PANTIP.COM : V3453232 ป้ายทะเบียน "ดส" กับ "ร.ย.ล" ต่างกันยังไงครับ [รถ-ประดับยนต์]

ความคิดเห็นที่ 22

สวัสดีครับ

ผมขอคัดลอกกระทู้นี้มาให้ดูครับ

http://www.radc.go.th/webboard/show.php?Category=radc.go.th&No=150010

หน่วยรักษาความปลอดภัยประจำพระองค์

ขอเรียนถามว่ากรมท.ม.หรือหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำพระองค์ในสมเด็จพระบรมฯขึ้นสายการบังคับบัญชากับกรมราชองครักษ์หือไม่และขอทราบความแตกต่างของทะเบียนรถที่ขึ้นต้นด้วย ดสxxxx กับ รยล.ด้วยครับ ขอบพระคุณมากครับ

From: Little [12 Sep 2003 21:35] Viewer [509] Answer[2] del

ความคิดเห็นที่ 1 โดย คุณ amm
14 Sep 2003 23:33 #319769 ลบ

จากที่ทราบมา ขึ้นตรงกับกองบัญชาการทหารสูงสุด และมีแผนจะขยายหน่วยให้เทียบเท่ากองทัพต่าง ๆ เพื่อขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม ถ้าผิดขอโทษด้วย

ความคิดเห็นที่ 2 โดย คุณ เวบมาสเตอร์
15 Sep 2003 12:06 #320090 ลบ

ขอตอบคำถามดังนี้ครับ
1.หน่วยรักษาความปลอดภัยในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราส ฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะมีหน่วยหลัก ๆ อยู่ ๒ หน่วย (ขอเน้นคำว่าหน่วยหลัก เพราะจะมีหน่วยย่อย หน่วยสมทบ หน่วยสนับสนุนอีกหลายหน่วย ) ได้แก่
1.1 กรมราชองครักษ์ เป็นหน่วยหลักสำหรับการถวายความปลอดภัย ในทางปฏิบัติ จะมีรองสมุหราชองครักษ์ และราชองครักษ์ประจำ แยกไปปฏิบัติที่วังศุโขทัยโดยตรง ไม่ต้องรับคำสั่งจากกรมราชองครักษ์ ยกเว้นสายงานด้านธุรการเท่านั้น
1.2 หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย ทำหน้าที่เช่นเดียวกับกรมราชองครักษ์ ตามสายงานแล้วขึ้นการบังคับบัญชากับ กองบัญชาการทหารสูงสุด แต่การปฏิบัติขึ้นกับวังศุโขทัยโดยตรง

2.ทะเบียนรถในราชสำนักจะมี 3 ประเภทคือ
2.1 รยล. (ย่อมาจาก รถยนต์หลวง) เป็นรถที่จัดซื้อโดยงบประมาณของทางราชการ และเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
2.2 ทะเบียน 1ด เป็นพระราชยานพาหนะส่วนพระองค์ที่จัดซื้อโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ หรือ บุคลลอื่นมาถวาย
2.3 ทะเบียน ดส. เช่นเดียวกับ ข้อ 2.2 แต่ในข้อนี้ ส่วนมากจะพระราชทานให้หน่วยราชการต่าง ๆ ของราชสำนักไปใช้ในราชการ หรือ พระราชทานกับข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ด้วย

------------------------------------------------------
http://www.thairath.co.th/thairath1/2546/column/scooper/jan/24_1_46.asp

รถหลวงใช้งานราษฎร์ สมบัติผลัดกันผลาญ

ราคาน้ำมันพุ่งพรวดเบนซิน 95 ขึ้นมาอยู่ที่ลิตรละ 16.99 บาท ดีเซลก็ไม่น้อยหน้า ลิตรละ 14.79 บาท

การที่ราคาน้ำมันแกว่งไกว ไปตามความ คาดหมายของ แรงวิตกแห่งภาวะสงคราม ถือว่าเป็นไปตามกลไก ปกติของ ตลาดน้ำมันโลก

แต่บางสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และน่าจับตา มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ทุกครั้งที่เกิดภาวะน้ำมันแพง “รถยนต์หลวง” หรือ รถของทางราชการ มักกลายเป็นสมบัติผลัดกันชม ถูกข้าราชการ ทั้งหลายนำไปใช้วิ่งว่อน ในภารกิจส่วนตัวกันมากขึ้น

เหตุผลง่ายๆ “รถหลวง” เป็นสมบัติส่วนกลาง ผู้มีสิทธิใช้ สามารถนำไปใช้ฟรี ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่าย ทั้งค่าน้ำมันและค่าซ่อม

ประเด็นยังมีว่า ระยะนี้เริ่มมีคนเห็นรถยนต์หลวงหลายคัน ถูกนำไปจอดค้างคืนไว้ตามบ้าน ข้าราชการ จอดเป็นเพื่อนนั่งกินเหล้าข้างทาง หรือแม้แต่ภารกิจอื่น ที่ไม่ได้อยู่ในขอบข่าย ของคำว่า “รถราชการ ควรใช้ในราชการ และในเวลาราชการ”

ประเด็นนี้จึงกลายเป็นขี้ปากให้ชาวบ้านเริ่มนินทา

ข้อสังเกตข้างต้น เมื่อฝากให้ พ.ต.ต.ดร.ยงยุทธ สาระสมบัติ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รักษาการตามระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยรถราชการ ช่วยชี้แจง ท่านปลัดฯ ฉีกยิ้มที่มุมปาก ก่อนให้ความเห็น

“ผมเองก็เริ่มเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”

ปลัดฯยงยุทธบอกว่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการใช้รถราชการ ซึ่งบังคับใช้แก่ทุกกระทรวง ทบวง กรม ออกประกาศเป็นครั้งแรกเมื่อ ปี 2523 หลังจากนั้นมีการแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตามมาอีกถึง 5 ครั้ง

การแก้ไขครั้งสุดท้าย เพิ่งกระทำไปเมื่อปี 2545 โดยแบ่งรถที่ใช้ในราชการ ออกเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่ รถประจำตำแหน่ง รถส่วนกลาง รถรับรอง รถรับรองประจำตำแหน่ง และ รถอารักขา

ว่ากันเฉพาะ ข้าราชการประจำ ไม่เกี่ยวกับข้าราชการการเมือง รถยนต์ของหลวงประเภท “รถประจำตำแหน่ง” ผู้ที่มีสิทธิได้ใช้ คือ ข้าราชการตั้งแต่ระดับ 9 หรือซี 9 สายบริหารขึ้นไปเท่านั้น สายวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีสิทธิ

ประเภทถัดมา คือ “รถรับรอง” เป็นพาหนะที่จัดไว้เพื่อให้การรับรองชาวต่างชาติ หรือแขกพิเศษของทางราชการ ต่างกับภารกิจของ “รถรับรองประจำตำแหน่ง” ตรงที่รถรับรองประจำตำแหน่ง จะใช้เฉพาะในภารกิจเข้าร่วมขบวนตามเสด็จ หรือรับรองบุคคลสำคัญต่างๆ เช่น เมื่อนายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจราชการ

ถัดมาอีก 2 ประเภทคือ “รถส่วนกลาง” ชื่อก็บอกอยู่แล้ว หมายถึงรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ ที่มีไว้ให้หน่วยราชการต่างๆใช้เป็นส่วนรวม

สุดท้าย “รถอารักขา” หมายถึงรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ ที่จัดไว้เพื่อถวายการอารักขา

ปลัดฯยงยุทธอธิบาย ขึ้นชื่อว่า “รถราชการทุกคัน” ใช้เงินหลวงซื้อหรือเช่า ต่างกับรถของรัฐวิสาหกิจ ที่อาจใช้เงินหลวง หรือใช้เงินของหน่วยงานตัวเองซื้อก็ได้ ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจนั้นสามารถดูแลตัวเองได้

“กติกามีอยู่ว่า กรณีเป็นรถประจำตำแหน่ง ผู้ใช้รถต้องออกค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเอง และในกรณี ใช้งานตามปกติ ค่าซ่อมบำรุง เช่น ค่าน้ำมันเครื่องและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หลวงจะเป็น ผู้ออกให้ แต่ถ้าใช้งานไม่ปกติ เช่น นำไปขับเฉี่ยวชน อย่างนี้ผู้ใช้ต้องออกค่าซ่อมเอง

อีกกรณีคือ รถส่วนกลาง ทุกอย่างอยู่กับหลวงหมด ทั้งค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง และค่าซ่อม”

“ผมไม่ค่อยห่วงรถประจำตำแหน่งมากนัก เพราะคนนำไปใช้ต้องออก ค่าน้ำมันเอง และต้องคอยบำรุงรักษาให้ใช้งานตามปกติ ที่ห่วงเป็นพิเศษคือ รถส่วนกลาง”

รถส่วนกลางตามที่ปลัดสำนักนายกฯว่า ยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ รถส่วนกลางทั่วไป ที่มีตราเครื่องหมายของหน่วยราชการนั้นๆ แสดงไว้ที่ตัวรถ กับรถส่วนกลางอีกประเภท ที่ได้รับยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ไม่ต้องมีตราเครื่องหมายใดๆแสดงไว้ที่ตัวรถ

เหตุผลที่ยกเว้น หากนำไปใช้ในราชการ มีการแสดงตราแล้วอาจไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ เช่น รถที่ตำรวจนำไปใช้สืบราชการลับ หรือรถของ ป.ป.ส. นำไปใช้สืบจับคดียาเสพติด ซึ่งรถประเภทนี้ ทั่วประเทศได้รับยกเว้นอยู่ทั้งสิ้นแค่ พันกว่าคัน

จนบัดนี้ แม้ยังไม่มีใคร หรือหน่วยราชการใด รวบรวมรถราชการทั้งหมดทั่วประเทศ มีอยู่กี่คัน แต่ปลัดสำนักนายกฯบอกว่า ถ้าให้เขาประมาณ น่าจะมี หลายหมื่นคัน ไม่น่าจะถึงแสน

ปลัดฯยงยุทธบอกว่า กำลังมีโครงการจะให้ส่วนราชการทุกแห่ง ทำการสำรวจ และกำหนดหลักเกณฑ์ความสิ้นเปลืองในการใช้รถ ให้อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยมาตรฐาน

แต่หากจะให้ใช้วิธีควบคุม โดยการนำรถหลวงทุกคัน มาพ่น สีใหม่ให้เหมือนกันหมด เช่นเดียวกับรถดับเพลิงทุกคัน ที่ใช้สีแดง เพื่อที่เวลานำไปใช้นอกภารกิจ จะได้เห็นชัด และทำให้ผู้ใช้ได้อายนั้น ในทางปฏิบัติเขาบอกว่า ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการเปลี่ยนสีรถอีกมหาศาล

“เวลานี้รถยนต์หลวงทุกคัน ล้วนมีระเบียบในการขออนุมัติใช้งานค้ำคออยู่แล้ว”

ปลัดฯยงยุทธว่า

“เช่น ต้องจดแจ้งหมายเลขรถ วัน เดือน ปี สถานที่ ซึ่งจะนำรถไปใช้ รวมทั้งระบุภารกิจทุกครั้ง โดยต้องลงนามผู้ขออนุญาต และผู้สั่งอนุญาตอย่างเคร่งครัด เพียงแต่หน่วยราชการต่างๆ ซึ่งเป็นเจ้าของรถ ยังมีระเบียบปฏิบัติไม่ตรงกัน ต่อไปนี้คงต้องมีมาตรการให้รัดกุมยิ่งขึ้น”

แต่มุมมองของ มงคล แสงหิรัญ นิติกรระดับ 8 สำนักกฎหมายและระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ มีบางข้อสังเกต ที่น่าชั่งตรอง

“กรณีที่ว่า อาจเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ ลักษณะแรก ผู้ใช้นำรถไปใช้นอกราชการจริง อันเกิดจากความหละหลวมของหน่วยงานนั้นๆ”

“แต่อีกลักษณะ อาจเป็นไปได้ ระหว่างที่คนขับรถพาเจ้านายไปส่งประชุม หรือตรวจราชการต่างจังหวัดเป็นเวลาหลายวัน ระหว่างที่ตีรถเปล่ากลับหน่วยงาน ก่อนจะเข้ากรม กอง ช่วงยังอยู่ในเส้นทาง มีการนำรถแวะไปจอดกินข้าวข้างทาง หรือเอาไปใช้งานส่วนตัว แม้กระทั่งเอาไปจอดนอนค้างคืนที่บ้าน”

กรณีเช่นนี้ มงคลบอกว่า จะโทษผู้ที่ขออนุญาตใช้ (เจ้านาย) ก็ไม่ถูก ต้องโทษลูกน้อง (คนขับ) ที่ออกนอกลู่นอกทาง ลักไก่เอาไปใช้โดยพลการ

แต่เขาบอกว่า ยังมีอีกกรณีที่น่าเห็นใจ บางครั้งคนขับรถบ้านอยู่ไกลจาก ที่ทำงานมาก แต่วันรุ่งขึ้น ทั้งคนขับและผู้บังคับบัญชา มีภารกิจลับ หรือเร่งด่วน ต้องออกปฏิบัติหน้าที่ตอนตี 4

“แบบนี้ ถ้าจะให้คนขับแหกขี้ตาออกจากบ้าน ไปเอารถที่หน่วยงาน ตั้งแต่ตี 2 ตี 3 ก็คงไม่เหมาะ หรือบางทีเป็นรถที่ใช้ตรวจการณ์ในทางสืบสวน ซึ่งคนขับต้องมีรถไว้อยู่ประจำตัว ประเภทเรียกตัวปุ๊บ สามารถขับไปรับยังจุดนัดพบได้ทันที แบบนี้ก็ต้องว่ากันไปเป็นเรื่องๆ”

สุดท้าย ยังรวมไปถึงปัญหา หน่วยราชการบางแห่งต้องไปเช่าตึกแถวอยู่ ไม่มีที่จอดรถที่ปลอดภัยเป็นของตัวเอง ในทางปฏิบัติ มักจะนำรถหลวงไปจอดไว้ตามบ้านพักของหัวหน้าหน่วยงานนั้นๆ

มาถึงประเด็นท้าย “รถหลวง” ควรใช้วิธีเช่า หรือซื้อ มงคลบอกว่า

“ถ้ามีเงินมาก ซื้อขาดดีกว่า ถึงจะมีภาระค่าซ่อมบ้าง แต่รถใหม่ช่วง 3 ปีแรก ยังมีภาระซ่อมไม่มาก เทียบกับค่าเช่าบางทีแพงกว่าตัวรถ แต่ถ้ามีแต่รถเก่า ไว้ใช้งาน ควรรีบๆขายทิ้ง เช่าเอา ดีกว่า อย่างน้อยช่วยตัดปัญหาเรื่อง ทุจริตงบฯซ่อม”.

ไหนๆก็มาตอบกันทั้งที่แล้ว เอารูปรถยนต์หลวง มาฝากให้ทุกท่านเข้าไปชมกันได้ครับ...

http://www.bangkokclassiccar.com/StoryFrameset.htm

จากคุณ : MR.Runabout - [ วันฉัตรมงคล 00:27:00 ]