ความคิดเห็นที่ 4
ระบบการสแกนภาพที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จะเป็นการสแกนภาพแบบสลับเส้น ซึ่งเรียกว่า อินเทอร์เลซสแกน(Interlace Scan) เป็นมาตรฐานที่กำหนดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน มีหลักการทำงานคือ ภาพ 1 เฟรมจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฟิลด์ คือ ฟิลด์ A และ ฟิลด์ B โดยฟิลด์ A จะมีเฉพาะเส้นสแกนเลขคี่ (เส้นที่ 1,3,5.....) และฟิลด์ B เฉพาะเส้นสแกนเลขคู่ (เส้นที่ 2,4,6.......) การสแกนภาพจะเริ่มจากสแกนฟิลด์ A (สแกนเฉพาะเส้นเลขคี่) แล้วจึงมาสแกนฟิลด์ B (สแกนเฉพาะเส้นเลขคู่)
ระบบ NTSC จะมีการสแกน 60 ฟิลด์ใน 1 วินาที หรือ 30เฟรม ใน 1 วินาที และในระบบ PAL จะมีการสแกน 50 ฟิลด์ ใน 1 วินาที หรือ 25 เฟรม ใน 1 วินาที ซึ่งเพียงพอต่อการรับชมภาพในอดีต เนื่องจากยังไม่มีแหล่งรายการที่มีความคมชัดสูง และขนาดของจอแสดงผลยังไม่มีขนาดใหญ่มากนัก
แต่ในปัจจุบัน เมื่อขนาดจอภาพที่ทุกคนเลือกซื้อมักมีขนาดใหญ่ขึ้น ประกอบกับมีเครื่องเล่น DVD ซึ่งมีความคมชัดสูง จึงทำให้สังเกตเห็นข้อด้อย ของระบบการสแกนภาพแบบอินเทอร์เลซสแกน ได้อย่างชัดเจน
ระบบโปรเกรสซีฟสแกน
คือระบบการสแกนภาพแบบใหม่ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องของอินเทอร์เลซสแกน โดยการสแกนภาพจะต่อเนื่องเรียงไปทีละเส้นภาพ (สแกนเส้นที่ 1,2,3,4,5,.......ต่อเนื่องกันไป) ดังนั้นจึงให้ความคมชัด, รายละเอียดของภาพที่ดีกว่า มองไม่เห็นเส้นสแกนภาพ, ขอบของวัตถุที่ราบเรียบ ไม่มีรอยหยัก และยังลดการกระพริบของภาพลง ทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น เนื่องจากมีจำนวนภาพใน 1 วินาทีสูงมากกว่า
การทำงานของระบบโปรเกรสซีฟสแกน
เนื่องจากข้อมูลภาพที่บันทึกมาในแผ่น DVD ก็จะอยู่ในรูปแบบของอินเทอร์เลซสแกน ดังนั้น เครื่องเล่น DVD แบบโปรเกรสซีฟสแกน จึงต้องมีการแปลงจากอินเทอร์เลซสแกน ไปเป็นโปรเกรสซีฟสแกน การแปลงมีอยู่หลายวิธี ซึ่งพอจะจำแนกระบบการแปลงที่เหมาะสมกับภาพจากแหล่งกำเนิดต่างๆ ได้ดังนี้
ภาพจากกล้องถ่ายวิดีโอ
แผ่น DVD คอนเสิร์ต ส่วนใหญ่จะบันทึกภาพโดยใช้กล้องถ่ายวิดีโอ ซึ่งจะบันทึกภาพมาในแบบแยกภาพออกเป็นฟิลด์ภาพ ดังนั้นการแปลงเป็นโปรเกรสซีฟสแกน จะอาศัยข้อมูลจากฟิลด์ภาพเหล่านี้ มีวิธีการสร้างภาพหลายรูปแบบคือ
-BOB ใช้ข้อมูลเส้นภาพจากฟิลด์เดียว แล้วสร้างเส้นภาพเทียมขึ้นแทรกในส่วนที่ว่างอยู่โดยการ INTERPOLATE ระบบนี้จะง่ายที่สุด แต่คุณภาพของภาพจะลดลง
-WEAVE จะนำข้อมูลภาพจากฟิลด์เส้นคู่ และฟิลด์เส้นคี่มาซ้อนกัน จะได้ภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ถ้าวัตถุในภาพมีการเคลื่อนไหวเร็วๆ จะเกิด COMBING คือเห็นวัตถุซ้อนกันไม่สนิท แบ่งเป็นซี่ๆ เหมือนฟันหวี
-VERTICAL TEMPORAL ทำงานในแบบ WEAVE แต่ถ้ามีการเคลื่อนไหว จะลดรายละเอียดในแนวตั้งลง เพื่อกลบเกลื่อนการเกิด COMBING
-MOTION ADAPTIVE FILTER จะทำงานผสมกันทั้งแบบ BOB และ WEAVE โดยในส่วนของภาพที่ไม่มีการเคลื่อนไหว จะทำงานแบบ WEAVE และในส่วนที่มีการเคลื่อนไหวจะทำงานแบบ BOB
-MOTION COMPENSATION จะทำงานโดยมีการตรวจสอบการเคลื่อนไหวและทิศทางจากฟิลด์ก่อนหน้า แล้วเลื่อนส่วนที่มีการเคลื่อนไหวไปยังตำแหน่งที่พอดีกับฟิลด์ใหม่ ซึ่งระบบนี้จัดเป็นระบบที่ก้าวหน้าที่สุด และให้คุณภาพดีที่สุดในปัจจุบันนี้
ระบบดังที่กล่าวไปแล้ว สามารถใช้กับแหล่งกำเนิดภาพได้ทุกประเภท ทั้งจากกล้องวิดีโอ, ฟิลม์ และ Computer Animation แต่สำหรับฟิล์ม ยังมีวิธีที่เหมาะสม ให้คุณภาพที่ดีกว่าดังจะกล่าวต่อไป
ภาพจากฟิล์มภาพยนตร์
แผ่น DVD ส่วนใหญ่ก็คือแผ่นภาพยนตร์ ซึ่งได้ภาพมาจากฟิล์มภาพยนตร์ โดยนำภาพจากฟิล์ม 1 ภาพ แล้วมาแยกออกเป็นฟิลด์ภาพ 2 ฟิลด์ ภาพยนตร์จะใช้ฟิล์มถ่ายอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็ว 24 เฟรมต่อวินาที ซึ่งจำนวนภาพต่อวินาทีจะไม่สอดคล้องกับระบบวิดีโอ เนื่องจากระบบ NTSC จะเป็น 30 เฟรมต่อวินาที และระบบ PAL จะเป็น 25 เฟรมต่อวินาที จึงต้องมีการแปลงภาพจากฟิล์มสู่ระบบ วิดีโอ โดยแบ่งเป็น 2 ระบบหลักคือ
1.ระบบ NTSC มีจำนวนฟิลด์ 60 ฟิลด์ต่อวินาที หรือ 30ภาพต่อวินาที และมีเส้นสแกนภาพ 525เส้น ซึ่งเมื่อหักเส้นสแกนช่วงสะบัดกลับ ซึ่งมองไม่เห็นบนจอภาพออกไป จะเหลือเส้นสแกนที่มองเป็นประมาณ 480เส้น
จากรูป ฟิล์มทุกภาพจะถูกแยกออกเป็น 2 ฟิลด์คือ ฟิลด์เส้นสแกนคี่ (1,3,5,.....) และฟิลด์เส้นสแกนคู่ (2,4,6,.....) แล้วฉายภาพสลับกันในอัตราส่วน 3:2 (ดังรูป) จึงเรียกระบบนี้ว่า 3:2 PULL DOWN ภาพทุกภาพจะแยกออกเป็น 2ฟิลด์ แทนด้วย a และ b ดังรูป
ภาพที่ 1 สแกนฟิลด์ ที่ a และ b แล้วซ้ำด้วยฟิลด์ที่ a อีกครั้ง
ภาพที่ 2 สแกนฟิลด์ ที่ a และ b
ภาพที่ 3 สแกนฟิลด์ ที่ a และ b แล้วซ้ำด้วยฟิลด์ที่ a อีกครั้ง
ภาพที่ 4 สแกนฟิลด์ ที่ a และ b
ทำซ้ำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ดังรูป ก็จะสามารถแปลงจาก 24ภาพต่อวินาทีของฟิล์มให้เป็น 60 ฟิลด์ต่อวินาที หรือ 30เฟรม ต่อวินาที ของระบบ NTSC
2.ระบบ PAL มีจำนวนฟิลด์ต่อวินาที หรือ 25ภาพต่อวินาที และมีเส้นสแกนภาพ 625เส้น หักช่วงสะบัดกลับเหลือเส้นสแกนที่มองเห็น ประมาณ 576เส้น ฟิล์มจะถูกเร่งความเร็วในการฉายขึ้นจาก 24เฟรมต่อวินาที เป็น 25เฟรมต่อวินาที แต่ละภาพจะแยกออกเป็น 2 ฟิลด์ (เส้นคี่, เส้นคู่) แล้วฉายต่อกันไป (ดังรูป) ก็จะสามารถแปลงภาพสู่ระบบ PAL ระบบนี้เรียกว่า 2:2 PULL DOWN
จากหลักการแปลงภาพจากฟิล์มสู่ระบบวิดีโอดังกล่าว สามารถทำย้อนกลับเพื่อให้เป็นภาพที่สมบูรณ์ เหมือนภาพจากฟิล์มได้ โดย FILM MODE ซึ่งเครื่องที่ดีจะมี FILM MODE สร้างภาพกลับได้อย่างสมบูรณ์ แต่เครื่องที่ไม่มี FILM MODE จะใช้ระบบสร้างภาพ เหมือนกับภาพที่ได้จากกล้องวิดีโอ ซึ่งจะทำให้ภาพลดความคมชัดลง และการเคลื่อนไหวจะไม่ราบรื่น รูปด้านล่างเปรียบเทียบการทำงานระหว่างมี FILM MODE กับ ไม่มี FILM MODE ในระบบ NTSC
เมื่อไม่มี FILM MODE จะทำงานโดยการรวมฟิลด์คู่ที่อยู่ติดกันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นคือ ในฟิลด์ที่ 1a และ 2a จะถูกนำมารวมกัน ซึ่งฟิลด์ทั้ง 2 เกิดจากภาพคนละภาพ และฟิลด์ที่ 2b และ 3a ก็จะผิดพลาดเช่นเดียวกัน ความผิดพลาดนี้จะเกิดซ้ำเรื่อยๆ เมื่อคุณชมภาพก็จะเห็นภาพสะดุด, การเคลื่อนไหวไม่ราบรื่น, ภาพไม่คมชัด และอาจเกิด COMBING
เมื่อมี FILM MODE เครื่องจะรู้ว่า ฟิลด์ที่ 3 (1a) และฟิลด์ที่ 8 (3a) เป็นฟิลด์ที่ฉายซ้ำอีกครั้งหนึ่ง และไม่นำมารวมในการสร้างภาพ จะได้ภาพตรงตามต้นฉบับจากฟิล์ม เมื่อชมภาพจะเห็นภาพที่คมชัดราบรื่น สมบูรณ์เหมือนภาพจากฟิล์ม
เครื่องเล่น DVD PROGRESSIVE SCAN
ในปัจจุบันเริ่มมีการวางจำหน่ายเครื่องเล่น DVD ซึ่งมีระบบ PROGRESSIVE SCAN ในตัวราคาไม่สูงมากนัก การเลือกซื้อควรพิจารณาข้อมูลให้ละเอียด ว่ามีฟังก์ชั่นที่จำเป็นครบอันได้แก่
1.สามารถทำ PROGRESSIVE SCAN ได้ทั้งแผ่นระบบ NTSC และ PAL เนื่องจากแผ่น ZONE 3 ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นระบบ NTSC แต่มีผู้ผลิตแผ่นบางรายในประเทศไทย ผลิตแผ่นออกมาในระบบ PAL ด้วย
2.MOTION COMPENSATION จะให้การสร้างภาพเป็นโปรเกรสซีฟสแกนได้ค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ให้ภาพที่คมชัด ราบรื่นไม่เกิด COMBING ใช้ได้ดีกับเกือบทุกระบบ ยกเว้นก็เพียงภาพจากฟิล์ม
3.FILM MODE จะให้ภาพได้สมบูรณ์แบบที่สุด สำหรับภาพจากฟิล์ม ซึ่งแผ่น DVD ภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะเป็นภาพจากฟิล์ม
เข้าใจให้ถูกต้องกับโปรเกรสซีฟสแกน
ปัจจุบันยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ ระบบโปรเกรสซีฟสแกนคือ คิดว่าเป็นการเพิ่มเส้นสแกนภาพเป็น 2เท่า ซึ่งที่จริงแล้วในภาพทุกภาพจะมีเส้นสแกนเท่าเดิม จะสังเกตได้จากข้อมูลทางเทคนิค ที่ระบุจำนวนเส้นภาพดังนี้
1. ระบบ NTSC เส้นสแกนทางแนวนอน 525เส้น หักช่วงสะบัดกลับเหลือเส้นภาพที่มองเห็น 480เส้น ถ้าเป็นอินเทอร์เลซสแกน จะแทนด้วย 480i ถ้าเป็นโปรเกรสซีฟสแกนจะแทนด้วย 480p
2. ระบบ PAL เส้นสแกนทางแนวนอน 625เส้น หักช่วงสะบัดกลับเหลือเส้นภาพที่มองเห็น 576เส้น ถ้าเป็นอินเทอร์เลซสแกน จะแทนด้วย 576i ถ้าเป็นโปรเกรสซีฟสแกนจะแทนด้วย 576p
ทั้งสองกรณีจะระบุตัวเลขว่าเส้นสแกนในภาพ 1ภาพจะเท่าเดิม ต่างกันที่ตัวอักษรตัวท้าย ที่ระบุวิธีการสแกนภาพ คือ i หมายถึงอินเทอร์เลซสแกน และ p หมายถึงโปรเกรสซีฟสแกน
ดังนั้น การระบุว่าเครื่องเล่น DVD โปรเกรสซีฟสแกน สามารถเพิ่มเส้นภาพขึ้นจึงไม่ถูกต้อง เพราะวงจรโปรเกรสซีฟสแกนในเครื่อง DVD ปัจจุบันนี้ เทียบเท่าเครื่อง LINE DOUBLER ซึ่งไม่มีการเพิ่มเส้นภาพแต่ประการใด ถ้าหากว่าเป็นเครื่อง SCALERS หรือ QUAD DOUBLER จึงจะมีการสร้างเส้นสแกนภาพเพิ่มเข้าไป ซึ่งจะระบุตัวเลขเส้นสแกนที่เพิ่มขึ้น เช่น 720p, 960p เป็นต้น ที่ถูกต้องคือ เครื่องเล่น DVD โปรเกรสซีฟสแกน สแกนเส้นภาพเพิ่มเป็น 2เท่าในช่วงเวลาเท่ากัน
แต่การใช้งานระบบ PROGRESSIVE SCAN นั้น เครื่อง TV, PROJECTOR ต้องสามารถรองรับระบบนี้ด้วย ซึ่ง TV ที่รองรับระบบนี้เริ่มมีวางจำหน่ายแล้วหลายยี่ห้อด้วยกัน
จากคุณ :
panasonic-man
- [
25 มิ.ย. 47 15:06:21
A:203.107.160.154 X:
]
|
|
|