุณภาพผมให้ H drive ดีกว่าและปรับให้เข้ากับรถได้ยืดหยุ่นกว่ามาก จากคุณ : ผีทะเล เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 11:41:55 A:202.149.29.81 X: TicketID:359482

ความคิดเห็นที่ 106 แล้วพวกค้ำต่างๆล่ะครับ อยากรู้ว่าจำเป็นมากไหมครับถ้าชอบยัดโค้งเร็วๆหน่อย หรือว่ารถบ้านควรใส่ประมาณไหนดี จากคุณ : GeeCool เขียนเมื่อ : 4 ต.ค. 55 16:39:20