ความคิดเห็นที่ 61
ชักไปกันใหญ่แล้ว
รายละเอียดการกำหนดเกรดคุณภาพของน้ำมันเครื่องโดย API Service Category ซึ่งพัฒนาตามยุคสมัยที่เครื่องยนต์ถูกเข้มงวดเรื่องมลพิษ มีดังนี้
SF - ประกาศใช้ปี 1980 เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SE และเน้นป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนมากขึ้น ไม่ควรเลือกใช้ หากไม่จำเป็น (เป็นน้ำมันมาตรฐานของศูนย์รถมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทย)
SG - ประกาศใช้ปี 1988 เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SF เน้นป้องกันการเกิดตะกอนตม-ยางเหนียวเพิ่มขึ้น ลดการเกิดเขม่าบนหัวลูกสูบ-ห้องเผาไหม้ และลดการสึกหรอของวาล์ว ยังพอเลือกใช้ได้ถ้าจำเป็น
SH - ประกาศใช้ปี 1992 เพิ่มทุกด้านของประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SG(extra high temperature deposit protection due to the popularity of turbo engines in the early '90sbetter high-temperature deposit control สามารถใช้กับเครื่องเทอร์โบได้)
SG และ SH ยังคงใช้ฟอสฟอรัสปริมาณมากในการป้องกันการสึกหรอบริเวณที่มีแรงกดรุนแรง เช่น cam lobes and crankshaft bearings มีผลเสียต่อ catalytic converter life และมลพิษ
SJ - ประกาศใช้วันที่ 15 ตุลาคม 1996 เพิ่มประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SH(ยกเว้น high temperature deposit protection) เน้นการระเหยต่ำ ใช้ Molybdenum เพื่อลดฟอสฟอรัส ป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดีขึ้น มีอายุการใช้งานนานขึ้น และเน้นการลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ ต้องผ่านการทดสอบพิเศษด้วยมาตรฐานเหนือกว่า API SH อีก 7 ประการ คือ 1. จำกัดปริมาณของฟอสฟอรัส SJ and SL oils are both low phosphorus 2. ระดับการระเหยต่ำ 3. ทดสอบการเกิดเขม่าในอุณหภูมิสูง 4. ทดสอบการเกิดโฟมในอุณหภูมิสูง 5. ทดสอบการรวมตัวกับน้ำ 6. การรวมตัวได้ของสารหล่อลื่น 7. ความสามารถในการคงสภาพการหล่อลื่นเมื่ออุณหภูมิต่ำ
SL-ประกาศใช้วันที่1 กรกฎาคม 2001 เพิ่มประสิทธิภาพและสารเพิ่มคุณภาพให้ดีขึ้นจาก SJ คือ better high-temperature deposit control SLบางยี่ห้อตรงตาม ILSAC specification SLบางยี่ห้อได้เครื่องหมาย "energy conserving"
SM-ประกาศใช้วันที่ 30 กันยายน 2004
Engine oils meeting the new AP SM service category designation are designed to provide improved oxidation resistance and deposit protection, better wear protection, and better low-temperature performance over the life of the oil. Oils meeting this new standard have already begun to appear in the marketplace. Some SM oils may also meet the latest International Lubricant Standardization and Approval Committee GF-4 specification, its latest minimum performance standard for gasoline-fueled passenger car engine oils. SM oils may also qualify as having energy conserving properties.
For automotive gasoline engines, this latest engine oil service category includes the performance properties for each earlier category. If an automotive owners manual calls for an API SJ or SL oil, an API SM oil will provide full engine protection. Motorists can easily identify oils meetings the latest automobile manufacturers recommendations by looking for oils displaying the API Certification Mark Starburst and the API Service Symbol Donut with the API Service SM.
เกรดคุณภาพน้ำมันเครื่องโดย API Service Category สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล CC - ประกาศใช้ปี 1961 เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลงานเบา-ปานกลาง รอบต่ำ-ปานกลาง เกรดคุณภาพทุกด้านเหนือกว่า CB สามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลติดเทอร์โบหรือซูเปอร์ชาร์จได้ดีพอสมควร
CD - ประกาศใช้ปี 1965 เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลรอบสูง เกรดคุณภาพทุกด้านเหนือกว่า CC สามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลติดเทอร์โบหรือซูเปอร์ชาร์จได้ดี ปัจจุบันในช่วงปี 1997-1998 ยังมีปิกอัพญี่ปุ่นบางรุ่นระบุให้ใช้น้ำมันเครื่องเกรดคุณภาพ CD เท่านั้น
CE - ประกาศใช้ปี 1984 เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลรอบสูง เกรดคุณภาพทุกด้านเหนือกว่า CD สามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลติดเทอร์โบหรือซูเปอร์ชาร์จได้ดี เน้นการป้องกันเขม่าและป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ลดการสึกหรอ และมีอายุการใช้งานมากขึ้น
CF-4 - ประกาศใช้ปี 1990 เกรดคุณภาพทุกด้านเหนือกว่า CE เน้นการป้องกันเขม่าและลดการสึกหรอเพิ่มขึ้น สามารถเลือกใช้ได้ เน้นการลดมลพิษที่ประกาศใช้ในปี 1990
CG-4 - ประกาศใช้ปี 1994 เป็นน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีเกรดคุณภาพเกือบสูงสุด เกรดคุณภาพทุกด้านเหนือกว่า CF-4 เน้นการลดมลพิษที่ประกาศใช้ในปี 1994
CH-4 - ประกาศใช้ปี 1998 เป็นน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีเกรดคุณภาพเกือบสูงสุด เกรดคุณภาพทุกด้านเหนือกว่า CG-4 เน้นการลดมลพิษ ที่ประกาศใช้ในปี 1998
CI-4 ประกาศใช้ 5 กย. 2002 เป็นน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีเกรดคุณภาพสูงสุดในปัจจุบัน เกรดคุณภาพทุกด้านเหนือกว่า CH-4 เน้นการลดมลพิษที่ประกาศใช้ในปี 2002 ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ที่ใช้exhaust gas recirculation (EGR) เด่นที่สุดในการเลือกใช้
The American Petroleum Institute (API) Base Stock Categories
**Group I. น้ำมันหล่อลื่นขั้นพื้นฐานที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียมโดยวิธี solvent refining and solvent dewaxing technology (โครงสร้างแบบaromatic hydrocarbon) มีดัชนีความหนืด(VI) ประมาณ 95-119 กำมะถัน >0.03% ใช้งานได้ประมาณ3000-4000 ไมล์ เนื่องจากปัญหา oxidation stability และ pumpability
**Groups II. น้ำมันหล่อลื่นขั้นพื้นฐานรุ่นใหม่ที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียมโดยวิธี hydroprocessing technology(Iso-DeWaxing process ) โดย ใช้กรรมวิธี catalytic hydrocracking with hydrogen process temperatures 750ºF and pressures 500 psi (โครงสร้าง แบบcycloparaffins)มี VI ประมาณ 95-119 กำมะถัน <0.03% ใช้งานได้ประมาณ 7500ไมล์ Group II ดีกว่า Group 1 คือ **** เมื่อทดสอบโดยวิธี Turbine Oil Stability Test (TOST) จะมี oxidation stability ประมาณ14,000 ชม. (1.6 ปี) ขณะ Group I. จะมี oxidation stability ประมาณ 4,000 ชม เหมาะสำหรับใช้งานที่ความร้อนสูง เช่น turbine, paper machine, compressor, drive-line fluid and crankcase oils. ****สามารถรักษา low-temperature pumpability ได้เกินกว่า 3000 miles. ในขณะที่ Group I ไม่ผ่าน ****ในเครื่อง diesel engines สามารถกระจายเขม่าได้ดีกว่า (~4เท่า) จึงไม่ทำให้น้ำมันหล่อลื่นข้นเกินไป ลดการเสียหายของน้ำมันหล่อลื่นและเครื่องยนต์ **** อายุการใช้งานของไส้กรองจะนานกว่า **** ขณะเครื่องเย็น สามารถหล่อลื่นชิ้นส่วนสำคัญของเครื่องยนต์ได้ดีกว่า เช่น Chevron Delo 400, Mobil Delvac 1300, Shell Rotella
**Group IIIน้ำมันหล่อลื่นขั้นพื้นฐานรุ่นใหม่ที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียมโดยวิธี hydroprocessing technology (With hydrogen process temperatures 800ºF to 900ºF and pressures up to 3,000 psi) (โครงสร้าง แบบparaffins) มีVI 120 ขึ้นไป กำมะถัน <0.03% ใช้งานได้ประมาณ 7500ไมล์ -จะเป็น premium engine oils รุ่นใหม่ -ยืดอายุการถ่ายน้ำมันเกียร์ -สามารถใช้งานหนักในระบบ hydraulic -สำหรับน้ำมันหล่อลื่นเทอร์ไบน์และอุตสาหกรรม อายุการใช้นานกว่า ข้อดีกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันหล่อลื่นGroup II - ดัชนีความหนืด(VI)สูงกว่า คือ 120ถึง140 -บริสุทธิกว่า มี aromatics, sulfur และ nitrogen น้อยกว่า -Oxidation Stability ดีกว่า คือใกล้เคียง polyalphaolefin syntheticsทำให้อายุใช้งานได้นานและที่อุณหภูมิสูง - ยังคงรักษาความหนืดเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนมาก น้ำมันหล่อลื่นไม่หนาเมื่อเย็นหรือบางเมื่อร้อน ป้องกันการสึกหรอและยืดอายุเครื่องได้ดีกว่า -ระเหยน้อยกว่า เช่น Caltex,Castrol SynTec ฯลฯ
**Group IV เป็นน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์มาจาก polymerized base oils เช่น Polyalphaolefins (PAOs) เช่นMobil 1, AMSOil, Redline, and Motul 5100 ,บางจากD3-Gold
**Group V. น้ำมันหล่อลื่นคุณภาพสูง ประเภท esters,Poly Ester, ทนความร้อนได้สูงมาก ไม่ติดไฟ เหมาะสำหรับระบบไฮดรอลิค ของเทอร์ไบน์ เช่น RedLine ฯลฯ
ในยุโรปมี Group VI เป็นน้ำมันหล่อลื่น polyinternalolefins, PIOs. คุณสมบัติใกล้เคียง PAOs.
Informally Subdivision Group I+: Still high sulfur and low saturates, but processing conditions have been adjusted to make higher VI. This higher VI, in the range of 100-105, gives better cold cranking and Noack performance, enabling these base oils to be used in 10W-30 engine oils with minimal Group III or Group II+ correction fluids. Examples are special products from Marathon Ashland and Valero. Making these type of oils reduces base oil yield, so they may cost more than standard Group I. Group II+: Adjusting processing conditions, several refineries can make these oils with 110-120 VI. This enables significantly improved CCS and volatility, making it possible to blend 5W-20 and 5W-30 GF-3 and GF-4 engine oils using these oils without any correction fluids. As with Group I+, the extra quality costs more to produce. Group III+: Not available :-) commercially. These will be available in the second half of this decade made from gas to liquid processes. They will have VI's exceeding 140 and will be used for 0W-XX and 5W-XX engine oils and super-premium transmission fluids.
จากคุณ :
CORONA ECT
- [
19 พ.ค. 48 09:48:52
]
|
|
|