ความคิดเห็นที่ 1 ศาสนาทุกศาสนา สอนให้คนเป็นคนดี โดยส่วนตัวเราแล้ว ครอบครัวเรา นับถือ พุทธ แต่เราไปเข้าโรงเรียนคริสต์ ตั้งแต่เด็ก ๆ ไปโรงเรียนเราก็ปฏิบัติตัว ตามปกติ ที่โรงเรียนทำ เช่น ขอพรพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า มีกิจกรรมหลาย กิจกรรม ที่ชาวคริสต์ ทำ เขามีความสามัคคีกันมาก พบปะ กันบ่อยๆ มีกิจกรรม เข้าโบสถ์ บางครั้งก็ร้องเพลง พอวันพระ และวันสำคัญทางศาสนา เราก็ไปวัด กับยาย ไปทำบุญ  ไหว้พระ ไม่เห็นแปลก สำหรับเรานะ ทำให้เราได้เรียนรู้ อะไร หลาย ๆ อย่าง ในกิจกรรม วันสำคัญ ของ ทั้ง 2 ศาสนา จากคุณ : baipor (baipor) - [ 4 มิ.ย. 49 15:51:17 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ควรจะแยกออกจากันระหว่างประเพณีความเป็นไทย ในการไหว้ทักทายกันหรือเคารพผู้หลักผู้ใหญ่อันนี้ไม่ว่าศาสนาไหนก็ไหว้กัน แต่ถ้าไหว้รูปเคารพของศาสนาพุทธนั้น ศาสนาอื่นเขาก็คงไม่ไหว้ ถ้าไหว้ศพแม่ตัวเองไม่ได้ล่ะก็ ผมว่าศาสนาคริสต์เขาไม่ได้สอนอย่างนั้นนะ ครอบครัวญาติสนิทผมเขาก็เป็นคริสต์ แต่พอมีญาติเสียชีวิต ครอบครัวเขาก็มาจุดธูปไหว้ศพที่วัด เพียงแต่เขาไม่ได้ไหว้พระพุทธรูปเท่านั้นเอง จากคุณ : น้องหอมแดง - [ 4 มิ.ย. 49 16:01:44 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คาดว่าเขาคงจะเข้าใจอะไรผิดไปกระมังคะ การไหว้ศพแม่นั้น ไหว้ได้นะคะ ไม่ผิดอะไร ส่วนเรื่อง "พระเจ้ากับพ่อแม่ ใครสำคัญกว่ากัน" ก็จะบอกว่า สำคัญกันคนละอย่าง สำหรับเรา พระเจ้าก็คือพ่อแม่เหมือนกันค่ะ ถ้าคุณไม่ชอบศาสนาคริสต์ก็ไม่เป็นไรค่ะ คนเราต่างจิตต่างใจ "นานาจิตตัง" นะคะ จากคุณ : Estelion - [ 4 มิ.ย. 49 16:12:16 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมเคยเห็นแขกมุสลิมไหว้พระสงฆ์ ผมถามเข้าว่าคุณไหว้ได้พระได้หรือเขาตอบว่า ที่เค้าไหว้เพราะเค้านับถือพระรูปนั้นเป็นการส่วนตัว เค้าไหว้ดั่งเป็นการทำความเคารพญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่ได้นับถือพระรัตนไตร ก็คงกรณีเดียวกันครับไหว้ได้ถ้าเป็นการนับถือส่วนตัว ยิ่งแม่ของตนเองคงไม่มีปัญหาอะไร จากคุณ : ไร้อักษร (หนุ่มละอ่อน) - [ 4 มิ.ย. 49 17:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ท่านพุทธทาสยังมีสหายธรรมเป็นมุสลิม สนทนาธรรมกันได้ ...  สาธุ จากคุณ : ท่าจันทร์ - [ 4 มิ.ย. 49 17:11:14 ]

ความคิดเห็นที่ 6 "พระเจ้าสอนให้รักและเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าพ่อแม่" จริงหรือไม่? ไม่มีใครที่สติสมประกอบจะไม่รัก บรรพบุรุษของเขา ถ้าเราไปถามคุณพ่อคุณแม่ของเราว่า "อยากให้ เรารัก ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราไหม?" คำตอบก็คือ "อยากให้ รักน่ะซิ!" และถ้าเราถามต่อไปว่า "อยากให้เรารักใครมากกว่ากัน?" คำตอบที่เราจะได้ยินก็คือ "มันคนละอย่างกัน รักปู่ย่า ตายาย ก็รักอีกแบบหนึ่ง รักพ่อแม่ก็อีกอย่างหนึ่ง"....เช่นเดียวกัน ถ้าเราไล่ไป เรื่อยๆในสายบรรพบุรุษของเรา เราก็จะพบว่า ที่มาแรกเริ่ม ที่ให้ชีวิตแก่บรรพบุรุษของเราคือ พระเจ้า ดังนั้น เราควรจะรัก พระเจ้าไหม? คำตอบคือ  ควร และเราควรจะรัก พระเจ้า กับพ่อแม่ ของเรา อย่างไหนมากกว่ากัน? . . . เทียบไม่ได้ เพราะรักคนละอย่างกัน รักพระเจ้า ก็รักอีกแบบหนึ่ง รักมนุษย์ ก็รักอีกแบบหนึ่ง ลองคิด ดูซิว่า การที่มีคนบอกว่า "พระเยซูสอนให้รักพระเจ้ามากกว่าพ่อแม่" นั้น คุณว่ามาจากเรื่องใด ที่ทำให้คนเหล่านั้นพูดประโยคนี้ ถ้ามาจากการที่เขาไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องที่ถูกต้อง สมเหตุสมผลและ สอดคล้องกับความจริง ไม่ขัดกับมโนธรรมของมนุษย์ ของคุณ โดยเขาอ้างว่า "พระคัมภีร์สอนว่า ไม่ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ เชื่อฟังพระเจ้าก็พอ" ถ้าเป็นเช่นนี้ ขอให้คุณรู้เถิด ว่านั่นไม่ใช่คำสอนจาก พระคัมภีร์เลย ขอให้คุณด่าเถอะเพราะด่าถูกแล้ว และช่วยบอกทางคริสตจักรด้วยจะเป็นพระคุณ อย่างสูง พระคัมภีร์ของ คริสเตียนนั้นสอนให้ ลูกรักและให้เกียรติ แก่บิดามารดาของตน ถ้าลูกคนใด ไม่ทำตามคำสอนนี้ พระเจ้าจะทรงพิพากษา ลงโทษเขาอย่างรุนแรงแน่นอน ดูได้จากข้อพระคัมภีร์ ดังนี้ -  นัยน์ตาที่เยาะเย้ยบิดาและดูถูกไม่ฟังมารดา จะถูกกาแห่งหุบเขาจิกออกและนกอินทรีหนุ่มจะกินเสีย (สุภาษิต30:17) -  ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก -`จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า' (นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย) -`เพื่อเจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข และมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก' (เอเฟซัส 6 :1-3) - จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า (อพยพ 20:12) - จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ทรงบัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และเจ้าจะไปดีมาดีในแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า (พระราชบัญญัติ 5:16) - `ผู้ใดหมิ่นประมาทบิดาของตนหรือมารดาของตน ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง' ให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า `เอเมน' (พระราชบัญญัติ 27:16 ) แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 18:03:01 แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 17:52:56 แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 17:21:41 จากคุณ : ~ Jenny B. Good ~ - [ 4 มิ.ย. 49 17:20:05 ]

ความคิดเห็นที่ 7 หากลูก ไม่เคารพรักพ่อแม่ ที่เห็นได้ แล้วจะเชื่อได้ยังไงว่าเขาจะรัก พระเจ้า ซึ่งเขาไม่ได้เห็น คนที่จะเคารพรักพระเจ้าได้อย่างจริงๆ ต้องรักพ่อแม่ตนเองก่อน เพราะว่า พระองค์ทรงประทานชีวิตและเลือดเนื้อของเราผ่านบิดามารดา และทรงมอบอำนาจในการสั่งสอนเราไว้ที่บิดามารดา หากใครไม่เคารพบิดามารดา ก็เท่ากับไม่เคารพผู้ที่ให้อำนาจนั้น คือพระเจ้า แม้แต่พระเยซูเจ้า เมื่อตอนอยู่ในงานแต่งงาน พระองค์ยังทรงเชื่อฟังคำทูลขอของพระมารดามารีอาเลย แม้พระองค์จะบอกว่าเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง คนที่บอกว่าเชื่อพระเจ้า ไม่ใช่ว่าให้นับพระเจ้าเหนืออื่นใด แต่ต้องรู้จักความวางใจ ไว้ใจ นบนอบและเชื่อฟัง พระองค์ ซึ่งการนบนอบเชื่อฟังนั้น ก็คือ นบนอบเชื่อฟังคนที่พระองค์ทรงส่งมา อันได้แก่ พระเยซู พ่อแม่(บรรพบุรุษ) และครูบาอาจารย์ จากคุณ : <<First>> - [ 4 มิ.ย. 49 17:21:44 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คริสเตียนจะทำอย่างไรในการเข้าร่วมพิธีศพ ของครอบครัวหรือคนที่ยังไม่เชื่อ? ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่าแท้จริงแล้ว พิธีการไหว้หรือทำความเคารพศพ แก่ผู้ตาย หรือบรรพบุรุษ นั้นคนที่ก่อตั้งพิธีนี้ แต่ดั้งเดิมนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงถึงการ ไว้อาลัยและให้เกียรติ ต่อผู้ตาย หรือ บรรพบุรุษ ของคนรุ่นหลัง เพื่อแสดงว่า คนรุ่นหลัง ไม่ได้ลืมสิ่งที่ คนรุ่นก่อน หรือบรรพบุรุษได้กระทำ เพื่อพวกเขา ซึ่งถ้าปัจจุบันนี้ พิธีเหล่านี้ ยังคงความหมายเดิมอยู่ พวกเราคริสเตียน ก็คงจะสามารถที่จะ เข้าร่วม หรือทำตามประเพณี นี้ได้ แต่เพราะว่า คนรุ่นต่อมา ได้นำเอาพิธีนี้มาผสมผสาน กับความเชื่อ ทางศาสนา ซึ่งทำให้คนทั่วไป ส่วนมากหลงเข้าใจไปว่า - วิญญาณของผู้ที่ตายหรือบรรพบุรุษสามารถที่จะสื่อสารกับคนที่เป็นอยู่ได้ - วิญญาณของผู้ที่ตาย หรือบรรพบุรุษ มีฤทธิ์สามารถ ที่จะอวยพรผู้ที่ยังเป็นอยู่ได้ เมื่อคนทั่วไป ส่วนมากเข้าใจเช่นนี้ พวกเราที่เป็นคริสเตียน ก็ไม่ควรปฎิบัติตาม พิธีไหว้ศพ หรือเคารพศพ หรือบรรพบุรุษ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ เพื่อไม่ให้คนทั่วไปสะดุด คิดว่าพวกเราคริสเตียน ก็เชื่อว่าวิญญาณ ของผู้ที่ตาย ยังสามารถสื่อสาร รับรู้ สิ่งที่ผู้ที่ยังเป็นอยู่ กระทำเพื่อเขาและเขาอาจจะ คิดว่า พวกเราคริสเตียน ก็เชื่อว่าวิญญาณ ของผู้ตายนั้น สามารถอวยพร และคุ้มครองคนรุ่นหลังได้ แต่อย่างไรก็ตาม การที่เราบอกว่า คริสเตียนไม่ควร เข้าร่วมในการเคารพ หรือ ไหว้ศพผู้ตาย หรือบรรพบุรุษนั้น ก็ไม่ใช่หมายความว่า จะบังคับให้ คริสเตียนทุกคน จะต้องทำตามอย่างเด็ดขาด เพราะว่าบุคลิก ลักษณะนิสัย ปัจจัย ทางสภาพแวดล้อม ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะกล้าพูดเปิดอกกับเจ้าของงาน และอธิบายถึงเหตุผลว่า ทำไมถึงไหว้วิญญาณผู้ตายไม่ได้ บางคนอาจจะ ยังไม่กล้าเผชิญกับความจริง กลัวคนอื่นจะมองว่า ไม่มีมารยาท ถ้าไม่ไหว้ศพ กลัวการขัดแย้งที่เกิดขึ้น จึงทำเป็นต้องทำ แต่ต้องระลึกไว้ในใจว่า 1. พิธีนั้นเป็นเพียงพิธีระลึกถึงผู้ตายเท่านั้น วิญญารไม่สามารถอวยพรแก่เราได้ 2. ขออภัยกับพระเจ้า ที่เราไม่สามารถเหลีกเลี่ยงการกระทำนี้ได้ และ ขอให้มีวันนึงที่เราจะสามารถยืนหยัดได้อย่างถูกต้องตามความเชื่อคริสเตียน ถ้าระลึกไว้เช่นนี้ เชื่อได้เลยว่า สิ่งที่เราทำ พระเจ้าไม่ถือโทษแน่นอน เพราะ พระองค์ ทรงทอดพระเนตร ที่"แรงจูงใจ " และพระองค์ทรงเข้าใจ ในความจำเป็น ของเรา ขอพูดถึงเรื่องการรักพ่อแม่ อีกที พระเจ้าตรัสไว้ว่า ใครที่ไม่รักพ่อแม่ แล้ว มาบอกว่า รักเรา(พระเจ้า) ผู้นั้นก็มุสา และไม่มีความจริงในเขาเลย ขอพระเจ้าอวยพระพร แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 17:48:09 จากคุณ : ~ Jenny B. Good ~ - [ 4 มิ.ย. 49 17:45:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พี่คนนั้นอ่ะพูดถูกแล้วว่าไหว้ศพแม่ไม่ได้ เพราะว่าตามหลักศาสนาคริสต์ห้ามมิให้มีการเคารพหรือนมัสการสิ่งที่ไม่มีชีวิต ตั้งแต่รูปปั้นยันไปถึงแม้กระทั่งคนที่ตายไปแล้ว(ตามที่ผมเข้าใจมาว่าคนที่ตายไปแล้วก้อจะกลับไปเป็นเหมือนผงคลีดินเหมือนอย่างตอนที่พระเจ้าสร้างมา ไม่มีวิญญาณอะไรทั้งนั้น)แต่พี่คนนั้นก้อทำไม่ถูกที่ไม่ไปร่วมพิธีศพอันนี้ก้อน้าเกลียดเกินไป การแสดงความรักต่อบุคคลที่เรานับถือไม่จำเป็นต้องแสดงด้วยไหว้เสมอไปหนิ จริงไหม  ถ้าถามว่าจะให้ทำยังไง เค้าก้อต้องทำตามหลักศาสนาคริสต์สิ ยืนสงบนิ่งไว้อาลัย กล่าวอธิษฐานถึงพระเจ้า และ ฯลฯ จากคุณ : นาโอกิ (คนกำลังสระผม) - [ 4 มิ.ย. 49 18:06:24 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าตอนพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่     ยังไหว้ได้ ทำไมพอพ่อแม่เสียชีวิตแล้ว  จึงจะไหว้ไม่ได้? หรือตายแล้วบุญคุณทั้งหลายถือเป็นโมฆะ ---------------------- ไหว้เพื่อแสดงความเคารพ(ที่ท่านเป็นพ่อแม่) ไหว้เพื่อแสดงความสำนึกบุญคุณ(ที่ท่านให้อบรมเลี้ยงดู) ไม่ได้ไหว้ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิสักหน่อย หรือหากไม่อยากใช้ "กิริยาพนมมือ"   ก็ไปยืนทำความเคารพแบบอีืนก็ยังได้ แม้ตอนนี้ร่างกายท่านจะถือเป็นธุลีดิิน ก็ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของพ่อแม่ได้อยู่ไม่ใช่หรือ? จากคุณ : เหรียญ - [ 4 มิ.ย. 49 18:36:36 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไหว้คนดี ไหว้ครู ไหว้พ่อแม่ ไหว้พระ ไหว้พระพุทธ จากคุณ : KK Tay - [ 4 มิ.ย. 49 18:48:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อนาถจิตกับความคิดที่บิดเบี้ยว... จากคุณ : บุรุษไปรษณีย์ในชุดไปรษณีย์ - [ 4 มิ.ย. 49 19:23:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สวัสดีครับ.. ขนบประเพณีดั้งเดิมไม่เกี่ยงกับศาสนา ผมไม่เชื่อว่าจะมีพระเจ้าองค์ใดสอนให้เราไม่เคารพพ่อแม่ ไม่กตัญญูรู้คุณกับคนที่มีบุญคุณ เคยเจออยู่เหมือนกันครับญาติผมเอง จากที่เคยนับถือศาสนาพุทธและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ และมาอ้างว่านับถือศาสนาพุทธแล้วไม่ได้อะไร แต่กับพระเจ้าอยากได้อะไรก็อธิษฐานเอา จากที่เคยคบหาสมาคมกับญาติพี่น้องก็ทำตัวเหินห่างออกไป ไม่เคยไปร่วมงานบุญ งานศพ ของญาติพี่น้อง ฟังจากที่ญาติผมเล่าให้ฟังผมคิดว่าเขาน่าจะได้รับข้อมูลบางอย่างมาผิด ๆ จากผู้สั่งสอน ไม่น่าจะใช่เนื้อแท้ของศาสนา ผมไม่เคยศึกษาคำสอนของศาสนาคริสต์ ทราบเพียงว่าพระเยซูท่านเปี่ยมไปด้วยความรัก ท่านรักและให้อภัยแม้ศัตรูของท่านได้ เพียงเท่านี้ก็แสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ในหัวใจท่าน แต่สิ่งที่ญาติของผมแสดงออกมาให้เห็น มันค้านกันพิกล ญาติของผมค่อนค่อนข้างขาดแคลน ผมจะนำข้าวสารอาหารแห้งไปให้ทุกเดือน คราวหนึ่งพอเจอหน้าผมพร้อมข้าวของพะรุงพะรัง ญาติของผมแสดงอาการดีใจและบอกผมว่า "เนี่ย..เมื่อวานข้าวสารหมด ก่อนนอนยังอธิษฐานกับพระเจ้าขอให้มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์" ผมยังไม่ทันกลับ เธอก็นั่งลงสวดอวยพรพระเจ้าเสียงดังลั่น ผมยืนงง.. ผมหอบข้าวปลาอาหารมาฝากด้วยความเมตตา เธอไม่ขอบคุณสักคำกลับหันไปขอบคุณพระเจ้า แล้วผมเป็นใครกันล่ะนี่ หรือเธอมองเห็นผมเป็นเพียง บุรุษไปรษณีย์ของพระเจ้า..? เพียงเล่าให้ฟังจากที่ได้พบเจอมาเท่านั้น..ด้วยความเคารพครับ..!!! จากคุณ : อารยัน - [ 4 มิ.ย. 49 19:31:31 ]

ความคิดเห็นที่ 14 งี่เง่าสุดๆ จากคุณ : มารศาสนา (atheist) - [ 4 มิ.ย. 49 20:52:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จงนับถือบิดามารดา เป็นพระบัญญัติพระเป็นเจ้า ข้อที่4. ไม่มีข้อใดบอกไม่ให้เคารพบิดามารดาเลยนะคะ เราเองเป็นคริสตชนคนหนึ่งที่ไหว้บรรพบุรุษด้วย แบบทางจีน ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เราถือว่า เราได้ทำตามพระบัญญัติของพระองค์ครบถ้วน เห็นพระองค์ในผู้อื่น ถามว่าพระเจ้า กับ พ่อแม่ อะไรสำคัญกว่ากัน? คริสตชนเกือบทุกคนคงจะบอกว่า พระเจ้าสำคัญกว่า รวมทั้งเราด้วย พระเจ้าทรงเป็นองค์ความรัก เพราะฉะนั้นสิ่งดีงามทั้งหมดรวมทั้งพ่อแม่ คือ สิ่งประทานจากพระองค์ ความรักที่มีอยู่เราก็ควรเผื่อไปถึงพ่อแม่ด้วย ถ้าเรารักพระองค์ เห็นพระเจ้าในทุกคน เราก็จะรักพ่อแม่ไปเองโดยอัตโนมัติ เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง ต้องคนที่เข้าถึงสัมผัสกับความรักของพระเจ้าได้จึงจะเข้าใจ ส่วนคุณเจ้าของกระทู้ที่มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคริสต์ศาสนา อาจเป็นเพราะว่า คุณไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมของความรักของคริสตชนที่ถูกต้อง อาจจะรู้สึกไม่ดีเป็นธรรมดา สรุปง่ายๆ สั้นๆ คือ ต้องเข้าถึงพระองค์ก่อน ถึงจะเข้าใจในความสำคัญ และความรักของพระองค์คะ ขอพระเจ้าอวยพร และนำคุณไปสู่ความรักของพระองค์ด้วย จากคุณ : เซราฟิม (seraphim) - [ 4 มิ.ย. 49 21:13:50 ]

ความคิดเห็นที่ 16 "สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นทายาท" ทางคนต่างใจ ต่างทางเดินชีวิต แนะนำได้ แต่บังคับไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้ก็วางอุเบกขา อย่าได้ทุกข์ใจเพราะเราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว ผู้รู้ทั้งหลายย่อมไม่ตำหนิ จากคุณ : ไร้อักษร (หนุ่มละอ่อน) - [ 4 มิ.ย. 49 21:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เห็นด้วยกับ #14 จากคุณ : nakaraj - [ 4 มิ.ย. 49 21:38:58 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ลองคิดดูนะครับท่านทั้งหลาย ... องค์พระเป็นเจ้ายอมส่งองค์พระเยซูเจ้ามาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ... ก็เพื่อไถ่บาปมนุษย์ พระองค์ใจกว้างขนาดนั้น  ยอมให้ลูกมาตายแทนคนอื่น  แล้วท่านจะมาใจแคบกับเราทำไม  ? ท่านจะไม่ยอมให้เราไปกราบศพแม่ที่นับถือต่างศาสนาได้หรือครับ ? ไปงานศพพุทธ  ผมก็ไปครับ  (แสดงความเคารพผู้ตาย) ไหว้พระพุทธรูปพุทธ  ผมก็ไหว้ครับ  (แสดงความเคารพพระพุทธ) การกราบไหว้ศพคุณแม่  เป็นสิ่งที่สมควรกระทำอย่างยิ่ง ขณะไหว้ศพแม่  ก็สวดขอพระให้พระคุ้มครองดวงวิญญาณของแม่ด้วย ไฉนเลยน้องคนนั้นจึงมีความเข้าใจผิด ๆ เช่นนั้นได้ ... ******************************* ผมขอเล่าเรื่องงานศพพุทธ เรื่องหนึ่งให้พิจารณา ... ศาสนาคริสต์  นิกายคาทอลิก  จะมีกลุ่มคณะพลมารี   เป็นคริสตชนที่ช่วยเหลืองานพระสงฆ์ในการบรรเทาใจผู้อื่น  โดยส่วนตัว... ผมจะเห็นพลมารีทำงาน 4 อย่าง 1.  สวดสายประคำวันละหลายรอบ 2.  ไปเยี่ยมคนเจ็บป่วย  ทั้งที่นับถือคริสต์ และคนต่างศาสนา  ตามแต่โอกาส 3.  ไปเยี่ยมคนแก่  ทั้งที่นับถือคริสต์ และคนต่างศาสนา ตามแต่โอกาส 4.  ไปสวดงานศพคริสตชน และไปร่วมพิธีศพคนต่างศาสนา ตามแต่โอกาส ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับว่างานของพลมารีจริง ๆ แล้วเป็นเช่นไร  มีงานอะไรอีกบ้าง  แต่ที่เห็นบ่อย ๆ ก็ 4 อย่างนั้น  เพราะคุณแม่ของผมก็เป็นพลมารีคนหนึ่ง  เวลาไปทำงานนั้นก็ควรจะไปกับพลมารีอย่างน้อยอีกหนึ่งคน  ไปเป็นเพื่อนกัน   เวลาไปเยี่ยมคนป่วยที่เป็นคริสตชน ถ้าเป็นห้องผู้ป่วยรวม ก็จะถือโอกาสเยี่ยมเยียนคนป่วยรายอื่น ๆ ไปด้วย  ไม่สนใจว่านับถือศาสนาอะไร  เพราะคนป่วยก็คือคนป่วย  ไม่แบ่งแยกศาสนา เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เช่นกัน  ท่านทั้งสองไปเยี่ยมคุณตาท่านหนึ่ง  ผมขับรถไปส่งท่านทั้งสองที่โรงพยาบาล  ท่านทั้งสองก็ถือโอกาสเยี่ยมคนไข้เตียงข้าง ๆ ด้วย  บังเอิญคนไข้เตียงข้าง ๆ รายหนึ่ง  เพิ่งถูกส่งเข้ามาตอนเช้า  คนไข้รายนั้นนับถือพุทธ  หลังจากได้คุยกันสักพัก  จึงทราบว่าครอบครัวของเขายังไม่ทราบเรื่อง  เนื่องจากถูกส่งตัวมาจากโรงงานที่ทำงานอยู่  เพื่อนคุณแม่ก็ช่วยโทรศัพท์ไปแจ้งพี่ชายของเขา  ให้เขาได้คุยกัน  และท่านทั้งสองก็ช่วยกันสวดบทสวดคริสต์ให้แก่ผู้ป่วยพุทธรายนั้น  พร้อมทั้งฝากไม้กางเขนไว้ให้คนป่วยถือไว้  จากนั้นท่านทั้งสองก็กลับบ้าน  ผมก็รับท่านกลับบ้าน   หลังจากนั้น 2 วัน  คุณแม่ผมจะไปร่วมในงานสวดพิธีปลงศพไร้ญาติรายหนึ่งที่โบสถ์แห่งหนึ่ง  แต่เช้าตรู่วันนั้นเพื่อนคุณแม่ก็โทรมาขอติดรถไปร่วมสวดที่งานนี้ด้วย  (ไม่ได้นัดกันไว้ก่อน  เพราะเพื่อนคุณแม่บอกว่าจะไปงานอื่น)  ผมอาสาขับไปส่งท่านทั้งสองที่โบสถ์     ระหว่างทางไปโบสถ์  เพื่อนคุณแม่โทรสอบถามอาการของคุณตาจากหลานสาวของคุณตา  เผื่อว่าช่วยบ่ายอาจจะหาเวลาเข้าไปเยี่ยมอีกสักรอบ  หลังจากสอบถามอาการของคุณตา ก็ถือโอกาสสอบถามอาการคนป่วยชาวพุทธคนนั้นด้วย   จึงทราบว่าบ่ายวันที่ไปเยี่ยมวันแรกนั้น  พี่ของคนป่วยมาเยี่ยม  และดูน้องของเขาค่อย ๆ สิ้นใจไปอย่างสงบในวันนั้นเอง   ศพถูกบรรจุไว้ในโลงศพโดยในมือของเขายังกำไม้กางเขนไว้แน่น  โลงศพถูกตั้งไว้ที่วัดพุทธแถวรามอินทรา  ผมก็ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน  ไม่อยู่ในหัวเลยขณะที่ทราบ หลังจากวางหูโทรศัพท์  เพื่อนแม่ก็คุยกับแม่ว่าหลังจากไปงานฝังศพที่โบสถ์เช้านี้แล้ว  ท่านอยากจะไปร่วมงานพิธีศพของคนพุทธคนนั้น  บังเอิญขณะนั้นผมกำลังขับรถผ่านถนนรามอินทราเพื่อจะไปโบสถ์  ก็ขับผ่านหน้าวัดพุทธแห่งนั้นพอดี  ผมเห็นชื่อวัดแล้วก็ใช่เลย  ผมนึกในใจว่า " สงสัยวิญญาณผู้ตายคงจัดการให้พวกเราแวะมาเยี่ยมเช้านี้มั๊ง " ผมจึงเลี้ยวรถเข้าไปในวัดทันที  และก็ได้พบกับศาลาที่ตั้งศพของคนพุทธคนนั้นด้วย  ท่านทั้งสองก็ไม่นึกว่าอะไรจะบังเอิญปานนั้น  ท่านจึงรีบลงไปสวดที่หน้าศาลาศพซึ่งถูกปิดประตูรอบด้านเนื่องจากยังเช้าอยู่  จึงได้ทราบว่าจะมีพิธีเผาศพในวันรุ่งขึ้น  แล้วผมก็ไปส่งท่านที่โบสถ์เพื่อไปร่วมสวดในงานพิธีปลงศพไร้ญาติตามกำหนด วันรุ่งขึ้น ผมไม่ได้ไปกับท่านทั้งสอง  ท่านก็ได้ไปร่วมพิธีเผาศพที่วัดพุทธแห่งนั้นในช่วงบ่าย  และก็ได้พูดคุยกับพี่ของผู้ตาย และครอบครัวของเขา  และก็ไม่ได้ติดต่อเป็นการส่วนตัวกันอีกเลย เหตุการณ์นั้นผมสรุปเองว่า "วิญญาณเรียกหา"  คนป่วยคนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้  แต่เมื่อเขาเสียชีวิต  พลมารีก็ได้มีโอกาสไปสวดในงานพิธีปลงศพด้วย ทุกวันนี้คุณตายังอยู่ในโรงพยาบาล *********************************** แล้วน้องคนนั้น  ทำไมจึงไม่คิดจะไปงานศพของคุณแม่ตนเองล่ะครับ ?? แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 49 22:50:13 จากคุณ : ศิลาหัวมุม - [ 4 มิ.ย. 49 22:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอโทษทีครับ  คุณแม่เคยบอกว่างานของพลมารี  ห้ามเปิดเผย  เป็นความลับ  จึงไม่ค่อยเห็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับงานของพลมารี แต่ในกระทู้นี้  ผมขออนุญาตเล่าแบบคร่าว ๆ เท่านั้น  เพราะผมบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์  (ปกติผมไม่ไปร่วมงานกับคุณแม่ครับ เพราะผมไม่ได้เป็นพลมารี)  แต่ผมเห็นว่าเพราะผมไปกับท่านด้วย และเรื่องราวที่ผมได้รับรู้ด้วยตนเองนั้น สอดคล้องกับกระทู้ในประเด็นเกี่ยวกับการที่คริสตชนได้เข้าไปร่วมพิธีงานศพในวัดพุทธ  และผมก็ไม่ได้บ่งรายละเอียดเรื่องชื่อคน/ชื่อโรค/ชื่อสถานที่/อันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของใคร ๆ   แต่หากจะผิดกฏของพลมารี  ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้   ( แต่ไม่ขอลบความเห็นนั้น  อยากเก็บไว้ให้น้องคนนั้นมาอ่านดู ) จากคุณ : ศิลาหัวมุม - [ 4 มิ.ย. 49 23:06:36 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยกะคห.#12 เฮ้อ......................อนาถจิตกับความคิดที่บิดเบี้ยว แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 49 01:13:14 จากคุณ : jeji o - [ 5 มิ.ย. 49 01:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ในฐานะที่เป็นคริสต์ ที่มีพ่อและพี่ๆ คนอื่นๆเป็นพุทธนะ เห็นด้วยกับ คคห18 เราเองเป็นคริสต์ มีพี่ชายบวชเป็นพระ เป็นเจ้าอาวาส เวลาเราไปหาหลวงพี่ที่วัด เราก็ไหว้หลวงพี่นะ เวลาไปทำบุญเราก็ไหว้พระพุทธรูปด้วย แม่เราเป็นพลมารี ไม่เห็นเขาว่าอะไรเลย ของอย่างนี้มันอยู่ที่ใจนะ เราคิดว่าน้อง 2 คนนั้นคงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ที่บอกว่าไหว้ไม่ได้ จริงอยู่ที่ใบคำภีร์อาจบอกว่าห้ามไหว้รูปเคารพ แต่นี้เป็นพ่อแม่นะ ถือเป็นพระองค์หนึ่งด้วยเหมือนกัน อย่างที่คคห ข้างบนบอก ในพระบัญญัติก็บอกว่า จงนับถือบิดามารดา เราว่าให้น้องเขาไปศึกษาศาสนาคริสต์ให้ถ่องแท้ก่อนที่จะทำอะไรดีกว่านะ แต่ยืนยันว่าไหว้ได้ เราเองยังไหว้พระทั้งพุทธทั้งคริสต์เลย วันอาทิตย์ก็ไปโบสถ์ แต่ส่วนตัวนะทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด พระท่านก็คงไม่ว่าอะไรหรอกนะ จากคุณ : เซลเค็ต - [ 5 มิ.ย. 49 01:51:42 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ทำไมเขาถึงได้มีความคิดทู่เรด อย่างงี้  ถามเขาซิว่าใครเป็นคนคลอด เลี้ยงดูเขามา จนรอด มีงานทำ  เลี้ยงชีวิตได้  พระเยซูเลี้ยงมางั้นเหรอ (เราไม่ได้ไม่ชอบศาสนาคริสต์  อันนี้ด่าคนทำตัวทู่เรด) จากคุณ : nuch_tiew - [ 5 มิ.ย. 49 07:30:07 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เขาหลงผิดครับ อย่าไปโทษคริสต์เลย ถ้าจะโทษควรต้องโทษกิเลสตัณหา อัตตาอันใหญ่โตของเขา ที่มันบวมพองเพราะเข้าใจว่าได้เป็นสาวกของพระเจ้าแล้ว จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ 5 มิ.ย. 49 08:34:13 ]

ความคิดเห็นที่ 24 #22 กรุณาพูดจาสุภาพเหมือนคนมีการศึกษาหน่อยได้มั้ยครับ จากคุณ : hotchit - [ 5 มิ.ย. 49 09:26:14 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ^ ^ ^ สรุปว่า คุณ hotchit เห็นด้วยกับการไม่ไหว้ศพพ่อแม่หรือครับ? คือผมอ่าน คอมเม้นท์คุณ แล้วงงๆกับเจตนา. ส่วนเรื่อง จขกท. คงต้องดูที่ คนที่สอนเค้าน่ะครับ ว่าสอนมายังไง ถ้าถูกสอนมาแบบนั้น ก็คงต้องให้คนในศาสนาเค้า ช่วยสอนสิ่งที่ถูกต้องเข้าไปแทน แต่ดูเค้าหัวอ่อนจริงๆเลย ใครพูดอะไรก็เชื่อไปหมดเลยเหรอไงเนี่ย จากคุณ : ม่อน (bodin) - [ 5 มิ.ย. 49 10:33:34 ]

ความคิดเห็นที่ 26 .... แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 49 13:30:16 แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 49 11:46:48 จากคุณ : hotchit - [ 5 มิ.ย. 49 11:23:17 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คห.13 เออ...ผมว่าพาเขาไปโรงพยาบาลเถอะ เขาหลุดจากความเป็นจริงไปแล้วนะนั้น จากคุณ : Demon of East - [ 5 มิ.ย. 49 14:17:12 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมว่าเรื่องนี้เป็นข้อผิดพลาดที่ตัวบุคคลครับ ไม่ใช่ที่ศาสนา ศาสนาคริสต์สอนให้เราเคารพพ่อแม่ครับ แต่ที่เพื่อนคุณบอกอย่างนั้น อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้มีความเข้าใจที่ดีพอก็ได้ เมื่อเรียนรู้ผิด การปฏิบัติก็ต้องผิดไปด้วย ศาสนาคริสต์ไม่ได้สอนให้ไหว้ศพครับ แต่ถึงแม้เราไหว้ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราไปร่วมพิธีไว้อาลัยไม่ได้ หากเพื่อนคุณเป็นคริสต์ ไปร่วมงานศพแม่ที่เป็นพุทธ เพื่อนคุณก็สามารถไว้อาลัยได้ตามแบบคริสต์โดยไม่มีความผิดอะไร เพียงแต่ไม่ต้องไปจุดธูปไหว้พระ ไหว้ศพเท่านั้นเอง ส่วนคำถามที่ว่า "พระเจ้ากับพ่อแม่ อะไรสำคัญกว่ากัน?" ผมคงอธิบายด้วยคำถามง่าย ๆ ครับ พ่อแม่ กับในหลวง อะไรสำคัญกว่า หากคุณตอบคำถามนี้ได้ คุณก็ตอบคำถามที่น้องสาวคุณถามได้เช่นกัน จากคุณ : WebPatrol - [ 5 มิ.ย. 49 16:37:29 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ที่ผมบอกรู้สึกจะมีบางคนไม่ได้อ่านนะ ผมบอกว่าการที่เราจะแสดงความรักที่มีต่อพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องแสดงด้วยการไหว้เสมอไป ถ้าคุณบอกคนที่ไม่ไหว้เคารพบิดามารดาก้อแสดงว่าเป็นคนที่ไม่รักพ่อแม่อย่างนู้นอย่างนี้ แล้วคนอื่นๆล่ะเช่นพวกฝรั่งอ่ะที่เขาไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีแบบไทยและประเทศอื่นๆอ่ะ ศาสนาก้อส่วนศาสนาครับ อย่าเอาไปรวมกับประเพณี อย่าเอาขนบธรรมเนียมของตนเป็นที่ตั้งให้แก่คนอื่นครับ ถึงเขาไม่ไหว้มันก้อเป็นสิทธิ์ของเขา คนที่นับถือกันต้องแสดงด้วยการไหว้ด้วยหรอ การไหว้เท่านั้นหรือถึงจะเป็นการแสดงความนับถือต่อบุคคลที่เรานับถือ แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 49 17:46:12 จากคุณ : คนกำลังสระผม - [ 5 มิ.ย. 49 17:45:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 "ปู่ ย่า พ่อ แม่ บอกว่า อย่าทิ้งพระเจ้า " จากคุณ : Chukiet_pr (Chukiet_pr) - [ 5 มิ.ย. 49 17:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณ คห.28 เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับเรื่อง"ห้ามไหว้ศพ" ขอย้อนไปถึง คห.18 ของผม  ที่พูดถึงศพไร้ญาติ เช้าวันนั้นที่ศาลาสวดศพข้างโบสถ์ ผมเห็นว่ามีคนมาร่วมพิธีเคลื่อนย้ายศพประมาณเกือบ 20 คน  และผมก็ยังเห็นว่ามีกระถางธูปด้วยครับ  และผมก็ทราบอีกว่าศพไร้ญาตินั้นเป็นศพฝรั่งครับ  แต่คนที่มาสวดศพส่วนใหญ่เป็นคนจีนครับ และเป็นพลมารีมากกว่ากึ่งหนึ่ง ซึ่งก็คือคนที่จุดธูปใส่กระถางนั่นแหละ ถ้าศพฝรั่งนั้นพูดได้คงบอกว่า "ธูปไม่เอา ... ต้อง shakehand !!!" เอาเป็นว่าแม้ศพจะไร้ญาติ  ไม่ว่าจะพิธีอะไรยังไงก็ตาม  แต่ได้ทำพิธีถูกต้องทางศาสนา   โดยพระสงฆ์ประจำศาสนานั้น  ศพนั้นก็ถือว่า "Happy" เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ครับ  แต่จะขึ้นสวรรค์หรือไม่ก็ต้องไปถาม"เจ้าหน้าที่"เองล่ะกันครับ วันนั้นผมสังเกตุว่าพระสงฆ์จะไม่จุดธูปเคารพศพครับ  ท่านจะพรมน้ำเสกที่โลงศพเท่านั้น  และก็สวดตามพิธีตอกฝาโลง  พิธีเคลื่อนย้ายศพเข้าวัด  พิธีมิสซาปลงศพ  และพิธีอื่น ๆ  (แต่ผมต้องไปธุระ  จึงแว๊บกลับก่อนเข้ามิสซา แหะ ๆ)   เพราะพวกเขาต้องเคลื่อนศพไปสุสานที่ต่างจังหวัดหลังเสร็จพิธีมิสซา   ส่วนการไหว้เคารพศพอย่างไรนั้น  ก็แล้วแต่จิตศรัทธาของผู้มาร่วมไว้อาลัยแต่ละท่านครับ   โดยส่วนตัวผมยังไม่เคยอ่านพระคัมภีร์แล้วเจอข้อความที่บัญญัติไว้ว่า "ห้ามไหว้ศพ"  หากใครหาเจอก็ช่วยนำมาแปะให้อ่านด้วย   ผมจะได้ตาสว่าง .... บรื๋ออออออออ จากคุณ : ศิลาหัวมุม - [ 5 มิ.ย. 49 19:40:07 ]

ความคิดเห็นที่ 32 บกพร่องต่อหน้าที่ครับ จากคุณ : โขงสีขุ่น - [ 5 มิ.ย. 49 19:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ความคิดเห็นที่ 13   สวัสดีครับ.. ขนบประเพณีดั้งเดิมไม่เกี่ยงกับศาสนา ผมไม่เชื่อว่าจะมีพระเจ้าองค์ใดสอนให้เราไม่เคารพพ่อแม่ ไม่กตัญญูรู้คุณกับคนที่มีบุญคุณ เคยเจออยู่เหมือนกันครับญาติผมเอง จากที่เคยนับถือศาสนาพุทธและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ และมาอ้างว่านับถือศาสนาพุทธแล้วไม่ได้อะไร แต่กับพระเจ้าอยากได้อะไรก็อธิษฐานเอา จากที่เคยคบหาสมาคมกับญาติพี่น้องก็ทำตัวเหินห่างออกไป ไม่เคยไปร่วมงานบุญ งานศพ ของญาติพี่น้อง ฟังจากที่ญาติผมเล่าให้ฟังผมคิดว่าเขาน่าจะได้รับข้อมูลบางอย่างมาผิด ๆ จากผู้สั่งสอน ไม่น่าจะใช่เนื้อแท้ของศาสนา ผมไม่เคยศึกษาคำสอนของศาสนาคริสต์ ทราบเพียงว่าพระเยซูท่านเปี่ยมไปด้วยความรัก ท่านรักและให้อภัยแม้ศัตรูของท่านได้ เพียงเท่านี้ก็แสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ในหัวใจท่าน แต่สิ่งที่ญาติของผมแสดงออกมาให้เห็น มันค้านกันพิกล ญาติของผมค่อนค่อนข้างขาดแคลน ผมจะนำข้าวสารอาหารแห้งไปให้ทุกเดือน คราวหนึ่งพอเจอหน้าผมพร้อมข้าวของพะรุงพะรัง ญาติของผมแสดงอาการดีใจและบอกผมว่า "เนี่ย..เมื่อวานข้าวสารหมด ก่อนนอนยังอธิษฐานกับพระเจ้าขอให้มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์" ผมยังไม่ทันกลับ เธอก็นั่งลงสวดอวยพรพระเจ้าเสียงดังลั่น ผมยืนงง.. ผมหอบข้าวปลาอาหารมาฝากด้วยความเมตตา เธอไม่ขอบคุณสักคำกลับหันไปขอบคุณพระเจ้า แล้วผมเป็นใครกันล่ะนี่ หรือเธอมองเห็นผมเป็นเพียง บุรุษไปรษณีย์ของพระเจ้า..? เพียงเล่าให้ฟังจากที่ได้พบเจอมาเท่านั้น..ด้วยความเคารพครับ..!!! จากคุณ : อารยัน ------ อ่านความรู้สึกท่านแล้วก็นึกถึงตัวผมเอง น่าจะเป็นความรู้สึกเดียวกัน แต่จบลงคนละมุม ซึ่งผมก็คงไม่บังอาจจะบอกว่ามุมใครถูกหรือผิด เพราะท่านเองก็อคติต่อคริสต์เป็นทุนอยู่แล้ว แต่ก็หวังว่าคำแบ่งปันของผมอาจจะช่วยชี้อะไรบางอย่างให้ท่านเห็นได้ถ้าท่านจะกรุณาหยุดเพื่อมองเห็นละก็นะครับ .... ประมาณช่วงปลายปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเป็นคริสเตียนได้เกือบครบปี อาจารย์ท่านนึงซึ่งอยู่โบสแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่โทรมาหาผม ถามว่า แกจะขึ้นดอยไปเยี่ยมพี่น้องคริสเตียนที่นั่น จะไปด้วยกันไหม ซึ่งอันที่จริงเป็นผมเองที่ก่อนหน้านั้นเคยขอให้แกบอกผมหน่อยถ้าเผื่อว่าแกจะไป แบบว่าจะขอติดตามไปหาประสบการณ์ เพราะได้ยินว่าบนดอยมีการไหว้ผีเยอะ ก็เป็นอันว่าออกเดินทางไปกับแก ด้วยการโดยสารที่ประหยัดที่สุดเท่าที่หาได้ จนถึงชุมชนแห่งนึง ที่เชียงราย ซึ่งก็ต้องต่อรถอีกที ลืมบอกไป เราเดินทางกันสามคน มีผม อาจารย์ท่านนั้น แล้วก็อาจารย์อีกท่านนึง ..แล้วรถต่อนี้ ผมก็เป็นคนออกค่าโดยสารของทั้งสามคน ลึกๆก็รู้สึกภูมิใจว่าเออ เราก็ทำตัวมีประโยชน์เหมือนกันนะ แล้วรถก็ไปได้นิดนึงก็แวะรับผู้โดยสารเพิ่ม ก็มีมิชชันนารีชาวต่างชาติคนนึงที่พูดไทยได้เพราะอยู่เมืองไทยมานาน ขึ้นมานั่งข้างๆอาจารย์ท่านน้น... แล้วก็มีการพูดคุยกันตามประสาผู้รับใช้ ว่าเดินทางกันมายังไง แล้วก็มาถึงเรื่องค่ารถที่เรากำลังนั่งกันอยู่ ผมฟังถึงตรงนี้ก็หวังใจว่าคงมีชื่อผมให้ผมได้รับเครดิตความดีความชอบบ้างล่ะหน่า... ผลปรากฏว่า อาจารย์ท่านนั้นก็ทำแบบที่ญาติท่านคนนั้นทำนั่นล่ะครับ คือขอบคุณพระเจ้า ยกเครดิตทั้งหมดให้พระเจ้า ผมเข้าใจความรู้สึกท่านดีครับ ว่าท่านรู้สึกยังไง เพียงแต่ผมเป็นคริสเตียน ผมจึงเข้าใจการสอนโดยทางอ้อมจากอาจารย์ท่านนั้นในทันทีว่า จิตใจที่ปราถนาเกียรติจากการทำดีนั้น มันไม่ใช่จิตใจที่ดีเลย เมื่อผมตีประเด็นนี้แตก จิตผมก็ยกสูงขึ้นและสะอาดขึ้นนิดนึงอย่างรู้สึกได้ สีหน้าและจิตใจที่รู้สึกขุ่นๆกลับกลายเป็นยิ้มอย่างมีความสุข และเบิกบานขึ้น เหมือนบรรลุสัจจะได้ข้อนึง ........ ผมไม่รู้หรอกนะครับ ว่าท่านรู้สึกยังไง หรือท่านมีทัศนคติยังไงกับการทำความดี แต่การที่ทำดีแล้วไม่มีใครเห้นหรือไม่ให้เครดิตเราทั้งที่เขาเห็นเนี่ย ....ถ้าเรารู้สึกไม่พอใจ จิตเราก็ไม่ค่อยดีแล้วล่ะครับ ยังไงก็ขอโทษนะครับ ถ้าเผื่อว่าผมพูดอะไรที่ท่านรู้อยู่แล้ว ........ สำหรับคนที่เขาเคยสัมผัสพระเจ้า เขารู้ครับ ว่าจริงๆแล้วทุกอย่างมาจากพระเจ้า ต่อให้ใครจะอ้างเครดิตได้ก็ตาม แต่ท่านเองในฐานะที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ไม่แปลกที่จะรู้สึกแปลกๆกับพฤติกรรมของคริสเตียน เพราะในอดีตผมก็ไม่ถูกชะตากับคริสเตียนเหมือนกัน ออกจะดูถูกด้วยซ้ำ แม้แต่อาจารย์คนที่ผมตามเขาขึ้นดอยซึ่งตอนนี้ผมเคารพเค้ามากเนี่ย ย้อนหลังไปเมื่อตอนผมยังไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าและเค้ามาเล่าเรื่องพระเจ้าให้ฟังผมก็ดูถูกเค้าเหมือนกัน มองไปก็ดูถูกไป ประมาณว่า คนคนนี้จะมาสอนอะไรผมได้ ผมรู้เยอะนะเฟร้ย นั่งขัดกระเบื้องให้เป็นกระจกมาก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่ ณ เวลานี้ เมื่อถูกเปิดตาให้ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมก็อายแทบแทรกแผ่นดินครับ แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า ที่ไม่มีใครว่าอะไร เพราะเค้าเข้าใจดีว่าคนไม่เชื่อพระเจ้าเป็นยังไง เหมือนที่ผมเข้าใจท่านตอนนี้นี่ล่ะ ......... ก็ถ้าท่านไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า และญาติคนนั้นทำอะไรให้ท่านไม่พอใจก็ปล่อยเขาครับ สำคัญที่จิตท่านเอง ที่ท่านต้องรักษาให้มันนิ่ง ให้มันสะอาดที่สุด เกียรติเป็นสิ่งอันตรายสำหรับมนุษย์ หลีกเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงทุกกรณีนะครับ ผมเคยเห็นคนดีๆ ที่พอได้เริ่มมีเกียรติและเผลอรับเผลอหามันไว้มากๆ ไม่มีใครพ้นความตกต่ำซักรายครับ หัวใจของเรามีไว้ถ่อมใจครับ ไม่ได้มีไว้รับเกียรติหรือรับคุณงามความดีหรือคำชม ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ จากคุณ : เดียวดาย9อักษร - [ 5 มิ.ย. 49 20:12:25 ]

ความคิดเห็นที่ 34 กรณีนี้ เป็นสิ่งที่ถกเถียงกันมานาน และเป็นเรื่องที่ทำให้คนที่เปลี่ยนศาสนาคริสต์ต้องคิดหนักครับ เข้าใจผิดได้ง่ายมาก เรื่องนี้ผมว่าเป็นการเข้าใจผิดของแต่ละบุคคล หลักการโดยทั่วไปของศาสนาคริสต์ คือให้เกียรติและนับถืิอบิดามารดาครับ มีระบุไว้ชัดเจนตามความเห็นข้างบนมา แต่คำถามก็คือการไหว้ศพสามารถทำได้ไหม? ปกติ ถ้าคนตายแล้ว ศาสนาคริสต์เราถือว่าจิตวิญญาณของเราจะไปอยู่รอการพิพากษา ดังนั้นวิญญาณจะไม่ล่องรอยไปมาบนแผ่นดินโลก หากใครเจอผี นั่นไม่ใช้วิญญาณของคนตาย แต่เป็น ผีมารซาตานครับ ดังนั้นคริสเตียนจะไม่กราบไหว้ศพ หรือวิญญาณคนตาย แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถทำความเคารพเพื่อแสดงความนับถือศพได้ เนื่องจากวัฒนธรรมไทย การพนมมือไหว้ถือว่าเป็นการแสดงความเคารพ แต่บางครั้งก็หมายถึงการกราบไว้(ศรัทธาในดวงวิญญาณคนตายด้วย) หลายคนก็จะบอกว่าไม่ไหว้วิญญาณคนตาย (เพราะว่าเราเชื่อว่าวิญญาณที่อยู่ตรงนั้นมิใช่ของคนตาย เพราะวิญญาณคนตายจะไปอยู่ที่ที่หนึ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้รอการพิพากษา) ดังนั้นจึงมีหลายคนเข้าใจผิดว่าไหว้ไม่ได้ แต่ความจริงไหว้ได้ครับ ตราบใดที่คุณไม่คิดว่าไหว้วิญญาณ ตราบใดที่คุณคิดว่าเป็นการแสดงความเคารพผู้ที่เสียชีวิตในฐานะ คนที่มีพระคุณกับเรา และเป็นคนน่าให้ความนับถือ ผมพยายามแยกแยะการไหว้วิญญาณคนตาย และ การแสดงความนับถือผู้ที่เสียชีวิตเป็นแบบนี้ ถ้าไหว้(พนมมือ) และกราบ โดยไม่ใช้ธูปเทียน ผมจะไม่ถือว่าเป็นการไหว้วิญญาณ เพราะปกติถ้าบุพการี หรือผู้มีพระคุณกับผมมีชีวิตอยู่ผมก็ไหว้ ก็กราบที่อก ที่เท้า เป็นธรรมดา อันนี้ผมถือว่าเป็นการแสดงความเคารพบุคคลทั่วไปโดยปกติ ถ้าไหว้(พนมมือ) และใช้ธูปเทียน แถมด้วยอธิษฐานขอให้ไปสู่สุคติ ฯ ผมถือว่าเป็นการไหว้วิญญาณคนตาย ในกรณีนี้ผมจะไม่ทำครับเพราะถือว่าเป็นการเคารพพระเจ้าอื่น ผมว่ากรณีนี้ต้อง บอกเืพื่อนคุณให้เข้าใจครับ ว่า การกราบไหว้เคารพและการแสดงความนับถือ เป็นสิ่งที่แตกต่างกัน อีกอย่างหนึ่งต้องดูที่คริสตจักรที่เขาไปเข้าร่วมด้วยว่ามีความเชื่อและการปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างไร ที่สำคัญเป็นเรื่องของการตีความการกราบไหว้รูปเคารพของแต่ละบุคคล ส่วนกรณีเพื่อนของน้องนั้น คุณคงฟังมาแค่ประโยคเดียวแล้วมีอคติอยู่แล้วกับคริสเตียนเลยรู้สึกว่าไม่ชอบ ความหมายจริงมิได้หมายความว่า เมื่อคุณรักพระเจ้าแล้วต้อง ไม่รัก พ่อแม่  แต่กลับตรงกันข้าม เมื่อคุณรักพระเจ้าก่อน คุณจะรักพ่อแม่ได้อย่างอัศจรรย์และมากกว่าก่อนด้วยซ้ำ ผมอยากอธิบายให้เข้าใจว่าคริสเตียนมิใช่ศาสนา แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า คุณมีอคติกับศาสนาไม่เป็นไร แต่อย่าปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าครับ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่วันหนึ่งคุณจะต้องเผชิญหน้ากับพระองค์ จากคุณ : Stampede - [ 5 มิ.ย. 49 23:36:46 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เป็นเรื่องปัญญาของปัจเจกบุคคลโดยแท้โดยแท้ จากคุณ : สัจญาณ - [ 6 มิ.ย. 49 00:52:17 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ส่วนตัวนะคิดว่า  คำสอนคงไม่ได้บิดเบือนแต่ตัวบุคคลที่มากล่าวอ้างคงจะบิดเบือนเองมากกว่า  หรือคนฟังอาจจะแปรเจนตนาของความหมายนั้นผิดก็ได้   คิดว่านะคำสอนของทุกลัทธิมีแต่ให้เคารพบูชาพ่อแม่ เพราะเป็นผู่ให้กำเนิด  ให้ชีวิต เลี้ยงดูอุ้มชู ปกป้องมา  ถ้าคำสอนใดบอกว่าไม่ให้เชื่อฟัง  พ่อแม่ไม่สำคัญ  คิดว่ามันน่าจะเป็นลัทธิมารมากกว่า  ไม่ควรค่าแก่การเคารพหรือจดจำเลย   ผู้ฟังควรใช้วิจารณญาณและศึกษาในแก่นแท้ของศาสนานั้นๆ ก่อนดีกว่า  เพราะแบบนี้มันจะทำให้คำสอนดีๆ ต้องบิดเบือนไปในทางเลวร้าย ทำให้ภาพของศาสนานั้นๆ ออกมาไม่ดีเพราะคน แปรความหมายผิดไปเอง แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 11:12:58 แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 11:12:34 จากคุณ : อามาเจง - [ 6 มิ.ย. 49 11:04:07 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่เห็นด้วยกับเพื่อน จขกท.เลย จากคุณ : เด็กศิลป์ (Artiste) - [ 6 มิ.ย. 49 15:52:48 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พระเจ้ากับพ่อแม่ใครสำคัญกว่า? ผมขอตอบเลยว่า พระเจ้าครับ การที่คริสเตียนจะให้ความสำคัญกับพระเจ้ามากกว่าพ่อแม่ ไม่ใช่หมายความจะต้องเนรคุณต่อพ่อแม่ เพราะถ้าพ่อแม่ตัวเองยังไม่รักแล้วจะรักพระเจ้าได้อย่างไร ส่วนการที่ไม่ไหว้ศพแม่ คิดว่า เขาคงกลัวว่าถ้าไหว้ศพแม่แล้วจะเป็นการผิดต่อพระเจ้าและเขาก็ไม่ทำ นั่นก็ถูกแล้ว เมื่อจิตใจฟ้องร้องว่าไม่ได้ก็ไม่ควรทำ คุณลองถามเขาสิว่ารักแม่ไหม? คุณลองดูชีวิตของเขาว่าเขาเคยทำอะไรเพื่อแม่บ้างไหม? คุณลองถามเขาสิว่าเขาเสียใจมากขนาดไหน? ผมไม่ขอให้คุณรู้สึกดีต่อศาสนาคริสต์ แต่ผมขอให้คุณย้อนกลับถามตัวคุณเองว่า คุณตัดสินคนอื่นเพียงเพราะการกระทำของเขาหรือเปล่า หรือ คุณตัดสินที่เจตนาของเขา? แก้ไขเมื่อ 06 มิ.ย. 49 21:50:21 จากคุณ : oniwaka - [ 6 มิ.ย. 49 21:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เพื่อนของ จขกท คงตีความหมายพระคัมภีร์ผิดมั้ง ( ถ้าจริงตามอ้าง ) เพราะงานศพ ของศานนิกชนอื่นๆ ที่เป็นญาติมิตรกับเรา คนคริสต์ยังต้องไป แสดงความรู้สึกเสียใจ และให้กำลังใจเลย ....ถ้าแม่ตัวเองไม่ไป แล้วอ้างว่าเป็นคริสต์ การเป็นคริสต์ ของเขา ทำให้ พระนามของพระเยซูคริสตเจ้าเสื่อม ฮะ จากคุณ : NJ & อิกคิว - [ 6 มิ.ย. 49 23:16:22 ]

ความคิดเห็นที่ 40 นี้ก็เป็นอีกหนึ่งที่ เขาว่ามา-เข้าใจว่า-ได้ยินมา-ปัญหาส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับศาสนาทุกวันนี้ ก็มาจากการที่รู้ไม่ตรง-รู้ไม่จริง-คิดไปเอง  ผมว่าทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดีทั้งนั้น แต่หลักการสอนการปฎิบัติแตกต่างกันจึงทำให้เกิดความคิดยึดตัวเองเป็นใหญ่ คนเราถ้าไม่เข้าใจอะไรจริงๆแล้วแสดงออกบวกกับความคับแคบทางจิตใจแล้วย่อมเอนเอียงไปในทางที่เรามีอักคติอยู่แล้ว  ทางที่ดีคือตั้งความคิดของเราอยู่บนพื้นฐานของเมตตาแล้วปัญหาย่อมไม่เกิด เมตตาค้ำจุนโลกา จากคุณ : นายศรัทธา (นายศรัทธา) - [ 7 มิ.ย. 49 15:25:06 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าไม่ไหว้ก็ควรไปร่วมงานศพค่ะ อย่างน้อยถือว่าให้เกียรติ์ จากคุณ : เด็กศิลป์ (Artiste) - [ 8 มิ.ย. 49 10:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 42 บอกก่อนนะครับว่าผมนับถือศาสนาพุทธ   ได้คลุกคลีกับคริสตังและคริสเตียนมาบ้าง   รู้สึกว่าคริสต์ในกระทู้นี้บางท่านตอบเลี่ยงๆและไม่มีท่านใดยกไบเบิ้ลมาอ้างอิง  คริสต์บางท่านก็ตอบผิดไปจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล   ผมจึงขอยกเวปไบเบิ้ล  ตรงที่เกี่ยวข้องมาให้ท่าน จขกท. ลองพิจารณาเอง http://thaipope.org/webbible/40_010.htm มัทธิว 10 พระคริสต์ทรงอยู่เหนือบิดาหรือมารดา 10:34 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา 10:35 ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี 10:36 และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ก็จะเป็นศัตรูต่อกัน 10:37 ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเราก็ไม่สมกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา 10:38 และผู้ใดที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา http://thaipope.org/webbible/40_008.htm มัทธิว 8 ทรงลองใจผู้ติดตามพระองค์ (ลก 9:57-62) 8:19 ขณะนั้นมีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาหาพระองค์ทูลว่า "อาจารย์เจ้าข้า ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น" 8:20 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ" 8:21 อีกคนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน" 8:22 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด" http://thaipope.org/webbible/41_003.htm มาระโก 3 ผู้ที่เชื่อเป็นเหมือนมารดาและพี่น้องของพระเยซู (มธ 12:46-50; ลก 8:19-21) 3:31 เวลานั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ข้างนอก แล้วใช้คนเข้าไปทูลเรียกพระองค์ 3:32 และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์ เขาจึงทูลพระองค์ว่า "ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์คอยอยู่ข้างนอก" 3:33 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ใครเป็นมารดาของเรา และใครเป็นพี่น้องของเรา" 3:34 พระองค์ทอดพระเนตรคนที่นั่งล้อมรอบพระองค์นั้นแล้วตรัสว่า "ดูเถิด นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา 3:35 ผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระเจ้า ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา" http://thaipope.org/webbible/42_008.htm ลูกา 8 มารดาและพวกน้องชายของพระเยซูก็เหมือนกับคนอื่นๆ (มธ 12:46-50; มก 3:31-35) 8:19 ครั้งนั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์ แต่เข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก 8:20 มีคนทูลพระองค์ว่า "มารดาและน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอกปรารถนาจะพบพระองค์" 8:21 แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "มารดาของเรา และพี่น้องของเราคือคนเหล่านั้นที่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและกระทำตาม" จากคุณ : คนบ้านดาบ - [ 8 มิ.ย. 49 11:19:09 ]

ความคิดเห็นที่ 43 โพสท์ถึงตรงนี้ผมมีข้อสงสัยบางประการ ขอเชิญเพื่อนๆร่วมแสดงความคิดเห็นที่กระทู้นี้ด้วยครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4439137/Y4439137.html#1 ผมสังเกตุว่าพระแม่มารีย์พระมารดาของพระเยซูไม่เชื่อในพระเจ้า จากคุณ : คนบ้านดาบ - [ 8 มิ.ย. 49 11:32:07 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คงไม่ได้เข้าใจหลักศาสนาคริสต์ที่แท้จริง น่าเสียดายที่เป็นคริสตชน แต่ไม่ได้ทำหน้าที่คริสตชนที่ดี จากคุณ : airyone - [ 17 มิ.ย. 49 10:41:13 ]

ความคิดเห็นที่ 45 พ่อแม่บุพการี ต้องเคารพท่านอะ เลี้ยงเรามาจนโต งานศพท่านมาร่วมงานไม่ได้ แปลกจริง..เขาเข้าใจอะไรผิดมั๊ง.. ลุง กะป้า เรา เป็นมุสลิม งานพ่อเรา เขาก้อมานะ ไม่ไหว้ ศพจุดธูป แต่มาแสดงความเสียใจ แล้วก้อทำแกงมาช่วย เลี้ยงข้าวพระ เลี้ยงแขกในงาน เพื่อนเราเป็นคริสต์ก้อ เหมือนกันค่ะ มายืนสงบน่ารูป แล้วก้อช่วย เสริฟน้ำ รับรองแขกให้ เราว่า ไหว้ แบบพิธีการเช่น จุดธูปไม่ได้ แต่ไหว้ด้วยใจ และปฏิบัติได้นี่นา การช่วยจัดงาน ดำเนินการ อำนวยความสะดวก ช่วยรับรองแขกเหรื่อ  จัดการเรื่องข้าวปลา อาหาร  สามารถแสดงออกได้หลายอย่างเลย การเพิกเฉยไม่ไปร่วมงานเนี่ยทำให้คนสะดุดอย่างแรง แถมเพิ่ม ความรักแง่ลบให้พระเจ้าเต็มเปา เพราะถูกมองว่าเป็นต้นเหตุ ให้ลูกไม่มางานศพแม่อะ จากคุณ : ตาลสด - [ 21 มิ.ย. 49 14:07:13 ]