ความคิดเห็นที่ 5
รอบรู้เลือกรถ : พัฒนาการหัวเทียน เลือกความแรงต้อง อิริเดียม
ศรัญยู ตันติเสรี/saranyu@nationgroup.com
ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั้นมีมากมายหลายชนิด ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ประดับยนต์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ในแง่ของอุปกรณ์ความปลอดภัย ปัจจุบันพฤติกรรมการใช้รถของคนไทยเริ่มเปลี่ยนไป หันมาให้ความสำคัญมากขึ้น และที่นิยมไม่แพ้กันก็คือ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะที่เจ้าของรถหลายๆ คนพยายามเสาะหาอุปกรณ์ที่เชื่อว่าจะให้ผลดีขึ้นมาปรับเปลี่ยน ซึ่งหนึ่งในนั้นมี หัวเทียน รวมอยู่ด้วย
หัวเทียนทำหน้าที่ในการส่งประจุไฟฟ้าไปจุดระเบิดให้เกิดประกายไฟในห้องเผาไหม้ เพื่อให้เครื่องยนต์ติดหรือทำงานขึ้นมา หัวเทียนนั้นมีวิวัฒนาการมายาวนาน ปัจจุบันมีผู้ทำตลาดมากมายหลายยี่ห้อ
ในอดีตหัวเทียนที่นิยมใช้กันมานานก็คือ หัวเทียนที่มีเขี้ยวเป็นแบบทองแดง ซึ่งเป็นรุ่นสแตนดาร์ดที่มีใช้อยู่ในรถยนต์มากที่สุดในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นที่ติดตั้งมากับรถออกมาจากโรงงานประกอบรถยนต์ จากนั้นหัวเทียนได้มีวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นเขี้ยวแบบทองคำขาว หรือที่เราเรียกกันว่า พลัทตินั่ม ซึ่งชนิดหลังนี้เป็นที่นิยมในบ้านเรามาได้ประมาณ 10 ปี ผู้ที่เริ่มใช้หัวเทียนประเภทนี้คือ พวกนักบิดมอเตอร์ไซค์ ที่ต้องการความแรง รอบจัด และเทคโนโลยีล่าสุดของหัวเทียนในปัจจุบันก็คือ อิริเดียม (IRIDUIM)
แนวทางพัฒนาการของหัวเทียนนั้นในปัจจุบัน นอกจากคุณสมบัติเรื่องของการจุดระเบิดแล้ว ยังได้มีการพัฒนาโดยคำนึงถึงเรื่องของการประหยัดพลังงานในรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นระบบความสะอาดในการเผาไหม้ของห้องเครื่อง การทำงานของเครื่องยนต์ การถ่ายเทไอเสียผ่านระบบแคททาไลติกคอนเวอร์เตอร์ รวมถึงการทำให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็สามารถทำได้ถึง 2 - 3 หมื่นกิโลเมตร และบางรุ่นใช้งานได้ถึง 1 แสนกิโลเมตรก็มี
แต่อย่างไรก็ตาม หัวเทียนที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในบ้านเราขณะนี้ก็คือ หัวเทียนแบบสแตนดาร์ด ทังนี้เนื่องจากเป็นชนิดที่มีราคาถูกที่สุด ราคาต่อหัวจะมีตั้งแต่ไม่กี่สิบบาทไปจนถึง 100 กว่าบาท ในขณะที่พลัทตินั่มราคาจะสูงขึ้นมาอยู่ระหว่าง 100-400 บาทต่อหัว ส่วนอิริเดียมจะมีราคาแพงที่สุด ตั้งแต่ 400 บาท ไปจนถึงสูงกว่า 1,000 บาท
องค์ประกอบที่ทำให้หัวเทียนแต่ละยี่ห้อ แต่ละชนิดมีราคาที่แตกต่างกันนั้นมาจากวัสดุ การเลือกใช้หัวเทียนที่มีคุณภาพจะส่งผลดีกับเครื่องยนต์ การเลือกหัวเทียนต้องพิจารณาส่วนประกอบหลายๆ ด้าน เช่น ดีไซน์ แกนเล็ก แกนใหญ่ เขี้ยว ซึ่งมีทั้งเขี้ยวตรง เขี้ยวโค้ง บางรุ่นมี 4 เขี้ยว บางรุ่นมีเขี้ยวเดียว ถ้าเป็นเป็นรุ่นสแตนดาร์ดจะเป็นเขี้ยวโค้ง แต่ถ้าเป็นหัวเทียนพลัทตินั่มจะเป็นเขี้ยวตรง ให้ประสิทธิภาพการจุดระเบิดดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันหัวเทียนพลัทตินั่มไม่ได้มีเฉพาะพวกนักซิ่งที่ชอบใช้ แต่รถบ้านก็นิยมใช้เช่นกัน เพราะนอกจากจะมีราคาถูกกว่าในอดีตมากแล้ว ระยะเวลาการใช้งานก็ยาวนานกว่าแบบสแตนดาร์ดหลายเท่า
การเลือกซื้อหัวเทียนนั้นสิ่งสำคัญก็คือ การจุดระเบิดต้องแม่นยำและคงที่ หัวเทียนที่มีประสิทธิภาพสูงการออกแบบเขี้ยวจะต้องหลบให้อยู่ด้านในมากที่สุด คือ ไม่ให้โผล่ออกมาเหมือนในรุ่นสแตนดาร์ด เพราะการที่เขี้ยวหลบอยู่ข้างในจะส่งผลดีไม่ทำให้เขี้ยวเกิดการสึกหรอและเป็นประกายไฟ นอกจากนี้หัวเทียนที่ดีจะต้องทนความร้อนได้สูง ไม่ถูกกัดกร่อนได้ง่าย
ในแต่ละชนิดของหัวเทียนนั้นต่างก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ในรุ่นสแตนดาร์ดถือเป็นรุ่นที่นิยมใช้มากที่สุดในบ้านเรา เขี้ยวของรุ่นสแตนดาร์ดจะเป็นเขี้ยวแบบทองแดง ซึ่งนำไฟฟ้าได้ดีแต่ไม่ค่อยทนการกัดกร่อน และเมื่อเสื่อมสภาพจะทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก ในขณะที่พลัทตินั่ม ได้มีวิวัฒนาการเขี้ยวมาเป็นแบบทองคำขาว ซึ่งทองคำขาวจะมีคุณสมบัติในการทนความร้อนในห้องเผาไหม้ได้สูง ทนการกัดกร่อนได้ดี ส่วนอิริเดียมเขี้ยวจะเป็นแบบโลหะอัลลอย (ทองคำขาว) โดยนำพื้นฐานของพลัทตินั่มมาผสมกับโลหะออกมาเป็นอิริเดียม ความทนทานจะสูงที่สุด
คุณสมบัติของอิริเดียมนอกจากจะทนความร้อนและทนการกัดกร่อนได้สูงแล้ว ยังเป็นโลหะบริสุทธิ์ที่นำไฟฟ้าได้ดีกว่า ขณะเดียวกัน หัวเข็มของหัวเทียนอิริเดียมก็มีขนาดเล็กลงจนเหลือแค่ 0.4 มิลลิเมตร (พลัทตินั่ม 0.7 มิลลิเมตร) ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า การที่หัวเข็มเล็กลงความทนทานและการจุดระเบิดจะทำได้ดีกว่าหรือไม่ คำตอบก็คือ ดีกว่า เพราะจะทำให้การจุดระเบิดเกิดความสม่ำเสมอ ประกายไฟที่จุดออกมาก็จะแรงขึ้น หากจะเปรียบแล้วก็สามารถเปรียบได้กับน้ำที่ไหลออกมาจากท่อ ในระดับความแรงของน้ำที่เท่ากัน ถ้าท่อมีขนาดใหญ่ความแรงของน้ำที่ออกมาจากปลายท่อจะน้อยและไม่สม่ำเสมอเท่ากับท่อที่มีขนาดเล็ก ที่จะให้ความสม่ำเสมอของน้ำที่ออกมามากกว่านั่นเอง
ทั้งนี้ หัวเทียนที่ดีต้องสามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ได้ในทุกสภาพ โดยเฉพาะการเผาไหม้ของระบบเครื่องยนต์ในระดับสูงตั้งแต่ 100-1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งในรอบเครื่องยนต์เช่นนี้หัวเทียนจะต้องจุดประกายไฟได้อย่างรวดเร็วภายใต้แรงกดดันในห้องเครื่อง นอกจากนี้หัวเทียนยังต้องสามารถป้องกันปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นจากการผสมของน้ำมันเชื้อเพลิง การเผาไหม้ของก๊าซที่เกิดขึ้นจากน้ำมัน และภาวะต่างๆ ภายในห้องเครื่องยนต์ เพื่อให้ระบบการทำงานของเครื่องยนต์สามารถทำงานได้ดีตลอดเวลา
มาตรฐานของหัวเทียนเส้นผ่าศูนย์กลางของเกลียวส่วนใหญ่ ถ้าเป็นรถญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 14 มิลลิเมตร และความยาวช่วงเกลียว 19 มิลลิเมตร ในขณะที่รถยุโรปความยาวเกลียวจะเท่ากัน แต่เส้นผ่าศูนย์กลางจะมีทั้ง 10 และ 12 มิลลิเมตร สำหรับอายุการใช้งานของหัวเทียน หากเป็นแบบสแตนดาร์ดอายุการใช้งานจะอยู่ประมาณ 2 หมื่นกิโลเมตร หากเลย 1 หมื่นกิโลเมตร ประสิทธิภาพจะลดลง ส่วนพลัทตินั่มอายุการใช้งาน 3-4 หมื่นกิโลเมตร และอิริเดียม 5 หมื่นกิโลเมตร
ทั้งนี้ ปกติอายุการใช้งานของหัวเทียนนั้น หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วหากหัวเทียน 1 อันเสื่อมประสิทธิภาพหรือหัวเทียนบอดเครื่องยนต์จะยังทำงานได้หรือไม่ ซึ่งเครื่องยนต์ก็ยังสามารถทำงานได้ สตาร์ทติดได้ แต่เครื่องยนต์จะเดินไม่เรียบ เกิดการสะดุดและกระตุกบ้าง รวมไปถึงอายุการใช้งานของแคททาไลติกเสื่อมสภาพเร็ว
อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อหัวเทียนนอกจากยี่ห้อและคุณภาพ ซึ่งปัจจุบันยี่ห้อที่จำหน่ายในบ้านเรามีหลากหลาย แต่รายใหญ่ที่ทำตลาดในบ้านเรามานานก็มีเพียงไม่กี่ยี่ห้อ คือ เอชเคเอส บ๊อช เด็นโซ่ เอ็นจีเค และแชมเปี้ยน ซึ่งเด็นโซ่และเอ็นจีเคเป็นผู้ผลิตในประเทศ ในขณะที่อีก 3 ยี่ห้อจะเป็นผู้นำเข้า แต่ยี่ห้อที่เน้นทำตลาดบนคือเอชเคเอส ที่เน้นจำหน่ายหัวเทียนประเภทอิริเดียมเป็นหลัก
นอกจากยี่ห้อและคุณภาพแล้ว ทุกครั้งที่ทำการเปลี่ยนหัวเทียนควรเลือกช่างที่มีฝีมือพอสมควร ตรงนี้อาจฟังดูเหมือนไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่มีเกิดขึ้น เพราะช่างที่ไม่มีความชำนาญเมื่อหมุนหัวเทียนเข้าไปแล้วอาจทำให้เกิดปีนเกลียว จนเกิดความเสียหายได้ หรือถ้าไม่ระมัดระวังอาจทำให้แกนกลางแตกหักได้
จากคุณ :
.
- [
30 มี.ค. 48 18:16:30
A:61.91.195.195 X: TicketID:066940
]
|
|
|