ความคิดเห็นที่ 1 มันคนละอย่างกันหรือเปล่าครับรถคุรได้ของแน่ๆแต่ราคามันก็ลด ลด ลด ไปเรื่อยๆ แต่การลวทุนในหุ้นมีดอกเบี้ยมันก้เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม สิครับ นอกจากเจ๊งหุ้นเสียหมด จากคุณ : likeyoy เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 08:48:54

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าหุ้นลงทุน ง่าย อย่างนั้น คงรวยกันหมดแล้ว เอาตามความจำเป็นดีกว่า รถถ้าต้องใช้ก็ซื้อเลย แต่มูลค่าก็ ลด หุ้น ว่ากันยาวๆ ขาดทุนหรือกำไร ไม่มีคนบอกได้ ถ้าหุ้นลงทุนน้อย ไม่เห็นผลกำไร ซื้อของมาขายต่อยังไ้เยอะกว่ามาก จากคุณ : คนบางแคแค่บ้างคน เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 08:48:54

ความคิดเห็นที่ 3 ประเด็นคือมีเงินจะเอาไปใช้อะไรให้มันคุ้มค่ามากกว่ากัน ซื้อบ้าน คอนโด ผมว่าไม่น่าจะเทียบกันได้เพราะเรื่องระยะเวลาครับ มันนับเป็นหลาย 10 ปี แต่่ผอนรถน่าจะเวลาที่พอเหมาะ ประเด็นเลยเป็นแบบนี้ครับ 1.เงินเหลือเดือนละหมื่น 2.ระยะเวลา 5 ปีเท่ากัน ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ประมาณนี้ครับ จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 08:54:15

ความคิดเห็นที่ 4 ตามคห 2 เลย ประเทศไทยคงไม่มีคนจน แต่เห็นเล่นแต่ share ลูกโซ่กัน จากคุณ : JieBoJai เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 08:55:08

ความคิดเห็นที่ 5 แง่ว  มันคนละอย่างกันเลยครับ อันนี้เป็นการลงทุน  อันนึงเป็นการซื้อความอำนวยสะดวกมีแต่ราคาลดอยุ่แล้ว จากคุณ : red-racket เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:01:59

ความคิดเห็นที่ 6 กดโหวตด้วยนะครับ ต้องการผลสำรวจโพล ว่าท่านๆ ในห้องรัชดา มีความเห็นอย่างไร ไม่มีอันไหนถูกหรือผิดครับ เป็นเพียงความเห็นสำรวจท่านๆ จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:03:19

ความคิดเห็นที่ 7 ลงทุนเป็นสินทรัพย์ รถมีแต่ค่าใช้จ่าย จากคุณ : เขม่า เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:07:24

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าคุณผ่อนรถเดือนละหมื่น 5 ปี เท่ากับ 60 เดือน คุณเสียเงินไป 600,000 บาท รวมกับเงินดาว์นตอนแรกประมาณ 1 แสนบาท แต่ผมสมมติว่าคุณได้ลดภาษี 1 แสนบาทละกันทำให้ไม่ต้องคิด เท่ากับว่าคุณจ่ายไป 6 แสน แต่รถน่าจะขายได้ราว ๆ 5 แสนบาท ถ้าเป็นรถตลาด ผมถือว่าการซื้อรถไม่ใช่การลงทุนนะครับ ส่วนหุ้น ผมมองว่ามันเหมือนกับการฝากเงินที่ดอกเบี้ยไม่คงที่ และมีความเสี่ยงที่จะเสียด้วยครับ แต่ถ้าคุณได้ศึกษาเรื่องการเล่นหุ้นเป็นอย่างดี ผมว่ามันก็น่าจะพอไปได้ครับ โดยส่วนตัวผมจะเลือกลงทุนหุ้นดีกว่าครับ ถ้าคุณฝากเงินกับธนาคารไว้เดือนละ 1 หมื่น 60 เดือนได้ 6แสนบาท ชัวร์ ๆ ครับ ดอกเบี้ยก็น่าจะพอได้อยู่ แล้วพอมีเงินก้อนค่อยลงทุนดีกว่าครับ จากคุณ : Satochi_Me8 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:14:54

ความคิดเห็นที่ 9 เอาเงินไปเรียนโท เรียนเอก 5 ปี  คุ้มกว่า เอาเงินไปปล่อยกู้  เก็บดอก 5 ปี  คุ้มกว่า เอาเงินไปเลี้ยงเด็ก (นักศึกษาภาคค่ำ)  คุ้มกว่า เอาเงินไปติ๊บนักร้อง  คุ้มกว่า เอาเงินไปแต่งรถ  คุ้มกว่า เอาเงินไปเลี้ยงอาหารกลางวันคนชรา  คุ้มกว่า ฯลฯ .................. จากคุณ : หนุ่มเมืองเพ็ด เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:16:16

ความคิดเห็นที่ 10 อันนี้คงต้องถามห้องสินธรนะครับ ส่วนผมก็ลงทุนในหุ้นด้วย แล้วก็ผ่อนรถด้วยเช่นกัน ถ้าเปรียบเทียบ รถ ราคามันก็ตกไปเรื่อยๆ อันนี้ถูกต้องครับ แต่ถ้าเราซื้อรถมาหนึ่งคัน แล้วใช้ทำมาหาเงินทำให้เงินงอก เงย ออกดอกออกผล ได้ก็ถือว่าคุ้มครับ แต่ถ้าซื้อมาจอดไว้เฉยๆ ทางทฎษดี ลงทุนในหุ้นคุ้มค่ากว่าครับ แต่ทางประปฎิบัติไม่แน่นอนเสมอไปครับ จากคุณ : ASKPT เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:28:10

ความคิดเห็นที่ 11 ลงทุนหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ คิดแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ยังไงเดือนละหมื่นที่ลงไป ยังไงก็ได้เงินกลับมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย บวกผลกำไร ในขณะที่รถยนต์ ต่อให้ซื้อสด ไม่ต้องเสียค่าดอกเบี้ย เวลาผ่านไป5ปี มูลค่ารถที่เราซื้อมาสมมติล้านนึง เวลานั้นเหลือแค่7-8แสน แล้วแต่ยี่ห้อ จากคุณ : ยาน้ำแก้ไอตราตะแป๊ะแกล้งตาย เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:34:06

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่ได้เล่นหุ้น ไม่ได้ผ่อนรถ แต่มีรถอยู่แล้วหลายคัน ยามเงินสดขาดมือ ก็นำทะเบียนรถไปจำนำ ได้เงินสดติดล้อมาเร็วภายในวันนั้น รถก็ยังมีใช้ เงินก็ติดล้อออกมาง่ายมากๆ ชีวิตของคนไทย หากินง่าย ไม่ลำบาก คนมีเงินเหลือล้น ก็ไปซื้อหุ้น ไม่ต้องเหนื่อย คนมีเงินลงทุนค้าขายเองก็ต้องเหนื่อยหน่อย แต่ได้กำไรเต็มๆ จากคุณ : preepa11 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:49:01

ความคิดเห็นที่ 13 5555 สงสัยหัวข้อโหวต ผมไม่เคลียร์หรือเปล่า ให้ห้องสินธรโหวต ไปเปิดในห้องรัชดาสิ ให้ห้องรัชดาโหวต ไปเปิดในห้องสินธรสิ 555 จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 10:00:15

ความคิดเห็นที่ 14 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 55 10:31:04 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 55 10:25:14 จากคุณ : ASKPT เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 10:13:41

ความคิดเห็นที่ 15 เงินทีจะเอาไปลงทุน นี่ท่านต้องพร้อมรับความเสี่ยงได้นะครับ ถ้าลงผิดตัว แล้วทิ้งไว้ 5 ปี ไม่ยอมคัตลอส อาจศูนย์เงินทั้งหมดได้ และในรอบ 5 ปีนี่ต้องไม่เกิด เหตุไม่คาดฝัน เช่นสงคราม ภัยธรรมชาติ ฯลฯ จากคุณ : นิยมวัตถุ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 10:34:48

ความคิดเห็นที่ 16 แต่ความเสี่ยง ต่ำก็มี พวกกองทุนดัชนี set50 แต่ท่านต้องทนรับความแกว่งของราคาได้นะครับ เงินต้นมันจะ บวกตอนหุ้นขึ้น ติดลบตอนหุ้นลง จากคุณ : นิยมวัตถุ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 10:39:37

ความคิดเห็นที่ 17 รถซื้อมาปุ๊บ ที่แน่ๆ ชัวร์ๆ คือ ราคาตกทันที จากคุณ : อาตี๋อินเทอร์เน็ต เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 10:45:51

ความคิดเห็นที่ 18 เล่นหุ้นไม่เป็น ถ้าเลือกได้ฝากธนาคารแบบประจำ ถึงได้ดอกน้อยๆ แต่ได้ชัวร์ๆ จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 10:47:06 A:202.149.127.132 X: TicketID:283347

ความคิดเห็นที่ 19 มันคนละเรื่องเลยนะนั่น อยากได้รถก็ซื้อรถ อยากเล่นหุ้นก็ซื้อหุ้น ตามสะดวกเลยครับ จากคุณ : Mariokin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:10:51

ความคิดเห็นที่ 20 เอารถไปขนของขายได้เดือนละเป็นแสนล่ะ. คิดว่าการลงทุนไม่น่าเหมือนกันครับ จากคุณ : dreamersn เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:21:39

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าเลือกหุ้นปกติที่ไม่ใช่หุ้นปั่น+ มีการกระจายการลงทุนพอสมควรสัก 5-7 ตัว(เช่นประมาณ PTT CPALL CPN AP BANPU BLA HMPRO DCC BGH INTUCH)  + ซื้อเข้าพอร์ตสม่ำเสมอทุกเดือน + ซื้อแล้วไม่ขายเลยแม้ว่าราคามันจะลงอย่างน่าหวาดเสียว ใจนิ่งๆ  รอได้ 5 ปี --> โอกาสขาดทุนต่ำมาก อยู่ที่ว่ากำไรเท่าไรล่ะครับ ถ้าเลือกหุ้นไม่เป็นก็ซื้อ LTF ก็ได้ครับ ผมซื้อ LTF ตั้งแต่เริ่มมี LTF ในประเทศไทย เกือบสิบปีแล้วมั้งครับ ผ่านตลาดหุ้นช่วงวิกฤติปี 2008 มาด้วย ยังกำไรทุกปี ไม่ต่ำกว่า 20% (ไม่รวมภาษีที่ได้ลดหย่อนนะครับ) ล่าสุดปี 2012 ที่เพิ่งขายกองทุนไป ขายได้ 3 เท่าจากเงินที่ลงทุน ขายไปแล้วเอามาซื้อมาสด้า 2 ได้คันนึงเลยอ่ะครับ แต่ผมไม่ได้ซื้อสดหรอกครับ ดอกเบี่ยมันถูก เอาเงินไปลงทุนต่อดีกว่า จากคุณ : kittik25 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:22:38

ความคิดเห็นที่ 22 ผมไม่เลือกทั้ง ๒ ได้ไหม ? หุ้นเนี่ยะ มันไม่แน่ไม่นอน ปลาซิวปลาสร้อยเนี่ยะ เจ๊งง่ายนะเออ เล่นในกระดาษหนะ มันคนละเรื่องเอาเอาลงตลาด ส่วนผ่อนรถผม ก็ไม่อยากทำเสียดอกเบี้ย เอาเป็นว่า จ่ายเท่ากัน เอาเป็นฝากประจำดีกว่าไหม ถ้าอยากลุ้น เล่นหวยออมสิน ยังมีหวังกว่า จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:50:27

ความคิดเห็นที่ 23 มันมาเกี่ยวข้องได้ยังไง ครับ สองอย่างเนี่ย คนละเรื่องเลยนะ ผ่อนรถเพื่อเอามาใช้ กับ เอาเงินลงทุนไปซื้อหุ้น ผ่อนรถมันไม่น่าจะเรียกว่า ว่าการลงทุนนะ มันน่าจะถามว่า ซื้อสด เพื่อไม่มีให้มีดอกเบี้ย หรือหนี้ในห้าปี หรือ ซื้อผ่อน เพื่อเอาเงินที่เหลือมาลงทุนซื้อหุ้น มากกว่าป่ะ เฮ้อๆ จากคุณ : มันเป็นอย่างงี้เชื่อดิ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 12:48:11 A:61.47.82.162 X: TicketID:379337

ความคิดเห็นที่ 24 การลงทุน (ที่ไม่ใช่การเล่นหุ้นนะครับ) ต่างจากการเล่นหวยออมสินพอสมควรนะครับ - การเล่นหวยออมสินคือการรอดวงว่าวันนึงมันจะฟลุคมาออกที่เราครับ โอกาสถูกมีเพียงหนึ่งใน ... อะไรสักอย่าง เล่นหวยไป 10 ปี โอกาสถูกหวยก็ไม่ได้มากขึ้นครับ - แต่การลงทุนอาศัยการวิเคราะห์ ซึ่งอาจจะผิดพลาดหรือมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นบ้าง แต่โอกาสถูกมากกว่าผิดครับ ลงทุนไป 10 ปี โอกาสได้ผลตอบแทนจากการลงทุนก็เยอะขึ้นตามครับ การลงทุนก็คล้ายๆ กับการเตะฟรีคิกน่ะครับ  ต่อให้เอาคนที่เก่งที่สุดในโลกมาเตะ ก็อาจจะมีโอกาสไม่เข้าเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสครับ ลองเอานักบอลหัดใหม่กับเอาเบคแฮมมาเตะฟรีคิกแค่ครั้งเดียวก็อาจจะยิงไม่เข้าเหมือนกันครับ แต่ลองให้ยิงคนละ 100 ลูกสิครับ คิดว่าใครจะยิงเข้ามากกว่ากัน โลกของการลงทุนก็เช่นกันครับ ไม่ได้มีโอกาสให้คุณยิงแค่ครั้งเดียวนิครับ จะยิงกี่ครั้งก็ได้ตราบที่เรายังมีกระสุนสำรองอยู่ แต่ต้องรู้จักตัวเอง รู้ตัวเองว่าทุนมีแค่ไหน ความจำเป็นในการใช้เงินเป็นอย่างไร จัดแบ่งเงินดีดี มีกระสุนสำรองให้เยอะๆ ซ้อมมากๆ ก็เก่งขึ้นเองครับ ปล. ที่ผมพยายามสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่รู้จักการลงทุนให้มากๆ เพราะโลกเราทุกวันนี้ไม่เหมือนเมื่ีอก่อนครับ  ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร่งกว่าสมัยก่อนเยอะมาก โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา หรือ ยูโรโซนต่างแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินเข้าระบบ ทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นเร็วมาก เร็วกว่ากว่าทรัพยากรอื่นๆ ส่งผลให้สินค้าที่มีจำกัดค่อยๆ แพงขึ้นทุกวัน (โดยไม่รู้ตัว) เงินสดเป็นแค่สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนครับ บ้านเราอยู่กับเงินสดมานานจนมองมันเป็นสินทรัพย์มั่นคงอย่างหนึ่ง ซึ่งมันก็เคยจริงสมัยที่เงินเฟ้อยังไม่มากเท่าปัจจุบัน การที่มองว่าถือเงินสดแล้วมั่นคง มันเป็นภาพลวงตาไปแล้วครับ เงินจำนวนเท่าเดิมมูลค่าลดลงทุกวัน (ลองนึดถึงเงิน 1 ล้านบาทเมื่อ 40 ปีก่อน กับเงิน 1 ล้านบาทวันนี้สิครับ เงิน 10 บาทเมื่อ 40 ปีก่อนกินข้าวได้กี่จานแล้วเงิน 10 บาทวันนี้ล่ะครับ) ชนชั้นกลางของยุโรปและอเมริกาที่ไม่เริ่มต้นกับการลงทุน ก็พบปัญหานี้กันทั้งนั้นครับ ขอสนับสนุนให้เรียนรู้การลงทุนกันครับ (ไม่จำเป็นต้องหุ้นครับ อสังหาฯ ตราสารหนี้ หรืออะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับ risk profile ของแต่ละคนครับ) จากคุณ : kittik25 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 12:56:20

ความคิดเห็นที่ 25 หุ้นมันพาไปซื้อข้าวกินได้ป่ะล่ะ เปรียบเทียบกันได้โง่มาก จากคุณ : tuunton เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 12:57:22

ความคิดเห็นที่ 26 #24 เป็นความเห็นที่ดี มีคุณค่าครับ ส่วน #25 เนี่ย... จากคุณ : ผ่านการตรวจสอบ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:10:08

ความคิดเห็นที่ 27 รถมันไม่ใช่ลงทุนน่ะสิครับ รถมันมีค่าใช้จ่าย แถมมูลค่าลดลงตลอด แต่ เวลาผมไปไหนมาไหน ดึก ๆ ก็ไม่อยากนั่งรถสาธารณะหรอกครับ ถึงเวลากลางวันก็เถอะ ผมมีความรู้สึกว่ารถที่ผมขับเองมันปลอดภัยในชีวิตและทรัพสินมากกว่า ที่จะใช้บริการรถสาธารณะ ความรู้สึกพวกนี้ มันตีค่าเป็นเงินไม่ได้อ่ะคับ จากคุณ : benz47 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:12:39

ความคิดเห็นที่ 28 ซื้อรถมันไม่ใช่การลงทุน  ค่าเสื่อมมันเริ่มต้นตั้งแต่คุณวางมัจจำรถแล้ว  มูลค่าของรถมันก็ ลดๆๆๆๆ ลงตลอดเวลา ส่วนการลงทุนในหุ้น มันก็ขึ้นอยู่กับว่าลงทุนในหุ้นแบบไหน  ลงทุน 100 บาท  อาจได้คืนมา 1000บาท หรือ เหลือเพียง 1 บาทก็ได้  มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย การที่จะเอาของ 2 สิ่งมาเทียบกัน มันน่าจะอยู่ในหมวดเดียวกัน เช่น การลงทุนเหมือนกัน, การฟุ่มเฟือยซื้อของเหมือนกัน   จะเอาการซื้อของมาเทียบกับการลงทุนไม่ได้หรอก จากคุณ : a cup of coffee เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:56:46

ความคิดเห็นที่ 29 #26 ขอบคุณครับ ผมเองก็ไม่ได้บอกว่า 2 อย่างที่ จขกท ตั้งมาอันไหนดีกว่ากัน แต่อยากสนับสนุนให้คนเรียนรู้การลงทุนมากกว่ารู้จักแต่การฝากธนาคารหรือสลากออมสินครับ เข้าใจว่าคนจำนวนมากไม่กล้าลงทุนเพราะกลัวความเสี่ยงครับ   ความเสี่ยงจากการลงทุนอาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภทครับ 1. ความเสี่ยงเนื่องจากการที่เราไม่รู้ ( เช่น ไม่รู้ว่าหุ้นที่ซื้อทำธุรกิจอะไร กำไรของบริษัทจะดีหรือไม่ดีก็ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร รู้แต่ราคาขึ้นลงของราคาหุ้นรายวัน) 2. ความเสี่ยงจากการที่เรารู้ แต่ควบคุมได้ (เมื่อรู้ว่าธุรกิจไหนดี มีโอกาสทำกำไรสูงก็เลือกลงทุน ธุรกิจไหนดูไม่มีอนาคตก็อย่าไปลงทุนครับ) 3. ความเสี่ยงจากการที่เรารู้ และควบคุมไม่ได้ (เศรษฐกิจโลกซบเซา หุ้นตกทั้งตลาด อันนี้ต่อให้หุ้นดีราคาก็อาจจะลงได้ แต่อันนี้จะเป็นเพียงภาวะชั่วคราวสำหรับบริษัทดีดีครับ ประเทศไทยผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง หุ้นปูนใหญ่ หุ้น KBANK  ก็ยังอยู่นะครับไม่ได้หายไปไหน มูลค่าเพิ่มขึ้นเยอะด้วยซ้ำไป ) ถ้าเราเรียนรู้และฝึกฝน ความเสี่ยงข้อ 1 และ ข้อ 2 และจะลดลงไปมากครับ เหลือแต่ความเสี่ยงประเภทที่ 3 เท่านั้นเอง ถ้าเราไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงแบบที่ 1 และ 2 ไปได้ ผลตอบแทนที่ได้รับจากตลาดหุ้นอาจจะยังไม่จูงใจพอเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของความเสี่ยงครับ แต่ถ้าเราตั้งใจเรียนรู้และสามารถกำจัดความเสี่ยงแบบที่ 1 และ 2 ลงไปได้ โอกาสได้รับผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยงประเภทที่ 3 เพียงอย่างเดียวถือว่าคุ้มค่ามากครับ   ผมยังไม่เคยเจอคนที่ลงทุนโดยเข้าใจเรื่องธุรกิจที่ตัวเองลงทุนเจ๊งจากตลาดหุ้นเลยครับ คนที่เจ๊งจากตลาดหุ้นคือคนที่ซื้อหุ้นโดยไม่รู้ว่าบริษัทที่ตัวเองซื้อ ทำธุรกิจอะไร รายได้มาจากไหนบ้าง บริษัทจะกำไรมากหรือน้อยมีปัจจัยอะไรบ้าง รู้แต่ราคาหุ้นขึ้นลงในแต่ละวัน แบบนั้นเรียกว่าเล่นหุ้นครับ แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับซื้อหวย เปรียบแล้ว มันก็เหมือนกับท่านๆ ที่นิยมใช้รถมือสอง แล้วรู้สึกว่าคุ้มค่านั่นแหละครับ  เพราะว่าท่านศึกษาและมีความรู้เรื่องรถดี ทำให้ท่านสามารถกำจัดความเสี่ยงแบบที่ 1 และ 2 ลงไปได้ ท่านจึงมองเห็นว่าการลงทุนในรถมือสองคุ้มค่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อรถป้ายแดง ในขณะที่มือใหม่ไม่มีความรู้เรื่องรถอะไรเลย การลงทุนซื้อรถมือสองอาจจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่กล้าเข้าไปซื้อครับ  ฉันใดก็ฉันนั้น คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้เป็นพิเศษครับ แต่ผมว่าการเรียนรู้เรื่องการลงทุนง่ายและคุ้มค่ากว่าเรื่องเรียนรู้รถเยอะเลยนะครับ เรียนรู้เรื่องรถคุณอาจจประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อรถไปได้เป็นหลักหมื่น หลักแสน เต็มที่ทั้งชีวิตก็แค่หลักล้าน  แต่ถ้าเรียนรู้เรื่องการลงทุน มันมีโอกาสที่จะ unlimited gain ครับ ลองศึกษาแนวทางการลงทุนแนว Value Investing อย่าง วอเรน บีฟเฟต หรือ ดร. นิเวศน์ดูก็ได้ครับ ** ให้โอกาสกับสิ่งที่เราไม่รู้กันเถอะครับ ** แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 55 16:03:44 จากคุณ : kittik25 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 15:54:46

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 25 ผมโง่ครับ คุณฉลาดมากดูจากการตอบของคุณ หางอึงดีครับ ท่าน อื่นๆ เค้ายังมีเหตุผลของแต่ละคน อันนี้ตอบเอาเกรียน จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 17:01:36

ความคิดเห็นที่ 31 รถก็ส่วนรถ จะเล่นหุ้นก็เป็นการลงทุน ถ้ามีเงืนเหลือพอจะทำอะไรก็ได้ ของเราเล่นหุ้นไม่เป็น มีเงินก้อนนึง อยากซื้อรถก็แอบมีเสียดาย แต่โชคดี ได้มีโอกาสลงทุนในบริษัทของญาติ (เป็นหุ้นส่วน)แม้จะเป็นหุ้นส่วนเล็กๆ แต่ก็ยอมไม่เอารถก่อน รอได้เงินปันผลแล้วค่อยเอารถดีกว่า แต่ยังไงก็จองไว้ก่อน เพื่อรักษาสิทธิ์รถคันแรก จากคุณ : คนังเงาะน้อย (คนังเงาะน้อย) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 17:56:35

ความคิดเห็นที่ 32 รถได้มา มูลค่ามีแต่ลดลงเรื่อยๆ เว้นแต่เราใช้รถหาเงินได้มากกว่ามูลค่าที่ด้อยลงไป หุ้น ใครบอกว่าซื้อหุ้นมีแต่ขึ้น อย่าได้ไปเชื่อเชียวนะ พวกพูดแบบนี้คือพวกด้อยประสบการณ์ หุ้น ซื้อแล้วมีทั้งขึ้นและลง ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ เจ้า สภาวะเศรษฐกิจภายในและภายนอก ภาวะการเมือง (หลักๆก็ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ กับที่ควบคุมไม่ได้) แล้วแต่จังหวะชีวิตคน เลือกหุ้นดี โชคดีก็ดีไป อย่าเห็นว่าเล่นหุ้นรวย คนเล่นหุ้นกี่ล้านคน รวยจริงกี่คน ถึงพันคนหรือเปล่า แล้วที่รวยนี่ ใช่เพราะฐานเขารวยอยู่แล้ว เล่นหุ้นกระจายความเสี่ยง หรือรวยเพราะหุ้นจริงๆ ถ้าใช่ มีกี่คน แล้วจะเห็นว่า พวกโดนหุ้นกิน กี่% จากคุณ : babysang เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 18:30:46

ความคิดเห็นที่ 33 ใช่ครับ หุ้นมีขึ้นมีลง  ดูอย่างบ้านปูสิ  ตอนขึ้น  ขึ้นไปอยู่ 700 กว่าบาทตอนนี้อยู่ 300 กว่าบาท   เงินหายไปเกือบครึ่ง ผมอยากเห็นคนที่ซื้อตอน 700 กว่าบาทจัง ราคาทองก็เหมือนกัน   ใช่ว่าจะขึ้นตลอด จำได้มั๊ย ตอนที่ทองบ้านเราอยู่ 27,000 บาท   แล้วตอนนี้หล่ะ  ไล่เลี่ยที่ 25,000 มาเรื่อย ๆ คนที่ซื้อไว้ตอน 27,000 จะเป็นยังไงไม่รู้เนอะ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าปัจจัยอะไรทำไมทองถึงขึ้นไป 27,000 ในตอนนั้นเพราะมไม่ได้สนใจ(ตอนนั้นเรียนอยู่  ก็แค่รับรู้ราคา  เดินผ่านร้านทองอยู่บ่อยๆ)  ตอนนี้ทำงานได้ 2-3 ปี  กะว่ามีเงินก็อยากจะลองลงทุนดูบ้าง ยาวเลย..  ตอบ จขกท. บ้างดีกว่า อยู่ที่ความสำคัญครับ  ตอนนี้มีรถหรือยัง? ถ้ายัง.. ก็คิดต่อเอาเองครับว่าใช้ชีวิตได้มั๊ย  ลำบากเหลือบ่ากว่าแรงหรือเปล่าที่ต้องใช้ระบบขนส่งสาธารณะที่ดีที่สุดในโลกอย่างประเทศไทยแบบไม่มีรถหน่ะครับ ชั่งน้ำหนักดูครับ จากคุณ : siLvan เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 18:54:09

ความคิดเห็นที่ 34 เวลาดูหุ้นหรือทรัพย์สินใดๆ เช่นทองหรือที่ดิน อย่าดูแค่ตัวเดียวนะครับ ต้องรู้จักกระจายการลงทุนด้วยครับ ถ้าดูหุ้นแค่ตัวเดียวแปลว่ายังกำจัดความเสี่ยงประเภทที่ 2. ไม่เป็นครับ (ความเสี่ยงจากการที่เรารู้ แต่ควบคุมได้ ) การกระจายการลงทุน และระยเวลาการลงทุนจะช่วยทำให้กำจัดความเสี่ยงที่เรียกว่า Unsystematic risk หรือความเสี่ยงประเภทที่ 2 ได้ครับ จำนวนหุ้นที่เหมาะสมที่จะอยู่ในพอร์ต ยากที่จะกำหนดตายตัว แต่ประมาณ 5-7 ตัวคิดว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมครับ ปล. บ้านปูถ้ามองย้อนไป 2 ปี ราคา 700 กว่าบาท ตอนนั้นคนที่เป็นนักลงทุนใครเค้าซื้อกันละครับ เค้าซื้อกันคั้งแต่ปี 2008 ราคาประมาณ 150 บาท - 200 บาทต่อหุ้น รับปันผลกันปีละประมาณ 10-20 บาทจนต้นทุนเหลือไม่ถึง 100 บาทต่อหุ้นกันแล้วครับ แต่นักเล่นหุ้นเค้าติดกันที่ 700 บาทก็คงมีครับ แต่ส่วนใหญ่น่าจะคัทลอสไปหมดแล้ว ถ้าไม่มีทักษะในการเลือกหุ้นจริงๆ ลงทุนในกองทุนรวมก็ได้นะครับ ส่วนหนึ่งของการลงทุนผมก็ลงทุนใน LTF ครับ ลงทุนทุกปีมาเกือบ 10 ปี  ขายแต่ละทีไม่เคยขาดทุนสักปีครับ กำไร 20% up (ไมรวมภาษีที่ได้ลดหย่อน) ปีล่าสุดขายไปได้เงินมาขนาดซื้อมาสด้า 2 ได้คันนึงน่ะครับ จากเงินลงทุนแสนกว่าบาท เวลาลงทุนประมาณ 4 ปี (ในกองทุนที่ผมลงทุนเค้าก็ถือหุ้นบ้านปูนะครับ แต่จากการกระจายการลงทุน ทำให้ผลขาดทุนจากหุ้นบ้านปูถูกเฉลี่ยด้วยกำไรจากหุ้นอีกหลายๆ ตัว จนมันกำไร 3 เท่าตัวกว่าอยู่ครับ) จริงๆ แล้วคนเล่นหุ้นแล้วรวยมีน้อยคนก็ไม่แปลกอะไรนิครับ เพราะแค่คำว่าเล่นหุ้นก็ผิดแล้วครับ ที่สำคัญเราต้องเลือกลงทุนครับ ไม่ใช่การเล่นหุ้น และเราได้ลงทุนให้รวยครับ เป็นเพียงแค่การบริหารทรัพย์สินให้งอกเงยอย่างที่ควรจะเป็นภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสมและยอมรับได้ แต่ถ้าไม่กล้ารับความเสี่ยงใดใดเลย เงินต้นไม่ให้กระเด็นสักบาทก็คงต้องอยู่กับเงินฝากธนาคารต่อไปแหละครับ แต่อย่าลืมว่าต้องอยู่กับความเสี่ยงที่มูลค่าเงินลดลงทุกวันครับ ปล. ไม่ใช่อะไรนะครับ คือถ้าเรียนรู้และเข้าใจเรื่องการลงทุนแล้ว ตอบตัวเองได้ว่าไม่ชอบความเสี่ยงเลย จึงไม่อยากลงทุนก็ไม่ว่ากันครับ แต่ไม่อยากให้กลัวการลงทุนกันเกินเหตุ กลัวทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักมันดีพอน่ะครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 55 19:47:13 จากคุณ : kittik25 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 19:43:45

ความคิดเห็นที่ 35 หลายคนมองหุ้น ในมุมดีมาก จนเหลือเชื่อ จากคุณ : หมูอวบ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 20:14:59

ความคิดเห็นที่ 36 หุ้นเป็นสินทรัพย์ รถเป็นหนี้สิน อะไรดีกว่าอ่ะ จากคุณ : via iPhone (jamjung) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 20:15:17

ความคิดเห็นที่ 37 ถามจริง ๆ หรือครับ จากคุณ : ทอม เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 22:42:14 A:115.67.194.28 X: TicketID:354286

ความคิดเห็นที่ 38 หุ้นเนี่ยะ สำหรับผม ถ้าไม่ใช่เจ้าใหญ่จริง ... เป็นอ้อยเตรียม เข้าปากช้างได้เลย ถ้าเราได้กำไร แปลว่า กำไรของเรามันยัง เล็กอยู่ จนรายใหญ่เขาเฉยๆ พวกรายใหญ่เนี่ยะ เขาทำอะไร มันจะมีผลต่อราคาหุ้นแบบทันทีทันใด แล้วถ้ามันเป็นการ "ปั่น" หละ ... งานนี้ ออกหัว ออกก้อย ยัง ยากจะเดาเลย ... ผมถึงบอกไงว่า ถ้าเล่นในกระดาษหนะ ไม่มีปัญหาหรอก นัก ศึกษาเขาก็เล่นกันเยอะแยะ แต่ พอลงสนามจริง หายเรียบกัน เป็นแถวๆ ครับ ถ้าคิดว่าชัวร์ก็ลองได้ครับ ผมไม่ขัดศรัทธา แต่ ผมเป็นโรค ไม่ชอบเสี่ยงแบบเสียเงิน ฝากเงินกินดอกเฉยๆ ยังจะรู้สึกว่า สบายกว่ากันเลย อย่างไงก็งอกชัวร์ อย่างน้อยๆ ต้นก็เหลือ แน่ๆ ยากที่ต้นเราจะหายไปได้ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 22:47:42

ความคิดเห็นที่ 39 ผมไม่เชื่อครับว่าคุณลงทุนใน LTF 4 ปี ได้เงินเท่ารถมาสด้าสองหนึ่งคัน กองอะไรครับ บอกได้ไหม ต่อให้ลงที่พาร์ 10 บาทด้วยเอ้า ให้ลงสองแสนบาทเลยด้วยแถมให้ กองที่ดีที่สุด ผลตอบแทน สามปี มันแค่ 83% เท่านั้น ดังนั้น คุณได้คืน ไม่เกิน 370,000 บาทรวมเงินต้น เอาที่ไหนเป็นตุเป็นตะมาบอกว่ากำไรขนาดนั้นครับ ผมว่าคุณโม้เกินไปครับ จากคุณ : ฟาง เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 10:25:38 A:58.137.128.66 X: TicketID:289572

ความคิดเห็นที่ 40 เอ่ออ คนที่เค้าลงทุนในปี 2008 เค้าได้แบบนี้กันทั้งนั้นแหละครับ ไปหา NAV ปี 2008 เทียบดูกับ NAV ปี 2012 ดุครับ ซื้อไป 170000 ขายได้ 5 แสนกว่าครับ   คุณไปดูผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี มันก็ได้ต้นงวดแค่ปลายปี 2009 สิครับ  ผลตอบแทนไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์นะครับ ว่าแต่ 3 ปี ได้ 87% ยังไม่พอใจอีกเหรอครับ จากคุณ : kittik25 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 11:05:37

ความคิดเห็นที่ 41 พี่ๆ ครับ การลงทุน กับการเล่นหุ้น ใช้วิธีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกัน แต่แนวคิดและวิธีการต่างกันครับ ถ้าพี่พูดถึงการปั่นหุ้น แปลว่าพี่ยังแยกไม่ขาดระหว่าง "การลงทุน" กับ "การเล่นหุ้น" นะครับ   ผมไม่ได้เชียร์ให้คนมาเล่นหุ้นนะครับ แต่เชียร์ให้ศึกษาเรื่องการลงทุนให้เข้าใจจริงๆ มากกว่าที่ไปฟังคนเล่นหุ้น (ไม่ใช่นักลงทุน) มาเล่าประสบการณ์อันเลวร้ายที่พบมาแล้วพาลกลัวไปหมดครับ คือผมเชียร์ให้ศึกษาเรื่องการลงทุนให้เข้าใจ แล้วเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับ Risk Profile ของตัวเองน่ะครับ ส่วนเรื่องการถือเงินสดและรับดอกเบี้ยต่ำติดดินอย่างทุกวันนี้ มันก็มีความเสี่ยงอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือความเสี่ยงที่มูลค่าของเงินสดมันลดลงทุกวันครับ ถ้าพี่มีเงิน 10 ล้านวันนี้ ฝากธนาคารอย่างเดียวรับดอกเบี้ยหลังหักภาษีปีละ 2% อีก 20 ปีข้างหน้าดอกเบี้ยทบต้นอาจจะทำให้พี่มีเงินเป็น 15 ล้านบาทและรับความเสี่ยงที่แบงค์เค้าประกันเงินฝากแค่ 1 ล้านบาทได้ก็โอเคครับ แต่เงิน 15 ล้านบาทในอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับ 10 ล้านบาทวันนี้หรือไม่ ก็เป็นความเสี่ยงของการถือเงินสดแหละครับ  แต่ผมเชื่อว่าเงิน 10 ล้านวันนี้ซื้อของ เช่น บ้าน อาหาร รถยนต์ ได้มากกว่าเงิน 15 ล้านบาทในอีก 20 ปีข้างหน้าครับ นั่นคือแปลว่าเราจนลงถ้าถือเงินสดแม้ว่าจะได้ดอกเบี้ยปีละ 2% ก็ตาม เงินสดเป็นสิ่งที่เพิ่มขึ้นทุกปี เพราะมาตรการอัดฉีดเงินเข้าระบบที่นิยมทำกันไม่เว้นแม้แต่บ้านเราครับ ซึ่งดอกเบี้ยเงินฝาก 2% มันตามไม่ทันครับ   ส่วนถ้าทุกคนเข้าใจเรื่องการลงทุนจริงๆ ที่ไม่ใช่ฟังจากนักเล่นหุ้นมา และเข้าใจแล้วว่าการถือเงินสดมีความเสี่ยงเหมือนกันไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยง และพึงพอใจที่จะเลือกการลงทุนแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำถูกต้องแล้วครับเพราะการลงทุนมันต้องเลือกให้เหมาะกับ Risk Profile ของตัวเองครับ ขอย้ำนะครับ จุดยืนผมไม่ได้เชียร์ให้เล่นหุ้นเลย ผมแค่แนะนำเรื่องการทำความเข้าใจกับการลงทุนอย่างแท้จริงและเมื่อเข้าใจแล้วก็จะได้เลือกวิธีการลงทุนให้เหมาะสมกับ Risk Profile ของตัวเองเท่านั้นเองครับ แต่เหมือนหลายๆ คนจะปิดกั้นการเรียนรู้เรื่องการลงทุนโดยอ้างอิงจากประสบการณ์ล้มเหลวของนักเล่นหุ้นใกล้ตัวกันจังเลย  กลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ ก็น่าที่จะสามารถเรียนรู้ได้นิครับ การเรียนรู้กับสิ่งที่เราไม่รู้นี่มันยากเหรอครับ จากคุณ : kittik25 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 12:10:54

ความคิดเห็นที่ 42 หลายคนในนี้ผ่านวันอุ๋ย 100 จุดมากันหรือยัง วันนั้น เจ็บกันระนาวเลยนะ จากคุณ : babysang เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 20:09:21

ความคิดเห็นที่ 43 ครับ ... หุ้น น่าสนใจครับ ถ้าผมรายใหญ่พอ ... ถ้าซื้อได้สัก ๔๐% ขึ้นหละ ผมสบายใจแน่ๆ เพราะ ผมกำหนดทิศทางของ ราคาได้ค่อนข้างแน่นอน (ผมมั่นใจแบบนั้น) แต่ ถ้าซื้อได้ไม่ถึง % หละ แบบนี้สำหรับผม โคตรเสี่ยง แต่ว่า คนรักความเสี่ยงมีเยอะครับ ขนาดสลากกินแบ่ง ยังหา กินได้บนความเสี่ยงเลย หวยใต้ดินก็มี เรียนรู้ได้ครับ แต่ ผมไม่ชอบเสี่ยงเลย ขนาดหวย ผมยังไม่ เล่นเลยครับ จากคุณ : สยึมกึ๋ย เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 21:32:04

ความคิดเห็นที่ 44 วันอุ๋ย 100 จุด คือวันที่ธปท. ประกาศเรื่องการควบคุมกระแสเงินลงทุนจากนักนักลงทุนตปท. ใช่ไหมครับ ถ้าใช่ หลังจากนั้นวันนึงผมซื้อไปเยอะเลยล่ะครับ  ถ้าให้พูดแบบไม่กลัวคนหมั่นไส้นะครับ ผมอยากให้มีแบบนั้นอีกจริงๆ ผมชอบเลยล่ะ เพราะถ้าเข้าใจเรื่องการลงทุน จะเห็นว่ามาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นแน่นอน แต่แทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทเลยครับ ไม่ได้กระทบยอดขาย ไม่ได้กระทบกำไรอะไรเลย  ลองคิดดูดีดีสิครับว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้คนซื้อของเซเว่นน้อยลงมั้ยครับ คนจะเดินเซ็นทรัลน้อยลงป่าว  จะทำให้บ้านจัดสรรขายไม่ออกไหมครับ  ถามชาวบ้านทั่วไป ใครๆ ก็ตอบได้ครับ มีแต่นักเล่นหุ้นที่มองเรื่องราคาหุ้นนี่แหละครับ โดนราคาหุ้นลวงตา   ถ้ามีอีกผมช้อนอีกแน่นอนครับ แต่แกน่าจะบอกล่วงหน้าหน่อยจะได้มีเวลาวิเคราะห์ได้หลายๆ บริษัทหน่อยอ่ะครับ มาตรการแบบนี้แหละครับ ผมเรียกว่าโอกาส เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ หุ้นราคาถูก เสียดายแกยกเลิกมาตราการเร็วไปหน่อยมีเวลาวิเคราะห์ได้ไม่นาน หุ้นก็ดีดขึ้นซะแล้วครับ ส่วนนักเล่นหุ้นไทยที่แตกตื่นเห็นต่างชาติขายเลยขายมั่ง ก็เลยเจ๊งตามๆ กันไปแหละครับ แล้วก็เอามาเล่าให้คนอื่นฟังส่งผลให้คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยกลัวหนักกันไปอีก ใช่ไหมล่ะครับที่กลัวๆกันนะครับ รู้จักแต่ราคาหุ้นแต่ไม่เคยสนใจว่ากำไรต่อหุ้นเท่าไร กำไรมาจากไหนใช่ไหมล่ะครับ  แหมๆๆ กลัวคนเดียวไม่พอไปขู่ใหเคนอื่นกลัวต่อไปเรื่อยๆ อีก    ถ้าเจ๊งเพราะลงทุนไม่เป็นโทษตลาดหุ้นนี่ถูกเหรอครับ เหมือนกับถ้าคุณทำร้านกาแฟแล้วเจ๊ง แปลว่าคนอื่นไม่ควรทำร้ากาแฟเหรอครับ คุณเปิดอู่ซ่อมรถแล้วเจ๊งเลยคิดว่าคนอื่นๆ จะทำแล้วเจ๊งเหมือนกันเหรอครับ แยกให้ออกระหว่างการเลือกซื้อขายหุ้นด้วยการอ้างอิงราคา กับการซื้อขายหุ้นโดยอ้างอิงผลประกอบการนะครับ แบบแรกเรียกว่านักเล่นหุ้น แบบที่ 2 เรียกว่านักลงทุนครับ ผมสนับสนุนให้ลงทุนไม่ได้สนับสนุนให้เล่นหุ้นครับ เลือกซื้อหุ้นที่ผลประกอบการดีดี กำไรดี ปันผลก็ดีตามเองครับ   ปล. อย่างที่เรียนไปครับ การถือเงินสดก็มีความเสี่ยงครับ แต่ในช่วงชีวิตท่านอาจจะไม่เคยเห็นความเสี่ยงของมัน เคยอยู่กับยุคดอกเบี้ยเงินฝาก 10% อัพ ท่านก็เลยคิดว่ามันไม่เสี่ยงครับ ลองไปศึกษาเม็กซิโกหรืออาเจนติน่านะครับ ค่าเงินร่วงระนาวในเวลาไม่กี่เดือน สมัยสงครามโลกแบงค์ของบางประเทศกลายเป็นเศษกระดาษที่ใช้อะไรไม่ได้เลย   แต่หลายๆ ท่านยังมองเงินสดเป็นมาตรวัดความมั่งคั่งของตัวเองอยู่ ถ้ามีเงิน 10 ล้านในอีก 20 ปีข้างหน้า แล้วยังสามารถซื้อสินค้าได้เท่ากับ 10 ล้านในวันนี้ จึงจะเรียกได้ว่าเงินสดไม่เสี่ยงครับ ทุกวันนี้ทรัพย์สินที่ถือเป็นทรัพย์สินอ้างอิงได้มีหลักๆ อยู่  2 อย่าง คือ ทองคำ กับ เงินดอลลาร์สหรัฐครับ โลกมันแคบลงขนาดนี้ท่านยังเห็นว่าเงินบาทมั่นคงอยู่เหรอครับ หากเปิดใจยอมรับความคิดที่ขัดกับหลักความเชื่อเดิมๆ ที่ท่านรับรู้มา น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากครับ บางท่านบอกว่าหุ้นเป็นกระดาษใบนึง  ท่านลองนึกดีดี เงินสดก็เป็นกระดาษเหมือนกันนะครับ  มันมีค่าเพราะคนส่วนใหญ่ยอมรับเท่านั้นเอง ถ้าเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปจนคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับก็จบครับ ผมจึงเสนอแนวทางว่าควรจะกระจายการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นเงินสด ที่ดิน คอนโด หุ้น ทอง กิจการ  ทรัพย์สินอันไหนพังไป เรายังมีทรัพย์สินอื่นอยุ่ครับ หากท่านมีไข่อยู่ 100 ใบ ท่านเลือกที่จะเก็บไว้ในตะกร้าใบเดียว หรือ จะกระจายไว้ในตระกร้าหลายๆ ใบละครับ ไว้ใจตระกร้าใบไหนมากหน่อยก็เก็บไข่ไว้มาหน่อย ไว้ใจใบไหนน้อยหน่อยก็เก็บไข่ไวิ้น้อยหน่อย หรือท่านมั่นใจว่าตระกร้าเงินสดชาตินี้จะไม่มีวันตกแตกครับ   ทุกวันนี้ที่ท่านกลัวก็เพราะท่านไม่รู้เท่านั้นเอง มันไม่ได้ยากอะไรนะครับ จากคุณ : kittik25 เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 55 15:59:53

ความคิดเห็นที่ 45 ^ ^ ประเด็นอยู่ที่คนกลัวกับไม่คุ้นเคยกับความเสี่ยงที่ตัวเองจะเจอค่ะ วันอุ๋ย 100 จุด เราก็ได้กำไร 20%กว่าๆ แค่เพียงข้ามคืน แต่คนอื่นล่ะ เราคาดหวังให้ทุกคนมีความรู้ ลงทุนสำเร็จทุกครั้ง คงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ หากเกิดเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ต่างๆ จะทำให้เกิดผลอย่างเดิมอีกหรือเปล่า กระจ่ายความเสี่ยงดีที่สุด แต่บางคนเลือกที่จะเสี่ยงน้อยโดยการฝากออมทรัพย์ค่ะ เขาอาจคิดว่าเสี่ยงเรื่องเงินด้อยมูลค่า ยังดีกว่าเสี่ยงราคาผันผวนต่างๆ แต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากันค่ะ เห็นคนเล่นหุ้นแรกๆได้ทีเป็นล้าน เขาดีใจมาก แต่ตอนหลังขาดทุนที่เป็นล้านๆ แรกๆก็เครียด สรุปสุดท้าย อยู่ในตลาดหุ้น 3 ปี ได้กำไร 10% จากเงินต้น เฉลี่ยก็ปีละ 3.33% เอง พอๆกับฝากประจำ แต่เขาคิดว่าเขาไม่ขาดทุน เขาได้ประสบการณ์ว่าตัวเองเหมาะกับอะไร แล้วก็ไม่ได้เล่นหุ้นอีกเลย แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 55 09:31:59 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 55 09:31:33 จากคุณ : babysang เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 09:30:47

ความคิดเห็นที่ 46 ครับประเด็นอยู่ที่ตรงนั้นเองครับ ถ้าเรียนรู้และเข้าใจมัน แล้วค่อยเลือกการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุดภายใต้ความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้จะดีที่สุดครับ อย่างที่คุณ babysang  บอกเลยครับ การกระจายความเสี่ยงเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ  การเอาเงินสดฝากธนาคาร โดยเฉพาะการฝากประจำไม่ใช่ทางเลือกการลงทุนที่ดีที่สุดในปัจจุบันแล้วครับ ยังมีรูปแบบการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำกว่าการฝากธนาคารแต่ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าอยู่นะครับ เช่น กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือตั๋วเงินคลัง เป็นต้น ในยุคปัจจุบัน ธนาคารสมควรเป็นที่เก็บเงินสำหรับการบริหารสภาพคล่องระยะสั้นเท่านั้นเองครับ รู้แจ้งแล้วจึงกลัวดีกว่าไม่รู้เรื่องแล้วกลัวไปก่อนนะครับ จากคุณ : kittik25 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 13:08:52