CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    //////////////////คนไทยกับวิตกจริต "ราคาน้ำมัน"//////////////

    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 8 กันยายน 2547 20:31 น.


          จริงที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลต่อราคาสินค้า การขนส่ง และการเดินทางสาธารณะ แต่กับกลุ่มคนที่ใช้เพื่อการเดิน ทางส่วนตัว มีหลายแง่มุมที่ขัดแย้งกับราคา คนบ่นว่าน้ำมันแพง แต่ไม่ลดการใช้, เห็นว่ารัฐมีกองทุนฯ ช่วยตรึงราคาน้ำมันดีเซล ก็จะหันไปใช้, พอน้ำมันขึ้นลิตรละ 60 สตางค์หรือสัก 1 บาทก็บ่นและเก็บเอามาคุยกันทั้งวัน
         
          คอลัมน์นี้เคยนำเสนอบทความคล้ายกันมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เพิ่มอีกหลายแง่มุม ซึ่งอาจแตกต่างจากความคิดของคุณ...จนอยากด่า ไม่แปลกที่คุณมีสิทธิ์จะเห็นด้วยหรือขัดแย้ง เพราะนี่เป็นบทความเสนอมุมมอง ผสานไว้ด้วยความเป็นจริงเท่านั้น
         
          ++รัฐตรึงราคาน้ำมันโซล่ามาก เพิ่งปล่อยลอยตัวน้ำมันเบนซิน++
         
          ด้วยเหตุผลที่ว่าน้ำมันโซล่าเกี่ยวข้องกับคนทุกคนในประเทศ ไม่เฉพาะแค่คนใช้รถ เพื่อไม่ให้ราคาสินค้าขึ้นอย่างฉับพลัน



     

          ++ค่าขนส่งและค่าเดินทางทะยานตามขึ้นอย่างรวดเร็ว++
         
          ประเด็นที่ว่า ควรตรึงราคาไว้ โดยใช้กองทุนฯ ใช้เงินทางอื่นมาช่วย หรือปล่อยลอยตัวอิสระ ใครใช้ใครจ่าย บทความเล็กๆ นี้ไม่มีคำตอบและความเห็น เพราะในแต่ละทางเลือกมีข้อดี-ข้อเสีย และถึงจะเห็นว่าทางหนึ่งดีกว่า แต่ท้ายที่สุดคนตัดสินใจก็คือรัฐบาล รัฐฯ ใช้กองทุนน้ำมันฯ ช่วยตรึงราคา ซึ่งหวังว่าเมื่อน้ำมันราคาถูกลง ก็จะทยอยจัดเก็บคืน ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ตรึงราคาน้ำมันเบนซินไม่มาก แต่น้ำมันโซล่าต้องช่วยจ่าย 3-5 บาท บางช่วงเวลาเกินกว่า 5 บาทต่อลิตร ด้วยเหตุผลจะช่วยตรึงราคาสินค้าและการขนส่งสินค้ากับขนส่งคนสมมุติคำถาม
         
          ++ถ้าใช้โซล่าในการเดินทางที่ไม่ขนส่ง...ผิดไหม ?++
         
          สรุปสั้นๆ กับคำถามที่สมมุติขึ้นมาก็คือ ถ้ามีคนเห็นว่าน้ำมันโซล่ามีราคาถูกแค่ลิตรสะ 15 บาท และทราบดีว่ารัฐช่วยตรึงไว้อีก 5 บาท ชีวิตปกติก็ใช้รถเก๋งเครื่องยนต์เบนซิน แต่น้ำมันเบนซินราคาแพง จึงซื้อรถปิกอัพเครื่องยนต์ดีเซลมาใช้ หรือมีรถปิกอัพอยู่แล้วในบ้าน ก็พยายามใช้มากกว่ารถเก๋ง ทั้งที่ไม่ได้บรรทุกของ ไม่ได้บรรทุกคนตามจุดประสงค์ของรัฐที่ตรึงราคาน้ำมันโซล่าไว้ คนที่ใช้น้ำมันโซล่าแบบรถเก๋ง คือ เดินทางใช้ชีวิตปกติ ไม่เกี่ยวกับการขนส่ง...ผิดด้านใดหรือไม่ ? แน่นอนว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดด้านใดหรือไม่ ผิดด้านจิตสำนึกหรือเปล่า ?
         
          บทความนี้ไม่มีสิทธิ์สรุป แต่ตั้งคำถามให้คุณผู้อ่านลองตอบดู การใช้น้ำมันโซล่าผิดวัตถุประสงค์ จะทำให้โครงสร้างของระบบน้ำมันบิดเบี้ยว หลักการของรัฐบาลไทยหลายสิบปีมาแล้ว ต้องการให้น้ำมันโซล่ามีราคาถูกกว่า แม้แต่ก่อนจะไม่ค่อยได้ช่วยตรึงราคา แต่ก็เก็บภาษีต่างๆ ถูกกว่าเบนซินมาเสมอด้วยเหตุผลข้างต้น จึงมีคนเพิ่มการใช้น้ำมันโซล่าโดยไม่เกี่ยวกับ การขนส่ง นิยมซื้อรถปิกอัพมาใช้งานแบบรถเก๋งมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนมีเหตุผลสั้นๆ ว่า ราคาน้ำมันโซล่าถูกดี ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่มีปัญหาในการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันโซล่า เพราะราคาไม่ห่างจากเบนซินมาก ถึงจะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์จริง แต่ก็เป็นไปตามกลไกปกติ คือ ใครใช้ ใครจ่าย ไม่มีการหาเงินมาช่วยตรึงราคา
         
          แต่ในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ใครที่ซื้อน้ำมันโซล่า มีรัฐช่วยจ่ายอยู่ลิตรละหลายบาท แม้จะอ้างว่าพอน้ำมันลดราคา ตนเองก็จะทยอยจ่ายคืนจากราคาปลีกของน้ำมันที่ยังไม่ลดตาม แต่ในสถานการณ์จริงพบว่า หนทางแทบมืดมนกับกองทุนน้ำมันฯ ที่จะเก็บเงินคืนตามกลไกปกติ ช่วงนี้ยังติดลบวันละ 200 กว่าล้านบาท อนาคตดีไม่ดีต้องเอาเงิน ภาษีด้านอื่นมาให้กองทุนน้ำมันฯ เพราะไม่มีโอกาสเก็บคืนเลย
         
          ++การใช้โซล่าเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น จะทำให้ระบบเพี้ยน++
         
          เพราะการกลั่นน้ำมันดิบ จะมีสัดส่วนที่ได้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละประเภทออกมาค่อนข้างคงที่ แม้จะปรับเปลี่ยนขบวนการได้บ้าง แต่ถ้าได้น้ำมันดิบจากแหล่งเดิมชนิดเดิม ก็จะปรับเปลี่ยนอะไรมากไม่ได้ จะดีที่สุด ถ้าไทยซื้อน้ำมันดิบมาและกลั่นแล้ว ในตลาดใช้น้ำมันต่างๆ ได้หมดหรือเกือบหมด ไม่มีอะไรเหลือมาก ไม่ต้องสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูปจากต่างประเทศมาก การที่รัฐช่วยตรึงราคาน้ำมันโซล่า และมีการหันมาใช้โดยไม่จำเป็น จะทำให้ต้องสั่งน้ำมันโซล่าจากต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลให้น้ำมันเบนซินเหลือในตลาดมาก ล้วนขาดดุลการค้าทั้งนั้น เพราะน้ำมันทุกประเภทส่วนใหญ่เป็นการนำเข้า


     


          ++บ่นว่าแพง แต่ไม่ลดการใช้++
         
          เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทราบกันดีว่า สินค้านำเข้าก็ควรจะใช้น้อยๆ น้ำมันเป็นสินค้านำเข้า คนไทยบ่นว่าน้ำมันแพง แต่เมื่อเทียบกันเดือนต่อเดือนกับปีที่แล้ว คนไทยบ่น แต่ใช้น้ำมันมากขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ทุกๆ เดือน จริงอยู่ที่รถมากขึ้นทุกปี แต่ในเมื่อน้ำมันแพงขึ้นอย่างนี้ ไม่ต้องวิจัยกันลึกซึ้ง แค่เดากันง่ายๆ ว่า ถ้าคนไทยกลัวจริง ไม่ใช่แค่บ่น ตัวเลขปริมาณการใช้น้ำมันจะต้องลดลงบ้าง หรืออย่างน้อยก็ต้องเท่ากับปีที่แล้วเมื่อเปรียบเทียบกันเดือนต่อเดือนลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ขับรถอย่างนุ่มนวล แค่นี้ก็ลดได้เกิน 5 เปอร์เซ็นต์แล้ว ตัวเลขการใช้น้ำมัน ฟ้องว่า คนไทยได้แต่บ่น แต่ไม่ลดการใช้บ่น เพราะดับกิเลสไม่ได้ แต่ไม่ลดการฟุ่มเฟือยอื่นในชีวิต
         
          ประเด็นนี้ เกี่ยวข้องกับคนใช้รถส่วนตัวในทุกประเภท ไม่ใช่เพื่อการขนส่งคนและสินค้า หรือพนักงานขายที่ต้องวิ่งรอกวันละเป็นร้อยกิโลเมตร เช่น คนเมือง คนออฟฟิศทั่วไปพอน้ำมันแพงขึ้นลิตรละ 60 สตางค์ ก็รีบไปเข้าคิว เติมได้สัก 30 ลิตร ก็ประหยัดไป 18 บาท ระหว่างรอ ไม่ได้ดับเครื่องยนต์ ก็เผาน้ำมันไปหลายบาท เดินไปมินิมาร์ต ซื้อชาเขียวขวดละ 25 บาท แค่เจอราคาน้ำมันขึ้นแค่นี้ ถึงกับนอนไม่หลับ พรุ่งนี้เอาไปคุยเป็นเรื่องยาวทั้งวัน
         
          ราคาน้ำมันคนไทยบ่น และจริงจังกับราคาน้ำมัน แต่ไม่ลดการใช้ ตอนเย็น เดินทางออกนอกเส้นทาง ไปเที่ยว ไปเริงรมย์ ผลาญน้ำมันเพิ่มโดยไม่จำเป็นในขณะที่เครียดเรื่องราคาน้ำมัน แต่ไม่ได้คิดเลยว่า ในวิถีชีวิตมีเรื่องฟุ่มเฟือยอื่นอีกมาก ทั้งที่บางอย่างเงินที่จ่ายไปมีเปอร์เซ็นต์ของต้นทุนต่ำกว่าน้ำมัน ที่มีต้นทุนเกินครึ่งของราคาขายปลีกตั้งเยอะ หรือการจ่ายบางอย่างก็เหมือนว่าจะไม่จำเป็น แต่ไม่รู้สึกเสียดายเหมือนกับการจ่ายค่าน้ำมัน เพราะการจ่ายนั้นดับกิเลสได้ เช่น การแต่งรถ เปลี่ยนล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ย ชุดละหลายหมื่นบาท ใส่แล้วกินน้ำมันมากขึ้นด้วย ก็เห็นขายกันเกร่อ, เครื่องเสียงชุดละเป็นหมื่นหรือหลายหมื่นบาท, การเที่ยวเชิงอบายมุข ครั้งละเป็นพันหรือหลายพันบาท ทั้งการดื่ม ค่าโซดาขวดละสามสิบไม่บ่น หรือการหาความสุขทางเพศ แพงเท่าไรก็ไม่เสียดาย ถ้าประทับใจ แค่ค่าทิปต่างๆ ก็ซื้อน้ำมันได้หลายลิตรแล้ว ค่าเที่ยวซื้อน้ำมันได้เป็นร้อยลิตรก็มี, ซื้อเครื่องสำอางค์ราคาเป็นพัน ทาแล้วสวยขึ้นจริงหรือเปล่าไม่ทราบ, ซื้อเครื่องประดับสารพัดราคาแสนแพง ใส่แล้วก็เหาะไม่ได้, นาฬิกาเรือนละเป็นหมื่น ดูเวลาได้เหมือนกับเรือนละห้าร้อยบาท, เสื้อผ้าตัวละเป็นพัน หุ้มร่างกายได้เหมือนตัวลสามสี่ร้อย, รับประทานอาหารนอกบ้าน ร้านหรูๆ จานละเกือบหรือกว่าร้อยบาท ทั้งที่หาทานชายสี่หมี่เกี้ยวหรือข้าวแกงสามสิบบาทก็อิ่มเหมือนกัน, ดื่มชาเขียวขาดละยี่สิบห้าบาทน้ำอัดลมกระป๋องละสิบกว่าบาท วันละหลายครั้ง ไม่บ่น ทั้งที่ต้นทุนไม่กี่บาท, ผับ บาร์ อาบอบนวด ร้านอาหารหรู บางแห่งซบเซาบ้าง แต่ไม่เจ๊ง บางแห่งกิจการปกติ, สารพัดอาหารเสริม ราคาเป็นพันๆ


          น้ำมันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ แต่กลับบ่นว่าแพง เพราะไม่ดับกิเลส จึงเครียดในการจ่าย แต่สารพัดเรื่องที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐาน ตามที่ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น ก็ยังเห็นว่าคนไทยใช้จ่ายได้ โดยไม่บ่นและไม่ลด-ละ-เลิกทั้งที่แนวทางที่ถูกต้องในการดำรงชีพ ก็คือ เมื่อค่าใช้จ่ายมีปัญหาหรือแพงขึ้น ก็ต้องลดการจ่ายปัจจัยนอกพื้นฐานหรือกึ่งฟุ่มเฟือย นำมาจ่ายเพิ่มให้ปัจจัยพื้นฐานไม่ดื่มชาเขียว ลดการทานอาหารร้านหรู ไม่ดื่มน้ำอัดลม เสื้อผ้าไม่ต้องหรูมาก ซื้อของลดราคาก็ได้ ไม่จ่ายเงินหลายพันให้คนอื่นอาบน้ำให้ ไม่ดื่มเหล้า-เบียร์ หรือลดความหรูของแหล่งกับความถี่ ใช้เครื่องสำอางค์ราคาไม่แพงมาก
         
          บทความนี้ไม่ได้บอกว่าทุกคนเป็นเช่นนี้ แต่โดยเฉพาะคนเมือง หลายคนอยู่ในกลุ่มนี้ คือ เครียดกับราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน แต่ยังฟุ่มเฟือยกับปัจจัยนอกพื้นฐาน
         
          ++สรุป++
         
          จุดประสงค์ที่แท้จริงของบทความนี้ ต้องการจะบอกว่า คนไทยหลายคน (ไม่ใช่ทุกคน) วิตกจริตกับราคาน้ำมัน แต่ไม่ลดการใช้ และยังฟุ่มเฟือยด้านอื่นอีกมากโดยไม่วิตกใดๆ ถ้าบ่นและวิตกจริตกับราคาน้ำมัน ก็ควรช่วยกันลดการใช้ด้วยน้ำมันเป็นสินค้านำเข้า ราคาสูงขนาดนี้ ต้องช่วยกันลดการใช้ และการใช้น้ำมันโซล่าโดยไม่จำเป็นและไม่เกี่ยวกับ จุดประสงค์ที่รัฐช่วยตรึงราคาไว้ลิตรละหลายบาท แม้ไม่ผิดกฎหมายหรือไม่มีใครตัดสินว่าผิด แต่จะทำให้วงจรนี้ผิดเพี้ยนได้ เมื่อต้องนำเข้าน้ำมันโซล่าเพิ่ม ก็จะทำให้ขาดดุลมากกว่าการนำเข้าน้ำมันดิบมากลั่นเอง
         
          เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่า บทความนี้คงมีคนด่า แต่ก่อนจะด่าให้อ่านสรุปช่วงท้ายก่อน เพราะวิกฤติราคาน้ำมันยังมีอีกนาน ถ้าบ่นก็ลดการใช้ลงด้วย
         
          วรพล  สิงห์เขียวพงษ์


    /*////////////////////////////////////////////////////
    ผมว่าเขาก็พูดถูกใจเยอะนะครับเนี่ย ชอบจริงๆเลยบทความเนี๊ยะ

     
     

    จากคุณ : TITAN_MAN@NACT - [ 8 ก.ย. 47 22:02:32 ]