ความคิดเห็นที่ 116
เซเลสเตผมมีเท่าที่เคยเขียนไว้ดังนี้ครับ ถ้ามากกว่านี้ จำได้ว่ามีในหนังสือ เดตารถยนต์ เล่ม 2 ซึ่งที่ออฟฟิศของ Thaidriver ยังมีครับ ไว้ถ้าว่างๆ จะไปซีร็อกซ์มาให้ครับ
เอาเท่านี้ไปก่อนแล้วกันนะครับคุณอาร์ม
"เวอร์ชั่นพิเศษ คูเป 2 ประตูในชื่อ แลนเซอร์ เซเลสเต (LANCER CELESTE) เปิดตัวตามออกมาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1975 ด้วยขุมพลังแบบ MCA-JET 1,400 92 แรงม้า และ 1,600 ซีซี 100 - 110 แรงม้า ก่อนเปลี่ยน ไปใช้ขุมพลังตระกูล แซเทิร์น ในปีถัดมา และปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งสุดท้าย ด้วยไฟหน้าทรงเหลี่ยมในรุ่น 2000GT มากับขุมพลัง แอสตรอน 80 2,000 ซีซี 105 แรงม้า ในเดือนมิถุนายน 1979 ก่อนปลดออกจากสายการผลิตในที่สุด"
-------------------------
ส่วน พรีเมรา นะครับ เอาไปทั้งตระกูลเลยแล้วกัน อันนี้ก็ยังเขียนไม่ละเอียดนักละครับ ไว้โอกาสต่อไปจะเขียนให้ละเอียดกว่านี้สักหน่อย แล้วกันนะครับ
"THE COMPLETE HISTORY OF PRIMERA
พรีมีราถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวยุโรปในกลุ่มตลาดรถยนต์ครอบครัว เริ่มบุกตลาดยุโรป แทนที่ตระกูลบลูเบิร์ดมาตั้งแต่ต้นปี 1990 และถือเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญในยุทธศาสตร์ของนิสสันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยชื่อ พรีมีรา มาจากภาษาสแปนนิช แปลว่า ดีที่สุด ปัจจุบัน นอกจากในญี่ปุ่นแล้ว พรีมีรามีฐานการผลิตหลักอยูที่ โรงงานซันเดอร์แลนด์ในประเทศอังกฤษ
รุ่นแรกเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 1990 ในรหัสรุ่น P10 มีตัวถังเพียง 2 แบบ ทั้งรุ่นซีดาน และรุ่น 5 ประตู ที่ส่งออก จากโรงงานในเมืองซันเดอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ ไปเสริมทัพในญี่ปุ่นด้วยชื่อ พรีมีรา ยูเค รหัสตัวถัง E-FHP10
มิติตัวถังยาว 4,400 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,385 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,550 มิลลิเมตร วางขุมพลัง SR20DE 150 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที
ในปี 1990 นิสสันได้ให้กำเนิด อาเวนีร์ สเตชันแวกอน ขนาดกลางที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับพรีมีรา เพื่อบุกตลาด ยุโรปในชื่อพรีมีรา แวกอน อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่พรีมีรามีตัวถังแวกอนของตัวเองอย่างแท้จริงเมื่อปี 1997 อาเวนีร์ ก็ถูกจำกัดการทำตลาดในญี่ปุ่นเท่านั้น จนถึงทุกวันนี้
ส่วนในตลาดสหรัฐอเมริกา ก็มีโอกาสสัมผัสพรีมีราเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1993 ผ่านพรีเมียมแบรนด์อย่าง อินฟินิตี ในชื่อรุ่น จี20 วางขุมพลังรหัส แรงม้า (PS) ที่ รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด กก.-ม.ที่ รอบ/นาที
รุ่นที่ 2 รหัสรุ่น P11 เริ่มออกสู่ตลาดญี่ปุ่นในเดือนกันยายน 1995 ใน 2รูปแบบ คือพรีมีราธรรมดา และพรีมีรา คามิโน ความแตกต่างอยู่ที่ชุดไฟท้ายและฝากระโปรงหน้าพร้อมกระจังหน้าของรุ่นคามิโน จะเป็นแบบเดียวกับรุ่นส่งออกสู่สหรัฐ อเมริกาในชื่อ อินฟินิตี้ จี20 ที่เปิดตัวในช่วงปี 1998 วางขุมพลังเพียง 2 แบบ คือ SR18DE 125 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.0 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที และ SR20DE 150 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที ลงในตัวถังที่มีความยาว 4,430 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,400 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร
ทิ้งช่วงมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ 1997 รุ่น 5 ประตู ในชื่อ พรีมีรา ยูเค รหัสตัวถัง E-FHP11 ถูกส่งจากอังกฤษมาบุก ตลาดญี่ปุ่น วางขุมพลัง SR20DE บล็อคเดิมเพียงบล็อคเดียว และเปลี่ยนระบบกันสะเทือนหลังจาก พาราเรลลิงค์ สตรัท มาเป็นมัลติลิงค์บีม ด้วยมิติตัวถังที่เท่ากันกับรุ่นซีดานทุกกระเบียดนิ้ว
อีก 7 เดือนต่อมา ในเดือนกันยายน 1997 ถึงเวลาปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ และเปิดตัวรุ่นสเตชันแวกอนพร้อมกันกับใน ตลาดโลก ในรุ่นนี้มีขุมพลังรุ่นใหม่มาเสริมทัพ เป็นบล็อค SR20VE ฝาสูบสีฟ้า พ่วงระบบวาล์วแปรผัน NEO VVL 190 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม.ที่ 6,000 รอบ/นาที พ่วงกับเกียร์อัตโนมัติอัตราทด แปรผัน HYPER-CVT ที่มีทั้งแบบธรรมดา และแบบที่ผู้ขับเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เองเป็นพิเศษหรือ HYPER CVT-M6
ในเมืองไทย พรีมีรารุ่นนี้มีโอกาสวาดลวดลายอยู่บนท้องถนนในแบบรถยนต์นำเข้าเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 1996 และได้รับ ความนิยมสูง แต่เนื่องจากปริมาณนำเข้าที่น้อยมาก ทำให้กระแสความนิยมค่อยๆซาลงไปอย่างน่าเสียดาย
ถึงแม้จะมีการปรับโฉมแล้ว แต่เนื่องจากยอดขายในตลาดยุโรปก็ยังไม่ส่อเค้าว่าจะกระเตื้องขึ้น ดังนั้น สำนักงานใหญ่ ของนิสสันยุโรปในเบลเยี่ยม จึงเร่งเผยโฉมรุ่นไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ของพรีมีรา เพื่อเดินเครื่องบุกตลาดยุโรปเพียง อย่างเดียว เผยโฉมเมื่อเดือนมิถุนายน 1999 ด้วยรูปลักษณ์ด้านหน้าที่คล้ายคลึงกับเรโนลต์ เมกานอย่างมาก
มิติตัวถังยาว 4,522 มิลลิเมตร กว้าง 1,715 มิลลิเมตร สูง 1,410 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,600 มิลลิเมตร วางขุมพลังขนาด 1,998 ซีซี 138 แรงม้า (PS) และพ่วงด้วยระบบส่งกำลังแบบ HYPER CVT M-6 เช่นเดียวกับ รุ่นที่ขายในญี่ปุ่น
จากคุณ :
JIMMY
- [
8 ม.ค. 47 00:58:30
]
|
|
|