ความคิดเห็นที่ 1 ไม่น่าจะจริงนะครับ ถ้าจะพูดตามทฤษฎี ค่าออกเทนยิ่งต่ำความไวไฟจะยิ่งสูง เพราะค่าออกเทนหมายถึงค่าของการต้านทานการน็อค หรือการจุดระเบิดก่อนที่ลูกสูบจะถึงจุดองศาที่กำหนด การที่รถแข่งจำเป็นต้องใช้น้ำมันออกเทนสูง ๆ เพราะ รถแข่งรอบจัด หากใช้ค่าออกเทนต่ำ เครื่องจะจุดระเบิดก่อน การเติมน้ำมันที่ค่าออกเทนสูงกว่าคู่มือกำหนดไว้จึงเป็นการสูญเปล่า ที่รัฐพยายามประชาสัมพันธ์นั้นถูกต้องแล้วล่ะครับ เพราะเงินที่เสียไม่ใช่เป็นเงินของเราอย่างเดียว แต่เป็นเงินของประเทศชาติด้วย ที่สำคัญไม่ก่อประโยชน์อันใด จากคุณ : pongsakle@hotmail.com - [ 11 ก.พ. 48 14:31:57 A:203.172.49.40 X: TicketID:081136 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ต้องขอชมหน่วยงานของรัฐ   ที่สามารถทำให้คนเข้าใจในสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูกได้ เรื่องบางเรื่องขนาดเป็นเรื่องจริงยังอธิบายกันลำบากเลย แต่นี่เอาเรื่องที่ไม่จริงมาทำให้คนเข้าใจได้  สุดยอด จากคุณ : ton99 - [ 11 ก.พ. 48 14:52:10 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Octane ไม่ใช่ความแรงมั้งครับ แต่เครื่องแรง ๆ ต้องใช้น้ำมัน Octane สูงเพราะอัตราส่วนกำลังอัดมันสูง ถ้าใช้ Octane ต่ำมันจะน๊อคเท่านั้นเองครับ เท่าที่ทราบกำลังเครื่องยนต์จะไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้จะเติมสารเร่ง Octane เข้าไปให้เกินกว่าปกติ ตัวที่ทำให้แรงขึ้นคือค่าความร้อนจำเพาะของตัวเชื้อเพลิงครับ แต่ผมสงสัยว่าค่าความร้อนของเชื้อเพลิงที่ขายในบ้านเราอาจไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน เป็นไปได้ว่าน้ำมัน 91 ที่ให้ค่าความร้อนน้อยกว่า 95 เนื่องมาจากคุณสมบัติอย่างอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยนอกเหนือจากแค่ค่า Octane อย่างเดียว ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัยนะครับ รบกวนผู้รู้มาชี้แจงด้วย ตามที่เคยทราบมาคือ Octane มากไม่ใช่แปลว่าค่าความร้อนจะสูงเสมอไป จากคุณ : ภูมิ - [ 11 ก.พ. 48 15:49:33 A:161.200.89.52 X:161.200.255.162 TicketID:035419 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไปกันใหญ่ น้ำมันออกเทนสูงๆ จะช่วยลดการชิงจุดระเบิดก่อนได้ดีกว่า ทำให้ใช้กับเครื่องยนต์แก๊สโซลีนที่มีอัตราส่วนกำลังอัด สูงกว่าได้ นัยว่า เครื่องยนต์ที่มีกำลังอัดสูงกว่า จะให้กำลังมากกว่า เครื่องยนต์ที่มีกำลังอัดต่ำกว่า ที่รอบเครื่องเท่าๆ กัน ประมาณนั้น มันคงไม่เกี่ยวกับแรง หรือไม่แรง จากน้ำมัน โดยตรงเท่าไรนัก... จากคุณ : มือเก่าหัดขับ - [ 11 ก.พ. 48 16:04:19 ]

ความคิดเห็นที่ 5 งั้น Altis ก็แรงกว่า Civic ดิ จากคุณ : 5555 - [ 11 ก.พ. 48 16:30:13 A:203.185.133.132 X: TicketID:004850 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จริงๆแล้ว ค่าออกเทนของเชื้อเพลิงที่กำหนดให้ใช้ จะขึ้นอยู่กับผู้ผลิตเครื่องยนต์ว่าจะทำ calibration ให้ใช้กับเชื้อเพลิงที่มีคุณสมบัติแบบใด ถ้าคุณใช้เชื้อเพลิงออกเทนสูงกับเครื่องยนต์ที่ถูก calibrate ให้ใช้กับเชื้อเพลิงออกเทนต่ำก็ไม่มีประโยชน์อันใด ยกเว้นแต่ในน้ำมัน gasoline ในเมื่องไทยนั้น ใช้ oxygenate เป็น octane booster ดังนั้นคนที่เติมน้ำมันออกเทนสูงกว่าจะทำให้เครื่องยนต์ปล่อยมลพิษต่ำกว่า จากคุณ : Jacky911 - [ 11 ก.พ. 48 16:48:43 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ลอกมาให้อ่านดูครับว่าความจริงมันเป็นอย่างไร ออกเทน (Octane) คืออะไร? หากคุณพอจะทราบเกี่ยวกับเครื่องยนต์ของรถยนต์อยู่บ้าง คุณจะรู้ว่ารถยนต์ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 จังหวะ โดยในจังหวะหนึ่งที่มีการอัด (compression stroke) ภายในกระบอกสูบจะเต็มไปด้วยอากาศและก๊าซซึ่งถูกอัดให้มีปริมาตรเล็กๆ ก่อนการจุดระเบิดด้วยหัวเทียน ปริมาณของการอัดตัวนี้เรียกว่า อัตราส่วนการอัด (compression ratio) ของเครื่องยนต์ โดยเครื่องยนต์โดยทั่วๆ ไปจะมีอัตราส่วนการอัดอยู่ที่ 8:1 ปริมาณออกเทน (Octane) ของน้ำมันเบนซินจะเป็นตัวบอกว่า น้ำมันเชื้อเพลิงสามารถถูกบีบอัดก่อนที่จะเกิดการจุดระเบิดด้วยตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อก๊าซภายในกระบอกสูบเกิดการจุดระเบิดด้วยตัวเองก่อนที่จะถูกจุดระเบิดด้วยหัวเทียน เราเรียกอาการดังกล่าวว่า เครื่องยนต์น็อก (Knocking) การน็อกของเครื่องยนต์จะทำให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหายได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ปริมาณออกเทนที่ต่ำ (อย่าง น้ำมันเบนซิน ที่มีค่าออกเทน 87) ความสามารถในการอัดตัวจะทำได้น้อยมากก่อนจะทำการจุดระเบิด อัตราส่วนการอัดของเครื่องยนต์สามารถบอกค่าออกเทนของน้ำมันที่เครื่องยนต์สามารถใช้งานได้อย่างปกติได้ และวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มแรงม้า (Horsepower) ให้กับเครื่องยนต์ก็คือการเพิ่มอัตราส่วนการอัดให้มากขึ้น ดังนั้น เครื่องยนต์ที่มีสมถณะสูง (High Performance Engine) จะมีอัตราส่วนการอัดที่สูงขึ้น และต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนสูงขึ้นตามไปด้วย ข้อดีของการที่มี่อัตราส่วนการอัดที่สูงขึ้นคือจะทำให้เครื่องยนต์ของคุณมีแรงม้ามากขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำหนักเครื่องยนต์ และนั่นคือแนวความคิดในการสร้างเครื่องยนต์สมถณะสูง (High Performance) แต่ข้อเสียของเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนการอัดสูงๆ คือค่าใช้จ่ายสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นตามไปด้วย คำว่า "ออกเทน (Octane)" มาจากความจริงที่ว่า เมื่อทำการกลั่นน้ำมันดิบ ผลลัพธ์ที่ได้คือสายโซ่ของ Hydrocarbon ที่มีความยาวแตกต่างกัน ความแตกต่างของสายโซ่เหล่านี้สามารถแยกออกจากกันและนำมาผสมกันจนได้น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น มีเทน (Methane), โพเพน (Propane) และ บิวเทน (Buthane) ซึ่งทั้งหมดคือ Hydrocarbon โดยมีเทนจะมีคาร์บอนอะตอมเพียงตัวเดียว, โพเพนมีคาร์บอนอะตอม 3 ตัวที่ต่อกันเป็นสายโซ่, บิวเทนมี 4 ตัว, เพนเทน (Pentane) มี 5 ตัว, เฮกเซน (Hexane) มี 6 ตัว, เฮปเทน (Heptane) มี 7 ตัว และ ออกเทน (Octane) มีคาร์บอนอะตอม 8 ตัวที่ต่อกันเป็นสายโซ่ การอัดตัวของ เฮปเทน (Heptane) ต่ำมาก เมื่อนำมาอัดตัวเพียงเล็กน้อยแล้วจะเกิดการจุดระเบิดด้วยตัวของมันเอง แต่เมื่อนำ ออกเทน (Octane) มาอัดตัว ออกเทนจะมีการอัดตัวที่ดีกว่า กล่าวคือสามารถอัดตัวได้มากๆ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทน 87 ก็คือน้ำมันเบนซินที่ประกอบด้วย ออกเทน 87% และ เฮปเทน 13% (หรืออาจจะมีสารประกอบตัวอื่นๆ ที่ผสมเข้ากับน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87/13 ของ ออกเทน/เฮปเทน) การจุดระเบิดด้วยตัวเองจะเกิดขึ้นที่การอัดตัวอยู่ระดับหนึ่ง ดังนั้นเครื่องยนต์ที่สามารถใช้ได้จะต้องมีอัตราส่วนการอัดตัวไม่ต่ำกว่าระดับนั้น (ถ้าต่ำกว่าก็จะเกิดอาการ Knocking) http://www.viboon.com/oth/oth38.htm จากคุณ : โตโต้.com - [ 11 ก.พ. 48 17:36:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ จขกท เอาอะไรมารับรองครับ ว่าออกเทนสูงจะแรงกว่า . . . เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าครับ ถ้าลำพังตัวค่าออกเทนเองไม่ได้ทำให้แรงขึ้นนะครับ . . . ถ้าจะแรงขึ้นก็เพราะมีการเพิ่มสารเพิ่มพลังอื่นๆเข้าไปในน้ำมันออกเทนสูง ซึ่งอาจไม่เกี่ยวกับค่าออกเทนเลยก็ได้ . . . น้ำมันออกเทยต่ำเติมสารพวกนี้เข้าไปก็แรงขึ้นได้เหมือนกันโดยออกเทนไม่เพิ่ม ค่าออกเทนไม่ได้เพิ่มความแรงด้วยตัวเอง แต่อนุญาตืให้เราทำเครื่องที่แรงขึ้นได้ถ้าเราใช้ออกเทนสูง เครื่องกำลังอัดต่ำๆ และประสิทธิภาพการบรรจุอากาศพื้นๆ เครื่องหนึ่ง ออกแบบมาจนตั้งไฟได้แก่ที่สุดในจุดที่ได้แรงมากที่สุด โดยไม่น๊อคได้ด้วยน้ำมัน 91 . . . ต่อให้เติมออกเทน 100 ก็ไม่แรงขึ้นครับ แต่ถ้าเราเอาเครื่องนี้ ไปดัดแปลงเครื่องให้แรงขึ้นจนน้ำมัน 91 ทนไม่ได้เมื่อไร . . . เมื่อนั้นน้ำมันออกเทนสูงกว่า 91 จึงจะแสดงประโยชน์ให้เห็นครับ . จากคุณ : A-Z - [ 11 ก.พ. 48 18:48:25 A:202.176.107.216 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เครื่องแชมป์ในคู่มือใช้แค่ 87 เอง ก็เคยเติมแค่นั้นที่บางจาก แต่ต่อมาเหลือแค่ 91 ก็แค่นั้นเช่นกัน ไม่เคยคิดที่จะเสียเงินเติม 95 เลย แต่เครื่องบางรุ่นบริษัทกำหนด 95 ก็เติม 95 ไปเถิดครับเพื่อความสบายใจ กัน knock ยกเว้นพวกที่ไม่ห่วงเครื่องยนต์เช่นเพื่อนผม เติม 91 มาตั้งแต่ซื้อรถ Soluna ปี 97 มาบัดนี้ก็กว่า 1.5 แสน กม แล้ว คู่มือให้เติม 95 ครับ แกบอกว่าไม่ knock ไม่สะดุด เพราะแกขับสุภาพไม่เกิน 3000 รอบเลย ความเร็วก็ไม่เกิน 120 ดังนั้นเมื่อผมซื้อ Soluna ปี 2000 ระยะแรกก็เติม 95 อยู่ 1 เดือน ต่อมานึกอยากทดลองเพราะเราก็ขับไม่เกิน 120 ยกเว้นครั้งหนึ่งที่ไปเชียงราย 120-140 ก็เติม 91 มันก็ไม่สะดุด ไม่เขก เร่งทันใจเหมือนเดิม ขนาดที่ออกจากที่เก็บเงินทางด่วนเร่งแข่งกับรถแพงๆ หลายล้านก็แซงมาบ่อยครั้ง ระยะทางต่อลิตรก็เท่าเดิม ผมเติมมาเกือบ 3 หมื่นโลแล้วครับ 91 นี่แหละ ตอนนี้ 2.9 หมื่นโลครับ มาเล่าประสพการณ์ให้ฟัง นี่คือความสามารถของรถส่วนตัว ไม่กล้าห้ามเลียนแบบ 5 5 5 จากคุณ : K.Senior - [ 11 ก.พ. 48 19:36:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คนไทยอีกมา เชื่อว่าออกเทนสูงแรงกว่า เชื่อว่า เติม 95 แล้วถนอมเครื่อง หรือแรงกว่า ทั้งที่สเปครถกำหนดเติม 91 ในร่นนั้น ออกเทนไม่มีผลต่อความแรง ถ้าเติมออกเทนเกินที่เครื่องต้องการ ไม่งั้น เติม 91 ตามกำหนด ได้ 110 ม้า งั้นเติมออกเทน 100 ก็ได้ 120 แรงม้าน่ะสิ จขกท .  เข้าใจผิดครับ ราชการไทย ล้มเหลวเรื่องการให้ความรู้ จนคนหลายคน คิดเรื่องผิด เป็นถูกได้ แบบ จขกท. จากคุณ : CEDRIC - [ 11 ก.พ. 48 21:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ทำไมรถในต่างประเทศ สามารถใช้น้ำมัน ออกเทน 87 แต่รถรุ่นเดียวกันในประเทศไทยกับต้องเติมแต่ 95 ครับ แต่ในประเทศไทยกลับใช้แต่ ออกเทน95 เกือบ 90% เราสามารถรณรงค์ให้มีการปรับตั้งมาจากโรงงานเลยได้ไหมครับ จากคุณ : เปื้อนโคลน - [ 11 ก.พ. 48 21:39:02 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อยากทราบว่า ค่าอ็อกเทนของน้ำมันเบนซินในไทย ใช้ค่า RON หรือ MON ครับ จากคุณ : Ontjung - [ 12 ก.พ. 48 00:17:09 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เครื่องยนต์สมัยใหม่เกือบทั้งหมดออกแบบมาให้ใช้กับน้ำมัน 95-98 แต่บ้านเราดันมีโครงการพิลึก  หลอกให้คนไปเติม 91 เพื่ออ้างว่าเป็นการลดการนำเข้าสารปรุงแต่ง  เป็นการช่วยชาติ ทั้งที่ทำให้เครื่องยนต์มี performance ลดลง และ efficiency ลดลง สุดท้ายก็คือกินน้ำมันมากขึ้น  ต้องนำเข้าน้ำมันมากขึ้น ดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นการช่วยชาติ หรือช่วยทำลายชาติกันแน่ ต้นทุนระหว่าง 91 กับ 95 จริงๆแล้วมันต่างกันไม่ถึง 60สตางค์ แต่รัฐยอมเก็บภาษีน้ำมัน 91 น้อยกว่า  เพื่อจูงใจให้คนมาเติม เมื่อเติม 91 แล้วรถกินน้ำมันมากขึ้น  รัฐอาจจะได้ภาษีเท่าเดิม สมมติว่าบริษัทน้ำมันได้กำไรจากการขาย 91 และ 95 ต่อลิตรเท่ากัน เมื่อคนเติม 91 ต้องใช้น้ำมันมากขึ้น  บริษัทน้ำมันก็กำไรมากขึ้น => นำเข้าสารปรุงแต่ลดลง แต่คนใช้จ่ายมากขึ้น, รัฐรายได้เท่าเดิม, บริษัทน้ำมันกำไรมากขึ้น และ ต้องนำเข้าน้ำมันมากขึ้น ผมขอถามหน่อยเถอะว่า  มันมีประโยชน์ตรงไหน? เครื่องที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับน้ำมัน 95 แต่เอามาเติม 91 ได้โดยไม่น็อค จับเอามา 2 ตัว  โดยตัวหนึ่งเติม 95 อีกตัวหนึ่งเติม 91 เอามาแข่งกัน ไม่ว่าจะด้านความแรง หรือด้านประหยัดน้ำมัน ถามหน่อยเถอะว่ามีใครกล้าถือข้างตัวที่เติม 91 บ้าง แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 48 00:43:30 จากคุณ : ton99 - [ 12 ก.พ. 48 00:43:09 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมขอพูดถึงแต่ที่มาของค่า Octane และเครื่องมือในการวัดแบบคร่าวๆน่ะครับ Octane คือ Hydrocarbon ที่เป็น Iso Parafin ตัวนึง ที่มี Carbon 8 ตัว และตัวที่ใช้ในการอ้างอิงค่า Octane คือ Iso Octane ที่มีโซ่กิ่งมากที่สุดใน C8 ตัว นั่นคือเขียนโครงสร้างให้มีกิ่งมากสุดโดยใช้ C8 เรียง ถ้าเป็น N-Octane หรือโซ่กิ่งไม่มากที่สุดก็ไม่ใช่ตัวที่นำมาอ้างอิงค่า Octane ครับ   และคือความจริงที่ว่าพวก Parafin โซ่กิ่งจะมีค่า Octane มากกว่าโซ่ตรง และ Aromatics จะมีค่า Octane สูง แต่การเผาไหม้ Aromatics จะมีเขม่ามาก ในเมกามีการ Strike ให้นำ Aromatics มาใช้เพิ่มค่า Octane แทน MTBE เพราะเกรงกลัวด้าน Toxic ของ MTBE ถ้าแพร่มาถึงไทยจริง ก็มีเฮ เพราะ ไทยสามารถกลั่นสาร Aromatics เองได้ ก็โรง ATC ที่ระยองน่ะ และค่า Octane นี่เค้าเปรียบเทียบค่าการป้องกันการชิงจุดระเบิดหรือน๊อคโดยให้ค่า Index = 100 เมื่อสารอ้างอิงตัวนั้นคือ Octane และลดหลั่นมาหากสัดส่วนการอัด(Compress Ratio) ที่ใช้มีค่าลดลง โดย Ratio ที่ว่าวัดได้จากเครื่อง RON หรือ Knock Test Engine ตาม Test Method ASTM D-2699 ซึ่งใช้กันแพร่หลายทั่วโลก รวมถึงโรงกลั่นหลายๆโรงในไทย ถ้าดูจากเครื่อง RON นะ Octane มี Compress Ratio = 920 (หน่วยของเครื่อง) การวัดจะใช้สารตัวอย่างให้เครื่องยนต์สูบเดียว คาร์บูเรเตอร์ (เครื่องRON) ตั้งรอบที่ 600 รอบ เราจะเพิ่มกำลังอัดไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงค่า Knock ของมัน แต่กำลังของเครื่องที่ได้มาจากเชื้อเพลิงตัวนั้น ไม่สามารถบอกได้ครับ   และมีคำถามเสมอว่าแล้วมีมั้ยที่ค่า Octane เกินร้อย ตอบได้เลยว่ามีแน่นอน ถ้าสัดส่วนการอัดในหน่วยของเครื่องมากกว่า 920 ซึ่งในการวิเคราะห์นั้นมีบ่อยในกรณีที่สารตัวนั้นเป็นพวก Aromatics หรือ C9 Aromatics   ส่วนในแง่ของความแรงนั้น เครื่องนี้ไม่สามารถบอกได้ อ้อ เชื่อมั้ยคนไทยที่สามารถโวอร์ฮอลส์และ Calibrate เครื่อง RON ที่เก่งสุดในไทย เรียกได้ว่ามือ 1 เดียวเป็นชายแก่ปลดเกษียณอายุ 60 กว่าๆ ชื่อลุงสมศักดิ์ ที่กำลังหาผู้สืบทอดอยู่ โดยค่าแรงอย่างเดียว Job นึงรับทำไม่ต่ำกว่า 50000 บาท ใช้เวลา 3 วัน โรงกลั่นหลายโรงในไทยใช้บริการแกแทบทั้งนั้น จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 12 ก.พ. 48 00:48:16 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พิมพ์ผิด โวอร์ฮอลส์ เป็น โอเวอร์ฮอลส์ครับ จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 12 ก.พ. 48 00:51:49 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คห.12 เบนซินใช้ค่า RON ครับ ย่อมาจาก Reserch Octane Number จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 12 ก.พ. 48 00:53:41 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อ้อ เพิ่มเติมอีกนิดครับ ถ้าสารปรุงแต่งในไทยเราใช้ Aromatics แทน MTBE แบบที่ Strike ที่เมกาล่ะก็ โอกาสที่ค่าน้ำมันเบนซินจะลดก็มีครับ เหตุผลก็ เราสามารถกลั่น Aromatics เองได้ที่ระยองครับ โรง ATC อย่างที่บอก แค่โอกาสนะครับ จากคุณ : BABOO (BABOO_JZ) - [ 12 ก.พ. 48 00:58:57 ]

ความคิดเห็นที่ 18 spec น้ำมันของรถบ้านเราสมัยนี้ก็มาแปลกตามโครงการเหมือนกัน โดยมาตรฐานการกำหนด spec น้ำมัน สมัยนี้มันเป็นแบบนี้ เครื่อง spec 95 ตัวไหนเติม 91 แล้วไม่น็อค หรือ น็อคเสียงดังเกินไป ก็จะถูกประกาศว่าเป็นเครื่อง spec 91 ทันที จึงไมแปลกที่เห็นรถหลายรุ่นที่ใน spec บอกให้เติม 91 แล้วมาเติม 91 แล้วเครื่องมีอาการน็อค ถ้าเครื่อง spec 87 หรือ 91 แล้วประกาศว่าเป็น spec 87 หรือ 91 ผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่ที่ทำๆกันคือเอาเครื่อง spec 95 มาประกาศว่าเป็น spec 91 สิ่งที่ทำมันถูกต้องแล้วหรือ??? จากคุณ : ton99 - [ 12 ก.พ. 48 01:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องค่า octane นั้น ผมเรียนเคมีมาครับ เราได้เปรียบเทียบ พลังงานในการใช้น้ำมันที่มีค่า octane ต่างกัน ผลออกมาพลังงานก็ต่างกันครับ ลอง คิดออกมาเป็นพลังงานนะครับ ไม่ใช่ความแรงที่เป็นแรงม้า อย่าเข้าใจผิดครับ และลองดูว่ารถที่เขาแข่งกันทำไมต้องใช้น้ำมันที่มีค่า octane สูงๆ ทำไมเขาไม่ใช้ ค่า octane ต่ำ ถ้าคุณคิดว่า คุณสามารถทำให้ รถที่ใช้ค่า octane ต่ำกว่าวิ่งได้ดีกว่า ทำไม การแข่งรถในปัจจุบันยังต้องใช้ค่า octane ที่สูงอยู่ครับ ขอย้ำนะครับ ไม่ใช่ความแรงในเรื่องแรงม้า แต่เป็นการให้พลังงานที่มากกว่า ตามหลักเคมีครับ ส่วนเรื่องค่าน้ำมันนั้น รัฐบาลให้เงินสนับสนุน (ช่วยจ่ายให้คุณในส่วนหนึ่งครับ) ปัจจุบันรถมีมากขึ้น และรัฐบาล พยายามให้ทุกคนใช้น้ำมันน้อยลงครับ เพราะถ้าเราใช้มาก รัฐบาลก็จ่ายมากขึ่น ตอนนี้ รถเชิงพาญิชย์มากขึ้น รัฐบาลหาเงินมาช่วยไม่ไหวแล้วครับ และกำลังปล่อยให้ ดีเซลขึ้น ครับ หากเป็นอย่างต่างประเทศ รัฐบาลจะไม่ช่วยครับ ประชาชนต้องเติมแบบราคาขาย + ภาษี แบบเต็มๆ ครับ ผมว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามความจริงเถอะครับ รัฐบาลอย่าหลอกตัวเองเลย หลอกตัวเองเหมือนหลอกปชช ไม่รู้ว่าวันไหนจะปล่อยให้ราคาน้ำมันลอยตัวอย่างเต็มที่ ปชช เลยไม่รู้อนาคตตัวเองว่าจะดีหรือร้าย หากรัฐบาลปล่อ จากคุณ : kaiair (kaiair) - [ 12 ก.พ. 48 03:00:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 #19 ก็ถ้า Octane สูงกว่ามันให้พลังงานความร้อนมากกว่าอย่างที่คุณว่าจริง แรงบิดเอย แรงม้าเอย มันก็ต้องเพิ่มขึ้นอยู่แล้วล่ะครับ ฉีดน้ำมันเท่าเดิมแต่ได้ความร้อนมากกว่าเดิมนี่ครับ ตรรกะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ข้อนี้คงต้องถกกันว่าจริงหรือไม่ที่ Octane เพิ่มขึ้นแล้วได้พลังงานความร้อนเพิ่มขึ้น แต่ที่ผ่านมาหลายปีดีดัก ผู้เชี่ยวชาญตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ามันไม่ได้มีนัยสำคัญที่ทำให้พลังงานความร้อนเพิ่มขึ้นน่ะครับ คุณต้องทำความเข้าใจกับเรื่องของคุณสมบัติของ Octane ที่มีต่ออัตราส่วนกำลังอัดก่อนครับ ย้อนกลับไปอ่านความเห็นหลาย ๆ ข้อด้านบนก็ได้ครับ ตรรกะที่คุณยกขึ้นมาว่ารถที่เขาแข่งกันทำไมต้องใช้น้ำมันที่มีค่า octane สูงๆ ทำไมเขาไม่ใช้ ค่า octane ต่ำ นั้นก็ได้มีคนอธิบายไว้ด้านบนแล้วนะครับ จะให้เครื่องแรงมีหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งคือเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดให้มากที่สุดโดยเครื่องไม่ knock จะเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดได้ก็มีข้อแม้ว่าต้องเพิ่ม Octane ให้สอดคล้องกันด้วย แปลว่าถ้าใช้อัตราส่วนกำลังอัดปกติก็ไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิง Octane สูงเท่ารถแข่ง....จบข่าวครับ จากคุณ : ภูมิ - [ 12 ก.พ. 48 11:55:52 A:161.200.89.52 X:161.200.255.162 TicketID:035419 ]

ความคิดเห็นที่ 21 #19 ทำความเข้าใจ กับคำนี้ด้วยครับ แยกกันให้ออก >>>> ออกเทนสูงไม่ได้ทำให้เครื่องแรง . . . แต่ออกเทนสูงมักจะจำเป็นสำหรับเครื่องแรงๆที่มีความจุไม่มากนัก เครื่องแรงๆ ที่รีดออกมาจากความจุไม่มากนัก มักจะมีความร้อนในห้องเผาไหม้สูงกว่าปกติ ไม่ว่าจะจากการใช้กำลังอัดสูงๆ หรือ ใช้ระบบอัดอากาศ . . . เครื่องพวกนี้ต้องการออกเทนสูงมาสู้กับความร้อนที่มากกว่าธรรมดาในห้องเผาไหม้ครับ ถ้าเครื่องแรงๆแบบเครื่องอเมริกัน ที่มีความจุเยอะๆ 5 พันกว่าซีซี กำลังอัดไม่ต้องสูงก็แรงได้โดยไม่ต้องใช้ออกเทนสูงๆครับ เพราะความร้อนในห้องเผาไหม้ก็ธรรมดาเหมือนรถบ้านทั่วไป . จากคุณ : A-Z - [ 12 ก.พ. 48 17:57:12 A:202.176.107.72 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ก็ถ้า Octane สูงกว่ามันให้พลังงานความร้อนมากกว่าอย่างที่คุณว่าจริง แรงบิดเอย แรงม้าเอย มันก็ต้องเพิ่มขึ้นอยู่แล้วล่ะครับ ฉีดน้ำมันเท่าเดิมแต่ได้ความร้อนมากกว่าเดิมนี่ครับ ตรรกะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ >>>>>>>>>>> ครับ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เบนซิน เป็นส่วนผสมของไฮโดรคาร์บอนหลายตัว ไม่ใช่ตัวเดียว แต่ละตัวมีจุดเดือดแตกต่างกัน ประกอบด้วยส่วนผสมหลัก 3 ส่วน คือ ส่วนหน้า, ส่วนกลาง, และส่วนหาง แต่ละส่วนมีจุดเดือดแตกต่างกัน -ส่วนหน้ามีคุณสมบัติระเหยง่าย ใช้คุณสมบัติในการสตาร์ทเมื่อเครื่องเย็น จะติดเครื่องง่ายหรือยาก ขึ้นกับส่วนผสมนี้ แก็สโซฮอล อากาศเย็นอาจสตาร์ทยาก เพราะการระเหยของกอฮอต้องการความร้อนมากกว่า -ส่วนกลาง เป็นส่วนที่มีความสำคัญในการขับขี่ drivability และ performance จะแสดงโดดเด่นออกมาจากส่วนผสมส่วนนี้ จุดเดือดจะสูงขึ้นมาระดับหนึ่ง -ส่วนปลายหรือหาง เป็นส่วนที่มี C หนัก ระเหยยาก แต่เป็นส่วนที่ให้พลังความร้อนมาก เบนซิน จะทดสอบจุดเดือด 3 จุดที่ 70 100 200 จะต้องระเหยได้% มากน้อยตามต้องการ เมื่อผสมแล้วอาจตรวจสอบ"เบื้องต้น"โดย density ใช้ API gravity เป็นวิธีง่ายๆที่เห็นในโฆษณาทีวี เมื่อพนักงานบริษัทน้ำมันออกสุ่มตัวอย่าง และใช้หลอดแก้ววัด DIN 51757 density เบนซินชนิดต่างๆ [ kg/l] ดังนี้ 91 == 0.74 98 .. 100 ==0.79 >100 == 0.88 Octane ยิ่งสูง density ยิ่งมาก ถ้าเราเอาน้ำมันเบนซินทั้ง 2 ชนิด 91 และ 95 ใส่ขวดใสๆ เราจะเห็นน้ำมันทั้งสองชนิดแยกตัวเป็นชั้น ค่าความร้อน HU kcal/l 91--94 == 7650 98--100 ==8000 >100 ==8400 octane ยิ่งสูง ค่าความร้อนยิ่งมาก ครับ ลองเปรียบเทียบกับมาตรฐาน ASTM ก็เหมือนกัน แต่ผู้เชี่ยวบริษัทน้ำมันจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เมื่อเทียบราคาแตกต่างกัน และค่าความร้อนที่เราจะประหยัดแล้ว "ไม่คุ้ม"ที่เราจะเติมน้ำมันออกเทน"สูงกว่า"ที่เครื่องต้องการ เพื่อหวังความประหยัด ....." ผู้เชี่ยวชาญที่พูดอย่างนี้ พูดถูกเพียงส่วนเดียว ไม่ถูกทั้งหมดครับ เพราะสิ่งที่ได้รับจากน้ำมัน Octane สูง ไม่ใช่ได้จากค่าความร้อนเพียงอย่างเดียว 1) ประสิทธิภาพ เครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น ทำไมไม่พูดถึง ครับ ในเมื่อ spec น้ำมันเขาอุตส่าห์ใส่ส่วนผสมที่มี property ต้องการ drivabilty and performance DIN และ ASTM อุตส่าห์ค้นหาแทบเป็นแทบตาย ทำไมจึงถูกละเลยครับ 2) มลภาวะจากส่วนเกินเช่นสีแดงของ 91 ที่ไปก่อมลภาวะในเครื่องยนต์ เกิด fuel dilution ไปผสมกับน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเป็นสีแดง(ไม่เชื่อใครใช้ Honda ลองดูน้ำมันได้เลย) และชิ้นส่วนที่เป็นสีแดงในเครื่อง คราบสกปรกเหล่านี้ ปรากฏแก่สายตาช่าง และเจ้าของรถหลายคน จนช่างบางคนถึงกับพูดว่า 91 สกปรก จากคุณ : ช่างกล - [ 13 ก.พ. 48 06:33:32 A:203.113.37.10 X:203.150.217.114 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ต่อ ... (ไม่อยากให้ยาว อ่านยาก ) ความประหยัด ไม่ได้มาจาก "ค่าความร้อนที่มากกว่า" เพียงอย่างเดียว เครื่องยนต์เป็นเครื่องพลังความร้อน เราต้องพูดถึง "ประสิทธิภาพความร้อน" Thermal efficiency -เครื่องแรงอัดยิ่งสูง ยิ่งได้ thermal eff สูง -Octane สูง ทำให้ timing เปลี่ยนแปลง มีผลโดยตรงกับจังหวะที่จะได้ pressure ที่ตำแหน่ง A-TDC ดีที่สุด (คุณ S(2) เคยอธิบายให้เพื่อนๆแล้ว ถ้ายังไง.. รบกวนช่วยอีกสักครั้ง :- ) timing การจุดระเบิดที่จุดนี้ เราจะได้ optimum Torque ส่งผลให้ optimum Output และเป็นผลโดยตรงต่อ drivability ประสิทธิภาพ การขับขี่ การตอบสนองคันเร่ง เห็นได้ชัด ไม่ต้องมานิยามให้จุกจิกเรื่องมากว่า จะทดลองอย่างไรหรอกครับ คนขับรถทุกคนสัมผัสได้ โดยเฉพาะนักขับมืออาชีพครับ ไม่ต้องอื่นไกล หลานของนักวิชาการ Bosch เด็กตัวเล็กขนาดนอนหลับอยู่เบาะหลังรถ เมื่อคนขับรถเติมน้ำมัน 91 ขับออกไปจากปั้ม เด็กยังบอกความแตกต่างได้เลย นี่เป็นเรื่องจริง ผมไม่ได้แกล้งพูด ดังนั้น ใครก็ตามที่ปากแข็งออกมายืนยันว่า 91 กับ 95 ไม่ต่างกัน ผมจะให้ไปเถียงกับเด็กคนนี้ ครับ จากคุณ : ช่างกล - [ 13 ก.พ. 48 06:51:20 A:203.113.37.10 X:203.150.217.114 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 24 นิตรสาร ฟอร์มูล่า โดยใครก็จำไม่ได้ เคยทดสอบแรงม้า ระหว่าง 91 กับ 95 กับเครื่อง Honda และ VW แล้วได้ max HP เท่ากัน ผมจะโทรไปบอกคุณเจษฏาหลายครั้งแล้ว (แต่ยังไม่ได้โทร)ว่า การทดสอบอย่างนี้ ไม่ถูกครับ เพราะเครื่องหัวฉีดโดยธรรมชาติมันจะได้ผลออกมาอย่างนั้น มันมีการปรับองศาได้เอง และยังจำกัด max output เอาไว้ด้วย จะทดลองให้ดีกว่า ก็ต้องใช้เครื่องคาร์บู ที่ไม่มี ECU ซิครับ ลองดูแบบผมทำง่ายๆ เมื่อเติม 95 เราปรับ timing แก่ขึ้น (advance) รอบเครื่องจะสูงขึ้นทันที ทุกๆ rpm ที่เพิ่มขึ้นต่อนาที่ นี่คือ ของจริงที่เราประหยัด ต่อ นาที เราลด rpm ลงให้เท่าเดิม เท่ากับเราได้เงินไหลกลับเข้ากระเป๋าเงินของเรา ทุกๆ วินาที ที่เครื่องยนต์ทำงาน ลองทดสอบ max-HP บนเครื่องนี้ซิครับ แรงม้าจาก 95 จะได้เท่ากับ 91 หรือไม่ ?? จากคุณ : ช่างกล - [ 13 ก.พ. 48 06:58:14 A:203.113.37.10 X:203.150.217.114 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ใครที่ออกมาคุยว่า รถยนต์ของเขาสเปค 95 แล้วเติม 91 ก็ได้ โดยค่อยๆขับ ไม่เร่งมาก และไม่อีกหลาย"ไม่" ที่นักขับมืออาชีพควรจะทำ คนที่ซื้อรถราคาแพง แล้วต้องทนขับอย่างนี้ทุกวัน ผมนึกถึงอัศวินขี่ม้าชั้นดี แล้วอวดกับพระเจ้าอาเธอร์ว่า ม้าศึกชึ้นดีของตน ไม่ต้องกินหญ้าสดราคาแพง มันกินแกลบก็ได้ คิงอาเธอร์ได้ยินคงจะคิดว่า ไม่บ้า ก็ไม่รู้จะว่ายังไง โดยความเคารพ ผมฝากมาให้ด้วยความรักและห่วงใย ต่อสุขภาพโดยรวมของท่านครับ จากคุณ : ช่างกล - [ 13 ก.พ. 48 07:13:38 A:203.113.37.10 X:203.150.217.114 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ที่ไม่ได้ยินเสียงเขก "แก็กๆ" แล้ว บอกว่าไม่เขก อย่างนี้ไม่ถูกครับ ระดับเสียงที่ได้ยินอย่างนั้น ไม่ใช่เสียงน้อคที่มีอันตราย เสียงน้อคที่อันตรายเป็นเสียงระดับ ??? Hz ต่ำ หูของผู้ชำนาญก็ยังแยกได้ลำบากครับ หูของคนขับรถธรรมดา ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะแยกเสียงน้อคได้ครับ จากคุณ : ช่างกล - [ 13 ก.พ. 48 07:28:55 A:203.113.37.10 X:203.150.217.114 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ง่ะ - -" มีพาดพิง อิอิ ค่าความร้อนของออกเทน ๙๑ กับ ๙๕ มันเกือบๆจะเท่ากันครับ นั่นหมายถึงแรงม้าที่เป็นไปได้สูงสุดน่าจะเท่ากัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเครื่องจะต้องไม่น๊อคไปซะก่อน แต่เครื่องยนต์บางเครื่องใช้ ๙๑ แล้วไม่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เพราะน๊อคไปก่อน อีซียู จับได้ว่าน๊อคก็กลัวเครื่องพัง ก็ลดไฟจุดระเบิดลง แต่ก็ยังใช้ได้ พอเติม ๙๕ ไม่น๊อคแล้ว อีซียูได้ใจ เพิ่มองศาไฟจุดระเบิดขึ้นถูกต้องตามโรงงานตั้งไว้ มันก็แรงขึ้นแหง๋ๆ ไม่รับประกันนะว่าเป็นอย่างงี้ทุกเครื่องน่ะ อิอิ จากคุณ : เกือบไม่เห็น (S(2)) - [ 13 ก.พ. 48 11:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 28 สวัสดีครับ คุณช่างกล . . . ผมสับสนนิดหน่อย กับ การทดลอง การทดสอบในเครื่องหัวฉีด การใช้ออกเทนต่างกันแล้ว มันปรับองศาได้เองนั้น มันก็ควรจะได้ Max HP ที่มากกว่าไม่ใช่เหรอครับ พอใช้ 95 มันก็ Adv ไฟขึ้นไปอีก Max HP ก็น่าจะดีขึ้น หรืออย่างในการทดลองในเครื่องคาร์บู . . . ถ้าเราไม่ปรับไฟแก่ขึ้น จะแรงขึ้นหรือไม่? เอาความแรงจากตัวน้ำมันเองครับ . . . . การ Adv ไฟได้แล้วแรงขึ้น มันก็เป็นเพราะคุณสมบัติที่ดีกว่าอนุญาติให้เราปรับไฟได้ดีขึ้น แล้วถ้าไม่ปรับอะไรเลย จะแรงขึ้นหรือไม่ครับ อย่างสมมุติเครื่องหนึ่งออกแบบมาใช้กับน้ำมัน 91 ตั้งแต่เกิด สามารถ Adv ไฟได้จนได้ Peak Pressure ที่ ATDC ที่ต้องการ ด้วย 91 (สมมุติว่าสามารถ Adv กว่านี้ด้วย 91 ก็ได้ ไม่น๊อคด้วย แต่ HP drop แล้ว) . . . . กรณีแบบนี้ เติม 95 จะมี HP มากขึ้นหรือไม่ครับ คือตัดตัวแปรที่น้ำมันออกเทนสูงอนุญาติให้เราปรับอะไรได้มากขึ้นทิ้งไปเลย เอาแค่น้ำมันอย่างเดียวที่แตกต่าง จะได้ output ต่างกันหรือไม่ . . เอาที่ต่างกันแบบมีนัยะนะครับ . . . (ถ้าต่างแบบ ครึ่งม้า-1-2 แรงม้าไม่เอา เพราะมันไม่รู้สึกอะไร วัดแรงม้าต่อเนื่องหลายๆ run เลข 1-2 แรงม้า มันก็คลาดเคลื่อนผิดกันได้อยู่แล้ว) . จากคุณ : A-Z - [ 13 ก.พ. 48 12:42:56 A:202.176.107.230 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 29 สวัสดีครับ คุณช่างกล . . . ผมสับสนนิดหน่อย กับ การทดลอง การทดสอบในเครื่องหัวฉีด การใช้ออกเทนต่างกันแล้ว มันปรับองศาได้เองนั้น มันก็ควรจะได้ Max HP ที่มากกว่าไม่ใช่เหรอครับ พอใช้ 95 มันก็ Adv ไฟขึ้นไปอีก Max HP ก็น่าจะดีขึ้น >>>>>>>>>>> สวัสดีครับ คุณ A-Z ครับ โดยหลักเทคนิคผมเห็นด้วยกับคุณ 95 จะต้องได้ output ออกมาดีกว่า 91 เส้นกราฟ HP จะไม่เหมือนกันครับ 1) กราฟเริ่มต้นที่ rpm ต่ำๆ เส้นกราฟจะอยู่"ใกล้กัน" 2) เมื่อ rpm เพิ่มขึ้น กราฟของ 95 จะดีกว่าเรื่อยๆ เหตุผล เพราะทุกๆ rpm ที่เพิ่มขึ้น ความถี่ของ power-stroke จะเพิ่มความร้อนสะสมในห้องเผาไหม้ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่จุดนี้ส่งผลให้ Octane requirement เพิ่มขึ้น เมื่อเราพยายามให้เครื่องยนต์ใช้ Octaneต่ำ คือ 91 ECU ก็จำเป็นต้อง retard timing เพื่อไม่ให้ knock ครับ 3) ผลการทดลองของ ฟอร์มูล่า ครั้งนี้ ผมอ่านแล้วเข้าใจว่า ผู้เขียนพยายามเน้นที่ max-HP โดยไม่ได้คำนึงถึงเส้นกราฟทั้งเส้น ข้อเขียนเรื่องนี้พยายามสื่อให้เกิดความเข้าใจว่าน้ำมัน 91 กับ 95 ได้ output ออกมาเท่ากัน เพื่อจูงใจให้ใช้ 91 ครับ 4) ผมไม่มีเหตุโกรธเคืองกับ ฟอร์มูล่า ในทางกลับกันผมมีทัศนคติที่ดีต่อฟอร์มูล่าเสมอมา ผมวิจารณ์ข้อเขียนนี้โดยบริสุทธิใจ ต้องการให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จากคุณ : ช่างกล - [ 13 ก.พ. 48 19:49:11 A:203.113.36.9 X:203.150.217.119 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 30 หรืออย่างในการทดลองในเครื่องคาร์บู . . . ถ้าเราไม่ปรับไฟแก่ขึ้น จะแรงขึ้นหรือไม่? เอาความแรงจากตัวน้ำมันเองครับ . . . . การ Adv ไฟได้แล้วแรงขึ้น มันก็เป็นเพราะคุณสมบัติที่ดีกว่าอนุญาติให้เราปรับไฟได้ดีขึ้น แล้วถ้าไม่ปรับอะไรเลย จะแรงขึ้นหรือไม่ครับ >>>>>>>> แรงขึ้นครับ !! แรงขึ้น เพราะ ค่าความร้อน 95 ที่มากกว่า input heat มากกว่า output จะต้องมากกว่า ส่วนจะแรงขึ้นเท่าไร คำตอบข้างล่างครับ จากคุณ : ช่างกล - [ 13 ก.พ. 48 19:54:47 A:203.113.36.9 X:203.150.217.119 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 31 อย่างสมมุติเครื่องหนึ่งออกแบบมาใช้กับน้ำมัน 91 ตั้งแต่เกิด สามารถ Adv ไฟได้จนได้ Peak Pressure ที่ ATDC ที่ต้องการ ด้วย 91 (สมมุติว่าสามารถ Adv กว่านี้ด้วย 91 ก็ได้ ไม่น๊อคด้วย แต่ HP drop แล้ว) . . . . กรณีแบบนี้ เติม 95 จะมี HP มากขึ้นหรือไม่ครับ >>>>>>>>>>>>>> ในกรณีที่บังคับคุมเข้มขนาดนี้ เมื่อเติม 95 ก็ยังได้ HP มากกว่า 91 ครับ เพราะ input heat มากกว่า จะทำยังไงก็ได้ เครื่องตัวนี้ก็ต้องมี efficiency อย่างน้อยเท่าเดิม ที่จริง thermal-eff มันน่าจะดีกว่า ถ้าถามว่า "มากกว่า เท่าไร" มีคำตอบข้างล่างครับ จากคุณ : ช่างกล - [ 13 ก.พ. 48 20:03:28 A:203.113.36.9 X:203.150.217.119 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คือตัดตัวแปรที่น้ำมันออกเทนสูงอนุญาติให้เราปรับอะไรได้มากขึ้นทิ้งไปเลย เอาแค่น้ำมันอย่างเดียวที่แตกต่าง จะได้ output ต่างกันหรือไม่ . . เอาที่ต่างกันแบบมีนัยะนะครับ . . . (ถ้าต่างแบบ ครึ่งม้า-1-2 แรงม้าไม่เอา เพราะมันไม่รู้สึกอะไร วัดแรงม้าต่อเนื่องหลายๆ run เลข 1-2 แรงม้า มันก็คลาดเคลื่อนผิดกันได้อยู่แล้ว) >>>>>>>>>>>> เห็นด้วยครับ ความแตกต่างไม่ควรบอกเป็น แรงม้า ควรจะบอกเป็น % เพื่อใช้อ้างอิงได้กับเครื่องยนต์ทุกขนาด จริงไหมครับ ถ้าบอกเป็นแรงม้า 1-2 แรงของเครื่องบินเล็ก 40 ลบนิ้ว มันปาเข้าไปเกือบ 100% ในขณะที่เทียบกับเครื่องขนาด 100 แรง จะได้เพียง 1-2 % ต่างกันมากครับ ตามข้อกำหนดโหดๆข้างต้น ;-) 95 จะต้องได้ output ออกมามากกว่า 91 = 4.57 % (เป็นอย่างน้อย) นอกจาก ใครจะหาข้อพิสูจน์มาโต้แย้งได้ว่า 95 มี loss มากกว่าครับ ผมคิดมาจากค่าความร้อนที่แตกต่างกัน (ตาม DIN ข้างต้น) จากคุณ : ช่างกล - [ 13 ก.พ. 48 20:25:48 A:203.113.36.9 X:203.150.217.119 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ ช่างกล เยี่ยมากๆครับ จากคุณ : B - [ 13 ก.พ. 48 21:53:57 A:61.90.28.185 X: TicketID:002840 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ช่วงเร่งออกตัว กับที่ช่วงรอบสูงๆ ช่วงไหนเครื่องมีความต้องการออกเทนมากกว่ากันครับ เท่าที่ผมลองจะลองเฉพาะช่วงออกตัว  ถ้าไม่น็อคก็ ok เพราะช่วงสูงๆผมไม่สามารถฟังได้  บางทีมันอาจจะน็อคแต่เราอาจจะไม่ได้ยินก็ได้ ที่ผมเจอมาคือ รถบ้านหลายรุ่นที่คู่มือบอกว่าให้เติม 91   ตอนเร่งออกมีอาการน็อคให้ได้ยิน   พอเร่งขึ้นไปรอบสูงๆแล้วไม่ได้ยิน จากคุณ : ton99 - [ 13 ก.พ. 48 22:44:54 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณ คุณช่างกลมากครับ สำหรับคำอธิบายข้างต้น ผมยังมีข้อสงสัยต่ออีกนิดหนึ่ง เกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมัน @22 ถ้านำน้ำมันพื้นฐานที่เป็นตัวเดียวกันมาก่อนจะมีการเติม Additive ต่างๆเพื่อเพิ่มออกเทน และเท่าที่ได้ยินมา จากคุณช่างกล จากกระทู้เก่า ว่า Additive ที่ใช้เพิ่มออกเทน มีได้หลากหลายชนิด แต่ละชนิดที่เติมเข้าไป เมื่อกลายเป็นน้ำมันออกเทนสูงแล้ว มันจะยังมีคุณสมบัติ ทั้งในแง่ ค่าความร้อน และ Density เหมือนกันทุกตัวหรือไม่ครับ หรือที่เราเห็นกันอยู่ น้ำมัน95 กับ แกสโซฮอล์95 ที่มีออกเทนนัมเบอร์เป็น 95 ทั้งคู่ จะมีคุณสมบัติ 2 ตัวนี้เหมือนกันหรือไม่ คือหลักๆของคำถามคือ ค่าความร้อนที่เพิ่มขึ้นมามันเป็นเพราะคุณสมบัติของสารปรุงแต่งใช่หรือไม่ และสารปรุงแต่หลากชนิดกันจะยังให้ค่าความร้อนที่เพิ่มขึ้นเหมือนกันหรือครับ หรือมันเป็นข้อบังคับว่า สารปรุงแต่งตัวไหนก็ตามต้องทำจนน้ำมันได้ค่าความร้อนเท่าที่กำหนดไว้ จึงจะกำหนดค่าออกเทนนั้นๆได้ . . . หรือว่าค่าความร้อนที่ได้เพิ่มขึ้นเป็นผลพลอยได้จากสารปรุงแต่ง คือผมไม่มีความรู้เรื่องเคมีมากนัก ก็เลยสงสัยต่อไปว่า ถ้าสมมุติมีสารปรุงแต่งชนืดไหนที่ตัวมันเองไม่มีการให้พลังงานความร้อนเพิ่มเติม แต่สามารถทำให้ออกเทนนัมเบอร์เพิ่มขึ้นได้ . . . น้ำมันออกเทนสูงตัวใหม่นี้ จะยังทำความร้อนได้เหมือนเดิมหรือไม่ จุดหลักๆที่ผมยังสงสัยก็คือ ความหมายของออกเทนนัมเบอร์ก็เรื่องหนึ่ง . . ค่าความร้อนที่ได้ออกมาเพิ่มขึ้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เสมือนผลพลอยได้จากสารปรุงแต่ง . . . คือมันไม่น่าจะเป็นเรื่องตายตัวว่า ออกเทนเท่านี้จะต้องให้ค่าความร้อนเท่านี้เสมอ ขึ้นอยู่กับสารปรุงแต่งแต่ละชนิดไป . . (ออกเทนนัมเบอร์น่าจะเป็นการกล่าวในเรื่องคุณสมบัติด้าน Anti Pre-Ignition Anti Detonation เป็นหลัก ส่วนค่าความร้อนเป็นผลพลอยได้ แต่ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังคับตายตัวว่า ออกเทนสูงต้องมีค่าความร้อนมากกว่า จึงจะเรียกว่าน้ำมันออกเทนสูงได้) ณ จุดนี้ผมคงยังเข้าใจอะไรผิดๆอยู่บ้างเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมัน รบกวนตุณช่างกลช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ ขอบคุณครับ . จากคุณ : A-Z - [ 13 ก.พ. 48 23:36:04 A:202.176.107.164 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมเคยถามคุณช่างกลเมื่อนานมาแล้วเกี่ยวกับ เบนซิน95 กับ โซฮอล 95 ว่าใครมีค่าความร้อนมากกว่ากัน ถ้าผมจำไม่ผิด เบนซิน 95 มีค่าความร้อนมากกว่าครับ แต่ผมไม่ค่อยชัวร์นะครับ  ยังไงก็คงต้องรอคุณช่างกลมายืนยันอีกที จากคุณ : ton99 - [ 14 ก.พ. 48 00:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณ คุณช่างกลมากครับ สำหรับคำอธิบายข้างต้น >>>>>>> ครับ ยังไม่จบครับ ผมกำลังจะเล่าต่อถึงเรื่องที่คุณ A-Z ถามพอดี คำถามของคุณ A-Z เป็นคำถามที่เยี่ยมมาก แสดงให้เห็นความรอบรู้ และความเข้าใจที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่บทสรุป.... ผมมีบทสรุปที่โดนใจผมมากๆ ของคุณ S(2) สรุปเอาไว้ดีมากที่ห้องหว้ากอ ครับ (ขออนุญาติพาดพิงอีกครั้ง อิอิ) จากคุณ : ช่างกล - [ 14 ก.พ. 48 05:42:57 A:203.113.37.7 X:203.150.217.113 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ผมยังมีข้อสงสัยต่ออีกนิดหนึ่ง เกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมัน @22 ถ้านำน้ำมันพื้นฐานที่เป็นตัวเดียวกันมาก่อนจะมีการเติม Additive ต่างๆเพื่อเพิ่มออกเทน และเท่าที่ได้ยินมา จากคุณช่างกล จากกระทู้เก่า ว่า Additive ที่ใช้เพิ่มออกเทน มีได้หลากหลายชนิด แต่ละชนิดที่เติมเข้าไป เมื่อกลายเป็นน้ำมันออกเทนสูงแล้ว มันจะยังมีคุณสมบัติ ทั้งในแง่ ค่าความร้อน และ Density เหมือนกันทุกตัวหรือไม่ครับ หรือที่เราเห็นกันอยู่ น้ำมัน95 กับ แกสโซฮอล์95 ที่มีออกเทนนัมเบอร์เป็น 95 ทั้งคู่ จะมีคุณสมบัติ 2 ตัวนี้เหมือนกันหรือไม่ >>>>>>>>>>>>>> ผมกำลังจะพูดเรื่องนี้พอดีครับ เรื่อง Octane และ ค่าความร้อน ที่ผมอ้างอิง DIN ข้างต้นนั้น ในสมัยนั้นเขาใช้ Benzol เป็นหลักในการเพิ่มค่าออกเทน สารตัวนี้ คือ C6 H6 เป็น Aromatic ที่นักเคมีรู้จักดี (see คห 14 คุณ BABOO กล่าวถึงข้างต้น) ตัวนี้มีค่า Octaneสูงถึง RON 123 ครับ ต่อมาตรวจพบว่า aromatic ตัวนี้เป็นตัวก่อมะเร็งเม็ดเลือด, ลูคีเมียClean Air Act จึงจำกัดการใช้ aromatic นี้ โรงกลั่นจึงหันไปใช้ MTBE ทดแทน แต่โรงกลั่นส่วนใหญ่จะใช้วิธี Isomerization and Hydrotreated convert benzene (benzol) to cyclohexane so that the final gasoline blend will meet a *benzene specification limit* ครับ โรงกลั่นบางจากก็มี Isomerization ได้ติดตั้งเสร็จเมื่อสองสามปีที่แล้ว ( Ref: มีโฆษณาของบางจาก ลงนิตรสารหลายเล่มครับ) ดังนั้น Octane poll ที่นำมา blend น้ำมัน 95 จึงเอามาจากการกลั่น น้ำมัน 95 ไม่ได้ใช้สาร MTBE ที่ต้องเสียเงินซื้อจากต่างประเทศครับ //..The straight run heavy gasoline is hydrotreated to remove sulfur and then reformed to improve octane and generate hydrogen for the hydrotreaters.....// ดังนั้น คำโฆษณาที่บอกให้ช่วยกันประหยัดเงินของชาติ เพราะ 95 ต้องซื้อ MTBE มาเป็น additive จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางเทคนิค ครับ น้ำมัน 95 ที่ใช้ MTBE เพิ่มค่าออกเทน เป็นน้ำมันประเภท Oxygenated มีค่าความร้อนเชื้อเพลิง "ต่ำกว่า" น้ำมันมาตรฐานประมาณ 3 % ครับ //.. converting from conventional gasoline to oxy-genated reformulated gasoline decreases fuel economy by about 3% ..// จากคุณ : ช่างกล - [ 14 ก.พ. 48 06:20:01 A:203.113.37.7 X:203.150.217.113 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 39 //.. federal reformulated gasolines (federal RFGs) oxygenated with MTBE, ETBE or ethanol. When the results for all the road tests of all the vehicles were combined, the average fuel economy of the three oxygenated federal RFG gasolines was 2.8% lower than the average fuel economy of the con-ventional gasoline ..// จากคุณ : ช่างกล - [ 14 ก.พ. 48 06:22:33 A:203.113.37.7 X:203.150.217.113 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 40 //.. The straight run light gasoline may be isomerized to increase octane, or hydrotreated to convert benzene to cyclohexane so that the final gasoline blend will **meet a benzene specification limit,** or both. ...// สังเกต เขาใช้วิธีนี้ to meet benzene spec. limit นะครับ เพราะมีคนอ้างว่า โรงกลั่นจำเป็นต้องใช้ MTBE เพื่อจะจำกัดการใช้ aromatic ครับ จากคุณ : ช่างกล - [ 14 ก.พ. 48 06:26:59 A:203.113.37.7 X:203.150.217.113 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คราวนี้กลับมาที่คุณ A-Z กำหนดการทดสอบเข้มอย่างนั้น ถูกแล้ว (ข้อกำหนดของคุณ A-Z ที่ไม่ให้มีการปรับตั้งอะไรเลย) จะได้ทดสอบเฉพาะคุณสมบัติของ 95 เพียงอย่างเดียว ผู้เชี่ยวชาญพูดตรงกันว่า "ไม่คุ้ม" ถ้าเราจะเติม 95 เพื่อหวังการประหยัด จากค่าความร้อนที่มากกว่า (ตามที่คุณภูมิตั้งข้อสังเกต ถูกแล้วครับ) Traditionally, premium has had a **slightly higher ** heating value than regular, and, thus, provided slightly better fuel economy. The difference is not **large enough** to offset premium’s higher cost. The difference is likely to be less or nonexistent between grades of reformulated gasoline. จากคุณ : ช่างกล - [ 14 ก.พ. 48 06:35:23 A:203.113.37.7 X:203.150.217.113 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ A-Z #27 อย่างสมมุติเครื่องหนึ่งออกแบบมาใช้กับน้ำมัน 91 ตั้งแต่เกิด สามารถ Adv ไฟได้จนได้ Peak Pressure ที่ ATDC ที่ต้องการ ด้วย 91 (สมมุติว่าสามารถ Adv กว่านี้ด้วย 91 ก็ได้ ไม่น๊อคด้วย แต่ HP drop แล้ว) . . . . กรณีแบบนี้ เติม 95 จะมี HP มากขึ้นหรือไม่ครับ >>>>>>>>>>>>> กรณีนี้เป็นเครื่องที่ออกแบบให้ใช้ 91 เครื่องแบบนี้ ไม่คุ้ม ถ้าเราจะใช้ 95 เพื่อหวังประหยัดจากค่าความร้อนที่ดีกว่าของ 95 ครับ จากคุณ : ช่างกล - [ 14 ก.พ. 48 06:40:12 A:203.113.37.7 X:203.150.217.113 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 43 การใช้ 95 ไม่ใช่ว่า เราได้ประโยชน์จาก ค่าความร้อนที่ดีกว่าเพียงอย่างเดียว ข้อดีที่มากกว่านั้น คือ ประสิทธิภาพเชิงความร้อน ซึ่งเครื่องประเภทนี้สามารถปรับ timing ให้ได้ peak performance ส่งผลให้เรารู้สึกได้ถึง performance and drivability ที่ดี ตอบสนองการเร่ง และประสิทธิภาพเชิงความร้อน ทั้งหมดรวมกันจะได้ผลในแง่ความประหยัด คิดออกมาเป็นราคาต่อกิโล ที่ดีกว่า หรือ เท่ากับน้ำมัน 91 ครับ ทั้งนี้ ขึ้นกับเครื่องยนต์ที่ใช้ด้วย คุณ S(2) สรุปไว้ ดังนี้ //.. ทดลองด้วยตัวเองเลยครับ ไม่ใช่เรื่องยาก แล้วรถแต่ละรุ่นมันไม่เหมือนกันด้วยนะ เพราะงั้นบางคนอาจจะประหยัดขึ้น บางคนน้อยลง บางคนเท่าเดิม หลังจากนั้นก็สรุปผลแล้วก็เลือกเอาว่าจะใช้น้ำมันเกรดไหน จากคุณ : S(2) - [ 13 ก.พ. 48 15:09:07 ] ..// จากคุณ : ช่างกล - [ 14 ก.พ. 48 06:50:56 A:203.113.37.7 X:203.150.217.120 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ส่วนค่าความร้อนเป็นผลพลอยได้ แต่ไม่น่าจะเป็นเรื่องบังคับตายตัวว่า ออกเทนสูงต้องมีค่าความร้อนมากกว่า จึงจะเรียกว่าน้ำมันออกเทนสูงได้) >>>>>>>>>>> ครับ ค่าความร้อนเป็นผลพลอยได้ น้ำมันออกเทนสูง จะมีค่าความร้อนสูงครับ เหตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะเบนซิน ประกอบด้วยกลุ่ม CH 3 กลุ่มหลัก คือ 1) front end 2) midrange 3) trail end แต่ละตัวจะมี Cx ที่แน่นอน เช่น กลุ่มที่ 2) จะมี C5 C6 C8 เป็นส่วนมาก C-number แต่ละตัวมีค่าความร้อน*เฉพาะตัว* ส่งผลให้น้ำมันออกเทนสูงมีค่าความร้อนสูงกว่า นอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงสเปคท้องถิ่น local spec ด้วย เช่นบ้านเรากำหนดให้ใส่สีแดงใน 91 เป็นต้น เมื่อ blend เสร็จแล้ว จะต้องได้ ถพ. ตามสเปคด้วย จึงไม่สามารถ blend ออกเทนสูง โดยเพิ่ม Cx ตัวใดตัว ตัวหนึ่งได้ครับ จากคุณ : ช่างกล - [ 14 ก.พ. 48 07:03:35 A:203.113.37.7 X:203.150.217.113 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณ คุณช่างกลอีกครั้งครับ กระจ่างขึ้นมาก จากสเปคคือ 95 มีค่าความร้อนมากกว่าอยู่ประมาณ 4.57 % . . . แต่ถ้าใช้ MTBE ค่าความร้อนต่ำกว่ามาตรฐานประมาณ 3% ก็แสดงว่าร้อนกว่า 91 แค่ประมาณไม่เกิน 2% Traditionally, premium has had a **slightly higher ** heating value than regular มองในประเด็นความแรงเป็นหลัก ไม่สนเรื่องความประหยัด >>> ออกเทนสูงไม่ได้ทำให้เครื่องแรง (ด้วยตัวน้ำมันเอง อย่างแตกต่างแบบมีนัย) . . . แต่ออกเทนสูงมักจะจำเป็นสำหรับเครื่องแรงๆที่มีความจุไม่มากนัก (เครื่องที่ถูกรีดแรงม้า/ซีซี สูงๆ) ข้อสรุปข้างต้นของผม ก็น่าพอจะถือว่าใช่ได้ใช่ไหมครับ ขอบคุณครับ . จากคุณ : A-Z - [ 14 ก.พ. 48 09:37:51 A:202.176.107.169 X: TicketID:002452 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณมากครับ ถ้าในคู่มือก็บอกไว้ว่า "เติมน้ำมันไร้สารตะกั่ว RON 95 ขึ้นไป เท่านั้น" RON 95 ขึ้นไปเท่านั้น หมายความว่า เติม 95 96 97 98-100 ได้ เข้าใจถูกใช่มั๊ย เติมมากกว่า 95 มีผลอะไรหรือไม่ แรงขึ้นมั๊ย แค่ 95 ตอนนี้ ก็รู้สึกว่าดีแล้ว จากคุณ : malldeff - [ 14 ก.พ. 48 10:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณมาก ๆ เลยครับคุณช่างกล จากคุณ : ภูมิ - [ 14 ก.พ. 48 12:13:12 A:161.200.89.52 X:161.200.255.163 TicketID:035419 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อาจไม่ตรงประเด็นกระทู้เท่าไหร่ ผมว่าคงมีคนเครื่องพังในระยะยาว  เพราะไม่รู้ คิดว่าเติมออกเทนต่ำไป ไม่เห็นเป็นไร (แต่จริงๆอาการอาจเกิดขึ้น แต่เจ้าของรถไม่รู้) เนื่องจาก ไม่เห็นมันน็อก (เพราะนึกว่าน็อกแปลว่าเครื่องดับไปเอง) ไม่เห็นมันสะดุด (ออกเทนน้อยไป อาการมักจะไม่ใช่สะดุด) เรื่องอาการที่เกิดขึ้นเมื่อใช้อ็อกเทนผิด (ต่ำไป)  ก็เป็นอีกจุดนึงที่ควรประชาสัมพันธ์ครับ จากคุณ : อากง - [ 14 ก.พ. 48 12:19:18 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ดีใจครับที่เพื่อนๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน แต่อย่างไรค่า octane สูงกว่าให้พลังงานมากกว่า แรงม้าอาจไม่แตกต่างกันอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน แต่สำหรับนักแข่งรถอาชีพ เขาจะทำทุกอย่างให้แรงที่สุดครับ อย่างเถียงกันมากเลยครับ สรุป ค่า octane สูงไว้มีผลแน่ครับ แพงด้วย แรงด้วย ผมไป chicago auto show 2005 มาครับ จะส่งรูปให้ดู จากคุณ : kaiair (kaiair) - [ 14 ก.พ. 48 13:45:34 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ง่ายๆที่สุดครับ แยกเครื่องรถแข่ง (high compression) ออกไปก่อน ถ้าเดิมทีเติม 95 เมื่อคุณเติม 91 อาการน็อกเกิดขึ้นแน่นอน ในเครื่องหัวฉีดจึงมี knock sensor เมื่อเครื่องน็อก knock sensor ก็จะส่งสัญญาณบอกกล่อง ให้ retard ไฟ กล่องควบคุมในเครื่องรถปกติ ถูกออกแบบให้ใช้ได้ทั่วโลก ในสภาพและภูมิประเทศ ที่มีตัวแปรมากมาย จุดมุ่งหมายหลัก จึงไม่ใช่การสร้างกำลังสูงสุด ในขณะที่ อัตราส่วนกำลังอัดในเครื่องยนต์ปกติ ไม่มากพอที่จะทำให้เกิดอาการชิงจุด ความแรงจึงไม่ได้อยู่ที่น้ำมันชนิดใด แต่อยู่ที่ค่าต่างๆที่ถูกโปรแกรมใส่มาจากโรงงาน จากคุณ : จีจี้ - [ 15 ก.พ. 48 06:34:10 A:61.90.80.35 X: TicketID:004779 ]

ความคิดเห็นที่ 51 >>> ออกเทนสูงไม่ได้ทำให้เครื่องแรง (ด้วยตัวน้ำมันเอง อย่างแตกต่างแบบมีนัย) . . . แต่ออกเทนสูงมักจะจำเป็นสำหรับเครื่องแรงๆที่มีความจุไม่มากนัก (เครื่องที่ถูกรีดแรงม้า/ซีซี สูงๆ) ข้อสรุปข้างต้นของผม ก็น่าพอจะถือว่าใช่ได้ใช่ไหมครับ >>>>>>>>>> ถูกต้องครับ ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่แชร์ประสบการณ์ จากคุณ : ช่างกล - [ 15 ก.พ. 48 06:39:04 A:203.113.37.12 X:203.150.217.113 TicketID:001962 ]

ความคิดเห็นที่ 52 อ่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้เอาข้อมูลค่าความร้อนแฝงมาเทียบกันดูครับ อยากเห็นตัวเลขเฉยๆถ้าใครมี แต่จำได้ว่าในแต่ละวันก็ไม่เท่ากันด้วย ตรงนี้คงลำบากหน่อย เล่นประจานออกอากาศกันแบบนี้เล่นด้วยคนสิ วันนี้วันวาเลนไทน์ อิอิ คือเมื่อประมาณสองปีก่อนถ้าคุณช่างกลคือคนเดียวกันกับคุณช่างกลที่เข้าไปตอบเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันที่ bmwsociety นี่ผมก็บอกได้เลยครับ คุณช่างกลเป็นผู้ทรงความรู้ที่ผมนึกนับถืออยู่ในใจมาสองปีแล้วล่ะ อิอิ(เขิลลล) คุณ A-Z (แฮ่ๆ โดนหางเลข) คนนี้ไม่ต้องพูดถึง รอบรู้ชนิดหาตัวจับยาก กระทู้อะไรมีสาระในรัชดาที่เถียงกันยาวๆจะเห็นเค้าเสมอ แล้วพิมพ์แบบชนิดอ่านกันจนวัวกลับเข้าคอก (till cows come home ชมนะครับผม ^ ^) ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย นับถืออยู่ในใจมานานเช่นกัน แล้วก็มีอีกหลายๆท่านทั้งในห้องรัชดาและหว้ากอที่คอยแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้พวกเราเสมอๆ อาจจะไม่ได้เอ่ยชื่อท่านเหล่านี้(เพราะความจำสั้น - -") แต่เชื่อว่าคงอยู่ในใจพวกเราบ้าง ไม่มากก็น้อย ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับผม จากคุณ : S(2) - [ 15 ก.พ. 48 09:33:45 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อย่าซีเรียสกับ ค่า octane มากนัก รถรุ่นใหม่สามารถใช้กับ octane ได้หลากชนิด บางประเทศเช่นเขมร มีแต่ 92 อย่างเดียว knock sensor จะส่งสัญญาณบอกกล่อง ให้ retard ไฟ หรือลดการประจุอากาศ  ในกรณีเครื่องแบบวาวล์แปรผัน หรือลดแรงดันไอดี(ถ้าติดเทอร์โบ) จากคุณ : CORONA ECT - [ 15 ก.พ. 48 15:32:31 ]

ความคิดเห็นที่ 54 /// knock sensor จะส่งสัญญาณบอกกล่อง ให้ retard ไฟ หรือลดการประจุอากาศ  ในกรณีเครื่องแบบวาวล์แปรผัน หรือลดแรงดันไอดี(ถ้าติดเทอร์โบ /// ที่ว่ามานั้นมันเป็นพิธีกรรมทำให้แรงมันตกทั้งนั้นเลยนะครับ จากคุณ : ton99 - [ 15 ก.พ. 48 21:08:06 ]

ความคิดเห็นที่ 55 แรงตกแต่เครื่ิองไม่พัง อย่างไหนดีกว่ากัน จากคุณ : CORONA ECT - [ 1 มี.ค. 48 22:51:10 ]