PANTIP.COM : V3410758 +-+-+-+-+แค่อยากจะบอกว่า NISSAN TIIDA ขายในจีนแล้ว SUNNY neo ก็ยังขายอยู่เหมือนเดิมเช่นกัน +-+-+-+-+- [รถ-ประดับยนต์]

ความคิดเห็นที่ 29

บทสัมภาษณ์ของนิตยสารฉบับหนึ่ง

คิดอย่างไรกับตลาดรถยนต์ Nissan ในเมืองไทย ก่อนเข้ารับตำแหน่งสำคัญในครั้งนี้? เป็นคำถามแรกที่เราเอ่ยปาก และ คุณโฮโซกาวา ไม่รีรอที่จะให้คำตอบกับเราว่า…

“ก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามารับหน้าที่ หรือก่อนหน้าที่ Nissan Motor จะเพิ่มหุ้นในเมืองไทย ภาพของ Nissan ในตลาดเมืองไทยค่อนข้างแย่ และไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าใดนัก เนื่องจากมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 8.2% เมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ด้านการบริการ และภาพของตัวแทนจำหน่ายโดยรวมก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงได้ Set Up นโยบายใหม่ขึ้นเพื่ออนาคตของ Nissan ซึ่งที่ผมกำลังพูดถึงก็คือแผนงานในปี 2008 แม้ว่าจะเป็นแผนระยะยาว แต่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์แล้วเราทุกคนรู้ว่าต้องเริ่มต้นกันตั้งแต่ Product Planning, Preparation Dealership, การพัฒนาศูนย์บริการ และตัวแทนจำหน่าย รวมถึงเรื่องของการอบรมบุคลากร”

แผนงานที่ว่า คือ การมุ่งสู่จุดหมายสำคัญใน 5 ประการหลัก ที่ต้องสัมฤทธิผลภายในปี 2008 ได้แก่ การวางเป้าหมายที่ต้องทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เป็นจำนวน 10 รุ่น ทำการเพิ่มยอดขายให้ได้ 3 เท่า หรือเป็นจำนวน 130,000 ยูนิต ทำการปรับปรุงคุณภาพครั้งใหญ่ในเรื่องการดูแลเอาใจใส่และสร้างความพึงพอใจต่อลูกค้า ทำการจัดตั้งให้ประเทศไทยเป็นฐานการส่งออกของรถกระบะ และรถยนต์ในรุ่นอื่น ๆ ของนิสสัน และทำการขยายกำลังการผลิตของสยามนิสสัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 130,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นเป็น 200,000 ยูนิต

“เราคิดว่า ภายใน 3 ปี เราจะสามารถไปสู่จุดหมายที่เราตั้งไว้ คือเป็น New Nissan ซึ่งภายในปี 2008 ยอดขายของ Nissan จะต้องถึง 130,000 ยูนิต จากยอดขายที่ผ่านมา Nissan ทำได้เพียง 43,000 ยูนิต ขณะเดียวกันเราจะเริ่มพัฒนา และเพิ่มศักยภาพของ Customer Care, Dealership และ Marketing Performance”

คุณโฮโซกาวา เสริมว่า สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ถึง 130,000 คัน นั่นเป็นเพราะการที่ Nissan วางแผนจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 10 รุ่น หมายความว่า Nissan จะต้องมีรถออกสู่ตลาดถึง 2 รุ่น ในทุก ๆ ปี จุดนี้เขายอมรับว่า…

“มันค่อนข้างจะ Aggressive Introduction New Model อยู่เหมือนกัน และการที่เรามีการเพิ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก จะทำให้เราสามารถระดมทุนมาเพื่อใช้ในการทำการตลาดมากขึ้น หากพิจารณาจากแผนการตลาด และนโยบายที่วางไว้ ผมมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้”

เราแย้งว่า ด้านคู่แข่งขันในตลาดของ Nissan คงไม่อยู่นิ่งเฉย และต้องเร่งเพิ่ม Performance ขึ้นด้วยเหมือนกัน เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดในส่วนของตนให้คงอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำงานของ Nissan ไม่มากก็น้อย

“ใช่ครับ Toyota ยังคงเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ในเมืองไทย ตลาดของ Isuzu ก็อยู่ในระดับที่ดี เช่นเดียวกับ Honda ที่มีฐานการตลาดที่แข็งแกร่ง การกำหนดแผนการตลาดขึ้นมาเราทราบกันดีว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ในรายละเอียดของกลยุทธ์ผมไม่สามารถบอกได้ อย่างไรก็ตาม การที่เราจะเพิ่มศักยภาพในการขายสินค้าของเรา เราไม่จำเป็นต้องสู้ หรือรบกับคู่แข่งในตลาดแบบตรง ๆ เพราะเป็นเรื่องยากที่จะแบ่งลูกค้ามาจาก Toyota แต่สิ่งที่สามารถทำได้คือต้อง Create หรือเจาะเข้าไปในตลาดใหม่ ซึ่งเราพยายามจะ Segment ตลาดใหม่ ๆ ขึ้นมา”

เมื่อเปรียบเทียบรูปแบบของกลยุทธ์ที่ใช้ทำตลาดในสหรัฐอเมริกา คุณโฮโซกาวา เล่าให้ฟังว่า ในสหรัฐอเมริกาการทำตลาดของ Nissan จะเจาะเข้าไปในกลุ่มของ Big Pick Up Market, Big SUV Market ซึ่งเป็นตลาดที่ไม่เคยมีรถญี่ปุ่นเข้าไปในตลาดนี้มาก่อน ทุกคนรู้ว่ามีตลาดนี้อยู่ตรงนั้น แต่ไม่เคยมีใครเข้าไป เช่นเดียวกันในเมืองไทยมีตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กอย่าง Toyota Vios, Honda City หรือ Jazz เป็นตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างมาก แต่โชคร้ายที่ Nissan ไม่มีโปรดักต์ในกลุ่มนี้อยู่เลย

“ขณะเดียวกันใน Segment MPV ที่มี Toyota Wish, Honda Steam ทำตลาดอยู่ก็มีการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และก็อีกเช่นกันที่เราไม่มีโปรดักต์ในกลุ่มนี้ ดังนั้นยอดขายที่เราวางไว้ว่าต้องเพิ่มขึ้นถึงกว่า 3 เท่าตัว ในปี 2008 นั้น ก็คือการที่เราจะเจาะเข้าไปในตลาดต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา ตลาดที่เราไม่เคยมีการส่งโปรดักต์เหล่านี้เข้าไปขายเลยในปัจจุบัน”

เราแอบหยอดไปว่า พอจะบอกได้ไหมว่า 10 รุ่น ที่เตรียมนำมาเปิดตัวมีอะไรบ้าง? คุณโฮโซกาวา ไม่หลงกลที่จะตอบคำถามนี้กับเรา คำตอบจึงเป็นเหมือนทุกครั้งที่ถูกเหล่าสื่อมวลชนรุมถามว่า

“ผมยังบอกไม่ได้ถึงรายละเอียด แต่เราจะเติมเต็มในทุกเซ็กเม้นต์ที่เราขาดขายไป ไม่ว่าจะเป็น Small Passenger Car, Medium Car, Pick Up, SUV และ MPV”

ถ้าเช่นนั้น อะไรเป็น Core Product ของ Nissan? เราเปลี่ยนคำถาม เขาว่า...

“เหมือนที่รู้กันว่า ตลาดรถปิกอัพในเมืองไทยมีสัดส่วนถึง 60% การที่เป้าหมายของเราจะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ภายใน 5 ปี เราต้องโฟกัสไปที่ตลาดดังกล่าว ซึ่งหมายความว่า Core Product ของ Nissan ที่เหลืออีก 40% จะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะเป็น Future Focus สำหรับเรา”

เราไถ่ถามถึงรถยนต์ในรุ่นต่าง ๆ ที่เคยประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดยุโรป เช่น Nissan Micra ว่าทางเมืองไทยมีแผนจะนำเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยบ้างหรือไม่?

ในเรื่องนี้ คุณโฮโซกาวา กล่าวว่า Nissan Micra ประสบความสำเร็จมากในตลาดยุโรป และอาจประสบความสำเร็จได้เช่นกันในเมืองไทย แต่ Nissan ยังไม่มีแผนการสำหรับรุ่นนี้ในตอนนี้ เนื่องจาก Nissan Micra เป็นรถยนต์รุ่นที่โฟกัสไปที่กลุ่มเป้าหมายลูกค้าผู้หญิง แต่สำหรับตลาดเมืองไทย รถที่จะประสบความสำเร็จได้ดีต้องมีความเหมาะทั้งกับกลุ่มผู้หญิง และผู้ชาย รวมถึงเรื่องของขนาด การดีไซน์ และราคา ต้องมีความเหมาะสมกับตลาด (ต่อข้างล่าง)
แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 48 22:32:24

จากคุณ : mr.newton - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 22:31:03 ]

ความคิดเห็นที่ 30

การทำวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะผลวิจัยที่ได้มาจะเป็นข้อมูลที่ดีสำหรับการผลิตรถยนต์ให้กับตลาดในแต่ละประเทศ คุณโฮโซกาวา ขยายความเรื่องนี้ให้ฟังว่า

2 – 3 ปีที่ ผ่านมา Nissan เพิ่มศักยภาพ และให้ความสำคัญกับงานวิจัยค่อนข้างมาก ต่างจากช่วง 4 ปีก่อน ที่ Nissan เน้นแต่เรื่องการออกแบบ และผลิตรถตามอย่างคู่แข่งขันในตลาด เป็นเหตุให้ Nissan ต้องประสบกับปัญหาด้านการเงิน และล้มละลายไปในปี 1997 แต่หลังจากนั้นนโยบาย และระบบการบริหารทุกอย่างขององค์กรก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงการเพิ่มศักยภาพของเรื่อง R&D ด้วย

เราถามถึงความเป็นไปได้กับแผนการที่ Nissan จะเปิดตัวรถยนต์ 10 รุ่น ภายใน 5 ปี เนื่องจากรถยนต์แต่ละรุ่นต้องใช้ระยะเวลาในการออกแบบและการพัฒนานานหลายปีกว่าจะออกมาสู่กระบวนการผลิตได้สำเร็จ

คุณโฮโซกาวา ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบคำถามนี้ด้วยท่าทีที่แสดงถึงความเชื่อมั่นว่า

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า Nissan เป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่ มีหน่วยงานทั้งในด้าน Engineering Research ด้าน Production Research และด้าน Marketing Research ในปี 2000 Nissan โฟกัสการทำตลาดไปที่สหรัฐอเมริกา จนทำให้ Nissan สามารถเปิดตัวรถยนต์ลงสู่ตลาดได้หลายรุ่น และประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังจากนั้นจะเปลี่ยนไปโฟกัสตลาดไปที่ประเทศจีน โดยการเข้าไปร่วมทุนกับ Dongfeng Motor Co., Ltd. ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2546

“เราลงทุนกับการวิจัยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกับเรื่อง Management Research เพื่อสร้างบริษัทใหม่ขึ้นมา และตอนนี้ Nissan ใกล้จะพร้อมแล้วสำหรับตลาดในเมืองจีน เช่นเดียวกับตลาดเอเชียที่เรากำลังโฟกัสอยู่ขณะนี้ รวมทั้งประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

Nissan สามารถนำเอาข้อมูล และประสบการณ์จากการทำตลาดในสหรัฐอเมริกา และประเทศจีนมาปรับใช้กับตลาดของไทยได้ แม้เราจะรู้ว่ามัน Aggressive มากกับการเปิดตัวรถยนต์ 10 รุ่น ภายใน 5 ปี แต่ตราบใดที่เรามีเป้าหมาย และสามารถปฏิบัติตามนโยบายที่เราตั้งไว้ได้ เราก็มั่นใจว่า เราจะทำได้สำเร็จ”

“ผมไม่คิดว่าเราจะ Fail” เขาย้ำกับเราอีกครั้ง หลังจากที่เราถามว่าคิดเผื่อไว้หรือไม่ว่าแผนงานอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

คุณโฮโซกาวา ยังกล่าวถึงเรื่องของ Perception รถยนต์ Nissan ที่มีในแต่ละประเทศทั่วโลกว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้วสามารถพูดได้ว่า เหมือนกันทั่วโลก...

“ภาพลักษณ์เดิมของ Nissan คือ น่าเบื่อ ไม่มีบุคลิกภาพที่ชัดเจน แต่เราพยายามที่จะเปลี่ยน โดยเริ่มต้นจากตลาดในสหรัฐอเมริกา จะเห็นว่าที่นั่น Brand Image ของ Nissan เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ จากภาพลักษณ์เก่ามาสู่ความเป็น Innovative, Distinctive และ Craft เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์เราก็ต้องการใช้ Image ขององค์กรออกมาในลักษณะเดียวกัน คือเราต้องการเป็น Innovative or Distinctive Car Company โดยมีการกำหนดให้ Production, Marketing, Customer Care หรือ Dealership เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากเราสามารถผสานทั้ง 3 อย่าง เข้าด้วยกันได้ Nissan จะสามารถสลัดทิ้งภาพลักษณ์เดิม ๆ ที่ทุกคนเคยรู้จักให้หมดไปได้

Perception ของ Nissan ในเมืองไทยก็เช่นเดียวกัน สังเกตได้จากรถยนต์รุ่นใหม่ คือ Teana มีความเป็น Innovative มีความเป็น Distinctive Car และนี่ก็เป็นโปรดักต์ตัวแรกใน 10 รุ่น ที่เราวางไว้ หลังจากนี้อีก 9 รุ่น ก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน”

เราแย้ง (อีกครั้ง) ว่า จะมั่นใจได้อย่างไรกับระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปี ว่าจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้กลับคืนมาได้ เพราะการที่ Nissan อยู่ในตลาดเมืองไทยมานานจนทำให้เกิดภาพลักษณ์เก่า ๆ ในแง่ความน่าเบื่อ หรือการไม่มีบุคลิกภาพที่ชัดเจนอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อของลูกค้าในตลาดได้

แต่สำหรับ คุณโฮโซกาวา กลับไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยาก...

“เพราะธุรกิจรถยนต์มันไม่ได้ Complicated อย่างที่คุณคิด มันเป็นธุรกิจที่ง่ายมาก ตราบใดที่มีคุณมีสินค้าที่ดี มีการตลาดที่ดีในการ Communicated กับผู้บริโภค มี Customer Care และผู้แทนจำหน่ายที่มีศักยภาพ นั่นก็เพียงพอแล้ว ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จ แต่แน่นอนว่าเราต้องให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวของคู่แข่งในตลาดเช่นกัน และเป็นเหตุผลที่ว่าเราต้องทำให้ดีกว่าพวกเขา”

เรายิงคำถามต่อเนื่อง ถึงเรื่องการสร้างความเข้าใจ และทำให้บุคลากรก้าวตามให้ทันกับเป้าหมายที่ Nissan ได้วางไว้อย่างท้าทาย ว่ามีความยากง่ายอย่างไรบ้าง

เขาว่า คงไม่ง่ายนักที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจ และก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของบริษัท...

“แต่ผมพยายามที่จะ Communicate คนของเราให้เข้าใจว่าเรามีเป้าหมาย มีนโยบาย และมีกลยุทธ์อย่างไร โดยผมลงทุนจ้างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาทำการฝึกอบรม เนื่องจากการสื่อสารสมัยก่อนมีการรับรู้กันแค่ระดับผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แต่ผมจะทำให้พวกเขาเข้าใจในเรื่องของสินค้า และนโยบายต่าง ๆ ในทิศทางเดียวกัน

เช่นกันกับ Dealership กับ Vendor เราจะเปิดใจกับเขาให้มากที่สุด ดังนั้นการสื่อสารที่เราจะใช้กับระบบการจัดการระหว่างพนักงาน กับซัพพลายเออร์ หรือกับผู้แทนจำหน่าย จะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน และแน่นอนว่าบริษัทแม่จะให้การสนับสนุนเราอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะนี่ไม่ใช่งานของผมคนเดียว แต่เป็น Nissan Global Strategy ทุก ๆ คนที่อยู่ในระดับบริหารต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน”

ตอนนี้พูดได้หรือยังว่า Nissan พร้อมแล้วที่จะแข่งขันกับคู่แข่งทุกรายในตลาด? เขาตอบแทบจะทันทีว่า...

“ผมไม่ได้พูดว่า ผมพร้อมที่จะแข่งกับคู่แข่งรายอื่น ๆ Toyota ยังคงน่ากลัว Honda ยังคงแข็งแรง เรายังไม่พร้อมที่จะแข่งกับพวกเขา แต่เรา Set Up Target ของเราขึ้นมา และนั่นคืองานของเราที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่ได้วางไว้ หากเราสามารถดำเนินไปตามแผนงานที่เตรียมไว้ได้สำเร็จ ถึงเวลานั้นเราก็พร้อมที่จะแข่งขันในตลาดได้อย่างเต็มตัว”

แม้ว่าแผนงานต่าง ๆ จะเพิ่งเริ่มต้น แต่สิ่งที่เราเริ่มเห็นจากการจัดงานแถลงข่าวสำคัญ 2 ครั้งที่ผ่านมา (หลังการประกาศเพิ่มทุน) คือ ความเปลี่ยนแปลงในแง่ของภาพลักษณ์ใหม่ที่เริ่มมีความสดใส และเด่นชัดมากขึ้น เราจึงอดที่จะถามไม่ได้ว่า Brand Character ของ Nissan ในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?

คุณโฮโซกาวา กล่าวว่า เมื่อ 5 ปีก่อน บุคลิกของ Nissan คือ Typical Japan Middle Age Salary Man...

“แต่เดี๋ยวนี้ เราคือ ลูกผสมระหว่าง Japanese กับตะวันตก ที่มีความดุดัน, ท้าทาย และมีความเป็น Unique ค่อนข้างสูง มีแม่เป็น Japanese แต่อาจมีพ่อหลายคน (หัวเราะ) เช่น อเมริกัน ฝรั่งเศส (หัวเราะยาว...) แต่อย่างไรก็ตาม ภาพของ Nissan คือความเป็น Japanese Mind”

เราเปลี่ยนประเด็นการสนทนามาที่เรื่องของนโยบายการทำตลาดรถยนต์ Hybrid ที่กำลังมีกระแสความน่าสนใจเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกกำลังถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคุณโฮโซกาวา ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจว่า

ปัจจุบันรถยนต์ในกลุ่ม Hybrid Engine มี Toyota เป็นผู้นำตลาด และมีเทคโนโลยีด้าน Hybrid System ที่ดี สำหรับ Nissan มีการพัฒนาเครื่องยนต์ Hybrid เช่นกัน แต่ยังไม่สามารถควบคุมต้นทุนในการผลิตให้ต่ำได้ เพราะเครื่องยนต์ของ Nissan มีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ดังนั้น Nissan จึงได้มีการติดต่อให้ทาง Toyota ซัพพลายเครื่องยนต์ให้ โดยทาง Toyota เองก็เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว เพื่อที่จะทำตลาดในประเทศญี่ปุ่น

“สำหรับตลาดในประเทศไทย ผมเชื่อว่า Hybrid Market ยังคงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักใหญ่ แม้แต่ตลาดของโตโยต้าเองก็ตาม ซึ่งผมคิดว่าตลาดที่จะขยายตัว และประสบความสำเร็จได้ดีในอนาคตน่าจะเป็นตลาด Turbo Diesel ซึ่ง Nissan มีศักยภาพที่ดีในตลาดดังกล่าว

เราไม่รู้ว่าในอนาคตพฤติกรรมของผู้บริโภคจะชื่อชอบเครื่องยนต์เบนซิน ดีเซล หรือ Hybrid แต่สำหรับผู้ผลิตรายใหญ่ ๆ ในตลาดยุโรปอย่าง ‘โฟล์คสวาเกน’ หรือ ‘เปอร์โยต์’ ต่างก็ให้ความสำคัญ และประสบความสำเร็จกับการทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซล และหากตลาดเมืองไทยเครื่องยนต์ดีเซลเป็นที่นิยม จะทำให้เรามีโอกาสสูงหากเรามุ่งเจาะเข้าไปในตลาดนี้ ซึ่งเราต้องเอาใจใส่ และให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก”

เราปิดท้ายการสนทนา ด้วยการถามถึงแผนการนำเข้า Luxury Car อย่าง Infinity ว่าจะมีโอกาสเข้ามาวาดลวดลายในตลาดเมืองไทยกันบ้างหรือไม่ เรื่องนี้ คุณโฮโซกาวา เสริมภาพความชัดเจนทางธุรกิจให้ฟังว่า ปัจจุบัน Nissan ยังขาดความแข็งแกร่งเชิงการตลาด ขณะที่การจะนำ Luxury Product เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยเพิ่มขึ้นอีกนั้น ในแง่ของการจัดการจำเป็นต้องมีการแยกธุรกิจออกจากกันอย่างชัดเจน

“แต่เมื่อเรายังไม่สามารถสร้างรากฐานให้กับ Nissan ได้สำเร็จ เราคงยังไม่คิดถึงเรื่องนั้น หรือหาก Nissan ประสบความสำเร็จ และเติบโตขึ้น ก็อาจเป็นไปได้ที่เราจะนำ Infinity เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แต่ Priority Job ของเราขณะนี้อยู่ที่ Nissan...”

เป็น New Vision ที่คมชัดทั้งภาพและเสียง จากบิ๊กบริหาร ‘สยามนิสสัน’ เจเนอเรชั่นใหม่ที่น่าจับตา...

โคซากุ โฮโซกาวา
กรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด และบริษัท สยามกลการ และนิสสัน จำกัด

แม่ทัพใหญ่ของ ‘Siam Nissan’ ที่ Nissan Motor ประเทศญี่ปุ่น ไว้วางใจส่งให้เขามาดูแลตลาดรถยนต์นิสสันเมืองไทย หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในฐานะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ ‘สยามนิสสัน ออโตโมบิล’
“โคซากุ โฮโซกาวา” เป็นหนึ่งในลูกหม้อคนสำคัญของ Nissan Motor ที่มีโอกาสเริ่มงานกับ Nissan เป็นองค์กรแรก และเพียงองค์กรเดียว หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวาเซดะ นับแต่ปี 2522
ปี 2533 เขาก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการ แผนกกลยุทธ์ธุรกิจ ให้กับ ‘นิสสันอเมริกาเหนือ’ ก่อนจะย้ายมาเป็นผู้จัดการ กลุ่มปฏิบัติการอเมริกา ฝ่ายกลยุทธ์ต่างประเทศ กระทั่งในปี 2542 – 2543 จึงเริ่มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลตลาดนิสสันในแถบเอเชีย และกลายเป็นกำลังสำคัญระดับบิ๊กบริหารให้กับ Nissan เมืองไทย ในปัจจุบัน

จากคุณ : mr.newton - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 22:31:53 ]