ความคิดเห็นที่ 1 ธุรกิจรับประกันเป็นธุรกิจอีกประเภทหนึ่งซึ่งมุสลิมหลายคนสงสัยว่าเป็นว่าเป็นธุรกิจถูกต้องตามหลักการอิสลามหรือไม่ ถ้าหากไม่ถูกต้องแล้วอิสลามมีทางออกสำหรับธุรกิจประเภทนี้อย่างไร? เพราะปัจจุบันนี้ธุรกิจรับประกันไม่ว่าจะเป็นประกันภัยหรือประกันชีวิตได้กลายเป็นส่วนหนึ่ง ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตทางเศรษฐกิจของคนยุคใหม่ ไปเสียแล้ว   ก่อนที่จะทราบคำตอบดังกล่าวขอให้เรามาทำความเข้าใจให้เป็นที่กระจ่างเสียก่อนว่าธุรกิจการรับประกัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประกันชีวิตหรือการรับประกันภัยนั้นไม่ได้หมายถึงการรับประกันว่าความตายจะไม่เกิดขึ้นแก่ชีวิตและอุบัติภัยจะไม่บังเกิดขึ้นกับทรัพย์สินดังที่บางคนคิดว่าเป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์จะไปฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่ความจริงแล้วการประกันภัยและการประกันชีวิตในส่วนผู้เอาประกันก็คือการเตรียมพร้อมสำหรับการได้รับค่าชดเชยหรือค่าชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติต่างๆที่จะมีผลกระทบต่อทรัพย์สินและชีวิตต่างหากและในส่วนของผู้รับประกันนั้นก็คือผู้อาสาเขามาจัดการดูแลในเรื่องการชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันนั้นก็คือผู้อาสาเข้ามาดูแลในเรื่องการชดเชยความเสียหายให้แกผู้เอาประกัน มุสลิมไม่เคยปฏิเสธเจตนารมณ์ของพระเจ้าและคำสอนของอิสลามที่ว่าภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินนั้นคือการทดสอบจากพระองค์ แต่ขณะเดียวกัน อิสลามก็ไม่ห้ามการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับภัยพิบัติ ดังที่เราจะเห็นได้จากเรื่องราวของนบียูซุฟที่ล่วงรู้จากความฟันของกษัตริย์ว่าจะเกิดภัยแล้วอีกใน 7 ปีข้างหน้านบียูซุฟจึงได้จัดเตรียมความพร้อมสำหรับภัยพิบัติดังกล่าวด้วยการเก็บเกี่ยวพืชผลที่ยังอุดมสมบูรณ์ไว้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนยามเกิดภัยแล้ง หรือในกรณีของชาวอาหรับเร่ร่อนคนหนึ่งที่ปล่อยอูฐไว้โดยไม่ผูกเชือกแล้วอ้างส่งเดชว่าตัวเองมอบหมายทุกสิ่งไว้กับพระเจ้า ท่านศาสดามูฮำหมัด  จึงได้บอกกล่าวกับชาวอาหรับคนนั้นให้ผูกอูฐไว้เสียก่อนแล้วมอบหมายทุกสิ่งไว้กับพระองค์ นอกจากนี้แล้ว ซะกาตก็ถือว่าเป็นการประกันอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่เป็นการประกันสังคมโดยเจตนาช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ยากของคนในสังคมซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมต้องปฏิบัติ สัตว์เองก็มีสัญชาติญาณแห่งการเตรียมพร้อมล่วงหน้าดังกล่าวเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการที่มดตัวเล็กๆที่ทำงานขยันขันแข็งเพื่อสะสมอาหารไว้ในวันข้างหน้า คนป่าที่แต่เดิมออกล่าสัตว์และหาผลิตผบจากป่าก็รู้จักจักจับสัตว์มาเลี้ยงแล้วปลูกพืชเพราะเกรงว่าสัตว์ป่าจะหายากและผลผลิตจากป่าจะขาดแคลน การเตรียมพร้อมที่จะเผชิญปัญหาในอนาคตจึงเป็นสัญชาตญาณเป็นธรรมชาติ ที่พระเจ้าทรงประทานแก่ชีวิตที่พระองค์ทรงสร้างมา ดังนั้นจึงไม่เป็นการผิดแต่ประการใดที่มนุษย์จะใช้สัญชาตญาณนี้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง การไม่ใช้สัญชาตญาณดังกล่าวต่างหากที่เป็นความผิดและเป็นความโง่เขลาของมนุษย์เอง ปัจจุบันหน่วยงานใหญ่ๆ ได้วางแผนการเตรียมตัวสำหรับอนาคตไว้ให้แก่พนักงานของตนเช่น กองทุนบำเหน็จข้าราชการ (ก.บ.ข.) กองทุนประกันสังคม กองทุนอื่นๆ เป็นต้น ธุรกิจการรับประกันเกิดขึ้นจากพื้นฐานแห่งความจริงดังกล่าวซึ่งไม่ขัดต่อหลักการอิสลามแต่ประการใด สมัยก่อนท่านศาสดามูฮำหมัด ชาวอาหรับเองก็เคยจัดเตรียมความพร้อมทางด้านนี้ไว้เช่นกัน นั่นคือการก่อนที่จะนำกองคาราวานสินค้าเดินทางออกไปค้าขายที่ต่างแดนซึ่งอาจจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาติหรือถูกปล้น พ่อค้าชาวอาหรับแต่ละคนจะช่วยกันวางเงินจำนวนหนึ่งไว้เป็นกองทุนโดยจ้างหรือให้ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งแก่ผู้ดูแลกองทุนนั้น หากพ่อค้าคนใดได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติตามที่ได้ตกลงกันไว้ พ่อค้าคนนั้นจะได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนดังกล่าวเป็นการแบ่งเบาภาระและชดเชยความเสียหายให้แต่เมื่อโลกเจริญขึ้นหลักการประกันความเสียหายก็พัฒนาขึ้นเป็นหน่วยงานหรือบริษัทธุรกิจที่อาสาเข้ามาทำหน้าที่รับประกันความเสี่ยงต่อภัยพิบัติดังกล่าวเอง ดังนั้นหากพิจาราณาจากเจตนารมณ์และการปฏิบัติของการประกันภัยพิบัตดังกล่าวข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่ากิจการรับประกันดังกล่าวมิได้ขัดต่อเจตนารมณ์ของอิสลามแต่ประการใด แต่สิ่งที่ทำให้ธุรกิจประกันภัยสมัยขัดต่อทัศนะของหลักกฎหมายอิสลามก็คือ 1 ธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันนำเงินเบี้ยประกันส่วนหนึ่งไปปล่อยกู้เพื่อหารายได้เพิ่มเติมให้แก่บริษัทเหมือนกับสถาบันการเงินอื่นๆแม้แต่กองทุนประกันสังคม หรือกองทุนบำเหน็จราชการ และกองทุนอื่นๆ ของราชการก็นำเงินสะสมของสมาชิกไปหารายได้ด้วยวิธีการเดียวกับสถาบันการเงินเช่นกัน 2 ธุรกิจรับประกันปัจจุบันดำเนินกิจการที่มีลักษณะของการพนันที่มีการเดิมพันโดยใช้ความเสี่ยงเหมือนกับการซื้อสลากกันแบ่ง ถ้าผู้ซื้อจ่ายเงินซื้อประกันแล้วไม่เกิดอุบัติเหตุ เบี้ยประกันก็ตกเป็นของบริษัทประกัน แต่ถ้าหากเกิดมีอุบัติเหตุ บริษัทประกันก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุซี่งไม่เป็นที่จัดเจนว่าเป็นจำนวนมากหรือน้อยเท่าใด 3 ด้วยเหตุผลจากข้อ 2 สัญญารับประกันจึงมีเรื่องของความไม่แน่นอนซึ่งนักกฎหมายอิสลามเห็นว่าขัดต่อหลักกฎหมายอิสลาม ด้วยเหตุนี้เพื่อรักษาสถาบันประกันภัยที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอิสลามไว้ให้พ้นจากสิ่งที่ขัดต่อกฎหมายอิสลามดังกล่าวข้างต้นนักกฎหมายอิสลามจึงได้วางแนวทาง "ตะกาฟุล" ไว้ให้บริษัทประกันภัยไปปฏิบัติเพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎหมายอิสลาม จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 20 ก.พ. 49 15:14:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตะกาฟุลคืออะไร? ตะกะฟุล คือ สัญญาของคนกลุ่มหนึ่งที่ร่วมตกลงกันไว้จะช่วยเหลือสมาชิกภายในกลุ่มที่ประสบความเสียหายจากอุบัติภัยที่เกิดขึ้น ดังนั้น สัญญาหรือกรมธรรม์ประกันภัยตามหลักการอิสลามจึงต้องระบุออกมาชัดเจนว่าผู้เอาประกันจะจ่ายเบี้ยประกันจำนวนหนึ่งที่กำหนดไว้ให้แก่บริษัท ตะกาฟุล โดยในเบี้ยประกันจำนวนนี้ผู้เอาประกันยินดีที่จะ "บริจาค" เงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจตะกาฟุลโดยบริษัทรับประกันจะเป็นผู้ที่กำหนดและเป็นผู้ที่ดูแลรับผิดชอบเองถ้าหากว่าไม่พอเพียงต่อการชดใช้ค่าเสียหายส่วนเงินที่เหลือนั้น บริษัทตะกาฟุล จะนำไปลงทุนหากำไรเพิ่มเติมอย่างไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยและไม่ขัดกับหลักกฎหมายอิสลามหากมีกำไรก็จะแบ่งกำไรแก่ผู้ถือกรมธรรม์เป็นการตอบแทน ส่วนในเรื่องชดเชยการเสียหายเป็นจำนวนเท่าใดนั้น กรมธรรม์จะระบุไว้เป็นการชัดเจนว่าผู้เอาประกันจะได้ค่าชดเชยความเสียหายเป็นจำนวนเท่าใดซึ่งในปัจจุบันนี้กรมธรรม์สมัยใหม่ได้ระบุไว้ชัดเจนแล้ว ในประเทศมาเลเซียมีบริษัทตะกาฟุลซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยตามหลักการอิสลามเปิดให้บริการสำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงจากระบบดอกเบี้ย บริษัทตะกาฟุลเป็นบริษัทในครือธนาคารอิสลามแห่งประเทศมาเลเซีย เปิดให้บริการหลังจากธนาคารอิสลามได้ก่อตั้งประมาณ 2 ปี ผู้เขียนทราบว่าในกรณีการประกันรถยนต์ หากผู้เอาประกันไม่เรียกร้องค่าเสียหายระหว่างอายุกรรมธรรม์บริษัทประกันภัยจะคืนเงินให้แก่ผู้เอาประกันเป็นเงินสดจำนวน 40 เปอร์เซ็นต์ ของเบี้ยประกันไม่ว่าจะต่อสัญญาใหม่หรือไม่ ส่วนบริษัทประกันภัยประเทศไทยจะคืนเบี้ยประกันจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ถือกรรมธรรม์ที่ไม่เรียกร้องค่าเสียหายเช่นกัน แต่จะคืนให้เป็นส่วนลดเบี้ยประกันในการต่อสัญญาใหม่กับบริษัทเดิม หากไม่ต่อสัญญากับบริษัทเดิมก็จะไม่ได้อะไรคืน ตะกาฟุล ครอบครัว ตะกาฟุลครอบครัวเป็นโครงการสำหรับบุคลที่มีความประสงค์เตรียมตัวทางการเงินไว้ให้พร้อมในกรณีที่ตัวเองจะต้องประสบเคราะห์กรรมขึ้นเช่นอุบัติเหตุที่ทำให้ทุพลภาพหรือเสียชีวิตซึ่งอาจจะทำให้ครอบครัวของตนเองจะได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นโครงการตะกาฟุลครอบครัวจึงได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านนี้สำหรับผู้ที่จะหลีกเลี่ยงการประกันระบบเก่าที่เกี่ยวพันกับดอกเบี้ยโครงการตะกาฟุลครอบครัวถูกออกแบบเพื่อให้สมาชิกเข้าร่วมโครงการสามารถ 1 สะสมเงินเป็นประจำ 2 ร่วมลงทุนในกิจการที่มีผลกำไรโดยไม่ขัดต่อหลักกาศาสนา 3 สะสมเงินไว้แก่ทายาทถ้าหากว่าตัวเองต้องมีอันต้องเสียชีวิตไปก่อนที่จะสิ้นสุดสัญญาตะกาฟุลกับบริษัท การดำเนินงานของโครงการตะกาฟุลครอบครัว ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องจ่ายเงินตะกาฟุลให้แก่บริษัทเป็นงวดๆตามที่ตกลงกันไว้โดยที่ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะจ่ายให้กับริษัทงวดละเท่าไหร่แต่จะต้องไม่น้อยกว่าเงินฟากขั้นต่ำสุดที่ทางบริษัทกำหนดไว้และจะเข้าร่วมโครงการระยะเวลานานเท่าใด ซึ่งทางบริษัทมีทางเลือกไว้ 3 ประเภท คือ ประเภทระยะเวลา 10 ปี 15 ปี 20 ปี เงินตะกาฟุลที่สมาชิกเข้าร่วมโครงการจ่ายให้แก่บริษัทนั้นจะถูกแยกนำไปใส่ในสองบัญชีด้วยกัน นั่นคือ 95 เปอร์เซ็นต์ จะถูกนำไปใส่บัญชีสมาชิกและอีก 5 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจะนำไปใส่บัญชีพิเศษของสมาชิกในฐานะเป็นเงิน "บริจาค"(ภาษาอาหรับเรียกว่า ตาบัรรุอฺ) เพื่อให้บริษัทในฐานะตัวแทนนำไปจ่ายแก่สมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการคนอื่นที่รับเคราะห์กรรมหรือประสพภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม เงินฟากที่นำไปใส่ในสองบัญชีนี้จะถูกแบ่งสรรไปลงทุนในกิจการต่างๆ ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายอิสลาม ผลกำไรที่เกิดขึ้นจากการลงทุนนี้จะถูกนำมาแบ่งกันระหว่างผู้ร่วมโครงการและบริษัทตามอัตราส่วนที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา ด้วยส่วนแบ่งนี้เองที่จะทำให้ยอดเงินฝากในบัญชีทั้งสองขอลงผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ผลประโยชน์ที่ได้จากการเข้าร่วมโครงการ ในกรณีที่ผู้เข้าร่วมโครงการเสียชีวิตก่อนครบกำหนดอายุโครงการผลประโยชน์ต่อไปนี้จะตกเป็นของทายาทผู้เข้าร่วมโครงการ 1 จำนวนเงินตะกาฟุล ทุกงวดที่สมาชิกเสียชีวิตจ่ายให้แก่บริษัทตั้งแต่งวดแรกจนถึงงวดสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิตรวมทั้งส่วนแบ่งของผลกำไรที่เกิดขึ้นจากการที่บริษัทนำเงินของสมาชิกไปลงทุน 2 เงินตะกาฟุลของสมาชิกที่เสียชีวิตจะต้องจ่ายให้แก่บริษัทถ้าหากว่าสมาชิกผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ เงินจำนวนนี้ทางบริษัทจะคิดให้ตั้งแต่วันที่สมาชิกเสียชีวิตไปจนถึงวันสิ้นสุดสัญญาตะกาฟุลของสมาชิกผู้นั้นโดยเงินจำนวนนี้บริษัทจะนำเอามาจากบัญชีพิเศษของสมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนดังที่ตกลงกันไว้ในสัญญา แต่ถ้าหากผู้เข้าร่วมสัญญามีชีวิตอยู่จนถึงวันครบสัญญา สมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ประโยชน์ดังต่อไปนี้ จำนวนเงินตะกาฟุล ทุกงวดในบัญชีของสมาชิกบวกส่วนแบ่งจากผลกำไรที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาเข้าร่วมโครงการ 2 เงินส่วนเกินสุทธิที่อยู่ในบัญชีพิเศษทั้งหมด ในกรณีที่สมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการมีความจำเป็นต้องออกจากโครงการก่อนวันสิ้นสุดสัญญานั้น ในกรณีนี้สมาชิกจะได้เงินตะกาฟุลที่จ่ายให้กับบริษัททุกงวดพร้อมกับส่วนแบ่งกำไรที่เกิดขึ้นจากเงินของสมาชิกแต่ "เงินบริจาค" ที่อยู่ในบัญชีพิเศษของสมาชิกนั้นทางบริษัทจะไม่คืนให้ดังนั้นในธุรกิจตะกาฟุล ผู้ถือสัญญากรรมธรรม์จึงเสมือนมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัทตะกาฟุลด้วย เพราะบริษัทจะจำทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้ความช่วยเหลือผู้ถือกรมธรรม์ตะกาฟุลที่ประสบความเสียหายและในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่นำเงินเบี้ยประกันไปหาผลตอบแทนที่ถูกต้องตามหลักการอิสลามมาแบ่งปันกันแก่ผู้ถือกรรมธรรม์   วัสลาม   http://www.muslimthai.com/contentFront.php?option=content&category=25&id=137 จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 20 ก.พ. 49 15:17:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อ่านแล้วก้องงๆดีอะ สรุปแล้วคือไม่ผิดหลักศาสนาแต่ต้องเป็นไปตามแบบแผนของตะกาฟุล ช่ายปะครับ แล้วประกันภัยในประเทศไทยเป็นแบบตะกาฟุลหรือป้าวครับ จากคุณ : Pakakayo - [ 20 ก.พ. 49 15:54:21 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สรุปตามนี้อะครับ ส่วนใหญ่บริษัทประกันในไทยไม่เป็นไปตามหลักของอิสลามครับ 1 ธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันนำเงินเบี้ยประกันส่วนหนึ่งไปปล่อยกู้เพื่อหารายได้เพิ่มเติมให้แก่บริษัทเหมือนกับสถาบันการเงินอื่นๆแม้แต่กองทุนประกันสังคม หรือกองทุนบำเหน็จราชการ และกองทุนอื่นๆ ของราชการก็นำเงินสะสมของสมาชิกไปหารายได้ด้วยวิธีการเดียวกับสถาบันการเงินเช่นกัน >>>ผิดเรื่องดอกเบี้ยครับ 2 ธุรกิจรับประกันปัจจุบันดำเนินกิจการที่มีลักษณะของการพนันที่มีการเดิมพันโดยใช้ความเสี่ยงเหมือนกับการซื้อสลากกันแบ่ง ถ้าผู้ซื้อจ่ายเงินซื้อประกันแล้วไม่เกิดอุบัติเหตุ เบี้ยประกันก็ตกเป็นของบริษัทประกัน แต่ถ้าหากเกิดมีอุบัติเหตุ บริษัทประกันก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุซี่งไม่เป็นที่จัดเจนว่าเป็นจำนวนมากหรือน้อยเท่าใด >>มีลักษณะของการเดิมพัน การพนัน แต่เร็วๆนี้อาจจะมีข่าวดี เมื่อธนาคารอิสลามเปิดเผยข้อมูลว่าจะมีกองทุนอิสลาม ในอนาคตก็อาจจะมีบริษัทประกันภัยอิสลามด้วย อินซาอัลเลาะห์ จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 20 ก.พ. 49 16:41:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนถามคุณ beckmee ว่าด้วยเรื่องธนาคารอิสลามนะครับ 1. ธนาคารอิสลามให้กู้เงินแบบไม่มีดอกเบี้ยใช่หรือไม่ แล้วธนาคารจะเอารายได้จากไหนมาเป็นค่าใช้จ่าย เช่นเงินเดือนพนักงาน หรือการซื้อ / เช่าระบบงานcomputer มาใช้ 2.การฝากเงินแบบไม่มีดอกเบี้ยที่ธนาคารอิสลามนำมาใช้ผู้ฝากจะได้อะไร ในขณะที่เงินมีการด้อยค่าลงทุกวัน(เงินเฟ้อ) 3.การลงทุนที่ไม่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยของการประกันภัยแบบตะกะฟุล ขอให้ช่วยยกตัวอย่างให้ด้วยครับว่าธุรกิจใดไม่เกี่ยวข้อกับดอกเบี้ย และไปตามหลักชาริอะฮ์ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 49 19:10:38 จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 20 ก.พ. 49 19:05:42 ]

ความคิดเห็นที่ 6 แหมเล่นถามผมแบบนี้ก็หาข้อมูลหัวบานสิคราบ ^^ ข้อตอบข้อ 1.ธนาคารอิสลามให้กู้เงินแบบไม่มีดอกเบี้ยใช่หรือไม่ แล้วธนาคารจะเอารายได้จากไหนมาเป็นค่าใช้จ่าย เช่นเงินเดือนพนักงาน หรือการซื้อ / เช่าระบบงานcomputer มาใช้>>>>>>> ข้อแตกต่างของการให้บริการทางด้านสินเชื่อของธนาคารอิสลามฯ กับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป           ประเภทของการให้บริการทางด้านสินเชื่อโดยส่วนใหญ่ของธนาคารอิสลามฯ กับธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไปจะไม่มีความแตกต่างมากนัก นั่นคือ จะมีบริการสินเชื่อทั้งในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อทางด้านธุรกิจ และอุตสาหกรรม แต่ในส่วนที่แตกต่างกันหลักๆ คือ 1.การขอสินเชื่อกับธนาคารอิสลามฯ นั้น จะต้องเป็นการขอสินเชื่อในวัตถุประสงค์ที่ไม่ขัดต่อหลักการของศาสนาอิสลาม เช่น การขอสินเชื่อเพื่อเปิดสถานบันเทิง พวก คลับ บาร์ ต่าง ๆ 2.วิธีการและการคิดคำนวณกำไรของธนาคารอิสลามฯนั้น แตกต่างกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป นั่นคือ ธนาคารอิสลามฯ มิได้ปล่อยสินเชื่อเป็นตัวเงินกู้ออกไป จะเป็นลักษณะที่ลูกค้าแจ้งวัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ อาทิ ต้องการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน หรือวัตถุดิบ ธนาคารอิสลามฯ จะซื้อสินค้าหรือทรัพย์สินดังกล่าว มาเป็นของธนาคาร และบวกกำไรโดยคิดจากราคาต้นทุน หลังจากนั้นก็จะขายต่อให้กับผู้ขอสินเชื่อในลักษณะต่างๆ เช่น การผ่อนชำระ การเช่าซื้อ เป็นต้น จากวิธีการดังกล่าวจะเห็นว่ากำไรที่ธนาคารอิสลามฯ บวกเข้าไปนั้นเป็นการบวกเพิ่มไปตั้งแต่ต้น ดังนั้นยอดหนี้ที่ต้องชำระของลูกค้าสินเชื่อของธนาคารอิสลามจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยอดชำระของลูกค้าในแต่ละงวดจะเท่ากัน ทำให้ง่ายต่อการคิดต้นทุนและการวางแผนทางการเงินของลูกค้า     http://www.isbt.co.th จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 20 ก.พ. 49 22:33:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุยกับคุณ beckmee ต่อนะ 2.วิธีการและการคิดคำนวณกำไรของธนาคารอิสลามฯนั้น แตกต่างกับธนาคารพาณิชย์ทั่วไป นั่นคือ ธนาคารอิสลามฯ มิได้ปล่อยสินเชื่อเป็นตัวเงินกู้ออกไป จะเป็นลักษณะที่ลูกค้าแจ้งวัตถุประสงค์ในการขอสินเชื่อ อาทิ ต้องการซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน หรือวัตถุดิบ ธนาคารอิสลามฯ จะซื้อสินค้าหรือทรัพย์สินดังกล่าว มาเป็นของธนาคาร และบวกกำไรโดยคิดจากราคาต้นทุน หลังจากนั้นก็จะขายต่อให้กับผู้ขอสินเชื่อในลักษณะต่างๆ เช่น การผ่อนชำระ การเช่าซื้อ เป็นต้น >>> การซื้อบ้านมาเป็นของธนาคารแล้วขายให้กับลูกค้า การซื้อขายตามกฏหมายถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ต้องจดทะเบียนต่อต่อเจ้าหน้าที่ ในที่นี้หมายถึงสำนักงานที่ดิน แสดงว่าบ้านพร้อมที่ดินจะต้องมีการโอนไปยังธนาคารแล้วโอนต่อให้กับลูกค้าใช่ไหมครับ อย่างนี้เท่ากับว่าต้องเสียค่าโอน 2 ต่อ ซึ่งธนาคารพาณิชย์เสียต่อเดียว การโอน 2 ต่อใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายครับถ้าเป็นลูกค้าจ่าย เป็นผมคงไม่ไปขอกู้กับธนาคารนี้แน่ !!! และที่บอกว่าธนาคารจะคิดกำไรจากราคาต้นทุน กำไรที่นำมาคิดนี้มีพื้นฐานการคำนวณจากอะไร หลังจากที่ตามลิงค์เข้าไปใน WWW>ISBT.CO.TH แล้วเห็นว่า กำไรที่นำมาคำนวณเป็นอัตรา ต้วอย่างเช่น ซื้อบ้าน 1,000,000.00 บาท อัตรากำไร 6% แล้วอัตรากำไรที่นำมาคำนวณมีพื้นฐานจากอะไร ใช้พื้นฐานเดียวกับธนาคารพาณิชย์หรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่านำไปอิงกับดอกเบี้ยใช่หรือไม่ และยอดหนี้ที่ต้องชำระไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าลูกกหนี้เป็นมายอดค้างชำระ ธนาคารคิดเบี้ยปรับได้หรือไม่ ถ้าได้ยอดหนี้คงไม่เท่าเดิมแน่ รวมทั้งถ้าลูกค้าเป็น NPLs และมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ บางครั้งอาจยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับลูกค้า เมื่อคำนวณมูลค่าเงิน ณ ปัจจุบัน (NPV) คงไม่ได้มูลค่าเท่าเดิมแน่ แล้วจะพูดได้อย่างไรว่า การชำระหนี้ของลูกค้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง <<< หวังว่าคุณ beckmee คงให้ความกระจ่างกับผมหน่อยนะครับ>>> จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 21 ก.พ. 49 07:32:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ประเด็นแรกต้องขออธิบายว่า การชำระหนี้ของลูกค้าไม่เปลี่ยนแปลงนั้น คือเป็นจำนวนเงินมิใช่ค่ามูลค่าปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญและนักนิติศาสตร์อิสลามแล้ว สภามีมติว่า :  1) ยืนยันมติหมายเลข 42 (4/5) ก่อนหน้านี้ซึ่งกล่าวว่า :-   “สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงในการชำระเงินกู้คืนก็คือการจ่ายเงินคืนจะต้องจ่ายด้วยเงินสกุลเดียวกันในจำนวนที่เท่ากัน ไม่ใช่จ่ายโดยมูลค่าของสกุลเงินนั้น เพราะเงินกู้จะต้องจ่ายคืนด้วยเงินจำนวนเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่เป็นที่อนุญาตให้ผูกการจ่ายเงินกู้ไว้กับการขึ้นลงของอัตราสกุลเงินไม่ว่าจะสกุลเงินอะไรก็ตาม” ถ้าผู้ซื้อ/ลูกหนี้ล่าช้าในการผ่อนชำระหลังจากวันที่ได้กำหนดไว้แล้ว ไม่อนุญาตให้คิดเงินเพิ่มนอกเหนือไปจากหนี้ที่ค้างชำระอยู่ไม่ว่าจะกำหนดเป็นเงื่อนไขล่วงหน้าไว้ในสัญญาหรือเรียกร้องโดยไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะนี่คือริบา(ดอกเบี้ย)ซึ่งเป็นที่ต้องห้าม การลดหนี้ผ่อนชำระเพื่อเร่งให้จ่ายเงินคืนเร็วขึ้น (จ่ายน้อยแต่จ่ายก่อนเวลา) ไม่ว่าจะเป็นการร้องขอของเจ้าหนี้หรือของลูกหนี้เป็นที่อนุญาตตามหลักกฎหมายอิสลาม วิธีการนี้ไม่ตกอยู่ในข่ายของดอกเบี้ยที่เป็นสิ่งต้องห้าม ถ้าหากว่าไม่ได้มีการตกลงล่วงหน้ากันไว้ก่อนและตราบใดที่เป็นเรื่องความสัมพันธ์สองฝ่ายระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ถ้าหากมีฝ่ายที่สามขึ้นมา การลดหนี้ไม่เป็นที่อนุญาตเพราะหากเป็นเช่นนั้นกฎระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะเหมือนกับการซื้อลดเอกสารทางการค้า จากทัศนะของอิสลาม ไม่เป็นที่อนุญาตให้ทำสัญญาที่มีข้อตกลงผูกพันเงินกู้ไว้กับสิ่งต่อไปนี้ :-    ก) สกุลเงินที่ใช้หักหนี้    ข) ดัชนีครองชีพหรือดัชนีอื่นๆ    ค) ทองคำและเงิน    ง) ราคาของสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง    จ) ดัชนีการพัฒนาผลผลิตแห่งชาติ    ฉ) สกุลเงินอื่น    ช) ดอกเบี้ย    ซ) ดัชนีราคาของสินค้าบางอย่าง  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการผูกพันดังกล่าวนำไปสู่การหลอกลวงและคู่สัญญาไม่รู้แน่ชัดถึงสิทธิ์และความรับผิดชอบของตน สัญญาจะถูกต้องใช้ได้ก็ต่อเมื่อคู่สัญญารู้แน่ชัดในสัญญาและทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นล่วงหน้าในการทำสัญญา ถ้าเงินกู้ถูกกำหนดไว้ให้ขึ้นอยู่กับการขึ้นราคาของสินค้าแล้ว เงินกู้ก็จะไม่มีมูลค่าเท่าเดิมในตอนชำระคืน และการเพิ่มขึ้นใดในสิ่งที่ได้ถูกกำหนดไว้ในสัญญาก็คือดอกเบี้ย ประเด็นที่สองเรื่องที่ถามมาจาก คห 5 ที่ว่าการฝากไม่มีดอกเบี้ย ในแก่ผู้ฝาก การฝากจะมีผลตอบแทนให้ผู้ฝากเฉพาะการฝากเพื่อลงทุนในรูปแบบผลตอบแทนที่กำหนดสัดส่วนไว้ เท่านั้นส่วนการฝากในรูปแบบอื่นจะมีผลตอบแทนเป็นเงินปันผลซึ่งขึ้นอยูกับผลประกอบการครับ ซึ่งเป็นไปตามหลักการอิสลาม มุสลิมทุกคนตระหนักอยู่เสมอต่อคำเตือนของท่านนบมุฮัมมัด ที่กล่าวว่า “คนที่ได้ดอกเบี้ยจำนวนมากในวันนี้ เขาจะกลายเป็นคนจนในที่สุด” (บันทึกถ้อยคำโดยอิบนุมาญะฮ์) ประเด็นที่สาม เรื่องของการกำหนดกำไร นั้นผมได้โทรไปถามที่ธนาคารแล้ว คือว่ามาจากการอ้างอิงตลาดนั้นแหละครับ อาจจะต่ำกว่านิดหน่อย แต่ในเรื่องของการทำธุรกรรมนั้นแตกต่างจากระบบดอกเบี้ยอย่างสิ้นเชิง และประเด็นสี่เรื่องธุรกิจที่เป็นไปตามหลักชารีอะห์ อันนี้เพิ่งเจอครับ -ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และองค์กรภาครัฐ จัดพิธีแถลงข่าว และลงนามความร่วมมือในการประกันภัยแบบอิสลาม “ทิพยตะกาฟูล" การประกันภัยเพื่อชาวไทยมุสลิม -กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อิสลามิก ฟันด์ ซึ่งเป็นการลงทุนรูปแบบใหม่ที่ถูกต้องตามหลักการศาสนาอิสลาม สำหรับพี่น้องมุสลิม ประเด็นที่ห้าครับ เรื่องการโอน 2 ครั้ง ผมโทรไปถามที่ธนาคารแล้วเค้าบอกว่าเป็นการจำนองครับ ซึ่งผมเข้าใจว่าก็น่าจะเสียแค่โอนครั้งเดียวเหมือนกันครับ ยังไงประเด็นนี้ถ้ายังไม่กระจ่างลองโทรไปสอบถามได้ครับ เพราะผมก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้ด้วย ครับ ในเวบมีเบอร์อยู่ครับ จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 21 ก.พ. 49 11:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ข้อมูลแน่นมากเลยครับ ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : Pakakayo - [ 21 ก.พ. 49 12:30:54 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ beckmee เล่นตัดช่องน้อยให้โทรไปถามเลยเหรอครับ เคยโทรไปถามแล้วตอบไม่ค่อยกระจ่างเท่ากับผู้รู้ที่เป็นมุสลิมในห้องนี้ เพราะประเด็นต่าง ๆ ที่สามารถทำได้และไม่ขัดต่อหลักชาริอะฮ์ แต่เมื่อมาใช้ในประเทศไทย กฏหมายของไทยไม่รองรับนะครับ ยกตัวอย่างการกู้เงินเพื่อปลูกสร้างบ้าน ธนาคารพาณิชย์อื่นให้กู้เงินและลูกค้าไปจ้างผู้รับเหมาปลูกสร้างบ้านเอาเอง แต่ของธนาคารอิสลาม ความรับผิดชอบมากว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไปนะครับ คือธนาคารต้องเป็นผู้รับจ้างผลิต ถ้าธนาคารไม่สามารถผิตได้ ก็สามารถไปจ้างผู้อื่นทำต่อได้ แสดงว่าถ้าลูกค้าผู้จ้างธนาคารทำของในที่นี้ขอพูดว่าเป็นบ้านแล้วกัน ถ้าลูกค้าไม่ยอมรับมอบบ้าน ธนาคารต้องเป็นผู้รับผิดชอบในบ้านหลังนั้น แสดงว่า NPA ของธนาคารต้องเพิ่มขิ้น ซึ่งไม่ก่อประโยชน์ใดเลยกับธนาคาร ประเด็นที่สาม เรื่องของการกำหนดกำไร นั้นผมได้โทรไปถามที่ธนาคารแล้ว คือว่ามาจากการอ้างอิงตลาดนั้นแหละครับ อาจจะต่ำกว่านิดหน่อย แต่ในเรื่องของการทำธุรกรรมนั้นแตกต่างจากระบบดอกเบี้ยอย่างสิ้นเชิง >>>> ที่บอกว่าอ้างอิงตลาดนี่หมายถึงตลาดไหนครับ LIBOR หรือ SIBOR ครับ หรือใช้ Islamic Index ถ้าใช้ LIBOR หรือ SIBOR ก็แสดงว่าอ้างอิงดอกเบี้ยแล้วแหละครับ หรือว่าใช้ ISalamic Index ขอให้ช่วยบอกที่มาด้วยนะครับว่าหลักการคำนวณของ Isalamic Index ใช้ปัจจัยอะไรมากำหนดบ้าง อีกเรื่องนะครับ การทำธุรกรรม Foreign Exchange ผิดหลักอิสลามหรือเปล่า เพราะอ้างอิงเงินของสองสกุล กล้วไม่มีคนตอบแล้วขอถามให้หมดปัญหาคาใจเลยแล้วกัน Bai Al Salam คือการซื้อสินค้าล่วงหน้าใช้หรือไม่ หลักของอิสลามบอกว่า ไม่ให้ซื้อขายปลาในทะเล เพราะไม่รู้ว่าขนาดและคุณภาพจะตรงความต้องการหรือไม่ แล้ว Bai Al Salam คืออะไรกันแน่ เรื่องการโอน 2 ครั้ง ผมโทรไปถามที่ธนาคารแล้วเค้าบอกว่าเป็นการจำนองครับ ซึ่งผมเข้าใจว่าก็น่าจะเสียแค่โอนครั้งเดียวเหมือนกันครับ ยังไงประเด็นนี้ถ้ายังไม่กระจ่างลองโทรไปสอบถามได้ครับ เพราะผมก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้ด้วย ครับ ในเวบมีเบอร์อยู่ครับ >>> อย่างนี้แสดงว่า ธนาคารไม่ได้ซื้อทรัพย์สินนั้นมาเป็นของธนาคารก่อนใช่หรือไม่ ผิดหลัก Al Bai Bithaman Ajil เพราะหลักการนี้บอกว่าเป็นการซื้อขาย “คนที่ได้ดอกเบี้ยจำนวนมากในวันนี้ เขาจะกลายเป็นคนจนในที่สุด” (บันทึกถ้อยคำโดยอิบนุมาญะฮ์) >>> ผมยังไม่เคยให้ว่าใครรับดอกเบี้ยแล้วจนจริง ๆ เลยนะครับ ยกตัวอย่างเลยแล้วกัน การขายหุ้นชิน 73,000.00 ล้านบาท ถ้านำมาฝากธนาคาร อัตราดอกเบี้ย 3% รับดอกเบี้ยประมาณวัละ 6,000,000.00 บาทนะครับ นายกรวยไหมครับ เรียนถามแค่นี้ก่อนแล้วกันหวังว่าที่ผู้รู้ทั้งหลาย คงให้ความรู้กับผมบ้าง ขอบคุณครับ จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 21 ก.พ. 49 12:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอโทษคุณ Pakakayo ที่แอบมาใช้พื้นที่นะครับ เพราะว่าคุณกับผมคงมีความข้องใจในหลักปฏิบัติคล้าย ๆ กัน จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 21 ก.พ. 49 12:42:23 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คือผมไม่ได้ตัดช่องน้อยนะครับ แต่ไม่มีความรู้ด้านเรื่องพวกการเงินการธนาคารเท่าไหร่ คือถ้าคุณลองโทรไปถามฝ่ายสินเชื่อเนี่ยเค้าน่าจะรู้ดีกว่าและคุณก็จะถามดีกว่าผม อะไรพวกนี้เท่าไหร่ยังไงเดี๋ยววันนี้ผมว่าจะไปคุยกับผู้รู้อีกคนนึงเดี๋ยวถามให้นะครับ เท่าที่รู้ว่าเนี่ยคุณไม่ต้องกัววลหรอกครับว่ามันจะผิดหลักอิสลามเพราะเค้ามีคณะที่ปรึกษาด้านศาสนา ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้คนเรียนเรื่องนิติศาสตร์อิสลามจริงๆ ต้องยอมรับตามตรงว่าผมมีความรู้ไม่พอ แต่ก็จะพยายามหาข้อมูลเท่าที่ทำได้ ส่วนที่คุณบอกว่า “คนที่ได้ดอกเบี้ยจำนวนมากในวันนี้ เขาจะกลายเป็นคนจนในที่สุด” (บันทึกถ้อยคำโดยอิบนุมาญะฮ์) >>> ผมยังไม่เคยให้ว่าใครรับดอกเบี้ยแล้วจนจริง ๆ เลยนะครับ ยกตัวอย่างเลยแล้วกัน การขายหุ้นชิน 73,000.00 ล้านบาท ถ้านำมาฝากธนาคาร อัตราดอกเบี้ย 3% รับดอกเบี้ยประมาณวัละ 6,000,000.00 บาทนะครับ นายกรวยไหมครับ>>>>>>>>>>>>>มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าท่านนบีห้ามรื่องดอกเบี้ยเพราะมัน จะทำให้ผิดการห้ามของอัลเลาะห์แล้วที่บอกว่าจะเป็นผู้ที่จนหมายถึง เจ้าจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากอัลเลาะห์นั้นเอง ถ้าพูดถึงนายก ตอนนี้ก็แทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้วครับ ส่วนที่บอกว่าอ้างอิงอัตรากำไรจากตลาด ก็คือดูจากอัตราดอกเบี้ย ก็ถูกครับมันก็ไม่ได้ผิดหลักศาสนาด้วย เพราะเป็นแค่การอ้างอิงเพื่อนำมาคิดคำนวณเท่านั้น มิได้นำระบบดอกเบี้ยมาใช้ ส่วน การซื้อขายล่วงหน้านั้นตามหลักBai Al-Salam (future delivery) ทำได้   หากผู้ซื้อทราบถึงรูปประพัน สันฐาน ของสินค้า อย่าางแน่นอน เช่น ทีวี จากในแคตตาล๊อกเป็นต้น ธนาคารอิสลาม ความรับผิดชอบมากว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไปนะครับ คือธนาคารต้องเป็นผู้รับจ้างผลิต ถ้าธนาคารไม่สามารถผิตได้ ก็สามารถไปจ้างผู้อื่นทำต่อได้ แสดงว่าถ้าลูกค้าผู้จ้างธนาคารทำของในที่นี้ขอพูดว่าเป็นบ้านแล้วกัน ถ้าลูกค้าไม่ยอมรับมอบบ้าน ธนาคารต้องเป็นผู้รับผิดชอบในบ้านหลังนั้น แสดงว่า NPA ของธนาคารต้องเพิ่มขิ้น ซึ่งไม่ก่อประโยชน์ใดเลยกับธนาคาร>>ผมว่าเค้าคงไม่ตกลงกันง่ายๆแบบนี้หรอกครับ ในเรื่องความเป็นจริงเนี่ย ส่วนเรื่องการจำนองเดี๋ยวจะไปถามมาให้อีกที คือถ้าคุณต้องการจะทราบหลักการอิสลามจริงๆผมก็ยินดีจะหาข้อมูลให้ครับ แต่ถ้าคุณจะมาจับผิดหรือมาว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ เกี่ยวกับธนาคารอิสลามในไทยเนี่ย ก็ลองไปถามธนาคารเองดีกว่านะครับ เพราะจริงๆแล้วพื้นฐานของธนาคารอิสลามคือต้องการออกจากระบบดอกเบี้ย ซึ่งเป็นการเอาเปรียบลูกหนี้ ไม่ได้เป็นการทำเพื่อแสวงหากำไรโดยไม่คำนึงถึงจริยธรรม จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 21 ก.พ. 49 14:50:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณ beckmee ครับผมไม่ได้มาจับผิดอะไรเลย แค่อยากได้คาวมรู้ในระบบการเงินที่แปลกไปจากที่เคยเรียนมา หวังว่าคุณ beckmee คงเข้าใจ การให้ความรู้กับผู้อื่นได้บุญนะครับ ถามต่ออีกหน่อยนะครับ เรื่อง Bal Al Salam ที่บอกว่าถ้าทราบถึงรูปประพัน สันฐาน ของสินค้า อย่างแน่นอน เช่น ทีวี จากในแคตตาล๊อกเป็นต้น ผมว่า Bai Al Salam น่าจะเป็นการให้สินเชื่อเพื่อนำไปผลิตสินค้ามากกว่านะครับ เช่น Packing Credit ที่ลูกค้ามาขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อนำไปผลิตสินค้าแล้วส่งออก แล้ว Bai Al Salam นี่จะนำไปใช้ในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าได้หรือเปล่าครับ เช่นการทำ Forward Contract หรือ การ Swap หรือการทำ Option เงินตราต่างประเทศเพราะเรารู้ล่วงหน้าอยู้แล้วว่าอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตจะเป็นเท่าไหร่จากการคำนวณ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบนะครับ อีกอย่างผมมีความคิดเห็นคล้ายกับคุณคือพื้นฐานของธนาคารอิสลามคือต้องการออกจากระบบดอกเบี้ย ซึ่งเป็นการเอาเปรียบลูกหนี้ ไม่ได้เป็นการทำเพื่อแสวงหากำไรโดยไม่คำนึงถึงจริยธรรม แต่ถ้าไม่สร้างความแตกต่างให้เห็นเด่นชัดลูกค้าคงมีไม่มากที่จะทำให้ธนาคารอิสลามมีความมั่นคงได้ อีกทั้งธนาคารอิสลามยังเป็นการส่งเสริมให้มุสลิมมาทำธุรกิจมากขึ้นจริงไหมครับ แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 49 18:00:45 จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 21 ก.พ. 49 17:58:37 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ตีความหมายผิดในเรื่อง จน เพราะคำว่าจนในความหมายของผมคือความจน แต่ของคุณเป็น ผู้ที่จนหมายถึง เจ้าจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากอัลเลาะห์นั้นเอง จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 21 ก.พ. 49 18:10:40 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ๋อครับงั้นต้องขออภัยด้วย ถ้าตีความเจตนาผิดไปครับ คุณเริ่มถามในส่งที่ผมไม่ค่อยสนใจตอนเรียนแล้ว สิ-*- แล้วจะหาข้อมูลมาให้ครับ จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 21 ก.พ. 49 23:16:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมเองก้ออยากรูเหมือนกันครับคุณน้องหนูนะ เพราะผมเองก้อเคยสงสัยว่าแล้วธนาคารอิสลามได้กำไรจากไหน โดยมีพื้นฐานตามหลักศาสนาอิสลาม จากคุณ : Pakakayo - [ 22 ก.พ. 49 11:45:10 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เดี๋ยวนี้มี ตะกาฟุล ชารีอ๊ะห์ แล้วนะครับ  รู้สึกจะของฟินันซ่า  ขับรถผ่านแถวๆมอเตอร์เวย์พระราม9 ป้ายเบ้อเริ่ม (ไม่ได้มาโฆษณานะจ๊ะ...) จากคุณ : ฟัยรูซ - [ 22 ก.พ. 49 12:27:32 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ^ อัสลามุอะลับกุ้ม บัง ฟัยรูซ ....หายไปไหนมาครับ เห็นหายไปนานเลยครับ จากคุณ : เพื่อนร่วมทาง - [ 22 ก.พ. 49 18:06:42 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อัสลามุอะลัยกุม บัง ฟัยรูซ ด้วยคนครับ ขอตอบประเด็นที่ติดค้างไว้นะครับ การทำ Foreign Exchange สามารถทำได้แต่ต้องนำเงินสดมาแลกกันทันที่ ห้ามมีการรอเวลาเพราะถือว่าเป็นดอกเบี้ย เพราะฉะนั้น Forward Contract เงินตราทำได้เพราะรู้ค่าเงินและต้องแลกเงินสดทันทีเช่นกัน หรือ การ Swap ถ้าไม่มีดอกเบี้ยทำได้ครับ  หรือการทำ Option ก็ทำได้เช่นกันตามหลักดังหว่า   แม้แต่ Forward หรือ future ทำกับสินค้าที่รู้รูปลักษณ์ ปริมาณ รูปประพันได้   ส่วนเรื่องธนาคารอิสลาม ที่จะกู้เงินไปซื้อที่ดินครับ เป็นการโอนเสียเงินครั้งเดียวครับ คือตอนที่โอนที่ดินจากผู้ขายให้แก่ลูกค้าธนาคาร โดยกระบวนการ คือ ลูกค้ามอบหมายด้วยวาจาให้ธนาคารเป็นผู้ซื้อแทน แล้วลูกค้าก็จึงผ่อนส่งแก่ธนาคารครับ ส่วนเรื่องการจำนองทำได้แต่ต้องไม่คิดดอกเบี้ยครับ จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 22 ก.พ. 49 22:26:51 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สรุปว่าการเงินอิสลามไม่เอาเปรียบใครจริง ๆ เลยครับ ท่าน beckmee รู้เรื่องนี้ดีจริง ๆ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 23 ก.พ. 49 02:12:17 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สวัสดีครับคุณดาบ  คุณฟัยรูซ และคุณเพื่อนร่วมทาง เข้ามาร่วมกันออกความคิดเห็นหน่อยครับหลายคนหลายความคิดดีครับ ต่อเลยนะครับ >>>ส่วนเรื่องธนาคารอิสลาม ที่จะกู้เงินไปซื้อที่ดินครับ เป็นการโอนเสียเงินครั้งเดียวครับ คือตอนที่โอนที่ดินจากผู้ขายให้แก่ลูกค้าธนาคาร โดยกระบวนการ คือ ลูกค้ามอบหมายด้วยวาจาให้ธนาคารเป็นผู้ซื้อแทน แล้วลูกค้าก็จึงผ่อนส่งแก่ธนาคารครับ ส่วนเรื่องการจำนองทำได้แต่ต้องไม่คิดดอกเบี้ยครับ มอบหมายด้วยวาจาเท่านั้นเองหรือครับ ขนานมีสัญญา คดีความยังอยู่มากมายเต็มศาลเลยนะครับ ตามที่ผมเคยให้ความเห็นไปแล้ว ในเรื่องของการที่ลูกค้าไม่รับมอบทรัพย์สิน ในกรณีที่มอบหมายด้วยวาจาแล้วลุกค้าไม่รับมอบทรัพย์สินธนาคารจะทำอย่างไรละครับ ที่บอกว่าการจำนองต้องไม่มีดอกเบี้ยมาเกี่ยวข้อง ในสัญญาจำนองจะลงมูลค่าใดระหว่าง ราคาต้นทุนที่ธนาคารซื้อมา กับราคาขายที่ธนาคารขายให้กับลูกค้าละครับ ค่าธรรมเนียมต่างกับเยอะนะครับ และอีกอย่างนะครับถ้าในสัญญาจำนองลงราคาที่ธนาคารขายให้กับลูกค้าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ลูกค้าเป็นหนี้จาการกู้เงินแค่เงินต้น ถ้าในกรณีที่ ลูกค้าชำระเส็จก่อนครบกำหนดอายุสัญญา จะทำอย่างไร เช่น ลูกค้ากู้เงินซื้อบ้านราคาเงินต้น 1,000,000.00 บาท ธนาคารขายบวกด้วยกำไรอีก 500,000.00 บาท ระยะเวลาการผ่อนชำระ 20 ปี ถ้าลูกค้าชำระเสร็จในเวลา 10 ปี กำไรที่ธนาคารคิดเอาไว้ 500,000.00 บาท จะทำอย่างไรดีครับครับคุณดาบจันทร์เสี้ยว >>>เพราะฉะนั้น Forward Contract เงินตราทำได้เพราะรู้ค่าเงินและต้องแลกเงินสดทันทีเช่นกัน หรือ การ Swap ถ้าไม่มีดอกเบี้ยทำได้ครับ  หรือการทำ Option ก็ทำได้เช่นกันตามหลักดังหว่า   แม้แต่ Forward หรือ future ทำกับสินค้าที่รู้รูปลักษณ์ ปริมาณ รูปประพันได้   รู้สึกว่าการคำนวน Forward Contract จะใช้พื้นฐานจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันของแต่ละสกุลเงินนะครับไม่ทราบว่าธนาคารอิสลามใช้วิธีนี้คำนวณด้วยหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่จะใช้วิธีใดช่วยแจ้งแถลงไขด้วยครับ งงจริง ๆ ขอบคุณครับที่ช่วยให้ความรู้เพิ่มเติม จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 23 ก.พ. 49 09:15:42 ]

ความคิดเห็นที่ 22 มอบหมายด้วยวาจาเท่านั้นเองหรือครับ ขนานมีสัญญา คดีความยังอยู่มากมายเต็มศาลเลยนะครับ ตามที่ผมเคยให้ความเห็นไปแล้ว ในเรื่องของการที่ลูกค้าไม่รับมอบทรัพย์สิน ในกรณีที่มอบหมายด้วยวาจาแล้วลุกค้าไม่รับมอบทรัพย์สินธนาคารจะทำอย่างไรละครับ >>>>>>>>>>>>>>คือตรงมอบหมายด้วยวาจานะครับ คือลูกค้ามอบหมายแก่ธนาคารเป็นผู้ซื้อแทน แต่การผ่อนส่งมีสัญญาครับ ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ตามปกติ ที่บอกว่าการจำนองต้องไม่มีดอกเบี้ยมาเกี่ยวข้อง ในสัญญาจำนองจะลงมูลค่าใดระหว่าง ราคาต้นทุนที่ธนาคารซื้อมา กับราคาขายที่ธนาคารขายให้กับลูกค้าละครับ ค่าธรรมเนียมต่างกับเยอะนะครับ>>คือที่ดินเนี่ย ตอนแรกที่ผมโทรไปถามเค้าแค่เปรียบเทียบว่าคล้ายการจำนอง ทำให้ผมงง จริงๆมันเป็นการผ่อนส่งนั้นแหละครับตามที่อธิบายไป ส่วนที่ผมบอกจำนองทำได้นั้น หมายถึงทั่วๆไปนะครับ ว่าการจำนองทำได้แต่ห้ามคิดดอกเบี้ย นิติศาสตร์อิสลามเกี่ยวกับการตกลงซื้อ-ขายในรูปแบบต่างๆ มติและคำแนะนำของสภาวิชาการนิติศาสตร์อิสลาม เลขที่ 65(2/7) เกี่ยวกับเรื่องการขายแบบผ่อนชำระ  ในการประชุมครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-12 ซุลเกาะอฺด๊ะฮฺ ฮ.ศ.1412 ตรงกับวันที่ 9-14 พฤษภาคม ค.ศ.1992 ในนครญิดด๊ะฮฺ (อาณาจักรซาอุดิอารเบีย) สภาวิชาการนิติศาสตร์อิสลาม(The Council of Islamic Fiqh Academy)ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยองค์การที่ประชุมอิสลาม (OIC) ได้พิจารณาเอกสารการศึกษาค้นคว้าที่สภาได้รับมาเกี่ยวกับเรื่อง “การขายแบบผ่อนชำระ” และเป็นเรื่องสืบนื่องมาจากมติหมายเลข 51(2/6) ในการประชุมของสภาครั้งที่ 6  หลังจากได้พิจารณาข้อถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว สภาได้ลงมติว่า :-  1) การขายผ่อนชำระเป็นงวดๆเป็นที่อนุญาตในหลักกฎหมายอิสลามถึงแม้ว่าราคาขายผ่อนจะเกินกว่าราคาขายสด (ที่จ่ายกันทันทีเมื่อซื้อขาย)  2) เอกสารทางการค้า เช่น เช็ค หนังสือมอบอำนาจ ใบเบิกถอน ตั๋วสัญญาใช้เงินและใบแลกเปลี่ยนสินค้า เป็นรูปแบบบางอย่างของเอกสารรับรองหนี้ที่เชื่อถือได้  3) การลดมูลค่าเอกสารการค้าไม่เป็นที่อนุญาตตามหลักกฎหมายอิสลามเพราะมันเหมือนกับการค้าที่เกี่ยวข้องกับริบาอันนาซิอ๊ะฮฺ (ดอกเบี้ยอันเนื่องมาจากการเลื่อนเวลาจ่ายเงิน) ซึ่งเป็นที่ต้องห้าม(ฮะรอม)อย่างชัดเจน  4) การลดหนี้ผ่อนชำระเพื่อกระตุ้นให้จ่ายหนี้เร็วขึ้นไม่ว่าจะโดยการขอร้องของเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ (จ่ายน้อยแต่จ่ายก่อนกำหนดเวลา) ถือเป็นที่อนุญาตในหลักกฎหมายอิสลาม วิธีการนี้ไม่ตกอยู่ในข่ายริบาที่ต้องห้าม ถ้าหากไม่ได้มีการตกลงล่วงหน้ากันไว้ก่อนและตราบใดที่ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้อยู่ ถ้าหากมีฝ่ายที่สามระหว่างทั้งสองฝ่าย การลดหนี้ไม่เป็นที่อนุญาตเพราะกฎ(ฮุกุม)ในเรื่องนี้จะเหมือนกับกฎของการซื้อลดเอกสารทางการค้า  5) เป็นที่อนุญาตให้สองฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินตกลงกันว่าค่างวดทั้งหมดจะต้องได้รับการชำระถ้าหากลูกหนี้ปฏิเสธที่จะชำระหนี้งวดหนึ่งงวดใดตราบใดที่ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย  6) ถ้าหากถึงเวลาชำระหนี้ หากมีการตาย การล้มละลายหรือการล่าช้าของลูกหนี้ ในกรณีที่กล่าวมานี้ทั้งหมด จำนวนหนี้อาจลดได้ทั้งนี้เพื่อที่จะให้มีการชำระหนี้เร็วขึ้นโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องได้รับการยินยอมร่วมกันของทั้งสองฝ่าย  7) เกณฑ์ตัดสินการล้มละลายที่จะนำมาใช้ก็คือลูกหนี้มีทรัพย์สินไม่เกินความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่เขาจะชำระหนี้เป็นเงินสดหรือเป็นสิ่งของ มติและคำแนะนำสภาวิชาการนิติศาสตร์อิสลาม เลขที่ 65(3/7) เกี่ยวกับเรื่องสัญญาจ้างทำ  ในการประชุมครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-12 ซุลเกาะอฺด๊ะฮฺ ฮ.ศ.1412 ตรงกับวันที่ 9-14 พฤษภาคม ค.ศ.1992 ในนครญิดด๊ะฮฺ (อาณาจักรซาอุดิอารเบีย) สภาวิชาการนิติศาสตร์อิสลาม(The Council of Islamic Fiqh Academy)ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยองค์การที่ประชุมอิสลาม (OIC) ได้พิจารณาเอกสารการศึกษาค้นคว้าที่สภาได้รับมาเกี่ยวกับเรื่อง “สัญญาจ้างทำ” (อะกั๊ดอิสติศนาอฺ)  หลังจากได้ฟังการถกเถียงกันในเรื่องนี้โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน กฎของนิติศาสตร์อิสลามเกี่ยวกับเรื่องสัญญาและการค้าขายและได้พิจารณาถึงความสำคัญของสัญญาอิสติศนาอฺในการกระตุ้นอุตสาหกรรมและในการเปิดโอกาสให้กว้างขึ้นทางด้านสินเชื่อและการส่งเสริมเศรษฐกิจอิสลามแล้ว สภาได้มีมติว่า :-  1) สัญญาอิสติศนาอฺซึ่งเป็นเรื่องของการให้สินเชื่อแก่งานและสินค้านั้นเป็นข้อผูกมัดทั้งสองฝ่ายถ้ามันเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขขั้นพื้นฐาน  2) สัญญาอิสติศนาอฺจะต้องกำหนดสิ่งต่อไปนี้ไว้    ก. ลักษณะ ประเภท จำนวนและข้อกำหนดที่จำเป็นของสิ่งที่จะทำหรือบริการที่ต้องการ    ข. ขอบเขตของเวลา  3) ในสัญญาอิสติศนาอฺ การจ่ายเงินเต็มจำนวนอาจทำทีหลังหรืออาจจ่ายเป็นงวดตามวันที่กำหนดไว้ก็ได้  4) สัญญาอิสติศนาอฺอาจรวมบทลงโทษไว้ก็ได้ถ้าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงกันตราบใดที่ไม่มีเรื่องของการบังคับกัน มติและคำแนะนำสภาวิชาการนิติศาสตร์อิสลาม เลขที่ 66(4/7) เกี่ยวกับเรื่อง “บัยอฺ อัลวะฟาอฺ” (การขายที่มีเงื่อนไขจำนอง)  ในการประชุมครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-12 ซุลเกาะอฺด๊ะฮฺ ฮ.ศ.1412 ตรงกับวันที่ 9-14 พฤษภาคม ค.ศ.1992 ในนครญิดด๊ะฮฺ (อาณาจักรซาอุดิอารเบีย) สภาวิชาการนิติศาสตร์อิสลาม(The Council of Islamic Fiqh Academy)ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยองค์การที่ประชุมอิสลาม (OIC) ได้พิจารณาเอกสารการศึกษาค้นคว้าที่สภาได้รับมาเกี่ยวกับเรื่อง “การขายที่มีเงื่อนไขจำนำ” (การขายที่ผู้ขายจ่ายคืนราคาให้แล้ว ผู้ซื้อก็คืนสินค้าที่ซื้อมาให้)  และหลังจากที่ได้ฟังการถกเถียงกันถึงเรื่องนี้แล้ว สภาได้มีมติว่า :-  1) การขายเช่นนี้ความจริงแล้วเป็น “เงินกู้อย่างหนึ่งซึ่งได้ก่อให้เกิดกำไรแล้ว” ดังนั้น มันจึงเป็นการหลอกลวงในเรื่อง “ริบา” และตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ถือว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง  2) ตามหลักกฎหมาย สัญญานี้ไม่เป็นที่อนุญาต หมายเหตุ : บัยอฺ อัลวะฟาอฺ (การขายโดยมีเงื่อนไขจำนำ) เป็นการขายโดยมีเงื่อนไขที่ว่าเมื่อผู้ขายคืนราคาให้ ผู้ซื้อก็จะคืนสิ่งที่ซื้อมาให้ ตามฮุกุม(กฎ) การค้าขายเป็นที่อนุญาตถ้ามองในแง่ที่ว่าผู้ซื้อได้รับกำไร อย่างไรก็ตาม การค้านี้ถูกมองว่าเหมือนกับ “การจำนำ” ที่ผู้ซื้อไม่มีสิทธิ์ที่จะขายสินค้าของตนให้คนอื่น ถ้าในกรณีที่ ลูกค้าชำระเส็จก่อนครบกำหนดอายุสัญญา จะทำอย่างไร เช่น ลูกค้ากู้เงินซื้อบ้านราคาเงินต้น 1,000,000.00 บาท ธนาคารขายบวกด้วยกำไรอีก 500,000.00 บาท ระยะเวลาการผ่อนชำระ 20 ปี ถ้าลูกค้าชำระเสร็จในเวลา 10 ปี กำไรที่ธนาคารคิดเอาไว้ 500,000.00 บาท จะทำอย่างไรดีครับครับคุณดาบจันทร์เสี้ยว>>แสดงว่ามูลค่าทั้งหมด เป็น 1500000 ลูกค้าชำระหมดแสดงว่าชำระ ทั้งจำนวน 1500000 ครับ คือถ้าเป็นว่าเค้าเร็วแล้วแล้วลดให้ ไม่ด้ถือว่าเป็นดอกเบี้ย  แต่การซื้อขายแบบลดแล้วชำระ สามารถทำได้ - การลดมูลค่าเอกสารการค้าไม่เป็นที่อนุญาตตามหลักกฎหมายอิสลามเพราะมันเหมือนกับการค้าที่เกี่ยวข้องกับริบาอันนาซิอ๊ะฮฺ (ดอกเบี้ยอันเนื่องมาจากการเลื่อนเวลาจ่ายเงิน) ซึ่งเป็นที่ต้องห้าม(ฮะรอม)อย่างชัดเจน - การลดหนี้ผ่อนชำระเพื่อกระตุ้นให้จ่ายหนี้เร็วขึ้นไม่ว่าจะโดยการขอร้องของเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ (จ่ายน้อยแต่จ่ายก่อนกำหนดเวลา) ถือเป็นที่อนุญาตในหลักกฎหมายอิสลาม วิธีการนี้ไม่ตกอยู่ในข่ายริบาที่ต้องห้าม ถ้าหากไม่ได้มีการตกลงล่วงหน้ากันไว้ก่อนและตราบใดที่ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้อยู่ ถ้าหากมีฝ่ายที่สามระหว่างทั้งสองฝ่าย การลดหนี้ไม่เป็นที่อนุญาตเพราะกฎ(ฮุกุม)ในเรื่องนี้จะเหมือนกับกฎของการซื้อลดเอกสารทางการค้า รู้สึกว่าการคำนวน Forward Contract จะใช้พื้นฐานจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันของแต่ละสกุลเงินนะครับไม่ทราบว่าธนาคารอิสลามใช้วิธีนี้คำนวณด้วยหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่จะใช้วิธีใดช่วยแจ้งแถลงไขด้วยครับ งงจริง ๆ >>คือ ธนาคารอิสลามจะทำธุรกรรมกับประเทศที่ใช้ กม อิสลามครับ forward contract จะไม่ใช้ดอกเบี้ยเหมือนกัน หรือทำ forward contract กับสัญญาที่ไม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเท่านั้น จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 23 ก.พ. 49 13:47:29 ]

ความคิดเห็นที่ 23 สรุปว่าการเงินอิสลามไม่เอาเปรียบใครจริง ๆ เลยครับ ท่าน beckmee รู้เรื่องนี้ดีจริง ๆ>>อัลฮัมดุลิลลาครับ จริงๆผมก็ไม่ได้รู้เยอะหรอกครับ ไม่รู้ก็ถามคนที่รู้เอานะครับ เรื่องฟิก ยากอะครับไม่แม่นจริงเดี๋ยวมั่ว จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 23 ก.พ. 49 13:49:58 ]

ความคิดเห็นที่ 24 - การลดมูลค่าเอกสารการค้าไม่เป็นที่อนุญาตตามหลักกฎหมายอิสลามเพราะมันเหมือนกับการค้าที่เกี่ยวข้องกับริบาอันนาซิอ๊ะฮฺ (ดอกเบี้ยอันเนื่องมาจากการเลื่อนเวลาจ่ายเงิน) ซึ่งเป็นที่ต้องห้าม(ฮะรอม)อย่างชัดเจน รู้สึกว่าธนาคารอิสลามในมาเลเซียจะใช้หลักการ Bai Al Dayn นะครับ เช่นการขายลดเช็ค คือลูกค้าได้รับชำระหนี้ทางการค้ามา แต่เช็ค หรือตั๋วเงินฉบับนั้น ยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระเงิน แต่นำมาขายลดกับธนาคารได้นะครับ ไมทราบว่าธนาคารในมาเลเยใช้เงื่อนไขเหมือนกับใน ซาอุหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ ใช้เงื่อนไขอะไรครับ ที่ผมอยากให้อธิบายถึงการมอบหมายด้วยวาจาในการซให้ธนาคารซื้อทรัพย์สินนั้น ๆ มา ผมหมายถึง ถ้าลูกค้าไม่ยอมรับมอบทรัพย์สินแล้วธนาคารจะทำอย่างไร !!! >>>>ลูกค้ากู้เงินซื้อบ้านราคาเงินต้น 1,000,000.00 บาท ธนาคารขายบวกด้วยกำไรอีก 500,000.00 บาท ระยะเวลาการผ่อนชำระ 20 ปี ถ้าลูกค้าชำระเสร็จในเวลา 10 ปี กำไรที่ธนาคารคิดเอาไว้ 500,000.00 บาท จะทำอย่างไรดีครับครับคุณดาบจันทร์เสี้ยว>>แสดงว่ามูลค่าทั้งหมด เป็น 1500000 ลูกค้าชำระหมดแสดงว่าชำระ ทั้งจำนวน 1500000 ครับ คือถ้าเป็นว่าเค้าเร็วแล้วแล้วลดให้ ไม่ด้ถือว่าเป็นดอกเบี้ย  แต่การซื้อขายแบบลดแล้วชำระ สามารถทำได้ ผมว่าอย่างนี้ไม่ค่อยเป็นธรรมการลูกค้าเท่าไหรนะครับ ในเมื่อธนาคารคิดกำไรไว้แล้ว โดยให้ผ่อนชำระในระยะเวลาที่กำหนด แต่ลูกค้าสามารถนำเงินมาชำระก่อนกำหนด สมควรให้ลูกค้าได้ลดยอดหนี้ลงคุณมีความคิดเห็นยังไงครับ ในเมื่อค่าของเงินลดลงตามระยะเวลา ลองคำนวณ NPV ดูซิครับ >>>ธนาคารอิสลามจะทำธุรกรรมกับประเทศที่ใช้ กม อิสลามครับ forward contract จะไม่ใช้ดอกเบี้ยเหมือนกัน หรือทำ forward contract กับสัญญาที่ไม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเท่านั้น อย่างนี้ลูกค้าธนาคารอิสลามก็ไม่สามารถทำการค้ากับประเทศที่ไม่ได้ใช้กฏหมายอิสลามซิครับ แล้วการค้าระหว่างซาอุกับอเมริกา เช่นการค้าน้ำมันทำอย่างไรครับ เพราะอเมริกาไม่ได้ใช้กฏหมายอิสลามแน่ๆ ลืมไปประเทศไทยด้วยนะครับ >>>2) ตามหลักกฎหมาย สัญญานี้ไม่เป็นที่อนุญาต หมายเหตุ : บัยอฺ อัลวะฟาอฺ (การขายโดยมีเงื่อนไขจำนำ) เป็นการขายโดยมีเงื่อนไขที่ว่าเมื่อผู้ขายคืนราคาให้ ผู้ซื้อก็จะคืนสิ่งที่ซื้อมาให้ ตามฮุกุม(กฎ) การค้าขายเป็นที่อนุญาตถ้ามองในแง่ที่ว่าผู้ซื้อได้รับกำไร อย่างไรก็ตาม การค้านี้ถูกมองว่าเหมือนกับ “การจำนำ” ที่ผู้ซื้อไม่มีสิทธิ์ที่จะขายสินค้าของตนให้คนอื่น ผมไม่ค่อยเข้าใจข้อความนี้นะครับ หมายถึงการรับจำนำสิ่งของใช่หรือเปล่าครับ ถ้าเป็นการรับจำนำสิ่งของ ธนาคารอิสลามในมาเลเซียใช้หลักการ Al Ranuh นะครับ โดยใช้หลักการนี้รับจำนำทองอ่ะครับ >>>1) การขายเช่นนี้ความจริงแล้วเป็น “เงินกู้อย่างหนึ่งซึ่งได้ก่อให้เกิดกำไรแล้ว” ดังนั้น มันจึงเป็นการหลอกลวงในเรื่อง “ริบา” และตามทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ถือว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง แล้วหลักการ Quaduh Hussan ละครับ ใช้หลักการกู้เงินโดยไม่คิดดอกเบี้ยใช่หรือเปล่าครับ แต่สามารถคิดค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมได้ ใช่ไหมครับ ถ้าค่าใช้จ่ายดังกล่าวกำหนดให้ลดลงตามยอดเงินต้นคงค้างได้ไหมครับ ผมต้องขอโทษ คุณkheedes กับคุณPakakayo ที่แอบมาใช้พื้นที่นี้หาความรู้อ่ะครับ จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 23 ก.พ. 49 18:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ที่ผมอยากให้อธิบายถึงการมอบหมายด้วยวาจาในการซให้ธนาคารซื้อทรัพย์สินนั้น ๆ มา ผมหมายถึง ถ้าลูกค้าไม่ยอมรับมอบทรัพย์สินแล้วธนาคารจะทำอย่างไร !!!>>ก็ดำเนินตามกฏหมายครับ คือในสัญญาก็ต้องมีบอกอยู่แล้วว่าสัญญา นี่ลูกค้าได้ทำการให้ธนาคารซื้อแทนแล้ว จะมีการผ่อนส่งแก่ธนาคารด้วย คือถ้าผมเข้าใจประเด็นผิดยังงัยช่วยอธิบายด้วยครับ ผมว่าอย่างนี้ไม่ค่อยเป็นธรรมการลูกค้าเท่าไหรนะครับ ในเมื่อธนาคารคิดกำไรไว้แล้ว โดยให้ผ่อนชำระในระยะเวลาที่กำหนด แต่ลูกค้าสามารถนำเงินมาชำระก่อนกำหนด สมควรให้ลูกค้าได้ลดยอดหนี้ลงคุณมีความคิดเห็นยังไงครับ ในเมื่อค่าของเงินลดลงตามระยะเวลา ลองคำนวณ NPV ดูซิครับ>>NPV ก็ใช้ อัตราดอกเบี้ยมาคิดลดด้วย คือเค้าจะหาทางออกโดย ลดหนี้แล้วให้รีบชำระแทนครับ ได้ แต่ชำระหมดแล้วลดไม่ได้ครับ เป็นดอกเบี้ย ตามหลักการเงิน เจ้าหนี้จะต้องรีบเก็บเงินลูกค้าให้เร็วที่สุด และลูกหนี้ก็จะจ่ายเจ้าหนี้ให้ช้าที่สุด  ลูกค้าเค้าก็คงเอาเงินไปหมุนทำอย่างอื่นแล้ว จ่ายตามเวลา มันก็สะดวกดีนะครับ >>>ธนาคารอิสลามจะทำธุรกรรมกับประเทศที่ใช้ กม อิสลามครับ forward contract จะไม่ใช้ดอกเบี้ยเหมือนกัน หรือทำ forward contract กับสัญญาที่ไม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเท่านั้น อย่างนี้ลูกค้าธนาคารอิสลามก็ไม่สามารถทำการค้ากับประเทศที่ไม่ได้ใช้กฏหมายอิสลามซิครับ แล้วการค้าระหว่างซาอุกับอเมริกา เช่นการค้าน้ำมันทำอย่างไรครับ เพราะอเมริกาไม่ได้ใช้กฏหมายอิสลามแน่ๆ ลืมไปประเทศไทยด้วยนะครับ>>ก็จะไม่ใช้กับ contract ที่ใช้อัตราดอกเบี้ยงัยครับ ก็อย่างเช่น ตกลงกันวันนี้ว่าจะซื้อนำมันราคา 500 USD กำหนด ครบกำหนดสัญญา 1 เดือน พอครบ1เดือนก็จ่ายเงิน 500 Usd เเล้วมารับนำมันไป ผมคงพลาดพิมว่าประเทศที่ใช้กมอิสลามคือ จะสื่อว่า ใช้กฏอิสลามตรงที่ไม่เอาดอกเบี้ยนะครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจข้อความนี้นะครับ หมายถึงการรับจำนำสิ่งของใช่หรือเปล่าครับ ถ้าเป็นการรับจำนำสิ่งของ ธนาคารอิสลามในมาเลเซียใช้หลักการ Al Ranuh นะครับ โดยใช้หลักการนี้รับจำนำทองอ่ะครับ>>ไม่ใช่ครับ การจำนอง จำนำ ทำได้ แต่การขายแบบมีเงื่อนไขจำนอง จำนำ ทำไม่ได้ การลดมูลค่าเอกสารการค้าไม่เป็นที่อนุญาตตามหลักกฎหมายอิสลามเพราะมันเหมือนกับการค้าที่เกี่ยวข้องกับริบาอันนาซิอ๊ะฮฺ (ดอกเบี้ยอันเนื่องมาจากการเลื่อนเวลาจ่ายเงิน) ซึ่งเป็นที่ต้องห้าม(ฮะรอม)อย่างชัดเจน รู้สึกว่าธนาคารอิสลามในมาเลเซียจะใช้หลักการ Bai Al Dayn นะครับ เช่นการขายลดเช็ค คือลูกค้าได้รับชำระหนี้ทางการค้ามา แต่เช็ค หรือตั๋วเงินฉบับนั้น ยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระเงิน แต่นำมาขายลดกับธนาคารได้นะครับ ไมทราบว่าธนาคารในมาเลเยใช้เงื่อนไขเหมือนกับใน ซาอุหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ ใช้เงื่อนไขอะไรครับ>>>อันนี้เราพูดกันถึงประเด็นขายผ่อนชำระกันอยู่นะครับ(การลดมูลค้าเอกสารทำไม่ได้ ) ตามกระทู้อ้างอิงมาเรื่อยๆ ส่วน Bai Al-Dayn (debt-trading) สามารถทำได้ครับ ส่วนใน มาเลกับซาอุ ต่างกันยัง ผมก็ไม่ทราบนะครับ เพราะว่าคนละ มัซฮับกัน อาจจะมีข้อแตกต่างหรอกไม่มีก็ได้อันนี้ผมไม่ทราบครับ แต่ถ้าไปเจอผู้รู้ ผมจะถามมาให้อีกที   ส่วน Qardhul Hasan (benevolent loan) เป็นการกู้เงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย โดยผู้กู้จะจ่ายคืนเท่ากับ จำนวนที่กู้ไป ผู้กู้จะจ่ายค่าธรรมเนียมตามความสมัครใจ คือ ถ้าทำสัญญานี้แสดงว่าพอใจในค่าธรรมเนียมนี้ได้ ค่าธรรมเนียมคิดตามยอดเงินครับ จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 24 ก.พ. 49 10:48:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 >>>ก็ดำเนินตามกฏหมายครับ คือในสัญญาก็ต้องมีบอกอยู่แล้วว่าสัญญา นี่ลูกค้าได้ทำการให้ธนาคารซื้อแทนแล้ว จะมีการผ่อนส่งแก่ธนาคารด้วย คือถ้าผมเข้าใจประเด็นผิดยังงัยช่วยอธิบายด้วยครับ ประเด็นนี้จบครับ ไม่ได้บอกกล่าวด้วยวาจา แต่ระบุไว้ในสัญญา ขอบคุณครับ >>>ตามหลักการเงิน เจ้าหนี้จะต้องรีบเก็บเงินลูกค้าให้เร็วที่สุด และลูกหนี้ก็จะจ่ายเจ้าหนี้ให้ช้าที่สุด  ลูกค้าเค้าก็คงเอาเงินไปหมุนทำอย่างอื่นแล้ว จ่ายตามเวลา มันก็สะดวกดีนะครับ ในกรณีนี้ ลูกค้าไม่ต้องการเสียกำไรให้กับธนาคารแล้วอ่ะ ตัวอย่างนะครับ ผมถูกหวยรางวัลที่ 1 ผมได้เงินมา 6 ล้าน ผมมีหนี้ธนาคารอิสลาม 2 ล้าน ผมต้องการชำระให้เสร็จสิ้น ธนาคารจะไม่มีส่วนลดให้ผมเลยหรือครับ ผมว่าคุณคงจะเข้าใจไม่เหมือนผมนะครับ ธนาคารอิสลามจะต้องคิดกำไรไว้ล่วงหน้าแล้วนะครับ ตัวอย่างอืกครั้ง ผมซื้อบ้านจากธนาคารในราคา 1 ล้านบาท ธนาคารคิดกำไร 5 แสนบาทโดยให้ผมผ่อนชำระเป็นเวลา 20 ปี กำไรถูกคำนวนไว้ล่วงหน้าแล้วนะครับ ถ้าเป็นธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ดอกเบี้ยจะขึ้นลงตามราคาตลาดธนาคารจึงไม่สามารถบอกได้ว่าธนาคารจะได้รับเป็นเม็ดเงินทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ในระบบของธนาคารอิสลาม ธนาคารจะใช้ระบบอัตรากำไรคงที่ตลอดอายุสัญญานะครับ ธนาคารและลูกค้าจึงรู้ได้ว่าธนาคารจะได้กำไรทั้งหมดเป็นเวงินเท่าไหร่ จากเหตุเดียวกันลูกค้าก็สามารถรู้ได้ว่าจะต้องจ่ายกำไรให้กับธนาคารเป็นเม็ดเงินเท่าไหร่ ผมจะสื่อให้เห็นว่าถ้าธนาคารไม่ลดกำไรให้ลูกค้าก็เท่ากับว่า ธนาคารได้รับกำไรที่ไม่ควรได้นะครับเพราะผมชำระเสร็จสิ้นก่อนครบกำหนด >>>ก็จะไม่ใช้กับ contract ที่ใช้อัตราดอกเบี้ยงัยครับ ก็อย่างเช่น ตกลงกันวันนี้ว่าจะซื้อนำมันราคา 500 USD กำหนด ครบกำหนดสัญญา 1 เดือน พอครบ1เดือนก็จ่ายเงิน 500 Usd เเล้วมารับนำมันไป ผมคงพลาดพิมว่าประเทศที่ใช้กมอิสลามคือ จะสื่อว่า ใช้กฏอิสลามตรงที่ไม่เอาดอกเบี้ยนะครับ แล้ววิธีคำนวณ Forward Contract ใช้วิธีเดียวกับระบบดอกเบี้ยใช่หรือไม่ครับ >>>(การลดมูลค้าเอกสารทำไม่ได้ ) ตามกระทู้อ้างอิงมาเรื่อยๆ ส่วน Bai Al-Dayn (debt-trading) สามารถทำได้ครับ ตกลงแล้วทำได้หรือไม่ได้กันแน่ครับ ที่ผมรู้มา Bal Al Dayn เป็นการขายลดเอกสารทางการค้านะครับ ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด ต้องขอโทษด้วยนะครับไปต่างจังหวัดมาเลยไม่ได้เข้ามาดูคำตอบจากผู้รู้ จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 26 ก.พ. 49 20:42:23 ]

ความคิดเห็นที่ 27 >>>ตามหลักการเงิน เจ้าหนี้จะต้องรีบเก็บเงินลูกค้าให้เร็วที่สุด และลูกหนี้ก็จะจ่ายเจ้าหนี้ให้ช้าที่สุด  ลูกค้าเค้าก็คงเอาเงินไปหมุนทำอย่างอื่นแล้ว จ่ายตามเวลา มันก็สะดวกดีนะครับ ในกรณีนี้ ลูกค้าไม่ต้องการเสียกำไรให้กับธนาคารแล้วอ่ะ ตัวอย่างนะครับ ผมถูกหวยรางวัลที่ 1 ผมได้เงินมา 6 ล้าน ผมมีหนี้ธนาคารอิสลาม 2 ล้าน ผมต้องการชำระให้เสร็จสิ้น ธนาคารจะไม่มีส่วนลดให้ผมเลยหรือครับ ผมว่าคุณคงจะเข้าใจไม่เหมือนผมนะครับ ธนาคารอิสลามจะต้องคิดกำไรไว้ล่วงหน้าแล้วนะครับ ตัวอย่างอืกครั้ง ผมซื้อบ้านจากธนาคารในราคา 1 ล้านบาท ธนาคารคิดกำไร 5 แสนบาทโดยให้ผมผ่อนชำระเป็นเวลา 20 ปี กำไรถูกคำนวนไว้ล่วงหน้าแล้วนะครับ ถ้าเป็นธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ดอกเบี้ยจะขึ้นลงตามราคาตลาดธนาคารจึงไม่สามารถบอกได้ว่าธนาคารจะได้รับเป็นเม็ดเงินทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ในระบบของธนาคารอิสลาม ธนาคารจะใช้ระบบอัตรากำไรคงที่ตลอดอายุสัญญานะครับ ธนาคารและลูกค้าจึงรู้ได้ว่าธนาคารจะได้กำไรทั้งหมดเป็นเวงินเท่าไหร่ จากเหตุเดียวกันลูกค้าก็สามารถรู้ได้ว่าจะต้องจ่ายกำไรให้กับธนาคารเป็นเม็ดเงินเท่าไหร่ ผมจะสื่อให้เห็นว่าถ้าธนาคารไม่ลดกำไรให้ลูกค้าก็เท่ากับว่า ธนาคารได้รับกำไรที่ไม่ควรได้นะครับเพราะผมชำระเสร็จสิ้นก่อนครบกำหนด >>>>ครับ อย่างที่บอกครับว่าการลดค่าทางเอกสาร ในเรื่องของการผ่อนชำระ ไม่เป็นที่อนุญาติเพราะจะเป็นเรื่องดอกเบี้ย หรือริบานั้นเอง  แต่ยังมีทางออกเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ลูกหนี้คือ เจ้าหนี้หรือธนาคารจะสามารถลดหนี้เพื่อให้ลูกค้าจ่ายเร็วขึ้นได้ ดังนั้นหากลูกค้าไปถูกหวยว่า ก็ให้ขอความจำนงไปที่ธนาคารว่าหากธนาคารลดหนี้ให้ ลูกค้าจะจ่ายเร็วขึ้น แบบนี้ได้ครับ อิสลามมองที่เรื่องเนียตหรือเจตตาเป็นสำคัญ หากเจ้าหนี้หรือธนาคาร ต้องการเร่งหนี้โดยจะลดหนี้ให้คือต้องการไปเข้าหลักการดอกเบี้ย เลยห้ามครับ แต่ถ้าเป็นประโยชน์ของลูกหนี้ เช่น ลูกหนี้จะจ่ายก่อนให้และต้องการให้ลดหนี้ให้ ได้ครับ แล้ววิธีคำนวณ Forward Contract ใช้วิธีเดียวกับระบบดอกเบี้ยใช่หรือไม่ครับ>>ไม่จำเป็นครับ ขึ้นอยู่กับการตกลงกันของสัญญา >>>(การลดมูลค้าเอกสารทำไม่ได้ ) ตามกระทู้อ้างอิงมาเรื่อยๆ ส่วน Bai Al-Dayn (debt-trading) สามารถทำได้ครับ ตกลงแล้วทำได้หรือไม่ได้กันแน่ครับ ที่ผมรู้มา Bal Al Dayn เป็นการขายลดเอกสารทางการค้านะครับ ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด>>ถูกครับ แต่การขายลดเอกสาร เรื่องการผ่อนส่งผิดครับดังที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่ถ้าเป็นขาย cheuqe ได้ครับ เพราะมันได้รับมาเต็มจำนวน ไม่อิงกับเงื่อนเวลาไม่เข้าเงื่อนไขดอกเบี้ยครับ จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 27 ก.พ. 49 10:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ....คุณ beckmee มีความรู้ด้านนี้จังเลยครับ ขอบคุณครับมีนำรายละเอียดต่างๆ มาให้เป็นความรู้ครับ จากคุณ : เพื่อนร่วมทาง - [ 27 ก.พ. 49 11:05:48 ]

ความคิดเห็นที่ 29 การทำForward Contract ของธนาคารอิสลามทำแบบนี้หรือเปล่าครับ ยกตัวอย่างวันที่ 27 กันยายน อัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าดังนี้ อัตราทันที(ส่งมอบ 29 ก.ย.) USD. = BHT> 35.90 อัตราดอกเบี้ยเงินดอลล่าร์สรอ. ระยะเวลา 91 วัน ร้อยละ 6.347ต่อปี (1ปี=360วัน) อัตราดอกเบี้ยบาท ระยะเวลา 91 วัน ร้อยละ 15.75 ต่อปี(1ปี=365วัน) ระยะเวลา 91 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน ถึงวันที่ 29 ธันวาคม ณ อัตราคงที่ ดอลล่าร์ละ 35.90 บาท ถ้านำเงินจำนวน 1 ล้าน ดอลล่าร์สรอ. ไปลงทุนเป็นเวลา 91 วัน ณ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.347 ต่อปี จะสามารถคำนวณเป็นมูลค่าเมื่อครอกำหนดได้ดังนี้ มูลค่าเมื่อครบกำหนด = เงินต้น + ดอกเบี้ย = 1,000,000+1,000,000*6.347*91                                                  100  360 = 1,000,000+16,043.8 = 1,016,043.8 ดอลล่าร์สรอ. ในทำนองเดียวกัน ถ้านำเงินจำนวน 35.9 ล้านบาท ไปลงทุนเป็นเวลา 91 วัน ณ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15.75 ต่อปี มูลค่าเมื่อครบกำหนดจะเท่ากับ มูลค่าเมื่อครบกำหนด = เงินต้น + ดอกเบี้ย = 35,900,000+35,900,000*15.75*91                                                      100   365 = 35,900,000+1,409,689.7 = 37,309,689.7 บาท .>>> เรื่องของการขายหนี้ ถ้าผมเป็นลุกค้าของธนาคารอิสลาม ธนาคารอิสลามจะสามารถขายหนี้ซึ่งในที่นี้คือผมให้กับอีกสถาบันการเงินได้หรือไม่ (Securitization) ขอบคุณครับที่ให้ความกระจ่าง จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 27 ก.พ. 49 13:36:44 ]

ความคิดเห็นที่ 30 .>>> เรื่องของการขายหนี้ ถ้าผมเป็นลุกค้าของธนาคารอิสลาม ธนาคารอิสลามจะสามารถขายหนี้ซึ่งในที่นี้คือผมให้กับอีกสถาบันการเงินได้หรือไม่ (Securitization)>>ได้ ภายใต้เงื่อนไขเดิมครับ การทำForward Contract ของธนาคารอิสลามทำแบบนี้หรือเปล่าครับ ยกตัวอย่างวันที่ 27 กันยายน อัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าดังนี้ อัตราทันที(ส่งมอบ 29 ก.ย.) USD. = BHT> 35.90 อัตราดอกเบี้ยเงินดอลล่าร์สรอ. ระยะเวลา 91 วัน ร้อยละ 6.347ต่อปี (1ปี=360วัน) อัตราดอกเบี้ยบาท ระยะเวลา 91 วัน ร้อยละ 15.75 ต่อปี(1ปี=365วัน) ระยะเวลา 91 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน ถึงวันที่ 29 ธันวาคม ณ อัตราคงที่ ดอลล่าร์ละ 35.90 บาท ถ้านำเงินจำนวน 1 ล้าน ดอลล่าร์สรอ. ไปลงทุนเป็นเวลา 91 วัน ณ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.347 ต่อปี จะสามารถคำนวณเป็นมูลค่าเมื่อครอกำหนดได้ดังนี้ มูลค่าเมื่อครบกำหนด = เงินต้น + ดอกเบี้ย = 1,000,000+1,000,000*6.347*91                                                 100  360 = 1,000,000+16,043.8 = 1,016,043.8 ดอลล่าร์สรอ. ในทำนองเดียวกัน ถ้านำเงินจำนวน 35.9 ล้านบาท ไปลงทุนเป็นเวลา 91 วัน ณ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15.75 ต่อปี มูลค่าเมื่อครบกำหนดจะเท่ากับ มูลค่าเมื่อครบกำหนด = เงินต้น + ดอกเบี้ย = 35,900,000+35,900,000*15.75*91                                                     100   365 = 35,900,000+1,409,689.7 = 37,309,689.7 บาท>>>>>>>>>เปล่าครับ ถ้าสัญญา นำดอกเบี้ยมาใช้ทำธุรกรรมด้วยไม่ได้ครับ ส่วนใหญ่ forward contract ค่าเงิน สินค้า เช่น นำมัน ยางพารา ทองคำ เป็นต้น จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 28 ก.พ. 49 10:33:23 ]

ความคิดเห็นที่ 31 การทำ Forward สินค้าเช่น น้ำมัน ยางพารา ทองคำ ทำอย่างไรครับ ใช่การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าหรือเปล่า ถ้าใช่ แล้วที่บอกว่า ห้ามซื้อปลาในทะเล ห้ามซื้อนมที่ยังไม่ได้รีดจากแม่แพะ จะทำได้หรือครับ จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 28 ก.พ. 49 12:26:37 ]

ความคิดเห็นที่ 32 การทำ Forward สินค้าเช่น น้ำมัน ยางพารา ทองคำ ทำอย่างไรครับ ใช่การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าหรือเปล่า ถ้าใช่ แล้วที่บอกว่า ห้ามซื้อปลาในทะเล ห้ามซื้อนมที่ยังไม่ได้รีดจากแม่แพะ จะทำได้หรือครับ >>> forward contract เป็นการทำโดยสองฝ่ายไม่ต้องมีตัวกลางหรือ broker ครับ future contract ต้องมีคนกลาง หรือ broker ส่วนเรื่องที่ห้ามซื้อปลาในทะเลหรือห้ามซื้อนมที่ยังไม่รีดจากแพะ นั้นหมายถึงการห้ามซื้อสินค้าที่ มีความเสี่ยงเรื่องคุณภาพของสินค้า และความแน่นอน เรื่องของสินค้าและการส่งมอบ ดังนั้น การซื้อขาย ผมจะยกตัวอย่างเช่นยางพารา ก็คือ มันจะกำหนดเลยว่า เป็นยาพาราชั้นสามรมควัน คือมีการกำหนดลักษณะ ชนิด และคุณภาพของสินค้าไว้แล้วจึงทำได้ครับ คือการจำกัดเรื่องความเสี่ยงต่างๆออกไปแล้วครับ จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 28 ก.พ. 49 14:13:23 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อ๋อข้อแตกต่างอีกอันนึงเพิ่งนึกออกครับ เกี่ยวกับ future กะ forward  เรื่องมาตราฐานของสัญญา เช่น 1contract forward จะกำหนดจำนวนสินค้าเเละจำนวนเงินเท่าไรก็ได้ เเต่ 1 contract future จะกำหนดไว้ตายตัว เช่น น้ำมัน 1 ตัน ราคา 590 USD ต่อ 1 contract future ถ้าอยากซื้อ 2 ตัน ก็ต้องซื้อ 2 contract ซึ่งต่างจาก forward ที่สามารถกำหนดว่าซื้อ 2 ตัน ใน 1 contract ได้เลย จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 28 ก.พ. 49 14:16:33 ]

ความคิดเห็นที่ 34 >>>ถ้าสัญญา นำดอกเบี้ยมาใช้ทำธุรกรรมด้วยไม่ได้ครับ ส่วนใหญ่ forward contract ค่าเงิน สินค้า เช่น นำมัน ยางพารา ทองคำ เป็นต้น แล้ววิธีคำนวณ Forward Contract ค่าเงินทำอย่างไรครับ ขอบตุณครับ จากคุณ : น้องหนูนะ - [ 1 มี.ค. 49 07:42:57 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ต้องขออภัยด้วยที่มาตอบช้านะครับ เท่าที่ไปถามมาหลายๆคน เค้าบอกว่า Forward contract ค่าเงิน จะมีดอกเบี้ย เลยไม่ทำกัน แต่ผมคิดว่า ถ้าไม่ใช้ดอกเบี้ย แต่ใช้ เป็นอย่างอื่นแทน น่าจะพอมีทาง เสาร์อาทิตย์นี้ ถ้าผมไปเจอผู้รู้จะถามให้ครับ ผม วัสลาม จากคุณ : beckmee (beckmee) - [ 2 มี.ค. 49 15:06:48 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณbeckmee ข้อมูลแน่นดีค่ะ จากคุณ : nureeyah - [ 18 มี.ค. 49 23:07:18 ]