ความคิดเห็นที่ 52
ผมเหรอครับ รู้น้อยน่ะครับ ถ้าจะถามต้องลองไปดูตามเวบน่ะครับ
แต่เอาเป็นว่า ถ้าคุณต้องการรู้เรื่องสังคายนา ก็ลองตั้งกระทู้สิครับ หรือไม่ผมจะไปถามที่เวบของพุทธที่อื่นให้ดีไหมครับ
(บอกแล้วผมไม่ได้จบทางนี้มาโดยตรง แค่อ่านหนังสือบ้าง ปฏิบัติบ้าง)
สำหรับในเรื่องข้อขัดแย้งนั้น สำหรับผมแล้วก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับความเชื่อของศาสนาอื่น
อย่าเพิ่งโกรธนะครับ นี่คือทัศนะของชาวพุทธที่มีมุมมองกับศาสนาอื่นคนหนึ่ง นั่นคือผมมองว่าศาสนาอื่นนั้นก็มีดีของตัวเอง เขาไม่สนเรื่องการหลุดพ้น ไม่สนเรื่องการบำเพ็ญเพียรทางจิตเพื่อการหลุดพ้น
เขาสนใจที่จะเข้าหาพระเป็นเจ้า (หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ในแต่ละศาสนา แม้แต่โมกษะของพรหมก็เข้าข่ายนี้ นั่นคือ การเข้าหาสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เชื่อว่านั่นคือ "ที่สุด" แล้วสำหรับเขานั้น ๆ
ความต้องการคนละอย่างกัน จะนำมาเทียบกันก็เทียบกันได้ในระดับศีลธรรมเท่านั้นแหละครับ พอถึงจุดสูงสุดแล้วก็ต้องแยกกันไป
ผมมองแบบนี้ครับ จึงไม่ขัดแย้งอะไรกันครับ ถ้ามองด้วยสายตาของพุทธแล้ว ทุกสิ่งนั้นคือสมมุติ ศาสนาก็คือความเชื่ออย่างหนึ่ง
ไม่ทราบเคยได้อ่าน คห.ที่ผมได้แสดงไปบ่อย ๆ ในเรื่อง "ข้อมูล" "ความเชื่อ" หรือไม่ครับ
เรามองกันที่จิต การทำงานของจิต องค์ประกอบของจิต
ความเชื่อก็คือ ข้อมูลอย่างหนึ่งที่จิตเลือกจะยึดเอาไว้เป็นสรณะนั่นเอง จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ แต่ในที่นี้หมายเอาถึงความเชื่อที่ฝังรากเป็นความเชื่อมั่นในศาสนา
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ทุกประการก็คือความเชื่อ เป็นเรื่องของจิตที่เคลื่อนไหวไปมา แก่นก็คือจิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ศาสนา , การเมือง , ตลก , ลามก , บันเทิง , ผีสาง ฯลฯ
"เรื่องราว" เหล่านี้ที่ฝังอยู่ในใจของคนเรามันมีข้อแตกต่างกันใน "เนื้อหา"
แต่เมื่อจิตเข้าไปรับรู้เรื่องเหล่านี้ จิตก็รับรู้ในแง่ของ "ข้อมูล" ในชั้นแรกยังไงก็เป็นแค่ข้อมูล ส่วนสาระนั้นเรามาตีความ ประมวลผลและ "ให้ค่า" แก่ข้อมูลนั้นในภายหลัง
ภาษาพระเรียกว่า "ปรุงแต่ง" (สังขารขันธ์) เอาเอง
เพราะฉะนั้นผมไม่ค่อยจะซีเรียสนักถ้าจะบอกว่า พระเยซูมีลูกเมียหรือไม่ นบีมุหะหมัดเคยฆ่าคนหรือไม่
เพราะเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ผ่านเข้ามาสู่ใจของผมโดยผ่านสายตา (จักขุวิญญาณ) แล่นเข้าสู่สมอง ส่งข้อมูลผ่านเข้าสู่จิตใจ
จิตใจรับข้อมูลนั้นมาก็ประมวลผลนั้น ถ้าข้อมูลนั้น "เข้ากันได้" กับข้อมูลเก่า (สัญญาขันธ์) ก็จะเกิดอารมณ์สุข ทุกข์ พอใจไม่พอใจ หรือเฉย ๆ (เวทนาขันธ์)
หลังจากนั้น ผลของการประมวลนั้นเมื่อผ่านมาแล้ว เราคัดเลือกข้อมูลนั้นแล้ว ก็จะนำมาปรุงแต่ง ถ้าชอบก็มาบอกกับตนเองว่า
เอ้อ หนอ ข้อมูลนี้เข้ากับของเก่าเรา เราชอบ เรารัก มันถูกต้องแน่แท้ แน่นอน ยิ่งยืนยันข้อมูลเก่าของเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
แต่ถ้าไม่ชอบเราก็ระบายสีสันให้ดูน่าเกลียด ให้เกิดเวทนาซ้ำซ้อน (สังขารขันธ์) และซับซ้อนลงไปอีกมากมาย
นานวันเข้า ข้อมูลเหล่านี้ก็ทับถมกัน อันมีสิ่งที่เรียกว่า กิเลสตัณหามาเป็นเชื้อเพลิงผลักดันให้กระบวนการเหล่านี้วิ่งหมุนไปมา เกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา
นี่คือกระบวนอย่างหนึ่งของจิตที่ผมพูดเฉพาะเรื่องข้อมูลเรื่องราวต่าง ๆ
ขัดแย้งหรือไม่ขัดแย้ง มันก็คือสมมุติ มันก็คือกระบวนการทำงานประมวลผลของข้อมูล
(แต่บอกก่อนนะครับว่าไม่ได้ดูหมิ่นข้อมูลนะครับ ข้อมูลจะเกิดประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อเรา "ใช้ข้อมูล" ไม่ใช่เราไป "รับใช้" มัน ให้มันมีอิทธิพลเหนือเรา")
ชาวพุทธเขาถึงบอกให้ดูอารมณ์ ดูว่าเราประสบข้อมูลนี้ ข้อมูลนั้น (นัยยะอื่นที่ข้อมูลผ่านเข้ามาโดยอายตนะอื่นเช่น หู จมูก ลิ้น สัมผัส ใจ ก็หมายถึงทำนองนี้นะครับเพียงแต่เปลี่ยน "ช่องทาง" เท่านั้น)
แล้วเกิด "ปรากฏการณ์" อะไรกับตัวเราบ้าง ดูให้รู้เท่าทันว่ามันก็คือ "ข้อมูล" มาแล้วก็ไป เกิดแล้วก็ดับ
แต่ที่มัน "เกิดเรื่อง" ก็เพราะว่าเราไปยึดมั่นถือมั่นกับข้อมูลนั้น ๆ ว่า นั่นคือเป็นเรา เป็นของเรา มันก็เลยเกิดความทุกข์
นี่คือทฤษฎีนะครับ ผมเองก็ทำไม่ได้หรอกครับ วิทยายุทธแค่อนุบาลเท่านั้นเอง
ยาวอีกแล้วครับทั่น เฮ้อ
จากคุณ :
สุธี
- [
5 มิ.ย. 49 21:49:30
]
|
|
|