ความคิดเห็นที่ 2
ต้องดูกรณี ๆ ไปครับ
ถ้า ทั้งสองอย่าง ใช้หลอดชนิดเดียวกัน กระเปาะ เท่ากัน วัตต์ เท่ากัน ก็จะให้ความสว่างที่พอ ๆ กัน
แต่ความเป็นจริง แบบที่1 จะใช้หลอด H3 แต่แบบที่2 จะใช้ H4 หรือ H7 ที่มีกระเปาะใหญ่กว่า H3 เวลาใช้จริง ความรู้สึกจะทำให้คิดว่าแบบที่2 สว่างกว่าแบบที่1
โดยที่แบบที่1 จะได้ดีในการที่แสงจะพุ่งเป็นลำ พุ่งไปไกล แต่แบบที่ 2 จะได้ดีที่แสงจะกว้างกว่า แต่ระยะจะสั้นกว่า แสงส่วนใหญ่ที่ออกมาจากโคมจะตกอยู่ข้างหน้า
สรุปข้อดีของแบบที่1 คือ แสงพุ่งเป็นลำ ไกล คุณภาพของแสงดี ไม่แยงตา แต่ข้อเสียคือ ต้นกำเนิดแสงที่เป็นหลอด H3 มีความเข้มของแสงน้อยเกินไป ทำให้ไม่สว่างนัก
ข้อดีของแบบที่2 คือ ชัดเจนดีในระยะทางใกล้ ๆ แต่ไกล ๆ แล้วเหมือนแสงมันหมด มันไปไม่ถึง ซึ่งก็คือข้อเสียนั่นเอง และ จะมีแสงแยงตามากกว่าด้วย
แต่ทุกวันนี้ เทคโนฯ มันก้าวไปเรื่อย ๆ คุณจะเห็นได้ว่า แสงจากแบบที่ 1 นั้น คุณภาพดีกว่าแบบที่2 มาก แต่ขาดที่ความสว่าง ฉะนั้นก็เลยมีการใส่ Xenon เข้าไปแทน ซึ่งจะชดเชยข้อเสียที่ไม่สว่างทิ้งไปทันที ทำให้แสงที่ได้ พุ่งไปไกล ไม่แยงตา และสว่าง ซึ่งคุณจะเห็นไปแบบนี้ได้ในรถหรูราคาแพงเท่านั้นในขณะนี้ ยกตัวอย่างเช่น Benz C E S ML CLK SL, BMW S3 S5 S7 Z4, Jaguar X-Type, S-Type, ฯลฯ ซึ่งต่อไปเทคโนฯ นี้ซึ่งราคาแพงในขณะนี้ ต่อไปในอนาคตต้องเป็นสแตนดาร์ดสำหรับรถหรู ๆ แพง ๆ ในรถญี่ปุ่นแน่นอน
จากคุณ :
Jezzy
- [
6 ต.ค. 46 22:55:56
]
|
|
|