CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    ข้อเขียนที่โดนใจคนรัชดา

    ข้อเขียนของผู้จัดการครับ โดยคุณวรพล สิงห์เขียวพงษ์ ได้อ่านแล้วรู้สึกคล้อยตามพอสมควร และอาจโดนใจใครหลายคนที่ห้องนี้ เอามาฝากให้อ่านกันอีกที

    http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9470000072187

    องุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน : สาวกบริษัทรถยนต์

    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤศจิกายน 2547 10:55 น.


    การเลือกซื้อรถยนต์มียี่ห้อและรุ่นให้เลือกซื้อหลากหลาย บางคนยึดมั่นในยี่ห้อเดียว บางคนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางคนเถียงแทนบริษัทรถยนต์ที่ตนเองเสียเงินซื้อแบบแทบจะยอมตายแทน บางคนด่ารถยนต์คู่แข่งว่าสารพัดจะด้อยกว่า ทั้งด้อยจริงหรือคิดไปเอง  องุ่นของคนอื่นเปรี้ยวเสมอ แต่มะนาวของตนเองหวาน สาวกบริษัทรถยนต์ เสียเงินซื้อรถยนต์ หุ้นในบริษัทก็ไม่มี แต่ปกป้องแบบถวายชีวิต
         
    ++ไม่มีบริษัทรถยนต์ของคนไทยเลย++
         
    บริษัทรถยนต์แท้ๆ ในไทยล้วนมีต้นกำเนิดจากต่างประเทศ และการดำเนินธุรกิจในไทยก็มีคนไทยถือหุ้นน้อยมาก บางรายไม่มีคนไทยถือหุ้นเลย มีน้อยรายที่คนไทยทำเอง ทำประโยชน์ให้ประเทศไทยด้านการใช้วัตถุดิบและการว่าจ้างแรงงาน ส่วนด้านการขายรถยนต์รับเงินจากผู้ซื้อ จะกำไรขาดทุนก็ขึ้นอยู่กับแนวทางการตลาด ถ้ากำไรก็ส่งกลับประเทศ มีบ้างที่แบ่งไปทำสารธารณะกุศล
         
    ผู้ซื้อทุกคนล้วนต้องหาเงินมาซื้อรถยนต์ ถ้าเปรียบเปรยแบบโหดๆ ก็คือ บริษัทรถยนต์เป็นนักล้วงกระเป๋า ต้องทำทุกวิถีทางให้ผู้ซื้อเต็มใจที่จะล้วงเงินในกระเป๋าของตนเองจ่ายเพื่อซื้อรถยนต์ จะให้เต็มใจซื้อเพราะคุณภาพจริง เพราะโฆษณา เพราะภาพลักษณ์ หรืออะไรก็ตาม ล้วนไม่สามารถบังคับได้ ต้องทำให้เต็มใจล้วงกระเป๋าเอาเงินออกมาเอง

    ++สาวกบริษัทรถยนต์++
         
    แม้ไม่มีใครจำกัดความแบบเป็นทางการหรือบรรจุไว้ในพจนานุกรม แต่ก็พอจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ ว่า หมายถึงคนที่ชื่นชมรถยนต์ยี่ห้อนั้นมาก ไม่ว่าจะมีในครอบครองหรือไม่ก็ตาม แต่จะไม่ใช่แค่ชอบธรรมดา แต่ชอบมากแบบฝังใจ พร้อมจะเถียงแทนอย่างจริงจัง โดยไม่ต้องมีใครสั่งและไม่ต้องถูกจ้างวาน (โดยเฉพาะในอินเตอร์เนทและเวบบอร์ดจะเห็นความดุเดือดชัดเจน เพราะตอบโต้กันได้อิสระ)
         
    ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเถียงแทนอย่างดุเดือดและเอาจริง

    1. ไม่ได้เงินในการเถียงแทน ไม่มีใครใช้ให้ทำ ทั้งบางคนเสียเงินซื้อรถยนต์อีกด้วย
    2. ไม่ได้รู้จริงในทางวิชาการ ไม่แม่นในทางเทคนิค ขอให้ได้เถียงเป็นพอ จะเลื่อนลอยหรือมีส่วนจริงเท่าไร ไม่สำคัญ
         
    ในข้อ 2 นี้เองที่ทำให้เหล่าสาวกบริษัทรถยนต์ดูไม่ดี และลดความน่าเชื่อถือลงไป เพราะการชื่นชมสินค้าใดๆ อย่างลึกซึ้ง เถียงแทน และเยินยอข้อดี ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก ถ้าสิ่งที่บอกออกมาเป็นจริงแบบไม่เอนเอียงการเถียงแบบเลื่อนลอย หรือฝังใจเชื่อเรื่องเก่าๆ ที่จริงเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงและไม่จริงไปแล้ว รวมถึงการมองโลกในด้านเดียว เฉพาะด้านที่ตนเองอยากให้เป็นล้วนทำให้การเถียงของสาวกบริษัทรถยนต์ประเภทนั้นกลายเป็นตัวตลก เพราะเหมือนเป็นคนหน้ามืดตามัว เถียงแทนคนที่ตนเองเสียเงินซื้อสินค้าของเขา โดยไม่ต้องจ้างวาน เสียทั้งเงิน เสียทั้งความเป็นตัวของตัวเอง และเข้าข่ายว่าองุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน นั่นก็คือ คนที่ตั้งแง่ว่าองุ่นต้องเปรี้ยวเสมอ (ทั้งที่ไม่ค่อยพบองุ่นที่เรียกว่าเปรี้ยว เพราะยังไงก็ไม่ได้หวานแบบน้ำตาล) ต้องติไม่ว่าดีแค่ไหนก็จะบอกว่าไม่ดี ส่วนมะนาวที่ตนเองเชื่อมั่นจะบอกว่าหวาน (ทั้งที่มะนาวจริงๆ เปรี้ยวเสมอ จะเปรี้ยวมากหรือน้อยก็เปรี้ยว)
           
    ++คำแนะนำ++
         
    ความชื่นชมต่อบริษัทหรือยี่ห้อรถยนต์เกิดขึ้นได้ และไม่แปลกที่ใครจะเป็นเช่นนั้น แต่ให้ตั้งหลักว่าตนเองเสียเงินซื้อรถยนต์ยี่ห้อนั้น ให้กำไรแก่บริษัทรถยนต์โดยไม่มีใครบังคับ ถ้าจะเถียงแทน ก็ไม่มีใครจ้างวานไม่ได้จ่ายเงินจ้างหรือไหว้วานในเมื่อเสียเงินซื้อรถยนต์มาใช้ ถ้าจะเถียงแทน ก็ไม่ต้องจริงจังมาก หรือคิดง่ายๆ ว่า ไม่กี่ปีก็ขายต่อหรืออีกหน่อยก็อาจจะเปลี่ยนไปซื้อยี่ห้ออื่น
         
    อีกประเด็นสำคัญที่ เกิดการเถียงแทนบริษัทรถยนต์ของสาวก เพราะกลัวว่าตัวเองโง่ ที่ซื้อรถแบบเลือกผิดหรือมีอะไรไม่ดี โดยเฉพาะจะออกอาการจัดจ้าน ถ้าบริษัทรถยนต์คู่แข่งโดยตรง เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกมาและมีหลายอย่างที่เห็นว่าดีกว่ารถยนต์ที่ตนเองใช้อยู่

    เพราะถ้ายอมรับว่าดีกว่า ก็คิดไปเองว่าจะเหมือนว่าตัวเองโง่ โดยลืมไปว่า ในโลกธุรกิจรถยนต์ ย่อมต้องมีการตอบโต้ของบริษัทรถยนต์ที่เป็นคู่แข่งกัน ยี่ห้อหนึ่งออกรุ่นใหม่ดูดี อีกสักพักอีกยี่ห้อก็ต้องตีโต้ออกรถยนต์รุ่นใหม่หรือปรับปรุงให้ดีกว่า ทีใครทีมัน วนเวียนกันแบบนี้

    ยิ่งถ้าเดิมรถยนต์ที่ตนเองใช้อยู่ ครองยอดขายระดับหัวแถวมาตลอด คู่แข่งไม่เคยชนะเลย ถ้าคราวใดคู่แข่งออกรถยนต์ที่ดูดีมีอะไรหลายอย่างเหนือกว่า พวกสาวกก็จะเดือดดาลเป็นพิเศษ ฟาดงวงฟาดงาด่ามั่ว โดยลืมไปว่า ต้องมีทีใครทีมัน บริษัทรถยนต์ที่เคยแพ้ จะส่งมวยหน้าใหม่ขึ้นชกหวังเอาตาย ก็ต้องส่งมวยมือดีขึ้นชกบ้าง ใครจะยอมให้แพ้ตลอดกาล ให้ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะบ้าง พอดีว่าเคยชินกับชัยชนะ เมื่อโดนเขย่าแรงๆ ก็จึงตื่นเต้นมากหน่อย
         
    การตอบโต้ของสาวกที่น่าเบื่อก็คือ แนวองุ่นเปรี้ยว-มะนาวหวาน คือ หาเรื่องด่าแบบเลื่อนลอย แทบไม่มีความจริงทางวิศวกรรม หรือมองเฉพาะแง่ที่ตนเองอยากให้เป็น

    ยกตัวอย่างคู่กัด รถปิกอัพใน 2 ยี่ห้อดังที่ฟัดกันในขณะนี้ คือ อีซูซุ กับโตโยต้า
         
    อีซูซุชนะมาตลอด 20 กว่าปี โตโยต้าส่งมวยขึ้นชกหลายต่อหลายครั้งก็แพ้ พอมาคราวนี้เป็นวีโก้ ที่โหงวเฮ้งดีหน่อย สาวกอีซูซุก็เดือด เพราะเคยชินกับชัยชนะมาตลอด ถ้าเป็นแบบคู่แข่งอื่น ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาเรื่อยๆ ก็คงชิน
         
    สาวกอีซูซุ ก็จะด่าตั้งแต่หัวจรดหาง เช่น ตัวถังใหญ่เทอะทะ ใหญ่แต่โป่งล้อ แต่ตัวถังจริงแคบ ทั้งที่ขนาดจริงก็พอกันและใหญ่ทั้งคู่ หรือบอกว่าใหญ่ไป เกะกะ ทั้งที่อีก5 ปี ถ้าอีซูซุเปลี่ยนโฉมก็คงใหญ่กว่าดีแมคซ์อีกเล็กน้อย ห้องโดยสาร ก็บอกว่าดูสวย แต่วัสดุกระจอก โถ่นี่มันรถปิกอัพ จะให้เนียนขนาดไหน เครื่องยนต์ก็บอกไฮเทค ดูแลยาก กล่องอีซียูพังง่าย ทั้งที่ของอีซูซุเอง ก็มีกล่องฯ ควบคุมเหมือนกัน และรถยนต์เบนซินหัวฉีด ก็ใช้กล่องฯ เดิมกันได้กว่า 10 ปีทั้งนั้นช่วงล่าง ก็รีบบอกว่า ร่อนแหงๆ ทั้งที่ของตนเองก็ไม่ได้เกาะหนึบเป็นตุ๊กแก รถปิกอัพแหนบหลังแข็งๆ โช้กอัพตัวละไม่กี่ร้อยบาท ยางลื่นๆ จะให้เกาะขนาดไหน รถปิกอัพก็เกาะถนนพอประมาณดี-แย่พอๆ กันทั้งนั้น ขับแล้วอย่าซ่ามาก เรื่องกินน้ำมัน จริงที่โตโยต้าอาจกินกว่าบ้าง แต่ก็แรงกว่าชัดเจนทั้งต้นทั้งปลาย และก็ไม่ได้กินมากกว่ากันดุเดือด บริษัทรถยนต์เองไม่ยอมให้มีอะไรทิ้งห่างกันมากกับคู่แข่งอยู่แล้ว
         
    บางคนด่ารวมๆ เลยว่า คันโตไม่จริง (ทั้งที่ไม่ได้วัดขนาดเอง) ช่วงล่างร่อน เบรกปัด (ทั้งที่ไม่เคยขับ และรถตนเองก็ไม่ได้เกาะสุดๆ) กินน้ำมัน7-8 กิโลเมตรต่อลิตร ทั้งที่ฟังมาแค่ครั้งเดียวจากคนใช้ที่กดคันเร่งสุดๆ ก็จำมาด่า ในขณะที่สาวกโตโยต้าก็โต้ตอบว่า ทนใช้เครื่องเสียงดังได้ไง สาวกอีกฝ่ายก็ตอบว่า ไม่เห็นดังเลย โดยเฉพาะถ้านั่งในห้องโดยสาร อัตราเร่งอืด ก็ไม่เห็นมีปัญหา ไม่ได้เร่งแข่งกับใคร

    ++สรุป++
         
    บทความนี้ไม่ได้บอกว่ารถยนต์ยี่ห้อใดรุ่นใดดีกว่า แต่จะบอกว่า รถยนต์อะไรๆ ก็ต้องมีดีบ้าง ผู้ผลิตไม่ได้โง่ส่งมวยห่วยขึ้นชกให้ตายค่าเวที ทีใครทีมัน และอีกหน่อยอีกค่ายก็ปรับตัวเพื่อชนะ วนเวียนกันไปแบบนี้แนะนำให้ยั้งคิด โดยสรุปว่า
         
    เราคนไทยเสียเงินให้บริษัทรถยนต์อย่างเต็มใจ เขาได้กำไรโกยกลับประเทศ ทำไมต้องเถียงแทนแบบคร่ำเคร่ง ทั้งที่ไม่มีหุ้นในบริษัท ไม่มีใครสั่ง การซื้อรถยนต์ที่ไม่ได้เด่นดังช่วงเวลาใด ไม่ได้แปลว่าตัวเองโง่ เพราะทุกบริษัทรถยนต์ก็ทำรถยนต์ใหม่ๆ ดีๆ ออกมาเกทับกันเรื่อยๆ ทีตอนยี่ห้อที่ตนเองเป็นสาวกชนะ กลับเงียบ พอถูกคู่แข่งเขย่ากลับดิ้นพราด โดยลืมไปว่า ต้องมีทีใครทีมัน
         
    การที่แข่งขันกันดุเดือด ผลดีอยู่ที่เรา ไม่ใช่เอาแต่มวยห่วยมาชกก็ชนะ ไม่ต้องปรับปรุงรถยนต์ ทำอะไรมาก็ขายได้ จะเอาแบบนั้นไหม ? ใครเสียเปรียบ คนไทยนั่นเอง
         
    โดยสรุปสั้นๆ ก็คือ เราคนไทย เสียเงินซื้อรถยนต์ ไม่ต้องปกป้องบริษัทรถยนต์ที่โกยกำไรไป ถ้าจะเถียงแทน ก็ต้องนึกไว้ว่าบริษัทรถยนต์ทุกรายไม่ได้โง่ที่จะผลิตรถยนต์ที่มีแต่จุดด้อย ยังไงก็ต้องมีจุดเด่น และที่แน่ๆ คือ ต้องมีทีใครทีมัน รายหนึ่งทำรถยนต์ออกมาเด่นกว่า อีกสักพักอีกรายก็ตีโต้
         
    การติติงต้องทำใจเป็นกลาง บริษัทรถยนต์ที่มีเงินระดับแสนล้าน ไม่โง่ที่จะทำแต่องุ่นเปรี้ยวออกมาให้ตายฟรี ทุกยี่ห้อต้องทำให้ดีมาแข่งกัน และมะนาวของตนเองที่ว่าหวาน จริงๆ แล้วเปรี้ยวก็เยอะ คราวนี้คู่แข่งมีรถยนต์ที่ดูดีออกมา อีกไม่นานก็ถูกตีโต้ สลับกันไปเป็นปกติ แข่งกันเอาใจผู้ซื้อเป็นเรื่องดี เพราะจะได้โอกาสเลือกซื้อรถยนต์คุณภาพดี
         
    ไม่มีใครโง่ผลิตองุ่นเปรี้ยวไปตลอด ใครจะโง่ทำรถห่วยๆ ออกมา ในเมื่อเป็นนักล้วงกระเป๋า ยังไงก็ต้องแข่งกันเอาใจผู้ซื้อ
         
    วรพล  สิงห์เขียวพงษ์

    จากคุณ : Stereophony - [ 1 พ.ย. 47 14:50:58 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป