ความคิดเห็นที่ 1 ขอความสันติสุขจงมีแด่คุณ  hatorihunso ครับ เอาความเข้าใจพื้นฐานแบบย่อ ๆ ก่อนนะครับ ระบบการเมืองของอิสลามนั้น วางอยู่บนหลักการ 3ประการ คือ 1.ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว (เตาฮีด) 2.ความเป็นศาสดาของมุฮัมมัด (ริชาละฮฺ ) 3.การเป็นตัวแทน (คิลาฟะฮฺ ) เตาฮีด (ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว) หมายถึงความเชื่อที่ว่าอัลลอฮฺ องค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพระผู้ทรงสร้าง พระองค์ทรงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ไม่มีสิ่งใดที่สามารถจะมาอ้างว่าตัวเองเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดได้ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นมนุษย์ครอบครัวชนชั้นหรือกลุ่มคนหรือแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดก็ตามพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นต่างหากที่มีอำนาจสูงสุดและพระบัญชาของพระองค์เท่านั้นที่เป็นกฎหมายแห่งอิสลาม "ริซาละฮฺ" (หรือความเป็นศาสดา) กล่าวคือ คัมภีร์กุรอานเป็นเสมือนกับกฎหมายของอัลลอฮฺ การอธิบายความหมายและการปฏิบัติตามคัมภีร์ของพระเจ้าเพื่อเป็นแบบอย่างแก่มนุษย์คือท่านศาสดา หมายความว่า ในเรื่องของหลักการใหญ่ๆเกี่ยวกับระบบการดำเนินชีวิตนั้น คัมภีร์กุรอานได้กำหนดเอาไว้หมดแล้ว ส่วนเรื่องรายละเอียดทางการปฏิบัตินั้น ท่านศาสดามูฮัมมัดจะเป็นผู้ชี้แจงและแสดงแบบอย่างให้ดู ทั้งสองสิ่งนี้เมื่อรวมกันเข้าแล้ว เรียกว่า ''ชะรีอ๊ะฮฺ" หรือกฎหมายอิสลาม ส่วนหลักการที่สาม อันได้แก่เรื่อง ''คิลาฟะฮฺ" นั้น หมายถึงระบบ''การเป็นตัวแทน'' กล่าวคือในอิสลาม มนุษย์มีฐานะเป็นตัวแทนของพระเจ้าบนหน้าแผ่นดิน ตัวแทนในที่นี้หมายถึงตัวแทนแห่งคุณธรรมและอำนาจของพระองค์ซึ่งมีสิทธิที่จะใช้อำนาจหน้าที่ของพระองค์บนหน้าแผ่นดินนี้ได ้ภายในขอบเขตที่พระองค์บัญญัติไว้ ระบอบประชาธิปไตยในอิสลาม ........บนหน้าแผ่นดินนี้ไม่มีใครคนหนึ่งคนใดหรือชนชั้นหนึ่งชนชั้นใดจะผูกขาดการเป็นเคาะลีฟะฮฺไว้ได้แต่อำนาจแห่งการเป็นตัวแทนนั้นเป็นของชุมชนทั้งหมดที่พร้อมจะปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการเป็นตัวแทน ดังนั้น สังคมที่ว่านี้จึงรับหน้าที่เป็นตัวแทนทั้งหมด และแต่ละคนในสังคมนั้นก็มีส่วนในความเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า นี่คือจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยในอิสลามซึ่งประชาชนทุกคนในสังคมอิสลามมีสิทธิและอำนาจแห่งการเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากแง่นี้แล้ว มนุษย์ทุกคนจึงมีความเท่าเทียมกัน .....สำหรับผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่บริหารกิจการของรัฐนั้นจะต้องได้รับการแต่งตั้งขึ้นตามเจตนารมณ์ของประชาชน และอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลนั้น ก็มีแต่เพียงการใช้อำนาจแทนประชาชนที่แต่งตั้งขึ้นไปเท่านั้นเอง ความคิดเห็นของประชาชนจะเป็นสิ่งชี้ขาดในการแต่งตั้งรัฐบาล และใครก็ตามที่ได้รับความไว้วางใจ ก็จะเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามหน้าที่และข้อผูกมัดแห่งการเป็นตัวแทนในนามของประชาชน แต่เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนไม่ไว้วางใจ เขาผู้นั้นจะต้องสละตำแหน่งทันที นี่คือประชาธิปไตยของอิสลาม ....ความแตกต่างไปจากประชาธิปไตยแบบตะวันตก ก็คือ ประชาธิปไตยแบบตะวันตกวางรากฐานอยู่บนแนวคิดที่ว่าอธิปไตยเป็นของประชาชน  ส่วนประชาธิปไตยในอิสลามวางอยู่บนหลัก ''ตัวแทน'' ของประชาชน ...ในตะวันตก อธิปไตยอยู่ที่ประชาชน แต่ในอิสลามอธิปไตยอยู่ที่พระผู้เป็นเจ้าและประชาชนเป็นตัวแทนของพระองค์ ....ในตะวันตก ประชาชนเป็นผู้สร้างกฎหมายเอง แต่ในระบอบอิสลามประชาชนต้องเชื่อฟังและปฎิบัติตามกฎหมาย (ชะรีอ๊ะฮฺ) ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ ดังนั้น ประชาธิปไตยแบบตะวันตก รัฐบาลจะปฏิบัติไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน ส่วนในอิสลาม รัฐบาลและประชาชนทั้งหมดจะต้องปฏิบัติไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ผู้ซึ่งมิได้มีผลประโยชน์กับคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ หากแต่พระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของมนุษย์ทั้งมวล ********** รัฐอิสลาม ********* ....คัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าเป้าหมายและจุดประสงค์ของรัฐอิสลามก็คือการสถาปนา การดำรงรักษาและการพัฒนาคุณธรรมซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประสงค์ที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์มีความเจริญรุ่งเรืองและทำลายความชั่วช้านานาประการที่จะเป็นอุปสรรคต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ - รัฐจะต้องวางนโยบายการเมืองบนพื้นฐานแห่งความยุติธรรม บนความจริงและบนความซื่อตรง ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ รัฐอิสลามไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเพิกเฉยต่อความทุจริต ความผิด ความอยุติธรรมเพียงเพื่อเห็นแก่ความสะดวกทางการเมืองและความง่ายดายทางการปกครองเท่านั้น ความถูกต้อง ความยุติธรรม และความซื่อตรงจะต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ - ในสภาวะสงครามหรือ ในกรณีอื่น ๆ เลือดเนื้อของมนุษย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะยอมเสียไม่ได้ถ้าหากปราศจากเหตุผลที่สมควรหรือสุดวิสัยจริงๆ อิสลามห้ามกดขี่ข่มเหงสตรี เด็ก และคนชรา คนที่ได้รับความเจ็บป่วย คนที่ไม่มีเสื้อผ้าใส่จะต้องได้รับการปฏิบัติและดูแลรักษาอย่างทั่วถึงโดยไม่คำนึงถึงว่าเขาผู้นั้นจะเป็นคนในสังคมมุสลิมหรือคนที่อยู่ในหมู่ศัตรู สิทธิเช่นนี้และสิทธิอื่นอีกหลายประการเป็นสิ่งที่ธรรมนูญแห่งอิสลามได้กำหนดให้รัฐต้องมอบให้แก่มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาจะมีเชื้อชาติอะไร สีผิวใด หรือเป็นชนชั้นไหนก็ตาม - รัฐอิสลามยังได้กำหนดสิทธิบางประการให้แก่ผู้ที่มิใช่มุสลิมซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐอิสลามเอาไว้ในรัฐธรรมนูญอีกด้วย กล่าวคือ รัฐอิสลามมีพันธกรณีที่จะต้องให้หลักประกันและความคุ้มครองต่อชีวิตทรัพย์สินและเกียรติยศแก่พวกที่มิใช่มุสลิมชึ่งอาศัยอยู่ในรัฐอิสลาม เช่นเดียวกับพลเมืองมุสลิม ภายใต้กฎหมายอันเดียวกันด้วย และรัฐอิสลามก็ไม่มีสิทธิอันใดที่จะไปแทรกแซงหรือก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลของคนที่มิใช่มุสลิม - รัฐอิสลามให้สิทธิเสรีภาพแก่คนที่มิใช่มุสลิมทุกคนในอันที่จะนับถือศาสนาและประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน ---------------------------------------------------------- ....ทีนี้ ในกรณีของการต่อต้านระบบทุนนิยมนั้น  ต้องเข้าใจก่อนว่า  การต่อต้านนั้นไม่ใช่การปฏิเสธความเจริญ หรือ การพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ...การไม่ซื้อโค้ก ไม่ซื้อเป็บซี่ ไม่กินเคเอฟซี ฯลฯ นั้นไม่ใช่การต่อต้านระบบทุนนิยม  แต่เป็นการต่อต้านประเทศทุนนิยมมากกว่า ...การต่อต้านระบบทุนนิยมในความหมายและเจตนารมณ์ที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจอิสลามก็คือ  การต่อต้านแนวคิดที่ว่า ทุน (หรือทรัพย์สิน) เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  แต่มองข้ามความถูกต้อง และศีลธรรมอันดีในสังคม  รวมถึงการต่อต้านระบบชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อเกินพอดี ...อิสลามถือว่า รัฐจะพัฒนาสู่ความเจริญที่แท้จริงไปไม่ได้ตราบใดที่ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมยังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด...ในสังคมทุนนิยม ผู้นำอาจรวยล้นฟ้า ในขณะที่มีประชาชนอดตายเพราะไม่มีอาหารก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ...แต่ในระบบสังคมอิสลาม นี่คือความอัปยศของระบบเศรษฐกิจแบบนี้  สังคมอิสลามจะไม่ก้าวเดินต่อไปด้วยเหตุผลของเงินทุน เพียงประการเดียว  โดยละทิ้งผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนไว้เบื้องหลังอย่างโดดเดี่ยว ...ระบบภาษีซะกาต หรือทานบังคับ  เป็นหนึ่งในกลไกการแก้ปัญหาจุดบอดในการเข้าถึงแหล่งทุนของคนชั้นล่าง  การยกเลิกระบบดอกเบี้ย ก็คือการเพื่มโอกาสให้ผู้ลงทุนรายย่อยสามารถพัฒนาตนเองเท่าทันกับคนอื่นได้ ...เหล่านี้ คือหนึ่งในหลาย ๆ กลไก ที่อิสลามกำหนดให้กับังคมเพื่อให้คนในสังคมทุกระดับ  สามารถก้าวไปพร้อม ๆ กันโดยไม่ต้องทิ้งใครไว้เบื้องหลังได้ ...นี่คือเจตนารมณ์ ที่แท้จริงของการต่อต้านระบบทุนนิยม   ----------------------------------------------------------- สาเหตุที่ ผมไม่กล่าวว่า  ตาลีบันคือรัฐอิสลามในอุดมคติ  ก็เพราะ  รัฐอิสลามในอุดมคตินั้น ไม่ได้เป็นแบบ 5 ข้อที่คุณกล่าวมาทั้งหมด ข้อ 1และ 2 คุณเข้าใจถูก ข้อ 3 ผมอธิบายไปข้างต้นแล้ว ข้อ 4 มีระบบการเงินเป็นของตัวเอง คือ การเงินในรูปแบบธนาคารอิสลาม  และ ระบบเศรษฐกิจที่ถูกต้องตามหลักชารีอะห์ ข้อ 5 ท่านนบีไม่ได้สอนให้มุสลิมต้องละหมาดหรือขอดุอาทั้งวัน  แต่ท่านสอนให้ออกไปทำงานด้วย....ละหมาดอย่างเดียวโดยไม่ทำงานหาเลี้ยงชีพ ก็ผิด ...ทำงานอย่างเดียวโดยไม่ละหมาดเลย ก็ผิด ...ท่านนบีสอนให้เดินทางสายกลางครับ  ไม่ใช่สุดโต่งด้านใดด้านหนึ่ง ----------------------------------------------------------- คำถามมี 3 ข้อ ข้อ 1 ผมไม่ตอบ...เพราะผมเห็นว่า ตาลีบันไม่ใช่ตัวอย่างที่ถูกต้อง ข้อ 2 เรื่องการต่อต้านระบบทุนนิยม  อธิบายไปข้างต้นแล้วนะครับ  สรุปความอีกทีก็คือ  เราต่อต้านที่แนวคิด และความฟุ้งเฟ้อของระบบ  แต่อิสลามไม่ได้ต่อต้านการพัฒนาความเจริญของมนุษย์นะครับ ข้อ 3ถามว่า ถ้าสังคมเป็นแบบตาลีบัน จะอยู่มั้ย...สำหรับผม ผมคงไม่อยู่ครับ  เพราะไม่ใช่สังคมอิสลามที่ถูกต้อง ตามแนวทางของท่านนบี ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 18 มิ.ย. 49 01:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอเสริมท่านKheedes ในส่วนของ"ประชาธิปไตยในอิสลาม"ครับ ......ในอิสลามไม่มีระบบ "One man One vote" เหมือนประชาธิปไตยตะวันตก แต่อิสลามวางแนวปฎิบัติด้านการเลือกผู้นำเอาไว้ดังนี้ ๑. เลือกโดยการประชุมจากเหล่าผู้อวุโสทางบริหาร เช่นการเลือกผู้นำคนที่สองของรัฐอิสลาม ท่านอบูบักร ๒. เลือกโดยการแต่งตั้งจากผู้นำคนก่อน ซึ่งที่ผ่านการเห็นชอบจากคณะบริหารอวุโสของรัฐ เช่นการเลือกผู้นำคนที่สองของรัฐอิสลาม ท่านอุมัร ๓. เลือกจากผู้ที่ผู้นำคนก่อนที่วางตัวไว้หลายๆคน แล้วคณะบริหารรัฐอวุโส ทำหน้าที่เฟ้นหาตัวคนสุดท้าย เช่นการเลือกผู้นำคนที่สามของรัฐอิสลาม ท่านอุสมาน .....คำว่า "คณะบริหารอวุโส"(ชูรอ) หมายถึง "ผู้ที่คลุกคลีในการทำงานด้านบริหารอย่างดี ไม่สำคัญที่อายุหากแต่ต้องได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากประชาชนทั่วไป ซึ่งรวมถึงหัวข้อของ"คุณธรรม" และ "จริยะธรรม" และต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนด้วย" อีกอย่างนึงคือ ประชาธิปไตยในอิสลามไม่มีระบบ"ฝ่ายค้าน" ซึ่งประชาธิปไตยตะวันตกได้ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐ ระบบตรวจสอบของอิสลามทำโดยประชาชนเอง มีหลายกรณีด้วยกันที่มีการบันทึกว่า ชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่งไปร้องเรียนแก่ประมุข ถึงการเพิกเฉยของผู้นำท้องถิ่นนั้นๆ ต่อความเดือดร้อนของชาวบ้าน ซึ่งได้รับการตอบสนองโดยประมุขทันที (ในสมัยนั้นไม่มีระบบสื่อสารทางไกล และเขตการปกครองก็กว้างใหญ่ แต่การดูแลก็เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นไปไม่ได้หากขาดซึ่งความร่วมมือจากประชาชน ไม่มีข้ออ้างเหลือให้แก่ผู้ที่กล่าวหาว่า "อิสลามปกครองโดยระบอบทรราช") คำถามสามข้อของจขกท. ๑. ตาลีบันไม่ได้ปกครองโดยระบอบอิสลามร้อยเปอร์เซ็น ในแง่การจำกัดเสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ศาสนิกอื่นภายใต้การดูแลของตน เห็นได้จากการทำลายพระพุทธรูป และอื่นๆ จึงไม่เข้าข่าย "รัฐอิสลามในอุดมคติ" ๒. การต่อต้านระบอบทุนนิยมไม่ใช่การต่อต้านความเจริญ หากแต่เป็นการต่อต้านลิทธิ "บริโภคนิยม" ซึ่งทำให้เกิดการเหลื่อมล้ำทางสังคม  อิสลามส่งเสริมการที่ประชากรภายในประเทศให้มีการก้าวหน้าทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆกัน และพยายามลดช่องว่างทางสังคมให้น้อยที่สุด ทั้งนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่ระบอบคอมมูนได้วางไว้ แต่อาศัยระบบ"ซะกาต" และ"คำสอนในกุรอ่าน"ในการบริหารจัดการเป็นหลัก ๓. สำหรับผม ผมไม่อยู่ครับ ป.ล อิสลามส่งเสริมให้คนแสวงหารายได้ของตนเอง   (กุรอ่าน62:10) "ต่อเมื่อการละหมาดได้สิ้นสุดลงแล้ว ก็จงแยกย้ายกันไปตามแผ่นดิน และจงแสวงหาความโปรดปราน(ในที่นี้หมายถึง "รายได้จากการทำงาน")ของอัลลอฮฺ" วจนะศาสดาได้บันทึกไว้ว่า "การที่คนหนึ่งเข้าป่าแล้วแบกฟืนกลับมาขาย (ถึงแม้จะเป็นรายได้ที่น้อยนิด)ยังดีกว่าการที่เจ้าไปเที่ยวแบมือขอเศษเงินจากคนอื่น" อีกบทหนึ่งได้บันทึกว่า "ทรัพย์สินที่ดีที่สุดคือ ทรัพย์สินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง" ครั้งหนึ่ง ท่านอุมัร (ผู้นำคนที่สองของรัฐอิสลาม)ได้กล่าวสุนทรพจน์ใจความว่า "พวกเจ้าจงออกไปทำงานทั้งในทุ่ง และในเมืองเถิด แท้จริงใครที่เขาพยายาม เขาจะได้ในสิ่งที่เขาพยายาม และพวกท่านรู้ดีว่า ฝนไม่ได้หลั่งลงมาเป็นเงิน เป็นทอง" แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 49 03:20:43 จากคุณ : SA Student - [ 18 มิ.ย. 49 03:03:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เจ้าของกระทู้คิดได้ไงว่า ทุนนิยม = ความเจริญ ทุนนิยม คือ คนรวยถูกยกย่องเพราะรวย มีเงินก็ตั้งพรรคการเมือง ดูดคนเข้ามา ซื้อเสียง และก็เป็นผู้นำ ด้วยความรู้ความสามารถตีความกฎหมายเข้าข้างพวกพ้อง ทุนนิยม คือ รัฐออกเลขทุก 15 วันให้ประชาชนทาย ทายถูกรับรางวัล ทายผิดเอาเงินมาให้รัฐ คืออยากรวยเพราะรัฐ ทุนนิยม คือ ตัวเลขทางเศรษฐกิจสูงล้ำ แต่ทางศีลธรรมหดหาย จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 18 มิ.ย. 49 07:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Totally Dictatorship คือคุณจะถูกสอนให้ไม่ต้องใช้ความคิด เหมือนหุ่นยนต์ ผู้ชายเป็นใหญ่ หญิงเป็นอะไรไม่ทราบ ทุกคนทำตามเจตนาของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์โดยตรงได้ ก็ต้องสารผ่าน agent การทำตามเจตนาของพระเจ้าคือ การทำตามเจตนารมณ์ของ Agent นั้นเอง จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 18 มิ.ย. 49 18:13:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นกระทู้ก่อนๆ บอกให้เอาวิชาการและเหตุผลมาเถียง กัน ไหง กระทู้นี้เอา ความไม่รู้ของตัวเอง มา post สะงั้นละครับ คุณ ประชาชน(ไทย) -*- แถมไม่มีหลักฐานเหตุผลสนุนสนุน โต้เถียงกับ ความเห็นข้างบนแลยอะครับ วางมาตราฐานไว้ โปรดใช้ด้วย เน้ออ จากคุณ : beckmee - [ 18 มิ.ย. 49 19:21:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องสิทธิสตรีในอิสลามรวบรวมไว้แล้วในบล็อกของผมครับ คุณประชาชน(ไทย)ลองแปเยี่ยมดู มีข้อสงสัยซักถามได้ครับ จากคุณ : SA Student - [ 18 มิ.ย. 49 21:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ จาก คคห.4 ครับ ----------------------------------------------------------- "คือคุณจะถูกสอนให้ไม่ต้องใช้ความคิด" >>>ความจริง อิสลามสอนว่า และพระองค์จะทรงลงโทษ แก่บรรดาผู้ไม่ใช้สติปัญญา"   (กุรอาน 10:100) "พวกเจ้าใช้ให้ผู้คนกระทำความดี โดยที่พวกเจ้าลืมตัวของพวกเจ้าเองกระนั้นหรือ ? และทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าอ่านคัมภีร์กันอยู่ แล้วพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญากระนั้นหรือ ?"  (กุรอาน 2:44) "....พวกท่านไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ?"   (กุรอาน 2:76) "...แน่นอนล้วนเป็นสัญญาณนานาประการ แก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา"  (กุรอาน 2:164) "....อัลลอฮ์จึงทรงแจกแจงโองการทั้งหลายให้พวกเจ้าทราบ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ใคร่ครวญ"  (กุรอาน 2:266) "....ที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะใช้ปัญญา"  (กุรอาน 6:151) ------------------------------------------------------ "เหมือนหุ่นยนต์" >>> "อัลลอฮ์จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใดนอกจากตามความสามารถของชีวิตนั้นเท่านั้น   ชีวิตนั้นจะได้รับการตอบแทนดีในสิ่งที่เขาได้แสวงหาไว้ และชีวิตนั้นจะได้รับการลงโทษในสิ่งชั่วที่เขาได้แสวงหาไว้..." (กุ รอาน 2:286) "...แท้จริงอัลลอฮฺจะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเอง..." ( กุรอาน 13:11) ...หุ่นยนต์ที่ไหน มีอิสระ  และรู้จักแสวงหาเองครับ ----------------------------------------------------------- "ผู้ชายเป็นใหญ่" >>>"และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงต่างคนต่างก็เป็นมิตรของกันและกัน พวกเขาใช้กระทำแต่การดีและห้ามปรามในสิ่งต้องห้าม" (กุรอาน 9:71) "สำหรับบรรดาผู้ชายนั้น ย่อมมีส่วนรับของตนเอง จากที่พวกเขาได้อุตสาหะไว้ และสำหรับผู้หญิงก็มีส่วนรับ (ของตนเอง) จากที่พวกนางได้อุตสาหะไว้ " ( กุรอาน 4 :32 ) "และสิทธิของพวกนางเหมือนกันกับสิทธิของสามี ที่พึงมีอยู่เหนือนางโดยชอบธรรม " (กุรอาน 2:228) ท่านศาสดากล่าวว่า “โอ้ประชาชนทั้งหลายพวกท่านทั้งหลายมีสิทธิที่ได้รับมอบหมายเหนือฝ่ายสตรี และฝ่ายสตรีก็มีสิทธิเหนือฝ่ายชายเช่นกันในหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมาย ดังนั้นพวกท่านจงได้ปกป้องดูแลภรรยาของพวกท่านด้วย ความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทำได้เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยาของเขาเอาไว้ให้อยู่ในความพิทักษ์รักษาของพระผู้เป็นเจ้า” ----------------------------------------------------------- "ทุกคนทำตามเจตนาของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์โดยตรงได้" >>> "....และพวกเจ้าจงขอต่ออัลลอฮฺเถิด จากความกรุณาของพระองค์แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง" (กุรอาน 4:32) จาก อะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า " อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งได้ตรัสว่า บุตรอาดัม (มนุษย์) เอ๋ย ตราบใดที่สูเจ้าขอ (ดุอาอฺ) และมีความหวังจากฉัน ฉันจะอภัยให้ในความผิดที่สูเจ้าได้กระทำ และฉันจะไม่สนใจอีก บุตรอาดัมเอ๋ย แม้ว่าความผิดของสูเจ้าจะสูงเท่าชั้นฟ้า หลังจากสูเจ้าขออภัยโทษจากฉัน แล้วฉันก็อภัยให้สูเจ้า บุตรอาดัมเอ๋ย ถ้าสูเจ้ามายังฉันด้วยบาปเต็มแน่นเท่าพิภพ แล้วสูเจ้ามาพบฉันโดยที่สูเจ้าไม่ได้ตั้งภาคีใดๆกับฉัน แน่นอน ฉันจะให้อภัยแก่สูเจ้าด้วยการอภัยที่เท่าพิภพเช่นกัน"  (บันทึกโดยติรมิซี ท่านกล่าวว่าเป็น หะดีษ หะซัน เศาะฮีหฺ) ------------------------------------------------------------ "การทำตามเจตนาของพระเจ้าคือ การทำตามเจตนารมณ์ของ Agent นั้นเอง" >>>   ที่ถูกต้อง ต้องเรียงประโยคใหม่ เป็น  การทำตามเจตนารมณ์ของศาสนทูต คือการทำตามเจตนาของพระเจ้า   "และเขา (มูฮัมมัด) ไม่ได้พูดตามอารมณ์  มันมิใช่อื่นใด นอกจากเป็น วะฮีย์ (การเปิดเผย) ของพระเจ้า" (กุรอาน 53:3-4) "แท้จริง เจ้าไม่สามารถที่จะชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่เจ้ารักได้  แต่อัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง"  (กุรอาน 28:56) ------------------------------------------------------------ ศีล 5 ข้อที่ 4 มุสาวาทา เวรมณี ---- เว้นจากการพูดเท็จ ความพยายามทางวาจา หรือความพยายามทางกายอันทำลาย ประโยชน์ ของบุคคลผู้มุ่งกล่าวให้ขัดแย้งกัน ชื่อว่า มุสา. ก็เจตนาอันให้ตั้งขึ้นด้วยความพยายามทางกายหรือทางวาจา ที่มุ่งจะกล่าวให้คลาดเคลื่อนเป็นอย่างอื่น ของบุคคลอื่น โดย ประสงค์จะกล่าวให้คลาดเคลื่อน ชื่อว่า มุสาวาท. หลักในการพิจารณามุสาวาทมีองค์ (หลัก) 4 คือ 1. เรื่องไม่จริง (แท้). 2. จิตคิดจะพูดให้คลาดเคลื่อน. 3. ความพยายามเกิดจากจิตคิดจะพูดให้คลาดเคลื่อนนั้น. 4. คนอื่นรู้เรื่องนั้น. .......ครบองค์ประกอบหรือไม่ พิจารณาเองนะครับ...... ด้วยจิตคารวะ แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 49 21:25:51 แก้ไขเมื่อ 18 มิ.ย. 49 21:23:57 จากคุณ : kheedes - [ 18 มิ.ย. 49 21:21:48 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณประชาชน(ไทย) อยากมีเจ้าอาวาสวัดไทยในลอนดอนเป็นผู้หญิงอ่ะครับ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 18 มิ.ย. 49 21:45:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณคุณคีเดส และ Sa student ครับ        ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะ ผมถามต่อตรงๆเลยละกัน   คือระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยเนี่ย มันสวยหรูไม่แพ้การปกครองแบบอิสลามเลยนะ เป็นการปกครองประชาชนโดยประชาชนเพื่อประชาชน มีทฤษฎีการปกครองมากมายที่สวยหรูไม่ว่าจะเป็นของคาล มาร์ก หรือแม้แต่ระบบการปกครองโดยจักรพรรดิผู้ทรงธรรมในตำนานของชาวพุทธ         แต่ไม่เคยว่ามีปรากฎการใช้แบบจริงๆจังๆเลย    เราพอจะสรุปได้ไหมครับว่า จริงๆแล้วระบบการปกครองแบบอิสลามก็คือทฤษฎีหนึ่งที่สวยหรูแต่ไม่เคยบังเกิดขึ้นเลยในความเป็นจริงเหมือนๆกันทฤษฎีการปกครองแบบอื่นๆ        ทั้งนี้ผมพิจารณาจากความเป็นจริงว่า เมื่อมีการนำทฤษฎีมาใช้มักมีความผิดพลาดเสมอ อย่างผมเองมีเพื่อนเป็นคาธอลิกคนหนึ่งเขาเป็นคนอียิปต์โดยกำเนิด ปัจจุบันเขาย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียแล้วครับ เขาเล่าให้ผมฟังว่าที่อียิปต์มีการนำกฎหมายอิสลามมาใช้ แต่เมื่อถึงคราวที่โบสถ์คริสต์เก่าๆสักหลังจะทาสีใหม่ ทางโบสถ์ต้องยื่นเรื่องเพื่อขอพิจารณาโดยใช้เวลาหลายเดือนและจะต้องผ่านการอนุมัติจากประธานาธิบดี                  คือกรณีนี้จะถือว่าได้ให้อิสระเต็มที่กับชาวศาสนิกอื่นหรือเปล่าครับ ผมหมายถึงว่าเมื่อมุสลิมบอกว่าให้อิสระ คืออิสระแบบที่ต้องเห็นชอบจากมุสลิมว่า การกระทำนั้นไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงความเชื่อของมุสลิมบริเวณนั้นๆอะไรทำนองนั้นน่ะครับ          สำหรับคุณดาบครับ  มันไม่แปลกหรอกครับที่ผมจะเอาทุนนิยมมารวมกับความเจริญ ในเมื่อมุสลิมหลายท่าน ผมมั่นใจว่าเป็นจำนวนมากอาจจะรวมถึงคุณด้วยเคยสับสนในตัวเองว่าจะต่อต้านทุนนิยมยังไง จะด้วยการไม่กินเคเอฟซี หรือแม็ค แล้วก็ไล่รายชื่อสินค้าที่เกี่ยวข้องโดยยิวขึ้นมา เสร็จแล้วก็ถามกันเองว่าตกลงมีอะไรที่ใช้ได้บ้างเนี่ย          อย่าลืมนะครับว่าพวกตาลีบันไม่ใช่พวกไม่รู้อัลกุรอ่านนะครับ ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าผู้บริหารหลายๆคนนั่นรู้คำสอนและหะดิสมากกว่าคุณซะอีก          ก็พวกนี้นี่แหละปกครองประเทศแบบไม่ให้ดูทีวีไง                  ยังจะมาสงสัยอีกว่าเราคิดได้ไง จากคุณ : hatorihunso - [ 18 มิ.ย. 49 23:15:53 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ "เราพอจะสรุปได้ไหมครับว่า จริงๆแล้วระบบการปกครองแบบอิสลามก็คือทฤษฎีหนึ่งที่สวยหรูแต่ไม่เคยบังเกิดขึ้นเลยในความเป็นจริงเหมือนๆกันทฤษฎีการปกครองแบบอื่นๆ" >>> จริง ๆ รูปแบบการปกครอง  ตามทฤษฎีของรัฐอิสลามข้างต้น  มีการใช้จริง และเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตครับ  เกิดขึ้นครั้งแรกเลย คือสมัยท่านนบีมูฮัมมัด (ศ็อลฯ)  และสืบทอดต่อมา ในสมัยของคอลีฟะห์ ทั้ง 4 (คือ ท่านอบูบักร ,อุมัร,อุสมาน และก็ท่านอาลี) ...เมื่อท่านอาลี เสียชีวิตลง  มุอาวิยะห์ได้ขึ้นปกครองรัฐอิสลาม  และเปลี่ยนการปกครองไปสู้ระบอบจักรวรรดิ  ที่มีจักรพรรดิเป็นประมุข (หรือระบบสุลต่าน)  นั่นคือจุดเปลี่ยนของระบอบรัฐอิสลามครับ  และการปกครองต่อ ๆ มาก็ปกครองในรูปแบบของราชวงศ์เรื่อยมา  เช่น ราชวงศ์อุษมานียะห์ , ราชวงศ์อับบาซียะห์ (อับบาซิด) , ราชวงศ์ฟาติมียะห์ ฯลฯ .....และระบอบจักรวรรดิอิสลามก็สิ้นสุดลง พร้อมกับสุลต่านคนสุดท้ายแห่งออตโตมาน ...แม้ว่าต่อมาจะมีการฟื้นฟูระบอบรับอิสลามขึ้นมาอีกครั้ง  แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างเต็มรูปแบบ  เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศ ..ตัวอย่างเช่น ซาอุดิอาระเบีย  แม้จะมีการสถาปนารัฐอิสลามขึ้นมาใหม่  แต่การปกครองก็เป็นไปในรูปแบบราชวงศ์ ไม่ใช่ระบบคอลีฟะห์...และราชวงศ์ซาอุฯ ก็มีพันธะกรณีต่อมหามิตรอเมริกา  นั่นคือ ความปลอดภัย และความมั่นคงแห่งราชวงศ์ซาอุฯ ถือเป็นความรับผิดชอบของกองทัพสหรัฐ  โดยแลกกับผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์ทางทหาร ...สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่รูปแบบการปกครองตามแบบรัฐศาสตร์อิสลาม  เพราะตามหลักรัฐศาสตร์อิสลาม  รัฐจะต้องคงไว้ซึ่งอธิปไตย และเอกราชโดยสมบูรณ์  และเป็นเอกราชที่วางอยู่บนชารีอะห์อิสลาม  ไม่ใช่ผลประโยชน์ต่างตอบแทนกับต่างชาติ (โดยเฉพาะเป็นชาติที่ไม่ใช่มุสลิมด้วยกันแล้ว..) ...กรณีอียิปต์ ก็เช่นกันครับ  อียิปต์ แม้จะใช้กฎหมายอิสลาม  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อียิปต์จะดำเนินตามแนวทางการปกครองแบบอิสลามเต็มรูปแบบ  อิยิปต์อาจเลือกใช้ นิติศาสตร์อิสลาม  ในการตัดสินคดีความต่าง ๆ   แต่ใช้รัฐศาสตร์ตะวันตก กับอิสลามผสมกัน เป็นต้น ...การให้อิสระ กับคนต่างศาสนิกนั้น  แน่นอนว่า รวมถึงสิทธิขั้นพื้นฐานทุกประการ  ถามว่า รวมถึง สิทธิบางประการที่เกี่ยวข้องกับ การเปลี่ยนแปลงความเชื่อของมุสลิมหรือไม่...คำตอบที่ดีที่สุด คงต้องย้อนกลับไปดูในสมัยท่านนบี ....ในปี ฮ.ศ.ที่ 6 ท่านศาสดาได้ทำสนธิสัญญากับชาวคริสเตียน อันเป็นเหตุการณ์ที่มีขันติธรรมอย่างแท้จริงของท่าน โดยเนื้อหาในสนธิสัญญานั้นคือ   - ชาวคริสเตียนเหล่านั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีอย่างยุติธรรม - พระของพวกเขาก็จะไม่ถูกขับไล่ออกจากโบสถ์ - ชาวคริสเตียนที่จะไปแสวงบุญจะไม่ถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ -โบสถ์ของคริสเตียนจะไม่ถูกโค่นทำลาย - หญิงคริสเตียนที่แต่งงานกับชายมุสลิมก็มีสิทธิ์ที่จะยังคงนับถือศาสนาเดิมของตนได้ -เมื่อมีการซ่อมแซมโบสถ์คริสเตียน...มุสลิมจะต้องให้ความร่วมมือช่วยเหลือด้วย หรือตัวอย่างในสมัยคอลีฟะห์ เช่น ....ในสมัยของคอลีฟะห์อุมัร  ผู้ปกครองอาณาจักรมุสลิมลำดับที่ 2 จากท่านศาสดานั้น (ท่านมีชื่อเสียงในเรื่อง ความยุติธรรมเป็นที่สุด) ....มีสงครามครั้งหนึ่งเกิดขึ้น  เป็นสงครามปลดแอก เยรูซาเล็ม จากโรมัน  ซึ่งฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะ   อบูอุบัยด๊ะฮฺ แม่ทัพมุสลิมได้เดินทางไปหาเคาะลีฟะฮฺอุมัร อิบนุลค็อฏฏอบและได้บอกท่านว่า  ชาวเมืองเยรูซาเล็มต้องการให้ท่านมารับกุญแจเมืองเอง ดังนั้น อุมัรจึงได้ออกเดินทางไปยังเยรูซาเล็มพร้อมกับผู้ติดตามรับใช้คนหนึ่ง ...เมื่อเดินทางมาถึง ชาวเมืองเยรูซาเล็มได้ตอนรับท่านด้วยความยินดี ท่านได้ลงนามสัญญาสันติภาพที่รู้จักกันดีฉบับหนึ่งกับชาวเมืองซึ่งมีใจความว่า   ...“ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ นี่คือสิ่งที่ อุมัร ผู้นำแห่งศรัทธาชนบ่าวของอัลลอฮฺ ได้ให้แก่ชาวเมืองเยรูซาเล็มเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของทรัพย์สินเงิน โบสถ์ เป็นต้น ...โบสถ์ของพวกเขาจะไม่ถูกทำลาย พวกเขาจะไม่ถูกทำร้ายหรือถูกบังคับให้ยอมรับศาสนาโดยไม่เต็มใจ .... สัญญานี้ได้รับการค้ำประกัน โดยเคาะลีฟะฮฺและมุสลิมทั้งหมดและถูกเฝ้าดูโดยอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์...ตราบใดที่อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติสนธิสัญญาและจ่ายภาษีญิซยะฮฺ (ภาษีที่รัฐอิสลาม เก็บจากผู้ที่มิใช่มุสลิม)” ด้วยจิตคารวะ จากคุณ : kheedes - [ 19 มิ.ย. 49 01:34:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คห. 7 ผมดูที่"การกระทำมาก" กว่า คัมภีร์ที่ยกมาอ้างนะ ตัวหนังสือคือตัวหนังสือ การกระทำของคนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะอ้างคัมภีร์ข้อความไหน แบบนี้ผมก็ยกขึ้นมาอ้างได้ในทุกเรื่อง มาหนังสือเขียนไว้อย่างนี้ "แต่คนมันทำอีกอย่างหนึ่ง" จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 19 มิ.ย. 49 02:08:07 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คคห.11 คุณไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของผูพูดน่ะครับ จุดมุ่งหมายคือเพื่อบอกว่า "อิสลามไม่ได้สอนให้คนเป็นหุ่นยนต์ หากแต่สอนให้คนใช้ความคิด อิสลามไม่ได้สอนให้ผู้ชายอยู่เหนือสตรี แต่เน้นความเท่าเทียมกัน(Equality)(แต่ไม่ใช่การลอกเลียนแบบ(Identicality))" ใครปฎิบัตินอกจากนี้ เขาไม่ได้ปฎิบัติในกรอบของอิสลาม จะมาอิงความชอบธรรมจากอิสลามนั้นไม่ได้ จากคุณ : SA Student - [ 19 มิ.ย. 49 02:37:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คัมภีร์ คือแหล่งที่มาของคำสอนครับ ไม่ใช่พฤติกรรมของคน "คห. 7 ผมดูที่"การกระทำมาก" กว่า คัมภีร์ที่ยกมาอ้างนะ ตัวหนังสือคือตัวหนังสือ การกระทำของคนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง" >>> แล้วกระทู้ข้างล่างไปยกคำสอนพระคริสต์ กับพระพุทธเจ้ามาเปรียบเทียบทำไมล่ะครับ  ว่ามันคล้ายคลึงกัน  ผมล่ะไม่เข้าใจคุณจริง ๆ ว่าคุณจะเอาอะไรเป็นมาตรฐานในการสนทนากันแน่ ...ถ้าศาสนาสามารถศึกษาได้จากการกระทำของคน  ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะครับ ว่าคุณนับถือศาสนาอะไร ...คุณเองก็ไม่ได้เข้าใจศาสนาที่ตนเองนับถือดีเท่าไหร่หรอกครับ  เพราะถ้าคุณเข้าใจดี  คุณจะไม่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้หรอกครับ ...กระทู้หลายกระทู้ที่คุณเข้าไปแสดงความคิดเห็นก็ใช่ว่าจะถูกต้อง  แม้แต่ศาสนาเดียวกับคุณก็ยังกล่าวหาคุณเลย ...อย่ทำให้ ศาสนาของพุทธองค์เสื่อมเสียไปมากกว่านี้เลยครับ...ถ้าอยากสนุกกับการโต้เถียง มีความสุขกับการเห็นความขัดแย้งบนกระดานเว็บบอร์ด  ก็อย่าอ้างว่าตนเองเป็นพุทธ เลยครับ  อ้างว่าตนเองเป็นคนไม่มีศาสนาดีกว่าครับ อย่างน้อยก็เสียแค่ตัวคุณเอง ผมไม่อยากจะโต้คารม กับคนไม่มีมารยาท และไม่มีมาตรฐาน ในการสนทนานะครับ หวังดี จึงตักเตือนครับ ด้วยจิตคารวะ จากคุณ : kheedes - [ 19 มิ.ย. 49 02:38:51 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คห. 13 ผมเป็นตัวของผมเอง ไม่ได้เป็นตัวแทนพุทธ ผมออกความเห็นในนามของผมเอง " แม้แต่ศาสนาเดียวกับคุณก็ยังกล่าวหาคุณเลย" คนนับถือศาสนาพุทธมีอิสระในการแสดงความเห็น ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ว่า ศาสนาเดียวกันต้องสนับสนุนกันตะพรึดตะพือ ไม่เหมือนบางศาสนา " ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะครับ ว่าคุณนับถือศาสนาอะไร " ผมนับถือเหตุผล และสิ่งที่พิสูจน์ได้ครับ ไม่ได้งมงายทุกเรื่องที่คัมภีร์บอกไว้ต้องเชื่อหัวปักหัวปรำ ผมตรองดูก่อ ปฎิบัติดูก่อน อันไหนไม่รู้ก็ยังไม่เชื่อ ศาสนาพุทธไม่ได้ให้เชื่อตามคัมภีร์ แต่ให้เชื่อเพราะปฎิบัติแล้วว่า มีผลดี อันไหนไม่ดีก็ไม่เอา ศาสนาพุทธไม่เสื่อมเสียหรอกครับ เพราะเป็นศาสนาแห่งปัญญา ไม่ใช่ให้เชื่องมงายไร้สาระ แน่นอนมีคนพุทธมากมายที่งมงาย แต่เพราะเขายังไม่ "บรรลุโสดาบัน" มนุษย์ย่อมมีอวิชชาเป็นที่ตั้ง มีความโมหะความหลงอยู่ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไร ผมว่า "ศาสนาที่เสื่อมเสียชื่อเสียง" คนหวาดกลัวไม่ไว้วางใจไปทั่วโลกคือศาสนาไหนคุณก็รู้แก่ใจตัวเองดีอยู่แล้ว ให้เข้าประเทศยังไม่มีใครอยากให้เข้าเลยครับ ที่ไปอยู่ๆ แล้วเขาก็ไม่ค่อยอยากต้อนรับคบค้าสมาคมด้วย รู้แก่ใจตนเองดีอยู่ อย่าไปว่าคนอื่นเลย ศาสนาไหนที่ทำให้คนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ปล.ผมไม่เชื่อทฤษฎีที่บางคนกรอกหูว่า ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีนะครับ อย่างน้อยก็มีศาสนาหนึ่งที่สอนให้คนเป็นมือระเบิดพลีชีพ สอนให้ฆ่าคนบริสุทธิ์แล้วขึ้นสวรรค์ เป็นนักรบพระเจ้า ศาสนาใดก็ตามที่ให้ฆ่าคนแล้วขึ้นสวรรค์ สอนให้มีสงครามศาสนา ผมไม่ถือว่าศาสนานั้นเป็นศาสนาที่ดี ผมไม่ออกชื่อศาสนานั้นนะครับ แต่ว่าคงเข้าใจดี ปล. 2 ใครดูหนังเรื่อง Kingdom of Heaven จะเห็นว่ามีพระมายืนบอกว่าฆ่าคนนอกศาสนาไม่บาป เป็นทางไปสู่สวรรค์ ผมจึงเข้าใจว่าศาสนาคริสต์ยุคกลางทำไมมีแต่ความเขลา ตอนนี้ศาสนาคริสต์หลุดพ้นช่วงเวลานั้นมาแล้ว แต่ศาสนาหนึ่ง ยังมีพัฒนาการ เท่ากับศาสนาคริสต์ในยุคกลาง ประมาณ คศ. 1100 นั้นแหละ ยังไม่ไปไกลมากกว่านั้น แม้โลกจะไปไกลแล้วก็ตาม แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 05:06:10 แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 04:50:54 แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 04:50:39 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 19 มิ.ย. 49 04:49:37 ]

ความคิดเห็นที่ 15 "...คุณเองก็ไม่ได้เข้าใจศาสนาที่ตนเองนับถือดีเท่าไหร่หรอกครับ  เพราะถ้าคุณเข้าใจดี  คุณจะไม่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้หรอกครับ" แน่นอนหากผมเข้าใจศาสนาพุทธดี ผมก็บรรลุอรหันต์ไปแล้ว ผมว่าคุณ "เข้าใจศาสนาคุณดีมาก" คุณเองจึงมีพฤติกรรมอย่างนี้ไงครับ แต่ผมไม่ได้ยกย่องนะ การคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นของคุณแบบ "กอดคัมภีร์มาตอบ" ผมว่า มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มี  Search ดีๆ มันก็จบแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสติปัญญาอะไร ปล.ผมยังไม่มองว่าคุณมีสติปัญญาอะไรนะครับ นอกจาก  "ก็อปปี้ข้อความใน Text มาปะติด" แล้วกล่าวหาคนอื่นนะครับ และหากผมเห็นใครก็อบข้อความในคัมภีร์มาปะติด ผมจะไม่อ่านด้วย เพราะผมไม่ถือว่าคนๆนั้น มีกึ้น เพียงพอที่จะคิดวิเคราะห์ โต้ตอบเองได้ ผมถือว่ามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดีๆ ก็ทำได้ ไม่ต้องเรียนอะไรมากมาย ที่จริงผมไม่อยากยุ่งกับมุสลิม หากไม่มาแส่ยุ่งกับผมก่อน ในเรื่องที่ไม่ใช่ "กิจของตน" นะครับ ปล. คุณอ่านทุกอ้นผมไม่เคยด่าคุณเลย หรือหกล่าวหา แต่ผมเห็นพวกคุณด่าผมตลอด ใครไม่มีมารยาท ผมไม่ทราบเหมือนกันนะครับ แต่ผมคิดว่าผมมีมารยาทอย่างที่สุดแล้วทีจะไม่ด่า กล่าวหา คนแสดงความเห็นนะครับ หากคุณคิดว่าผมไม่มีมารยาท ก็อย่าเข้ามายุ่งกับผมอีก อย่าแส่ในกิจที่ไม่ใช่ของตัวเองนะครับ ปล่อยให้เจ้าของเรื่องเขาตอบเอง หากคุมสติไม่ได้นะครับ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 05:03:36 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 19 มิ.ย. 49 04:58:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 --- "อิสลามไม่ได้สอนให้ผู้ชายอยู่เหนือสตรี แต่เน้นความเท่าเทียมกัน(Equality)" --- ข้อความนี้ ต่อให้คุณสาบานต่อหน้าพระเจ้าพูดผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ หรือ"ให้พระเจ้ามาบอกผมเองผมก็ไม่เชื่อเด็ดขาด" เพราะการกระทำมันเห็นๆ อยู่ พูดให้ดูดีใครก็พูดได้ แต่การกระทำไม่เป็นแบบนั้น แม้แต่ตัวพระเจ้าของศาสนาไหนก็เถอะ หากพูดอีกอย่าง ทำอีกอย่าง ผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 05:20:35 แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 05:15:37 แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 05:14:25 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 19 มิ.ย. 49 05:13:17 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คห. 6 เรื่องสิทธิสตรี ผมไม่เชื่อที่อิสลามพูด ผมดูที่การกระทำครับ และการฟังเรื่องสิทธิสตรีจาก "ชายมุสลิม" เป็นสิ่งที่โง่เหง้าที่สุดในโลกครับ ผมมีเพื่อนสนิทเป็นสาวมุสลิมระดับด็อกเตอร์นะครับ จากอิหร่านด้วยครับ จบจากมหาวิทยาลับเตหะรานนะครับ แต่ฟังเรื่องสิทธิสตรี จากหนุ่มมุสลิมชาวไทย (ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนในสามจังหวัดภาคใต้ แต่อาจผิด ผมเดาเอา) นี่ หากผมเชื่อผมก็บ้าหรือสติไม่ดีแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 05:27:59 แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 05:26:53 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 19 มิ.ย. 49 05:25:30 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คุณประชาชน(ไทย)ครับ       ผมเป็นคนมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม คำพูดต่างๆที่คุณเขียนโพสในกระทู้นี้ เป็นการแสดงความเห็นที่เกิดจากการเกลียดชัง ที่มีต่อศาสนามุสลิม อันเป็นสิทธิของคุณ      แต่การนำเสนอของคุณเหมาะสมแล้วหรือ การที่ใครก็ตามได้รับการยกย่องเป็นศาสดาจากคนจำนวนมากมาย ตัวคุณมีความใกล้เคียงพอที่จะวิจารณ์แล้วหรือ คุณจะวิจารณืใครหรือผู้ใดที่โต้เถียงกับคุณ ไม่มีใครว่าคุณได้ แต่การตำหนิและว่าศาสนาใหนๆก็ตาม เป็นการกระทำอันเป็นการก่อการร้ายต่อประชาชาติของโลกครับ ไม่ว่าจะเป็นระเบิดพลีชีพ หรือสงครามล้างเผ่าพันธุ์ ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง เกิดจากต้นเหตุที่มีคนพูดและตำหนิศาสนาซึ่งกันและกันเช่นที่คุณกระทำ เป็นต้นเหตุทั้งนั้นครับ โปรดได้ปรับปรุงการนำเสนอเสียใหม่ครับ คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไป อย่าเอาแค่ความสะใจเป็นสรณะครับ เรื่องของการนับถือศาสนา ทางของใครก็ทางของคนนั้นครับ ท่านนับถือศาสนใดท่านก็นับถือไป ผมนับถือศาสนาอิสลามผมก็นับถือของผมต่อไป ในชีวิตผมไม่เคยกล่าวตำหนิศาสนาใดๆ เพราะเหตุผลที่ว่า ทุกๆศาสดา นั้นย่อมเป็นบุคคลที่ความสามารถมากมายนักในการรวมศรัทธาให้คนเชื่อเถือได้ แล้วผมละเป้นใคร แค่คนในบ้านกระผมจะมีความศรัทธาในตัวกระผมหรือป่าว ผมยังไม่รู้เลย ผมถึงได้มิบังอาจ ไปตำหนิคำสอนใดๆของศาสดาทุกๆศาสนา ผมนั้นเทียบได้แค่เศษสวะคนหนึ่งเท่านั้น จึงมิบังอาจไปวิจารณ์คำสอนของศาสดาทั้งหลายครับ จากคุณ : คนไร้สภาพ - [ 19 มิ.ย. 49 07:22:25 ]

ความคิดเห็นที่ 19 555 อย่าอ้าง สิทธิสตรี ในเมื่อศาสนาคุณยังให้ไม่ได้ หากสตรีอยากเป็นเจ้าอาวาส นุ่งเหลืองห่มเหลืองและถือศีล 227 ข้อ บ้างล่ะ??? ให้สิทธิพวกเธอสิครับ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 19 มิ.ย. 49 07:30:02 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อย่าตอบโต้การตำหนิศาสนาด้วยการตำหนิศาสนาครับ           เพราะจะเปรียบเสมือนเราพูดเท็จเพื่อตอบโต้คนพูดเท็จ จากคุณ : คนไร้สภาพ - [ 19 มิ.ย. 49 07:46:29 ]

ความคิดเห็นที่ 21 . เด็กน้อย จากคุณ : monamy - [ 19 มิ.ย. 49 09:13:10 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ด้วยความเคารพนะครับ ผมอ่านการปกครองแบบอิสลามตามที่คุณ kheedes ช่วยกรุณาอธิบายแล้ว ต้องขอบอกตามตรงว่านี่ไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตยนะครับ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยในแบบที่เป็นที่ยอมรับกัน อำนาจนิติบัญญัติ(การเสนอร่างกฏหมาย)ก็ไม่ได้อยู่ที่ประชาชน เพราะมีกฏอิสลามให้ใช้อยู่แล้ว อำนาจบริหารก็ไม่ได้อยู่ที่ประชาชน เพราะประชาชนไม่มีสิทธิ์เลือกผู้นำเลย (วิธีการ 3 อย่างที่อยู่ใน คคห.2 นั่นไม่มีการพูดถึงประชาชนเลย) ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งแต่มีพรรคเดียวให้เลือก ไม่มีฝ่ายค้าน ก็เหมือนจีนแดงน่ะครับ มีพรรคคอมมูนิสต์ให้เลือกพรรคเดียว อำนาจตุลาการนี่คุณ kheedes ไม่ได้อธิบายไว้ แต่ไม่ทราบว่าใครแต่งตั้งผู้พิพากษาครับ ในศาลมีลูกขุนไหม คุณ kheedes บอกว่าในรัฐอิสลาม รัฐบาลและประชาชนทั้งหมดจะต้องปฏิบัติไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตรงที่ว่า"เจตนารมณ์ของพระเจ้า"นี่ใครเป็นคนรับเจตนารมณ์ของพระองค์มาบอกประชาชนหรือครับ ผู้นำทางศาสนาหรือเปล่า ลองค้นหาคำว่า ecclesiocracy ดูนะครับว่าต่างจาก democracy ยังไงบ้าง ส่วนการต่อต้านทุนนิยมนั้น ผมคิดว่าเป็นการต่อต้านวัตถุนิยมมากกว่า ซึ่งไม่เสียหายอะไรครับ แต่ผมสงสัยว่าถ้าให้กู้แต่ไม่เก็บดอกเบี้ยนี่ใครจะเอาเงินมาให้กู้ฟรีๆครับ มีการให้กู้หรือเปล่า ผู้ประกอบการสามารถระดมทุนทางไหนได้บ้าง จากคุณ : HotChoc - [ 19 มิ.ย. 49 09:25:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ใจเย็นๆกัน ตอนนี้อิสลามส่วนหนึ่งยังไม่พ้นสภาพจากยุคกลางก็จริง แต่อีกไม่นานก็ต้องพ้น โลกนี้ไม่เที่ยง สิ่งใดเคยมีอยู่เมื่อ1000ปีที่แล้ว ชั่วไม่นานก็พลันสลาย เราอย่ายึดมั่นถือมั่น มันเป็นเช่นนั้นเอง จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ 19 มิ.ย. 49 10:04:53 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ ตอบ คคห.22 ครับ .......คำว่าประชาธิปไตยในแบบที่เป็นที่ยอมรับกันนั้น  มีรากฐานมาจากประชาธิปไตยของชาติตะวันตกครับ  ในขณะที่ระบบประชาธิปไตยแบบอิสลามนั้น เป็นอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งแตกต่างกัน  นั่นจึงทำให้โลกตะวันตกต้องปะทะแนวคิดกับโลกอิสลามอยู่จนถึงปัจจุบันครับ ...ตัวอย่างเช่น ในระบบการเมืองประชาธิปไตยตะวันตกนั้น อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการนั้นมาจาก รัฐสภาพิจารณาออกกฎหมายต่าง ๆ ...ในขณะที่ ระบอบประชาธิปไตยอิสลามนั้น  อำนาจบริหาร คือ ตำแหน่งคอลีฟะห์และคณะบริหาร มาจากบุคคลผู้ทรงความรู้ในด้านต่าง ๆ  ความแตกต่างกับ  ระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันก็คือ  ในระบอบปัจจุบัน ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่บริหาร คือ ประชาชนเลือกมา และคณะรัฐบาลจะจัดสรรคนลงไปยังตำแหน่งต่าง ๆ อีกที ซึ่งอาจมีความถนัด หรือไม่ถนัดในงานก็ได้  อาจเป็นคนโกงกินหรือไม่โกงกินก็ได้ ...  แต่ในระบอบอิสลาม  ผู้บริหารต้องมีความถนัดในสาขานั้น ๆ โดยตรง  และเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์ทั้งในด้านทางโลกและทางธรรม  รวมทั้งต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชน...นั่นคือ หากคณะผู้บริหาร ไม่สามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้  ประชาชนก็มีสิทธิร้องขอให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารได้ เป็นต้น ...ส่วนในด้านอำนาจนิติบัญญัตินั้น  ความแตกต่างคือ ในระบอบปัจจุบันต้องมีการร่างกฎหมายขึ้นมา  มีการเขียนรัฐธรรมนูญเอง  ในขณะที่ระบอบอิสลามนั้น  ใช้กุรอานเป็นรัฐธรรมนูญ  และซุนนะห์ (แบบฉบับท่านศาสดา) เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ  แต่สิ่งที่คล้ายกันก็คือ ระบอบอิสลามก็อนุญาตให้มีการออกกฎหมายและข้อบังคับปลีกย่อยต่าง ๆ ได้ โดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่นกัน ...อำนาจตุลาการ นั้นก็เช่นกัน อิสลามใช้กุรอานเป็นมาตรฐานแห่งแม่บทในการพิจารณาคดีต่าง  ๆ และหากว่า สิ่งใดที่ไม่มีระบุไว้ในกุรอาน  ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้องในการออกข้อบังคับเพื่อใช้ปกครองได้  ส่วนตุลาการ หรือผู้พิพากษานั้น อาจเป็นตัวผู้นำเอง (เช่นในสมัยท่านนบี ) หรือผู้นำ แต่งตั้งขึ้นมาครับ  ในกรณีที่มีเขตการปกครองกว้างขวาง "คำว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้า"  ผู้ที่รับมา คือ ท่านนบีมูฮัมมัดครับ  และถ่ายทอดออกมาเป็นกุรอาน ...ไม่ใช่ว่า มีคอลีฟะห์คนหนึ่งขึ้นมาปกครองรัฐแล้ว  ก็อ้างนู่นอ้างนี่ แล้วก็บอกว่าเป็นเจตนารมณ์พระเจ้า  เช่นนี้ไม่ถูกต้องครับ   ...สรุปง่าย ๆ ก็คือ ผู้นำรัฐ เป็นเพียงตัวแทนประชาชน  ที่เข้ามาใช้อำนาจของ กุรอาน  ในการปกครองประชาชนครับ....เพราะการกระทำทุกอย่างจะต้องวางอยู่บนพื้นฐานของกุรอาน  ดังนั้น ความแตกต่างกับระบอบตะวันตกก็คือ  ระบอบอิสลามที่แท้จริง  ไม่ว่าจะปกครองไปกี่ยุคกี่สมัย  ก็จะวางอยู่ในแนวทางเดียวกันหมด  เพราะใช้รัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียว....ในขณะที่การปกครองในปัจจุบัน  อาจเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เป็นเผด็จการบ้าง  เป็นประชานิยมบ้าง  เป็นประชาธิปไตยบ้าง  ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำในยุคนั้น ใช้รัฐธรรมนูญแบบใด ...อำนาจของประชาชนก็คือ  การเลือกว่า จะให้ผู้นำคนนั้นเป็นผู้ปกครองต่อไป  หรือเปลี่ยนเป็นคนใหม่ครับ   ...ส่วนเรื่อง ดอกเบี้ยนี่  อิสลามไม่มีครับ  แต่ใช้ระบบการปันผลกำไรเข้ามาใช้แทนครับ ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 19 มิ.ย. 49 11:39:15 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คคห.16 "--- "อิสลามไม่ได้สอนให้ผู้ชายอยู่เหนือสตรี แต่เน้นความเท่าเทียมกัน(Equality)" --- ข้อความนี้ ต่อให้คุณสาบานต่อหน้าพระเจ้าพูดผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ หรือ"ให้พระเจ้ามาบอกผมเองผมก็ไม่เชื่อเด็ดขาด" เพราะการกระทำมันเห็นๆ อยู่ พูดให้ดูดีใครก็พูดได้ แต่การกระทำไม่เป็นแบบนั้น แม้แต่ตัวพระเจ้าของศาสนาไหนก็เถอะ หากพูดอีกอย่าง ทำอีกอย่าง ผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ .....ผมเขียนภาษาไทยแล้วน่ะครับว่า "อิสลามสอน...."นี่คือหากคุณพูดถึงคำสอน แต่ถ้าพูดถึงการกระทำมันคนละเรื่องกัน อันนั้นต้องไปโทษเจ้าตัวเอง ส่วนเรื่องเพื่อนสาวที่เป็นคนอิหร่าน พูดถึง"สิทธิสตรีในอิสลาม"อย่างไรบ้าง เล่าๆมาซิครับ เพราะที่อิหร่านเองไม่ได้ปกครองโดนใช้อิสลามอยู่แล้ว เป็นความเข้าใจผิดของพวกรู้น้อยที่คิดว่าอิหน่านเป็นประเทศมุสลิม แล้วเรื่องพระเจ้าพูดอย่างทำอย่างนี่มันเรื่องอะไร? ป.ล คุณดูที่การกระทำ ไม่ทรายบว่าคุณไปดูใครมา? ตั้งแต่เด็ก คุณพ่อผมยอมคุณแม่ผมทุกอย่างน่ะครับ จนถึงทุกวันนี้ จากคุณ : SA Student - [ 19 มิ.ย. 49 11:44:07 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับว่า การปกครองของอิสลามเกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยอย่างไร หากไม่มีฝ่ายค้านตรวจสอบ ยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับว่า การเลือกผู้นำหรือคอลีฟะห์ มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ หรือการแต่งตั้ง หากแต่งตั้งเห็นชอบโดยใคร ถอดถอนอย่างไร ยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับว่า การออกกฎหมายอิสลาม นั้นคือการตีความจากอัล-กุรอ่าน หากเนื้อหาที่ไม่มีในอัล-กุรอ่านใช้หลักอะไรในการตีความกฎหมายให้ทันสมัย ยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับว่า อำนาจประชาชน หมายความว่าอย่างไร ประชาชนมีหลายฝ่ายด้วยสิครับ ปล. ขอนอกเรื่องครับ การคลุมฮิญาบ ในศาสนาอิสลาม บังคับหรือไม่ ครอบคลุมอย่างไร ผมเห็นราชอาคันตุกะจากมาเลเซีย และโมรอกโค ไม่สวมฮิญาบ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 19 มิ.ย. 49 12:03:37 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ประชาธิปไตยแปลง่ายๆก็คืออำนาจอยู่ที่ประชาชน คุณ kheedes บอกว่าประชาชนถอดผู้นำได้ ถามง่ายๆว่ามีกระบวนการยังไงครับ สมมติว่ามีคนออกมาร้องเรียนว่าผู้นำผิด ใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าผู้นำไม่ดีจริง ผู้ตัดสินนั้นเป็นคนที่ประชาชนเลือกมาไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมหรือเปล่า ตามกระบวนการประชาธิปไตยแล้ว ผู้ตัดสินคือสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้หลักการเช่นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทีนี้ในรัฐอิสลามฝ่ายค้านก็ไม่มี ศาลก็เป็นตัวผู้นำซะเองหรือไม่ก็ผู้นำแต่งตั้ง อำนาจก็อยู่ในมือคนกลุ่มนี้เท่านั้นซิครับ "เจตนารมณ์ของพระเจ้า"คือกุรอาน สมมติว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น ผู้นำตัดสินใจทำอย่างนึง ถามว่าคนธรรมดาสามารถทักท้วงได้ไหมว่านี่มันผิดจากกุรอานนี่ หรือว่าต้องให้"ผู้รู้"กุรอาน(ศาล? หรืออิม่ามที่ขึ้นทะเบียนกับทางการ?)มาตีความก่อน ที่คุณ kheedes บอกว่า "ระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันก็คือผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่บริหารคือ ประชาชนเลือกมา และคณะรัฐบาลจะจัดสรรคนลงไปยังตำแหน่งต่าง ๆ อีกที ซึ่งอาจมีความถนัด หรือไม่ถนัดในงานก็ได้" นั้นถูกต้องครับ แต่หน้าที่หลักของคณะบริหารคือเป็นตัวแทนของประชาชนในการตัดสินใจ ผู้ที่ทำงานจริงๆแล้วก็คือผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายนั่นแหละ (เช่นข้าราชการประจำ) เขาเหล่านั้นมีหน้าที่ให้คำแนะนำและปฏิบัติงานจริงตามที่ตัวแทนประชาชนตัดสินใจ พวกเขารับใช้ประชาชนครับ แต่ถ้าตำแหน่งบริหารมาจากผู้นำที่ประชาชนไม่ได้เลือกแต่งตั้ง ไม่ว่าเขาจะเชี่ยวชาญแค่ไหนเขาก็รับใช้ท่านผู้นำีคนนั้น ไม่ได้รับใช้ประชาชน ถ้าคุณ kheedes จะบอกว่าประชาชนต้องยอมรับคณะบริหารด้วย ก็ขอถามว่าทราบได้ไงว่าประชาชนยอมรับในเมื่อเขาไม่ได้มีส่วนในการเลือกเลย หรือว่าถ้าประชาชนไม่ออกมาเดินขบวนประท้วงก็ถือว่าเขายอมรับ? จากคุณ : HotChoc - [ 19 มิ.ย. 49 13:47:30 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ ....ไม่ใช่ว่า อิสลาม ไม่มีฝ่ายค้านเลย  คือระบบฝ่ายค้านอิสลาม  ไม่ใช่ระบบพรรคการเมืองครับ แต่เป็นระบบประชาชน คัดค้านด้วยตัวเอง.... ในการตั้งคณะบริหาร ขึ้นมาปกครองรัฐนั้น  ไม่ใช่ว่าตั้งปุ๊บบริหารปั๊บเลยนะครับ....แต่เมื่อตั้งขึ้นมาแล้ว จะต้องได้รับการรับรองจากประชาชนด้วยวิธีการให้สัตยาบัน   ตัวอย่างเช่น คณะบริหารที่เป็นตัวแทนประชาชน เลือกผมขึ้นมาเป็นผู้นำ....แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครยอมให้การรับรองผมเลย  เช่นนี้ผมก็เป็นผู้นำไม่ได้  ต้องมีการคัดเลือกใหม่ ...หรือสมมติว่า ผมบริหารรัฐไปได้ 1 ปีปรากฏว่า มีประชาชนไม่พอใจการทำงานของผม เพราะเต็มไปด้วยการคอรัปชั่น  มีการร้องเรียนเข้ามา เช่นนี้ ผมก็จะถูกตรวจสอบจากฝ่ายตุลาการ  หากพบว่าผิดจริง ผมก็ต้องลาออกแต่โดยดี  ไม่มีการขัดขืน  ตัวอย่างเช่น ในสมัยคอลีฟะห์อุมาน มีการกล่าวหาว่าท่านบริหารงานไม่โปร่งใส  และมีการกดดันจากประชาชนให้ท่านลาออก  แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะไม่ลาออก สุดท้ายก็นำไปสู่การฆาตกรรม ...ตัวอย่างที่ยกมา  ไม่ได้หมายความว่า ต้องแก้ปัญหาด้วยการฆาตกรรมนะครับ  อย่าเข้าใจผิด ...ตัวอย่างที่ยกมานั้น  อธิบายว่า ตำแหน่งคอลีฟะห์นั้น ประชาชนก็มีสิทธิในการกดดันให้ออกจากตำแหน่งได้หากเห็นว่า ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารต่อไป ... (ส่วนสาเหตุที่มีการฆาตกรรมนั้น เป็นการกระทำจากมือที่ 3 ที่ต้องการสร้างความวุ่นวาย  โดยโยนความผิดไปให้ท่านอะลี ...ทำให้ท่านอะลีขึ้นสู่ตำแหน่งคอลีฟะห์อย่างมัวหมอง  และเกิดปัญหาในการบริหารมาตลอด  เพราะถูกใส่ความว่าอยู่เบื้องหลังการสังหาร ท่านอุษมาน) ..เหตุที่ระบอบอิสลามไม่มีพรรคฝ่ายค้านเพราะว่า  ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ มาจากคนละแหล่ง   นั่นคือ ในตะวันตก รัฐบาลจะออกกฎหมายและให้รัฐสภาลงมติเห็นชอบ   จึงต้องมีฝ่ายค้านเพื่อถ่วงดุล และตรวจอบว่ากฎหมายนั้นเอื้อประโยชน์ให้ใคร   ....แต่ในระบอบอิสลาม กฎหมายมีอยู่แล้ว  รัฐบาลไม่มีหน้าที่ในการออกกฎหมาย  มีหน้าที่เพียงเป็นตัวแทนประชาชนบริหารประเทศ  ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีฝ่ายค้าน...และในแง่ของการรักษาผลประโยชน์ของรัฐนั้น  ก็เป็นความรับผิดชอบของคณะผู้บริหารที่เป็นตัวแทนของประชาชนอยู่แล้ว ...ดังนั้น ประชาชนจึง แค่ตรวจสอบเฉพาะประสิทธิภาพในการบริหารประเทศเท่านั้น  ซึ่งจะแสดงผลออกมาเป็นรูปธรรมเอง... จะประสบผลหรือไม่ประสบผล ประชาชนสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง  ค่าครองชีพแพง การศึกษาไม่ได้คุณภาพ  ฯลฯ เหล่านี้ประชาชนสามารถรับรู้ได้เอง  และก็ร้องเรียนได้โดยตรง ----------------------------------------------------------- การเลือกคอลีฟะห์  นั้น เลือกมาจากคนใดคนหนึ่งในคณะบริหารรัฐ  โดยใช้วิธีการเลือกขึ้นมาตามที่กุรอานระบุไว้  ตามที่คุณ SA student กล่าวไว้นั่นแหละครับ ...และให้สัตยาบันต่อคนผู้นั้น  คนที่มีหน้าที่คัดเลือกก็คือคนในคณะบริหารนั่นเอง  (คล้ายกับการเลือกนายกรัฐมนตรี นั่นแหละครับ)  ....ส่วนคณะบริหารก็มาจากการเลือกตัวแทนของประชาชนอีกที ...ตัวอยางเช่นในสมัยคอลีฟะห์อุมัร นั้น ท่านแบ่งคณะบริหารออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน คือ 1.คณะผู้บริหารที่เป็นตัวแทนจากประชาชนเผ่าต่าง ๆ 2.คณะผู้บริหารที่มีหน้าที่ให้คำปรึกษา  โดยแบ่งย่อยออกเป็น ที่ปรึกษาชั่วคราว ที่มีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ   กับที่ปรึกษาถาวร  ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่าง ๆ ...นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งองค์กรต่าง ๆ ขึ้นมารับผิดชอบโดยเฉพาะด้าน (เหมือนกระทรวงต่าง ๆ ในปัจจุบัน)  และมีการแต่งตั้งคณะผู้ตรวจสอบ ที่มาจากคนกลุ่มต่าง ๆ  ในการตรวจสอบการทำงานของข้าราชการ  ตามแคว้นต่างๆ โดยผู้ตรวจสอบเหล่านี้ จะขึ้นตรงต่อคอลีฟะห์เท่านั้น  เพื่อทำหน้าที่รายงานพฤติกรรมของข้าราชการเหล่านั้น ...จริง ๆ โดยทัศนะของผม  ...ผมว่าระบอบการบริหารแบบอิสลามจะมีส่วนคล้ายกับการบริหารของ UN ครับ ไม่มีพรรคฝ่ายค้าน ไม่มีรับบาล  มีแต่ผู้บริหาร และตัวแทน จากประเทศต่าง ๆ   ...แตกต่างที่ รัฐอิสลามใช้กุรอานเป็นรัฐธรรมนูญตลอดกาล ----------------------------------------------------------- การตีความเพื่ออกเป็นกฎหมายนั้น  นอกจากใช้กุรอาน และซุนนะหืท่านนบีแล้ว  แหล่งข้อมูลอื่น ที่เป็นที่มาของชารีอะฮ์ (ประมวลกฎหมาย)  นั่นคือ 1.มติเอกฉันท์ของนักวิชาการศาสนา(อิจญ์มะอ์) 2.การเปรียบเทียบทางกฎหมาย(กิยาส) .....มติเอกฉันท์ของนักวิชาการ พื้นฐานที่ทำให้มติเอกฉันท์ของนักวิชาการเป็นแหล่งที่มาของกฎหมายก็คือคำบัญชาให้แก้ไขปัญหาเรื่องต่างๆโดยการปรึกษาหารือกันดังที่อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า “บรรดาผู้ที่ตอบสนองคำเรียกร้องของพระผู้อภิบาลของพวกเขา และดำรงนมาซและดำเนินกิจการของพวกเขาโดยการปรึกษาหารือกัน” (กุรอาน 42:38) ...ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาบางอย่างไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด แต่ปัญหานั้นได้เกิดขึ้นในสมัยปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องอาศัยการตัดสินของนักวิชาการศาสนาอิสลามในยุคปัจจุบัน ดังนั้นมติเอกฉันท์ของนักวิชาการก็คือข้อตกลงของนักวิชาการมุสลิมทั้งหมดหลังจากที่ได้มีการใช้เหตุผลพิจารณาปัญหานั้นทางด้านนิติบัญญัติอิสลาม(อิจญ์ติฮาด) แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงเป็นเอกฉันท์ของนักวิชาการก็จะต้องวางพื้นฐานอยู่บนคำสอนของคัมภีร์กุรอานและแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ...การเปรียบเทียบทางกฎหมาย (กิยาส) การเปรียบเทียบทางกฎหมายเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้มุสลิมมีกฎระเบียบสำหรับเรื่องใหม่ๆที่เพิ่งเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ยาเสพติด(ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่มี)ได้ถูกถือว่าไม่เป็นที่อนุญาตโดยอาศัยการเปรียบเทียบทางกฎหมายจากข้อห้ามสิ่งมึนเมาที่กล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอาน ----------------------------------------------------------- อำนาจของประชาชน ....ระบบคอลีฟะห์ วางรากฐานอยู่บน ความเป็นตัวแทนของประชาชน   นั่นคือ ตำแหน่งคอลีฟะห์ จะมั่นคงหรือไม่ขึ้นอยู่กับ ความเห็นชอบของประชาชน   ถ้าประชาชนไม่เห็นชอบ  และต้องการให้คอลีฟะห์สละตำแหน่ง  คณะผู้บริหารก็ช่วยอะไรไม่ได้... ...ในขณะที่ ประชาธิปไตยในปัจจุบัน ความมั่นคงของผู้นำขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองที่สนับสนุน  มากกว่า อำนาจที่แท้จริงของประชาชน  ถึงแม้ว่า ประชาชนจะไม่ชอบรัฐบาล  แต่  ในระบอบรัฐสภาก็อาศัยเสียงโหวตเพื่อให้อยู่ต่อไปได้  เป็นต้น  (ส่วนเรื่องม็อบพันธมิตรนั้น เป้นกรณียกเว้นสำหรับการเมืองไทยครับ       ^ ^ ...) ...ถ้าประชาชนมีความเห็นขัดแย้งกัน...ตามหลักการ ใช้ความเห็นชอบโดยส่วนใหญ่ของประชาชนเป็นเกณฑ์ครับ  ตัวอย่างเช่น ในสมัยคอลีฟะห์ อบูบักรนั้น  มีการให้สัตยาบัน 2 ครั้งครับ คือ 1.ให้สัตยาบัน (ได้รับความเห็นชอบ) จากผู้อาวุโส และคณะบริหาร  ที่เป็นตัวแทนประชาชน 2.ให้สัตยาบันต่อหน้าประชาชน (ได้รับความเห็นชอบ) จากประชาชนโดยส่วนใหญ่ ...ถามว่า ท่านอบูบักรได้รับความเห็นชอบจากประชาชนทุกคนหรือไม่  ตอบว่าไม่ครับ...เพราะมีกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ให้สัตยาบันต่อท่าน เช่นกลุ่มชีอะห์อาลี เป็นต้น  หรือแม้แต่ท่านอาลี เองซึ่งเป็นผู้อาวุโสในคณะบริหาร  ก็ให้สัตยาบันต่อท่านอบูบักร  หลังจากลงประชามติแล้ว 6 เดือน ..หรืออย่างกรณี ที่ท่านอุษมานถูกกดกันให้ลาออก   นั่นก็มีกลุ่มประชาชนหลายฝ่ายครับ ทั้งที่เห็นด้วย  ไม่เห็นด้วย และไม่ออกความเห็น...แต่ความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ท่านลาออกมากกว่า  เป็นต้น ...แต่ทั้งนี้  ความเห็นชอบโดยส่วนใหญ่ต้องไม่ขัดต่อกุรอานครับ  เช่น เห็นชอบให้คนที่โกงกิน แต่บริหารเก่ง ขึ้นบริหารบ้านเมือง  เช่นนี้ถือว่าผิดครับ  เพราะกุรอานระบุไว้แล้วว่า ผู้นำต้องสมบูรณ์พร้อมทั้ง ทางโลกและทางธรรม ...แต่ในบางกรณี ก็มีการใช้ความเหมาะสมของสถานการณ์การเมืองในขณะนั้น มาเป็นเกณฑ์ เช่น กรณีการเลือกท่าน อาลีขึ้นเป็นคอลีฟะห์ต่อจากท่านอุษมาน   ซึ่งการเมืองขณะนั้นวุ่นวายมาก  และท่านอาลีก็ไม่ได้ต้องการเป็นผู้นำด้วย   แต่คณะผู้บริหารมีความเห็นชอบว่า ท่านอาลี  มีความเหมาะสมมากที่สุด  จึงเลือกให้เป็นผู้นำ ...ถามว่า ผู้สนับสนุนท่านอาลีมีเยอะมั้ย  ตอบว่า ไม่เยอะครับ..แต่เหตุที่ท่านามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้ ก็เพราะ ไม่มีใครเหมาะสมมากกว่าท่านในขณะนั้น   จึงเป็นการยอมรับโดยความจำเป็น  แต่ไม่เต็มใจนัก ของประชาชน  เป็นต้น ----------------------------------------------------------- ....อิสลามกำหนดให้ สตรีมุสลิมทุกคน แต่งกายให้รัดกุมและมิดชิด  โดยอนุญาตให้เปิดเผยเพียง ใบหน้าและฝ่ามือครับ  ....หลักการมีอย่างนี้ครับ ด้วยจิตคารวะ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 14:34:54 จากคุณ : kheedes - [ 19 มิ.ย. 49 14:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ปล. ขอนอกเรื่องครับ การคลุมฮิญาบ ในศาสนาอิสลาม บังคับหรือไม่ ครอบคลุมอย่างไร ผมเห็นราชอาคันตุกะจากมาเลเซีย และโมรอกโค ไม่สวมฮิญาบ >>>>>อิสลามไม่ได้บังคับ แต่ถามว่าบาปไหม บาปครับ ใครทำใครก็รับครับ ยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับว่า การออกกฎหมายอิสลาม นั้นคือการตีความจากอัล-กุรอ่าน หากเนื้อหาที่ไม่มีในอัล-กุรอ่านใช้หลักอะไรในการตีความกฎหมายให้ทันสมัย>>>กระทู้เก่าๆมี นะครับลองหาดู คุณ kheedes เคยอธิบายไว้ "--- "อิสลามไม่ได้สอนให้ผู้ชายอยู่เหนือสตรี แต่เน้นความเท่าเทียมกัน(Equality)" --- ข้อความนี้ ต่อให้คุณสาบานต่อหน้าพระเจ้าพูดผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ หรือ"ให้พระเจ้ามาบอกผมเองผมก็ไม่เชื่อเด็ดขาด" เพราะการกระทำมันเห็นๆ อยู่ พูดให้ดูดีใครก็พูดได้ แต่การกระทำไม่เป็นแบบนั้น แม้แต่ตัวพระเจ้าของศาสนาไหนก็เถอะ หากพูดอีกอย่าง ทำอีกอย่าง ผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ .....ผมเขียนภาษาไทยแล้วน่ะครับว่า "อิสลามสอน...."นี่คือหากคุณพูดถึงคำสอน แต่ถ้าพูดถึงการกระทำมันคนละเรื่องกัน อันนั้นต้องไปโทษเจ้าตัวเอง >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>ผมอยากให้คุณ ประชากรไทย ใช้ logic แบบนี้วิจารณ์ พุทธ มั้งนะครับ อยากเห็นอะครับ ขอร้อง จากคุณ : beckmee - [ 19 มิ.ย. 49 14:44:50 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ตอบ คคห.27 ครับ ...ถ้าผู้นำทำผิดเอง  ประชาชนสามารถร้องเรียนได้โดยตรง  ซึ่งตามมารยาททางการเมืองของศาสนาอิสลามแล้ว ...ถ้ารู้ว่าผิดก็ต้องยอมรับผิดลาออกเอง ...แต่ถ้าสมมติว่ายังยืนกรานว่าตนเองไม่ผิด  ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายตุลาการที่จะต้องตรวจสอบ  โดยเป็นฝ่ายตุลาการที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะผู้บริหารที่เป็นตัวแทนของประชาชน  ไม่ใช่ตุลาการที่มาจากการแต่งตั้งของผู้นำเอง ...โดยทฤษฎีถือว่า  ผู้ที่จะขึ้นเป็นผู้นำรัฐอิสลามนั้น ไม่ใช่เก่งแต่เรื่องบริหารอย่างเดียว  แต่ต้องแตกฉานในเรื่องศาสนาด้วย  เพราะรัฐอิสลาม ใช้กฎหมายศาสนา  ดังนั้นผู้ที่เป็นผู้นำต้องเข้าใจหลักการทางกฎหมายอิสลามด้วย ...ดังนั้นสำหรับผู้ที่แตกฉานในเรื่องศาสนาแล้ว  ไม่สมควรจะมีความผิดพลาดในเรื่องใด ๆ ที่ส่งผลต่อภาวะการเป็นผู้นำ...แต่หากว่า มันเกิดมีขึ้นจริง ๆ ก็เป็นหน้าที่ของคณะบุคคลที่ได้กล่าวมาแล้ว ----------------------------------------------------------- ...ในกรณีที่มีการทำผิดบทบัญญัติศาสนา  ใครก็ได้ครับที่มีความรู้ทางศาสนาอย่างถูกต้อง...  ออกมาทักท้วงได้   ...กรณี เช่น สมัยท่านอุษมาน ที่มีการปฏิบัติศาสนกิจผิดเพี้ยนไปจากท่านนบี  ก้มีการทักท้วงจากบรรดาผู้รู้ และสาวก เป็นต้น ----------------------------------------------------------- คือ คณะผู้บริหาร นั้นมาจากตัวแทนของประชาชนอยู่แล้วครับ  อย่างในสมัยก่อน  รัฐอิสลามประกอบด้วยคนหลายกลุ่ม  ตัวแทนคณะบริหารนั้นก็มาจาก คนที่ในกลุ่มเหล่านั้น เห็นชอบให้เป็นตัวแทน เช่น ตัวแทนจากกลุ่มอันศอรฺ ตัวแทนจากกลุ่มมุฮายีรีน ตัวแทนจากตะกูลบนีฮาชิม  กลุ่มบนีอุมัยยะฮฺ เป้นต้น จากนั้น ตัวแทนเหล่านี้ก้จะคัดเลือกคอลีฟะห์ขึ้นมาเป็นผู้นำ...และคอลีฟะห์ก็จะคัดเลือก คนที่เหมาะสมไปดำรงตำแหน่งต่าง ๆ อีกที  ซึ่งก็เป็นอิสระที่คอลีฟะห์จะเลือกใครที่เหมาะสมก็ได้  ไม่จำเป็นต้องเลือกคนในกลุ่มนี้   เพราะหากเลือกแล้วไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จริง..คอลีฟะห์ก็เสียเอง  และหากทำหน้าที่ผิดพลาดบ่อย ๆ ประชาชนก็สามารถร้องขอให้ลงจากตำแหน่งได้  เป็นต้น ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 19 มิ.ย. 49 14:58:32 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ผมอยากจะออกความเห็นจากหนังสือต่างๆที่ได้อ่านและที่คนอื่นๆออกความเห็นดังนี้นะ Ernest Gellner , Conditions of Liberty : Civil Society and its Rivals , p.26, กล่าวไว้ว่า สังคมสมัยใหม่ให้กำเนิดอิสลามแบบที่เน้น การหวนกลับไปหาหลักการมูลฐานซึ่งยึดมั่นในตัวอักษรและกฎเกณฑ์ที่เป็นลายลักษณ์อย่างเคร่งครัด กระบวนการนี้เปลี่ยนแปลงสังคมมุสลิมให้อยู่ภายใต้การเมืองแบบที่ปกครองด้วยเครือข่ายของผู้นำ / ผู้รู้ (clientelism) ซึ่งมีอำนาจโดยมีเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับศัตรูที่ "ไม่เป็น" อิสลาม อันนี้เห็นตัวอย่างในหลายๆประเทศคงไม่ต้องพูดให้สะเทือนใจอีก      พวกคุณลองคิดสิว่าการที่มนุษย์อาศัยศาสนาเป็นแหล่งพึ่งพิงทางจิตวิญญาณนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดปกติ แต่ภาวะที่ศาสนาผนึกตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐ ซ้ำยังมีอิทธิพลถึงขั้นที่กำหนดอัตลักษณ์, คุณลักษณะ และแบบแผนความประพฤติของสมาชิกในสังคมนั้น ก็ไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา        การเมืองแบบนี้เป็นการเมืองที่เน้นความสำคัญของ "ตัวกลาง" ผู้ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างพลเมืองกับสิ่งสูงสุดทางศาสนา หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตัวกลางเป็นผู้ที่มีบทบาทสูงในทางโลกและทางจิตวิญญาณไปพร้อมๆ กัน พวกเขาจะเอาอำนาจนั้นใปทางไหนก็ย่อมได้      ผลที่ตามมาจากกระบวนการนี้คือสภาพที่งานศึกษาหลายชิ้นอธิบายว่าสังคมการเมืองเช่นนี้ ไม่เปิดโอกาสให้กับการเกิดขึ้นของประชาสังคม, อาณาบริเวณสาธารณะ, การรวมกลุ่มทางการเมืองที่เป็นเอกเทศจากรัฐ และปัจเจกชนที่เป็นอิสระจากเหตุผลของศาสนา (faith) ถึงขั้นที่แทบไม่มีความเป็นไปได้ที่จะปรากฏความคิดที่แตกต่างและ "เป็นอื่น" ไปจากโครงสร้างแบบจารีตประเพณีดังที่กล่าวมานี้   ใช่หรือไม่ไปคิดดู     อย่างไรก็ตามผมเห้นว่า ส่วนความเข้าใจว่าอิสลามเป็นขบวนการทางศาสนาที่เป็นเอกภาพนั้น ก็มองไม่เห็นลักษณะทางประวัติศาสตร์ของอิสลาม ที่หลักคำสอนจำนวนมากถูกตีความแตกต่างกันไปโดยนิกายต่างๆ ภายใต้เงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่แตกต่างกัน(multi-vocal interpretation) จนกระทั่งนอกจากอิสลามในประเทศที่เป็นชายขอบของความเป็นอิสลาม อย่างเช่น จีน, รัสเซีย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย ฯลฯ จะแตกต่างจากอิสลามในประเทศที่เป็นศูนย์กลางแล้ว อิสลามในประเทศศูนย์กลางเองก็ยังมีความผิดแผกจากกันด้วย จนจำเป็นต้องคิดถึงอิสลามในแง่พหุลักษณ์ ไม่ใช่อิสลามในแง่ที่เป็นหนึ่งเดียว (not one Islam, but many Islams) ถึงแม้พวกเขาจะเคารพในหลักการและคำสอนอันศักดิ์สิทธิของคัมภีร์กุรอ่านเหมือนๆ กันก็ตาม อย่างที่คุณ kheedes ยกมา ผมไม่เคยเห็นในประวัติศาตร์ที่จะควบคุมกันได้ดีอย่างในหนังสืออันนี้ถ้ามี ยกตัวอย่างมา     นักเขียนชาวปากีสถานอย่าง Qamaruddin Khan ก็ระบุว่า "กุรอ่าน"ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับทฤษฎีการเมืองแบบอิสลามชนิดใดๆ และโดยตัวของคัมภีร์เองนั้น ก็มีความยืดหยุ่นจนไม่อาจถูกใช้ไปเพื่อปกป้องสถานะทางการเมืองแบบที่เป็นอยู่ในสังคมมุสลิมเองได้ กระทั้งถูกนำไปใช้ในความรุนแรงหลายๆเรื่อง ผมจึงมองว่ายากที่จะมีรัฐอิสลามได้ครับ จากคุณ : mr.cozy (mr.cozy) - [ 19 มิ.ย. 49 15:45:25 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คห. 18 ก็ศาสนาคุณสอนให้ฆ่าคนแล้วไปอยู่กับพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของสงคราม ผมจะไปเกรงใจและนับถือได้อย่างไร เขาว่ามาแทนที่พวกคุณจะปรับปรุงตนเอง พวกคุณก็ยิ่งตอบโต้ ฆ่าคนบริสุทธิ์ ใครจะไปคิดเรื่องดีๆ กับพวกคุณละครับ ผมไม่มีทางคิดเรื่องดีกับมุสลิมหรอกครับ หากมือของพวกคุณยังเต็มไปด้วยเลือด ชีวิตของคนบริสุทธิ์ ผมยอมรับกับมือระเบิดพลีชีพไม่ได้ เป็นการใช้ชีวิตมนุษย์สนองลัทธิที่เต็มไปด้วยเลือด หากเขาอ้างเหตุผมทางการเมือง ไม่เกี่ยวกับศาสนา ผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่เขาพลีชีพฆ่าคนบริสุทธิ์ แล้วอ้างว่าได้ขึ้นสวรรค์ ผมยอมรับตรงนี้ไม่ได้ครับ หากพวกคุณพยายามสะกัดกั้น พวกนี้ ไม่ใช้แกล้งหลับตา แล้วมาเรียกร้องกับคนอื่น แต่ไม่เคร่งครัดกับตนเอง ผมยากที่จะยอมรับพวกคุณได้ครับ จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 19 มิ.ย. 49 15:58:58 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คุณประชาชน(ไทย) ผมว่าคุณนอกประเด็นนะครับ อ่านแล้วคิดตามสิครับ ไม่ใช่อ่านแล้วเห่า บ๊อก ๆ มันน่ารำคาญครับ ขอโทษด้วย ชักทนไม่ไหว ไม่อยากให้กระทู้เบี่ยงประเด็น ผมว่าคุณฉลาดนะครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 19 มิ.ย. 49 16:08:07 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอถามอีกครับ หากศาสนาอื่นในประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลาม อยากจะเรียกร้องในแง่ที่ไม่อนุญาตในกฎหมายอิสลามล่ะครับ มีแนวทางอย่างไร ประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลามดูดีในแง่ที่มีอิสลามในประเทศมากกว่าศาสนาอื่น และอาจต้องการเปลี่ยนแปลงศาสนิกอื่นหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 16:12:06 จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 19 มิ.ย. 49 16:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ จาก คคห.31 ครับ "สังคมสมัยใหม่ให้กำเนิดอิสลามแบบที่เน้น การหวนกลับไปหาหลักการมูลฐานซึ่งยึดมั่นในตัวอักษรและกฎเกณฑ์ที่เป็นลายลักษณ์อย่างเคร่งครัด" >>> ส่วนหนึ่งมันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก อิทธิพลของแนวคิดแบบวาฮาบีย์ครับ  อันเนื่องมาจากว่า  หลังจากท่านศาสดาจากไป...ความวุ่นวายก็เริ่มปรากฏขึ้น  เห็นได้ชัดเจนก็คือ เรื่องของการแยกตัวออกมาของพวกคอวาริจญ์ และชีอะห์  วึ่งแต่เดิม แยกตัวออกมาเพราะไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ทางการเมืองบางอย่าง...แต่ต่อมาก็เริ่มมีการผสมแนวคิดด้านศาสนาเข้าไปด้วย   ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เห็นว่า...สิ่งที่ตนเองคิดนั้นถูกต้องและมีเรื่องของศาสนามารับรอง ....การกลายสภาพของคำสอน  ออกมาในรูปของการตีความคำสอนที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวกตนเอง  จนบางครั้งเลยเถิดไปจนกู่ไม่กลับ....จะเห็นได้ว่า ช่วงยุคก่อนการเกิดกระแสฟื้นฟูอิสลามนั้น  ศาสนาอิสลามถูกแบ่งแยกและถูกเข้าใจกันไปต่าง ๆ นานา  ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากมุสลิมเองที่ไม่สนใจในคำสอน  ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักปราชญ์กลุ่มหนึ่ง  จนเหมือนกับว่า มีชนชั้นนักบวชปรากฏขึ้นมาในสังคมมุสลิม  (ทั้ง ๆ ที่ห้ามมี)... ...ต่อมาเมื่อกระแสฟื้นฟูอิสลามโด่งดัง และได้รับการยอมรับ  แนวคิดทางศาสนาจึงมุ่งไปสู่การรักษาคำสอนดั้งเดิมตามตัวบทคัมภีร์  ซึ่งถามว่าดีมั้ย...คำตอบคือดีครับ ...แต่ ความเคร่งครัดบางอย่างต้องดูเหตุผลด้วย  เพราะบางครั้งก็ยึดกับคำสอนมากไปจนลืมนึกถึงเจตนาของโองการนั้น ๆ   ...อิสลามยอมรับในหลักเอกภาพ คือพระเจ้าองค์เดียว และความเป็นภารดรภาพแห่งประชาคมมุสลิม  แม้ว่า จะเกิดความแตกต่างในสังคมการเมือง  แต่ตราบใดที่ยังวางอยู่บนหลักเอกภาพที่กล่าวมา ก็ไม่ผิดอันใด....ซึ่งสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นในสมัยของท่านคอลีฟะห์ทั้ง 4 ที่ยกมา ... ...ยุคสมัยของคอลีฟะห์ทั้ง 4 นั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความหลากกลายในรูปแบบทางการเมือง  แต่ทั้งหมดก็คงอยู่บนหลักเอกภาพที่กล่าวมา  แต่เมื่อเรื่มเข้าสู่สมัยแห่งการปกครองด้วยระบอบจักรวรรดิ  นั่นคือที่มาของการกำหนดให้การเมือง มีเพียงรูปแบบเดียว  และสืบทอดกันต่อ ๆ มา ...จนแม้แต่ในปัจจุบัน ก็ยังมีแนวความคิดเหล่านี้หลงเหลืออยู่ เช่น รูปแบบการปกครองของอิหร่าน หรือ ตาลีบัน  ก็ตาม  ที่ไม่ได้มองความยืดหยุ่นของหลักรัฐศาสตร์  แต่มองไปที่ความเที่ยงตรงของระบบนิติบัญญัติ ....ซึ่งหากเราย้อนไปดูสมัยท่านนบีแล้ว  เราจะพบว่า  แม้แต่ท่านนบีก็รู้จักยืดหยุ่นกฎระเบียบต่าง ๆ โดยที่ไม่เสียหลักการแท้ ๆ ของอิสลามไป  เช่น การทำสนธิสัญญากับคริสเตียนในมาดีนะห์ เป็นต้น ...ดังนั้น  ความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐอิสลาม ให้เกิดขึ้นอย่างในสมัยท่านนบี  จึงไม่ได้อยู่ที่ ว่าหลักการอิสลามล้าหลัง หรือไม่ทันสมัย (...เพราะ กุรอานก็เปิดช่องให้ตีความ  ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เองอยู่แล้ว   ไม่ไช่ตีความเพื่อสนองตัณหาใครนะครับ... อย่าเข้าใจผิด  กุรอานจึงทันสมัยอยู่ตลอดเวลา  ) ...ความเป็นไปได้ คือโลกมุสลิม มีความพร้อมและความเข้าใจในหลักการ และเจตนารมณ์ของรัฐอิสลาม มากน้อยเพียงใด  และพื้นฐานความเข้าใจ รวมถึงการยอมรับ  มีอยู่มากเท่าไหร่ในสังคมมุสลิมเอง ----------------------------------------------------------- คคห.34 "ขอถามอีกครับ หากศาสนาอื่นในประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลาม อยากจะเรียกร้องในแง่ที่ไม่อนุญาตในกฎหมายอิสลามล่ะครับ มีแนวทางอย่างไร ประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลามดูดีในแง่ที่มีอิสลามในประเทศมากกว่าศาสนาอื่น และอาจต้องการเปลี่ยนแปลงศาสนิกอื่นหรือไม่" >>> ต้องทำความเข้าใจว่า - รัฐจะต้องวางนโยบายการเมืองบนพื้นฐานแห่งความยุติธรรม บนความจริงและบนความซื่อตรง ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ รัฐอิสลามไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเพิกเฉยต่อความทุจริต ความผิด ความอยุติธรรมเพียงเพื่อเห็นแก่ความสะดวกทางการเมืองและความง่ายดายทางการปกครองเท่านั้น ความถูกต้อง ความยุติธรรม และความซื่อตรงจะต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ ...ถึงแม้ว่า รัฐจะให้สิทธิเสรีภาพแก่คนต่างศาสนา เหมือนกับคนมุสลิม  แต่โดยความที่เป็นรัฐอิสลามแล้ว  ผลประโยชน์โดยรวมของอิสลาม  จะต้องมาก่อน เหตุผลอื่นเสมอ ....ตัวอย่าง เช่น ในศาสนา ก. อ้างว่ากินเหล้าไม่บาป  จึงอยากให้รัฐออกกฎหมาย เพื่อให้มีการค้าขายเหล้าโดยเสรี...กรณีนี้ถึงแม้ว่า การค้าขายจะเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของประชาชน  แต่การค้าขายเหล้า ถือเป็นสิ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ  และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่ประชาชนในรัฐ  ....ดังนั้น กฎหมายอนุญาต จึงเป็นไปไม่ได้ ...ถ้าเรามองย้อนไปในอดีต  รัฐอิสลามในอดีต ถูกใช้ปกครอง คนมุสลิม ,ยิว ,คริสต์ ,โชโรอัสเตอร์ มาแล้วเป็นต้น  ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่า  มีปัญหาในการออกกฎหมายใด ๆ  ศาสนิกทั้งหมดล้วนมีอิสระ เสรีในการนับถือศาสนาและประกอบอาชีพได้  (ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ทั้งหมดมีความเชื่อคล้าย ๆ กัน ) ...หรือมีประเด็นใดที่ผมลืมนึกไปรึเปล่าครับ? ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 19 มิ.ย. 49 17:07:06 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมต้องขอขอบคุณ คุณ HotChoc  อย่างยิ่งนะครับ ที่สามารถล้วงถาม รากฐานที่มาและแนวความคิดของคุณ kheedes  จนได้ จนวิเคราะห์ได้ว่า คุณ kheedes  มีอุดมการณ์แนวคิดพื้นฐานเป็นอย่างไร ปัญหาคือ ผมไม่ได้จบศาสนา และผมจบรัฐศาสตร์ และสนใจศึกษา ติดตามรากฐานแนวคิด Muslim Fundamentalism จากกระทู้ก่อนหน้า คุณ kheedes  หลุดว่า "ไม่ใช่คนไทย" และมีความรู้เรื่อง "การปกครองรัฐอิสลามบริสุทธิ์เป็นอย่างดี รวมทั้งมีความรู้เรื่องอิสลามเป็นอย่างดี ตอนนี้ความขัดแย้งทางการเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาจากคนที่ต้องการตั้ง "มหารัฐอิสลามบริสุทธิ์" ขึ้น หากคุณคิดให้ดี คุณได้ตัวกลุ่ม Mastermind ในภาคใต้แล้วนะครับ ผมว่าไม่ใช่ตัวเล็กหรอกครับ แน่นอนผม "อนุมานเอาจากข้อมูลที่มีอยู่อย่างไม่สมบูรณ์ ภาษาวิชาการเรียกว่า วิธี Inductive คือรวบรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายแล้วสรุปจากย่อยไปหาข้อสรุปทั่วไป ไม่ว่ามีเค้าไม่น้อยเลยทีเดียว เขียนภาษาไทยได้ดี ลึกซึ้ง แต่ปฎิเสธว่าไม่ใช่คนไทย รู้มุสลิมอย่างลึกซึ่ง นิยมการปกครองรัฐอิสลามบริสุทธิ์ เชื่อมั่นคัมภีร์อย่างนักแน่น ผมอนุมานจากข้อเท็จจริงว่า นี่คือหนึ่งใน Mastermind ของภาคใต้ จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 19 มิ.ย. 49 18:14:27 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณ คลื่นแทรก คห. 33  หากหยาบคายอย่างคุณ ก็อย่าออกความเห็นดีกว่านะครับ ผมมีเสรีภาพที่จะคิดไม่เหมือนคุณ และคุณไม่ได้เป็นเจ้าของเว็บบอร์ดนี้นะครับ ขอโทษนะครับ "หมากัด ผมไม่อยากกัดตอบ" แต่มันมีเยอะเกินไปในห้องนี้ นะครับ หยาบคายแทนที่จะโต้ไปที่สิ่งที่เขาคิด แต่กลับมากัดคนคิดเสียได้ หากจำกัดว่าต้องคิดเหมือนคุณ ก็ไปเล่นเว็บตัวเองซิครับ ไปเปิดเว็บเฉพาะของกลุ่มคุณ นี่เป็นเว็บบอร์ดสาธารณะ คุณอย่าคิดซิครับว่าคุณฉลาดคนเดียว แล้วเที่ยวกัดคนอื่นนะครับ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 18:24:51 แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 18:24:34 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 19 มิ.ย. 49 18:21:27 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อืม... ผมไปพูดไว้ตรงไหนเนี่ย ว่า "ไม่ใช่คนไทย".... ผมว่า ...ผมแค่ถามว่า "แล้วคุณรู้หรือครับว่า ผมเป็นคนไทย" ..ไหง สรุปเอาเองล่ะครับ...เฮ้อ ...ผมว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา 6 ปีกว่า นี่ผมก็ต่อต้านแนวคิดการแบ่งแยกรัฐปัตตานีมาตลอดนะครับ  กระทู้ก่อนหน้าเมื่อเดือนที่แล้วก็พึ่งสนทนากับบางท่านเรื่องการแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างสันติวิธี  ไม่เคยเข้าไปยุ่งกับห้องราชดำเนินเลยด้วยซ้ำ ...ข้อความด้านบน ก็เพิ่งกล่าวไปว่า ไม่เห็นด้วยกับระบอบตาลีบัน ...อืม เป็นMastermind ของภาคใต้ ไปซะแล้ว ว้า...ผมจะดีใจดีมั้ยเนี่ย.... - -" ---------------------------------------------- ( 5555...คุณคลื่นแทรกโดนซะแล้ว....เจ็บมั้ยครับนั่น...^ ^ ) แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 18:31:30 จากคุณ : kheedes - [ 19 มิ.ย. 49 18:29:16 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คคห.36 "เขียนภาษาไทยได้ดี ลึกซึ้ง" ....คนจริงคือคนที่แม้แต่ศัตรูยังยอมรับ น่าดีใจครับท่านKheedes     (ตรงไหนว้า - -' ) จากคุณ : SA Student - [ 19 มิ.ย. 49 18:51:01 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คุณ kheedes คำถามของคุณเช่นนี้ คุณก็รู้ว่าคุณเล่นบอร์ดคนไทย ใช้ภาษาไทยได้อย่างลึกซึ้ง มันไม่ยากที่จะคาดการณ์ว่าเป็นคนไทย ไม่ต้องใช้สติปัญญาเลอเลิศ หรือ "มาแกล้งถามก็ได้ว่า รู้หรือว่าผมเป็นคนไทย" ถามอย่างนี้ ก็แสดงว่าไม่ยอมรับว่าเป็นคนไทย ไม่จำเป็นต้องเล่นลิ้น คุณต่อต้านการแยกดินแดนหรือไม่ ผมไม่ทราบนะครับ เพราะคุณพูดเอาเองทั้งสิ้น ผมไม่มีหลักฐานนั้น แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ "ผมก็อนุมาน" เอาเช่นนั้น แต่หากคุณยอมรับว่า "เป็นคนไทย" อนุมานของผมมันก็ผิด มันก็เท่านั้นเอง  เพราะมันเป็นข้อสมมัติฐาน จากหลักฐานคำพูด การกระทำ ลักษณะแนวคิดของคุณ โลกนี้ไม่มีวันที่จะมี "ข้อมูลที่สมบูรณ์" อยู่แล้วมนุษย์ย่อมอนุมานเอาจากหลักฐานที่ตัวเองมีอยู่ แต่หากได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น ค้านกับข้อมูลเดิมที่ผมมีอยู่ ผมก็พร้อมที่จะเปลี่ยน "ข้อสรุป" จากอนุมานครับ ผมไม่ "ดื้อรั้นขนาดต้องกอดคัมภีร์ หากว่ามีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มันค้านกับคัมภีร์" ผมเชื่อหลักฐานมากกว่าเชื่อคัมภีร์ ขอโทษนะครับ หากผมอนุมานผิด แต่ผมเรียนวิชาการทางโลก ไม่ใช่ทางศาสนา ผมต้องยึดหลักฐานข้อเท็จจริง มากกว่า "ความเชื่อ หรือศรัทธา" หากข้อเท็จจริงมันค้านกับ ความเชื่อเดิมที่ผมมีอยู่ ผมก็พร้อมที่จะเปลี่ยนความเชื่อ ไม่ใช่ปฎิเสธข้อมูล หรือข้อเท็จจริง สมมุติว่า วันนี้ มีพระเจ้ามาปรากฎตรงหน้าผม แล้วแสดงให้ผมเห็นอย่างสิ้นสงสัยว่าเป็นพระเจ้าจริง ไม่ใช่ เทวดา หรือพระอินทร์ หรือพระพรหม หรือภาพลวงตาที่ไหน ผมก็พร้อมที่จะนับถือพระเจ้าครับ (แต่จากการที่โลกนี้มีความชั่วเยอะมาก แล้วพระเจ้าไม่ทำอะไรเลย แต่นิ่งเฉยทำทองไม่รู้ร้อน ทั้งที่มีอำนาจทุกอย่างกำหนดทุกอย่าง แม้พระเจ้ามาปรากฎต่อหน้าผมและเป็นพระเจ้าจริง ผมก็ไม่นับถือครับ ถือว่าเป็นพระเจ้าที่โหดร้ายไร้เมตตาธรรม แต่หากใช้โวหารตรรกะ ทางภาษา แบบที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ผมคงยอมรับไม่ได้หรอกครับ หรือแม้จะแสดงปาฎิหาริย์ ช่วยให้คนตายแล้วฟื้นได้ ผมก็ไม่ยอมรับ เพราะ ผมเชื่อเรื่องพลังจิต แต่ไม่เชื่อเรื่องผู้สร้าง ปล. คุณคลื่นแทรก หากไม่ว่า ผมก่อน ก็คงไม่โดนตอบนะครับ ผมไม่เคยว่าใครก่อน อยู่แล้ว "กรรมของใคร ก็ต้องรับกรรม ด่าก่อน ไม่มีทางที่จะได้รับคำชมเชยกลับ" หากไม่ชอบความเห็นใด ผมก็ไม่ยุ่งเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องไปด่าใคร ที่เห็นไม่เหมือนเราด้วยคำหยาบคาย ซึ่งมันไม่ได้ส่ออะไรนอกจากสันดานในตัวเอง ความเห็นทางศาสนา มันย่อมขัดแย้งกันได้อยู่แล้ว และแต่ละฝ่ายคงไม่ยอมลดละความเชื่อของตน มันก็เป็นปกติอยู่แล้ว แต่การด่า "คนพูด" แสดงถึงสันดานของคนด่าเป็นอย่างดี แต่สันดานของผมคือ ใครด่ามา ผมโต้กลับเท่านั้น ไม่ปล่อยให้มั่วนิ่มด่าฟรีแน่ ปล.อีกเช่นกัน หลังจาก Search ย้อนหลัง ผมแน่ใจว่าคุณคลื่นแทรกไม่ใช่พุทธ แต่ผมไม่แน่ใจว่าคริสต์หรืออิสลาม หรือกำลังแสวงหา เข้าใจว่าเป็นคริสต์ที่เริ่มสงสัยทางโน้น เพราะมีความรู้เรื่องคริสต์มาก แต่ ไม่เคยเห็นเกี่ยวข้องกับพุทธนะครับ นี่ก็อนุมาน ตามหลักวิชาการสมัยใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นความเชื่อ หรือ พระเจ้ามาบอก หรือเขียนไว้ในคัมภีร์เล่มใด คุณ SA Student  ผมไม่เคยคิดว่าใครจะเป็นศัตรูหรอกครับ แต่การโต้แย้งในฟอรั่ม ผมไม่ยอมง่ายๆ แน่หากไม่มีเหตุผล แน่นอนคุณ kheedes ใช้ภาษาไทยได้อย่างดี ลึกซึ่งมากกว่าระดับชาวบ้านปกติ ผมก็ต้องชม ต้องยอมรับ เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง ไม่จำเป็นต้องดื้อรั้นว่า เขาคิดไม่เหมือนเรา แล้วไม่ยอมรับไปเสียทุกเรื่องนี่ครับ ว่าแต่คุณระเห็จไปเรียนถึงแอฟริกาใต้ เชียวหรือครับ เป็นคนไทยหรือเปล่าครับ หรือเป็น คนปัตตานี ดรูซาลาม หากใช้ ก็คงไม่แคล้วที่จะมาสร้างปัญหาในอนาคต หากไม่ใช่ ก็ยินดีครับที่เด็กไทยได้ไปเรียนต่างประเทศ คงเอาความรู้ความสามารถมาพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนได้ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 19:36:48 แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 19:21:39 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 19 มิ.ย. 49 19:13:48 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ว้า...แย่จัง ไป ๆ มา ๆ  ผมก็ไม่ใช่คนไทยซะแล้ว   ...ทำไงดีเนี่ย เอาเป็นว่า ผมเลือกเป็น  ก็แล้วกัน  ชอบฟอร์มการเล่น  ถ้าจะมาแรงนะเนี่ย จากคุณ : kheedes - [ 19 มิ.ย. 49 20:10:03 ]

ความคิดเห็นที่ 42 555 เห็นคนดิ้นแล้วตลกดี กระทู้เค้าถามว่า ประเทศอิสลามในอุดมคติเป็นอย่างไร ไม่ใช่ให้ผู้ใดมาแถครับ ยังไม่เห็นมีใครชวนนับถือพระเจ้าสักคน ไม่รู้ดิ้นเร่า ๆ ไปทำไม ไม่เข้าใจ... รัฐอิสลามในอุดมคติ หลายคนกลัวเหลือเกิน กลัวทำไมไม่ทราบ ประเทศไทยไม่มีทางทำได้หรอกครับ แต่คงยังไม่เกิดในตอนนี้ หรือเร็ว ๆ นี้ เพราะนอกจากตะวันตกต้องแอบแฝงมาต่อต้านแล้วอีกอย่างมุสลิมเรายังไม่ค่อยรวมตัวกันเท่าไหร่ด้วย คงต้องให้น้ำมันหมดก่อนมั้งจึงจะจับมือกันได้ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 19 มิ.ย. 49 20:12:10 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ท่าน kheedes เชียร์สเปนเหรอครับ ผมเชียร์ เต็งหนึ่งบราซิล ดาบฯรักโรนัญดิญโญ่อ่ะครับ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 19 มิ.ย. 49 20:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 44 555...คืนนี้ งดสเปนชั่วคราว... ย้ายมาอยู่ข้าง ซาอุฯ ครับ  ..... จากคุณ : kheedes - [ 19 มิ.ย. 49 20:21:26 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คคห.40 "ว่าแต่คุณระเห็จไปเรียนถึงแอฟริกาใต้ เชียวหรือครับ เป็นคนไทยหรือเปล่าครับ หรือเป็น คนปัตตานี ดรูซาลาม หากใช้ ก็คงไม่แคล้วที่จะมาสร้างปัญหาในอนาคต" ......ผมจะประสบชะตากรรมเหมือนท่านKheedesมั้ยน้า? (- -') ผมเชียร์คอสตารีก้าตอเปิดเกม...ตอนนี้...เหอๆๆ   คืนนี้ขออยู่ซาอุครับ แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 49 22:23:34 จากคุณ : SA Student - [ 19 มิ.ย. 49 21:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 46 นั้นสิ คุณคลื่นเทรกด่าได้ใจ ผมมากครับ คนไร logic มั่วมากเรียน รัฐศาสตร์ไปได้งัย -*- คนอารายชอบใส่รายและใส่ใคร้ อ่านแล้วขำอะ ฮาๆ ไปๆมาๆ มันเริ่ม ตลก จากคุณ : beckmee - [ 19 มิ.ย. 49 23:55:59 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คุณประชาชนไทย เขาต้องการให้ใช้ความรุนแรงครับ มันถึงจะเกาถูกที่คันของเขา ในที่นี้มีเพื่อนต่างศาสนิกอยู่มาก โดยเฉพาะพี่น้องชาวพุทธอย่างคุณประชาชนไทย ลองพิจารณากันดูนะครับ ว่าพวกคุณดูดายให้เกิดการจาบจ้วงศาสนาอื่นที่มีผู้ศรัทธาค่อนโลกอย่างไร้ขอบเขต นี่ไม่ใช่การสนทนาที่ดีแล้วครับ โมหะเพียว ๆ แล้วมันจะได้อะไรหละครับ ยังไงก็เตือนพี่น้องมุสลิมให้ตั้งอยู่บนความซอบัรนะครับ ผ่านไปเลยดีกว่าอย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้ (โต๊ะผมสอนเอาไว้เมื่อเจอคนแบบนี้ ให้มองแบบเบลอ ๆ อย่าไปโฟกัส ) จากคุณ : minramun - [ 20 มิ.ย. 49 00:18:00 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คห .42 เพราะมันพร้อมกับระเบิด และการฆ๋าคนบริสุทธิ์ คนศาสนาอื่นที่อยู่ในรัฐอิสลามบริสุทธิ์คงอยู่ไม่ได้ สังเกตุพวก Taliban เป็นตัวอย่าง พวกคุณจะพูดอย่างไร คนอื่นก็ไม่มีทางไว้ใจหรอกครับ เพราะพวกคุณไม่เคยทำอย่างที่พูดอยู่แล้ว ผมเพิ่งดูหนังเรื่อง Khartum ที่ Muhammad Ahmad อ้างตัวว่าเป็น Mahdi และพยายามก่อ Holy War ขึ้นที่ซูดาน ในปี 1880-1890 นั้น ผมว่าไม่มีใครไว้ใจมุสลิมทั้งนั้นแหละครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Mahommed_Ahmed แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 49 01:59:58 จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 20 มิ.ย. 49 01:59:39 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คห .47 ผมเคยด่าใคร เหมือนที่พวกมุสลิม กับคริสต์กำลังด่าผมอยู่หรือเปล่าละ คุณอย่าไปสนใจคนอื่นเลย ผมมีความเป็นอิสระของผมเอง ไม่ต้องอ้างศาสนามาเกี่ยวหรอกครับ อย่าหาพวกมารุมเลยครับ จากคุณ : ประชาชน(ไทย) - [ 20 มิ.ย. 49 02:03:37 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ทำไมต้องสังเกต Taliban เป็นตัวอย่าง ฝุ่นดินริมหน้าผานั่น ทำให้คุณเพ้อได้ขนาดนี้เชียวหรือครับ กลับไปอ่านตั้งแต่หัวกระทู้ใหม่ก็ยังไม่สายนะครับ George W Bush ก็ประกาศครูเสดเหมือน ๆ กัน แล้วคุณไว้ใจอเมริกันมั้ยล่ะครับ ^^ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 20 มิ.ย. 49 02:09:54 ]

ความคิดเห็นที่ 51 อ้อ เรื่องนี้ก็สนุกนะครับ >> Fahrenheit 9/11 http://www.fahrenheit911.com/ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 20 มิ.ย. 49 02:13:23 ]

ความคิดเห็นที่ 52 มีอีกเรื่องครับ "911 The plain truth" หลักฐานทั่วไป ภาพถ่ายจากเหตุการณ์ การวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธทหาร เน้นๆ แน่นๆ อีกอันมีไม่ครบ หายช่วงWTCตอนจะจบ (T T) อันนี้เน้นที่ "เชื้อเพลิงจากเครื่องบินโบอิ้งเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้โครงสร้างของWTCเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งถล่มลงมาได้ อธิบายเป็นฟิสิกส์(มึน...)"  เน้นๆ แน่น อีกเหมือนกัน ขอบอก อ้อ....ทั้งสองอัน "ฝรั่ง"เป็นคนทำอ่ะคับ ผมเองคง"ไม่ไปวิจารณ์" เขาอ่ะคับ แต่ผม"เชื่อหลักฐานว่ามีน้ำหนัก"อ่ะคับ ใครอยากได้ ทิ้งเมล์ไว้หลังไมค์น่ะครับ ถ้ากลับไปเมืองไทย จะส่งไปให้ฟรีครับ (ไม่รู้ตอนไหนนา...) จากคุณ : SA Student - [ 20 มิ.ย. 49 03:50:36 ]

ความคิดเห็นที่ 53 Traditional Islam หรือ Nation of Islam Origins Traditional Islam teaches that there is only one God (Allah). God works through prophets rather than assuming a physical form.   The Nation of Islam asserts that its founder, Fard Muhammad, was the incarnation of Allah (God). Beginning in 1930, Fard worked in Detroit to establish his movement before disappearing mysteriously in 1934.   Prophets God revealed His existence to a number of prophets, including Adam, Abraham, Moses, Jesus, and Muhammad. Muhammad received God's final revelation.   NOI founder Fard renamed migrant worker Elijah Poole "Elijah Muhammad." NOI taught that Elijah Muhammad was a prophet or messenger of God.   Racial Issues The Qur'an says Allah created the human race "from a single male and female, and made you into nations and tribes, so ye may know each other, not that ye may despise each other." The Nation of Islam elevates blacks (and often other non-Caucasians) above whites. A NOI tenet holds that whites were created by a renegade black scientist named Yacub. อันนี้ก็น่าสนใจนะ จากคุณ : mr.cozy (mr.cozy) - [ 20 มิ.ย. 49 14:11:00 ]

ความคิดเห็นที่ 54 จะเถียงกันไปใย ก็พระเจ้าสร้างเขาให้มานับถือ ศาสนาพุทธ มันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า.. จากคุณ : bob_bob - [ 20 มิ.ย. 49 15:10:08 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อืม...กระทู้ชักไปกันใหญ่ ผมขอกลับเข้าเรื่องนะครับ ในระบบประชาธิปไตยสภาไม่ได้มีหน้าที่ออกกฏหมายอย่างเดียว แต่มีหน้าที่คานอำนาจฝ่ายบริหารด้วย ไม่ใช่ว่าฝ่ายบริหารที่ถูกเลือกไปจะทำอะไรก็ได้ ทีนี้ทางอิสลามมีรัฐธรรมนูญอยู่แล้วก็ไม่ว่ากัน แต่การคานอำนาจตรวจสอบกันและกันล่ะครับ เหตุการณ์ที่คุณ kheedes ยกมาว่าคอลีฟะห์อุมานถูกกดดันให้ลาออกแต่ไม่ออก จนถูกสังหาร ก็เป็นตัวอย่างที่ว่าไม่มีกระบวนการตรวจสอบที่แน่ชัด ทำให้คนถูกกล่าวหาไม่มีทางตอบโต้ คนที่กล่าวหาก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ เพราะการลาออกนั้นขึ้นกับมารยาทการเมืองตามที่คุณ kheedes ว่าไว้ อีกอย่างคือผู้นำมีวาระไหมครับ หรือเป็นจนตายหรือจนถูกกดดันจนยอมออกเอง คุณบอกว่าคณะบริหารมาจากประชาชนเลือก แต่ไม่ได้ใช้ระบบ one man one vote ผมก็ยังงงๆว่าเลือกกันยังไงนะครับ หรือไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์เลือก พอคณะบริหารเลือกผู้นำแล้ว ก็หมดหน้าที่แยกย้ายกลับบ้านหรือครับ ใครทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์แทนประชาชนล่ะ หรือต้องรอจนประเทศเจ๊ง ข้าวยากหมากแพงจนประชาชนเดือดร้อนก่อน แล้้วจึงให้ประชาชนมาโวย แล้วก็หวังให้ท่านผู้นำมีมารยาททางการเมืองลาออกเอง จากคุณ : HotChoc - [ 20 มิ.ย. 49 16:20:39 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ ...คนที่คานอำนาจในระบอบนี้ คือ 1.ประชาชนในรัฐนั้น ๆ เช่นการร้องทุกข์กล่าวโทษคอลีฟะห์โดยตรง 2.คณะบริหาร ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน...อย่างกรณีที่ท่านอุษมานถูกกล่าวหานั้น  ท่านอาลี และเศาะฮาบะห์ (สาวก) บางท่าน ก็ได้แนะนำ และทักท้วงให้ท่านลงจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเลือกผู้นำใหม่ เป็นต้น ...แล้วคณะผู้บริหารจะไม่ฮั้วกับผู้นำหรือ?...ก็เหมือนกับกรณีรัฐสภานั่นแหละครับ  ส.ส. ก็คือตัวแทนประชาชน เช่นกัน  ถ้าไม่รักษาผลประฌโยชน์ของประชาชนแล้ว ก็ต้องเคลียร์กับประชาชนที่เป็นฐานเสียงให้ตัวเองนั่นแหละครับ ...คือ ในระบบรัฐสภา นั้นจะแบ่งเป็นฝ่ายค้าน กับรัฐบาล  ดังนั้น ฝ่ายค้านจะตรวจสอบรัฐบาล....แต่ในระบอบรัฐอิสลามนั้น  ตัวของฝ่ายค้านถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคณะบริหารแล้ว ยกตัวอย่างง่าย ๆ ครับ  สมมติประเทศหนึ่ง มีนายกมาจากเสียงของประชาชนภาคเหนือกับอีสาน  ดังนั้นผู้นำประชาชนภาคใต้จึงต้องเป็นฝ่ายค้าน...นี่คือการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน   ในขณะที่รัฐอิสลามนั้น ผู้นำมาจากความเห็นชอบของ คนทุกภาค ครับ ทั้งเหนือ ใต้ อีสาน  ...ดังนั้นมันจึงไม่มีฝ่ายค้าน  เพราะทุกคนในประเทศมีสิทธิ์ในการกำหนดชะตากรรมของประเทศ ...ดังนั้นหากว่า ผู้นำเอื้อประโยชน์แก่คนภาคเหนือ...ตัวแทนภาคใต้ จะอยู่นิ่งเฉยอยู่ได้หรือครับ? ...การบริหารในระบอบรัฐอิสลาม จึงเป็นการก้าวไปพร้อม ๆ กันครับ  ไม่ใช่ให้รัฐบาลก้าว ฝ่ายค้านคอยขัดขา  อย่างนี้... เพราะกล่าวไว้แล้วว่า  คอลีฟะห์ เป็นระบบที่วางอยู่บนนิยามของคำว่า ตัวแทนประชาชนทั้งหมด ...จริง ๆ ระบบการตรวจสอบมีอยู่ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น  ทีนี้การแก้ข้อกล่าวหาก็เป็นหน้าที่ของ ตัวผู้นำเองที่ต้องแถลงต่อประชาชน  หรืออาจใช้วิธีตรวจสอบด้วยระบบตุลาการก็ได้...(แต่ปัญหาที่เกิดในมัยท่านอุษมานนั้น ก็เพราะตัวท่านเอง  ไม่คิดจะโต้ตอบอะไร  เพราะท่านเชื่อว่าท่านทำถูก  และท่านก็คิดว่า ผู้ที่ต่อต้านนั้นเป็นเพียงคนกลุ่มเดียว ไม่ใช่ทั้งหมด) ...ผู้นำมีวาระไหม?....ถ้าอ้างอิงการปกครองที่ผ่านมาในช่วงแรก ๆ นั้น  แสดงให้เห้นว่า วาระการดำรงตำแหน่ง จะสิ้นสุดเมื่อ ตาย หรือ ลาออก เท่านั้นครับ ...แต่ทั้งนี้ นักวิชาการมุสลิมปัจจุบันเห็นว่า  การหมดวาระนั้นมีองค์ประกอบมากกว่า แค่ 2 อย่างที่กล่าวมา คือ - การสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม - สติสัมปัชชัญญะฝั่นเฟือน - หมดความน่าเชื่อถือในภาวะการเป็นผู้นำ  เป็นต้น ...คำว่า ไม่ใด้ใช้ ระบบ one man one vote นั้น คือ  ตัวประชาชนไม่ได้เป็น ผู้เลือกคอลีฟะห์เองครับ   แต่ตัวแทนของประชาชนในคณะบริหารจะเป็นคนเลือกแทนประชาชน ...คือ ถ้าเรามองภาพของการเมืองแบบระบอบรัฐอิสลาม โดยเทียบกับการเมืองในปัจจุบัน  อาจจะมองว่า ทำไมไม่มีคนตรวจสอบ ทำไม่มีคนรักษาผลประโยชน์ จริง ๆ ถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ เราต้องมองอย่างนี้ครับ รัฐอิสลาม เป็นรัฐทางศาสนา  คือใช้ศาสนาอิสลาม เป็นหลักในการปกครองประเทศ  ความแตกต่างอย่างชัดเจนเลยในการปกครองแบบปัจจุบัน คือศีลธรรม ครับ ...อธิบายง่าย ๆ ก็เหมือนเอา นักบวช หรือผู้รู้ศาสนามาบริหารประเทศนั่นแหละครับ...สิ่งแรกที่ ผู้บริหารต้องมี ไม่ใช่ความเก่งกาจด้านการบริหาร  แต่เป็นเรื่องของคุณธรรม ตัวอย่างเช่น สมัยคอลีฟะห์ อบูบักรนั้น  ท่านได้รับเลือก เพราะท่านเป็นที่ยอมรับในหมู่ประชาชนว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ (จนได้รับฉายานามว่า อัสศิดดิก - แปลว่า ผู้ซื่อสัตย์) ท่านอุมัร  ได้รับการยอมรับจากประชาชนในเรื่อง ความยุติธรรม ( เป็นที่รู้กันว่า ท่านเข้มงวดในเรื่องความซื่อสัตย์ และยุติธรรมเป็นที่สุด  ถึงขนาดที่ว่า ท่านมักจะออกไปตรวจตราตามตลาดอยู่บ่อย ๆ พร้อมกับถือแส้ไปด้วยเสมอ  เพื่อหวดลงโทษพ่อค้าที่โกงตาชั่ง หรือค้าขายไม่ยุติธรรม...ครั้งหนึ่งท่านเคยลงโทษท่านอบูหุรอยเราะห์ (สาวกท่านศาสดา) อย่างแรงจนเลือดโชก  เพียงเพราะเงินในคลังหลวงของแผ่นดินหายไปเพียงเล็กน้อย) ท่านอุษมาน  ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้ที่แตกฉานในกุรอานเป็นที่สุด  และเป้นผู้ที่เงียบขรึม สุภาพมาก ท่านอาลี ได้รับฉายา ว่าเป็นมือขวาของท่านนบี  ท่านเก่งกาจทั้งในด้านการรบ และการศาสนา  เป็นผู้ที่มีความต้งใจเด็ดเดี่ยว และยุติธรรม ...จะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากคณะบริหารนั้น  ล้วนเป็นผู้ที่ประชาชนในรัฐให้การยอมรับมาก่อนทั้งนั้น  นี่จึงเป็นหนึ่งในเครื่องหมายประกันความเป็นมือสะอาดในการบริหาร ...แต่ ระบอบรัฐอิสลามก็ไม่ได้เปิดช่องว่างตรงนี้ไว้โดยไม่มีอะไรควบคุม  ทั้งนี้เพราะ คณะผู้บริหารนั้น ก็ต้องมีความแตกฉานในด้านศาสนาไม่ต่างจากผู้นำ  ดังนั้นหากผู้นำเกิดผิดพลาด  ก็ยังมีคณะผู้บริหารคอยตรวจสอบอีกที ...แต่หากถามว่า แล้วอะไรคือเครื่องรับประกันความเป็นคนมีคุณธรรมล่ะ   ก็ต้องย้อนกลับมาพิจารณาว่า  ถ้าให้ผู้ที่มีความรู้ทางศาสนา ถึงขั้น แตกฉานในบทบัญญัติ และเป็นที่ยอมรับของประชาชนด้วยแล้ว...ยังไม่มีคุณธรรม...แล้วใครจะมีคุณธรรมอีก? ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 20 มิ.ย. 49 20:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 57 อ้อ...ลืมไป ...อาจงสัยว่า ถ้าผู้นำมีคุณธรรมจริงเหตุใด  จึงมีการต่อต้านขึ้นในสมัยท่านอุษมาน ท่านปกครองรัฐอิสลามเป็นเวลา 12 ปี  ช่วง 6 ปีแรกนั้นไม่มีปัญหา สงบสุขดีครับ  แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น  ซึ่งสาเหตุก็มาจาก 1.ท่านชราภาพมาก (ตอนนั้น 70 ปีกว่าแล้ว)  ทำให้การปฏิบัติศาสนกิจบางอย่างของท่านแปลกออกไปจาก ท่านนบี...ซึ่งแน่นอนว่า สร้างความไม่เชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน และคณะบริหารเอง 2.ท่านเป็นคนใจดี และมองโลกในแง่ดี  ทำให้ผู้ครองแคว้นอื่น ๆ ไม่มีความเกรงใจเท่าไหร่ 3.ท่านเคยตัดสินคดีความหนึ่ง  แล้วอีกฝ่ายไม่พอใจคำตัดสินของท่าน  จึงผูกใจเจ็บ 4.ท่านมาจากตระกูลบนีอุมัยยะห์...ซึ่งคนในตระกูลท่านได้ใช้โอกาสนี้ แสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบ (แต่ตัวท่านไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย)  จึงถูกประชาชนร้องเรียนเข้ามามากมาย ...นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกเล็กน้อย....โดยคณะผู้บริหาร ซึ่งมีท่านอาลี รวมอยู่ด้วย ... ก็ได้ทักท้วงและตักเตือนท่านหลายครั้งในเรื่องต่าง ๆ  แต่ท่านก็เพิกเฉย  ...ท่านอะลีจึงเรียกร้องให้ท่านสละตำแหน่ง  เพราะเกรงความวุ่นวายทางการเมือง  แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะบริหารต่อ ...ซึ่งหากว่ากันตามจริง  ท่านก็ไม่ได้ผิดอะไรร้ายแรงมาก  และท่านมองว่า ท่านอาลี ว่าพยายามสร้างความวุ่นวายทางการเมืองมากกว่า  ท่านจึงคิดว่า ในเมื่อท่านไม่ผิด และยังมีประชาชนที่เป็นผู้สนับสนุนท่านอีกมาก ท่านก็ไม่มีความจำเป็นต้องสละตำแหน่ง ...ที่จริงการสังหารท่านคอลีฟะห์นั้นเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ  เนื่องจากโดยหลักการแล้ว  ถ้าไม่เกิดการฆาตกรรมจากกลุ่มกบฎขึ้นเสียก่อน  ท่านก็ต้องลงจากตำแหน่งโดยการกดดันจาก คณะบริหารรัฐอยู่ดี...และมีการประชุมเพื่อเลือกคอลีฟะห์ท่านใหม่ จากคุณ : kheedes - [ 20 มิ.ย. 49 20:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าการปกครองที่ดีอยู่ที่คนปกครองดีนะครับ ผมก็เข้าใจในหลักอิสลามที่คิดว่าให้ผู้ชำนาญด้านศาสนาที่มีคุณธรรมขึ้นมาดูแลดีที่สุด แต่ทีนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วจะดี หรือตอนแรกอาจจะดีแต่พอขึ้นมาแล้วอาจจะหลงอำนาจ ระบบการปกครองจึงต้องมีกลไกป้องกันการใช้อำนาจในทางมิชอบ และไม่ให้อำนาจปกครองไปรวมอยู่ที่เดียว คือต้องมี check and balance ซึ่งตามที่คุณ kheedes อธิบายมาผมว่าทางอิสลามยังไม่มีเ่ท่าที่ควร ไม่โปร่งใส เหตุการณ์ท่านอุษมานนั้นเป็นตัวอยางที่ดีครับ ว่าขนาดท่านเป็นคนดี คนทักท้วงท่านก็ดี คนไม่ดีคือพวกตัวเล็กตัวน้อย ยังมีปัญหาถึงขั้นต้องลอบสังหารกัน คุณ kheedes อย่ามองว่าฝ่ายค้านคอยขัดแข้งขัดขารัฐบาลซิครับ ฝ่ายค้านนั่นแหละคือ check ของทางฝ่ายรัฐบาล การฮั้วกันถ้ามันจะฮั้วกันจริงก็ทำได้อยู่แล้วครับ เพียงแต่ยากง่ายแค่ไหนเท่านั้นเอง ถ้าอำนาจอยู่ในมือคณะบริหารไม่กี่คนก็ทำกันได้ง่ายๆ แต่ถ้ามีฝ่ายค้านมาคอยขัดแข้งขัดขานี่ก็อาจจะลำบากหน่อย อีกอย่างนะครับ มันเป็นไปไม่ไ้ด้ที่จะให้ประชาชนทุกคนเห็นตรงกัน รัฐอิสลามนั้น ผู้นำมาจากความเห็นชอบของประชาชน แต่ไม่มีทางที่ทุกคนจะยอมรับ ต้องมีบางคนที่ไม่ยอมรับแต่เป็นเสียงส่วนน้อย ทีนี้ใครจะเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของเสียงส่วนน้อยนี้ล่ะครับ ปกติแล้วสส.ก็คือกระบอกเสียงของประชาชน ทีนี้ทางอิสลามไม่มีสภา คณะบริหารก็ได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ไปแล้ว มีอำนาจเต็มที่ จากคุณ : HotChoc - [ 21 มิ.ย. 49 10:19:19 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ....ส่วนหนึ่งที่ระบอบรัฐอิสลามไม่สามารถ ตั้งขึ้นมาใหม่ได้  ก็เนื่องจาก  บุคคลแบบสมัยท่านนบีนั้น  หาได้ยากเต็มทีในปัจจุบัน  รวมทั้งการหวาดระแวงกันในหมู่ผู้ที่มีอำนาจบริหารรัฐ  คือต่างคน ต่างคิดว่า  อีกฝ่ายจะกอบโกยประโยชน์หรือไม่ ...ซึ่งก็อย่างที่บอกแหละครับว่า  สาเหตุที่มุสลิมอ่อนแอ และเสื่อมสภาพลงในปัจจุบัน  ไม่ใช่เพราะ เราหมกมุ่นอยู่กับคัมภีร์มากเกินไป...แต่เพราะเราไม่ได้เดินตามแนวทางที่มีอยู่แล้วในอดีต  แม้แต่ผู้ที่เป็นผู้นำศาสนาในปัจจุบัน ก็ไม่พ้นข้อครหาเรื่องการกอบโกยผลประโยชน์  ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง ผู้นำศานา คือคนที่ต้องมีคุณธรรมสูงกว่าคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ ...ท่านนบีเคยกล่าวไว้ว่า  บุคคลที่ดีที่สุด คือ คนใน 3 ศตวรรษแรกของอิสลามเท่านั้น และหลังจากนั้นผู้คนจะเรื่มละทิ้งแนวทางที่ถูกต้องไปเรื่อย ๆ ...ผมก็ไม่ได้มองว่าฝ่ายค้านไม่ดีหรอกครับ  เพียงแต่ว่า ฝ่ายค้านที่มีอยู่ในระบอบอิสลามนั้น  เขาไม่ได้แบ่งแยกอย่างชัดเจนว่า ฝ่ายรัฐบาลทำงานไป  ฝ่ายค้านจับผิด อย่างเดียว  แต่เขาจะร่วมบริหารไปกับรัฐบาลด้วย  จนเสมือนว่าไม่มีฝ่ายค้านอยู่  แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดความผิดพลาด  ฝ่ายค้านก็จะทำหน้าที่ของตนเองทันที ..ซึ่ง ตัวอย่างที่ผมยกมาในสมัยท่านอุษมานนั้น  ท่านอาลีก็ดำรงตำแหน่งฝ่ายค้านอยู่ เพราะโดยส่วนตัวแล้วท่านอุษมานกับท่านอาลีก็ไม่ได้... เออออห่อหมกกันเท่าไหร่  และทั้ง 2 ท่านก็มาจากคนละตระกูลกัน  คือมาจากกลุ่มประชาชนที่แตกต่างกันทั้ง 2 ฝ่าย  ฝ่ายท่านอาลี คือคนส่วนน้อย นั่นเอง ....ดังนั้นการที่ท่านอาลีทักท้วง หรือแนะนำให้ท่านอุษมานลงจากตำแหน่ง ก็คือการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการเสนอความเห็นของคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีความไม่พอใจต่อคนในรัฐบาลนั่นเอง ...หากรัฐอิสลามจะตั้งขึ้นมาอีกครั้ง  ผมว่า น่าจะเป็นยุคของอิหม่ามมะห์ดี นั่นแหละครับ ...ยินดีที่ได้สนทนาครับ ด้วยจิตคารวะ จากคุณ : kheedes - [ 21 มิ.ย. 49 11:19:03 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เออ ผมหายไปสองวันทำไมกระทู้มันคึกคักจังวุ้ย อ่านไม่ทันเลย     คุณคีเดสครับ          คือ ยุคสมัยท่านนบีเนี่ย ผมว่าเรื่องทำให้มันตรงกับอุดมคติของท่านมันเป็นไปได้อยู่ แต่ยุคหลังท่านก็มีคอลิฟะทั้งสี่ ซึ่งท่านอาลีโดนอีกสามท่านสังหาร ผมว่ามันไม่น่าจะจัดว่าเป็นการปกครองที่สมบูรณ์นะครับ คือผู้นำก็ฆ่ากันเองควรจะจัดว่าเป็นสงครามภายใน ระบบที่สมบูรณ์ไม่น่าจะมีการกระทำเช่นนี้ หรือเปล่าครับ จากคุณ : hatorihunso - [ 21 มิ.ย. 49 22:52:10 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อืม... ...คือระบบมันจะสมบูรณ์จริง ๆ   ก็ต่อเมื่อองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างลงตัวพอดีนั่นแหละครับ  ตัวอย่างเช่น สมัยท่านนบี มันสมบูรณ์เพราะ ผู้นำก็สมบูรณ์ ผู้ตามก็สมบูรณ์ และประชาชนก็สมบูรณ์ (คือเข้าใจในหลักการของรัฐอิสลาม) ...ต่อมาในมัยท่านคอลีฟะห์นั้น  หลักการมันยังคงสมบูรณ์แต่ ตัวบุคคลและประชาชน มันเริ่มไม่สมบูรณ์แล้ว  ปัญหามันก็เลยตามมา ...ซึ่งความจริง ท่านคอลีฟะห์ทั้ง 4 ก็ไม่ได้ฆ่ากันเองนะครับ  ท่านต่างสนับสนุน และช่วยเหลือกัน  รวมทั้งทักท้วงตักเตือนกัน  ในการปกครองรัฐอิสลาม....เรื่อง มันมาจบลงตรงที่ท่านอาลี ถูกสังหารจากกลุ่มของมุอาวียะห์  ที่ต้องการขึ้นเป็นคอลีฟะห์เอง....และพอเขาได้ขึ้นเป็น  เขาก็ไม่ได้ใช้หลักการของคอลีฟะห์แบบเดิม  แต่เปลี่ยนไปเป็นระบบจักรวรรดิ และราชวงศ์   เพราะเขารู้ดีว่า...หากยังคงปกครองด้วยระบอบคอลีฟะห์อยู่  แน่นอนว่า เขาก็อยู่ในอำนาจได้ไม่นาน  และต้องถูกกดดันให้ลงจากตำแหน่งแน่นอน ...แต่หากมองในแง่มุมของประวัติศาตร์อิสลาม แล้ว ก็มีความพยายามจะจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นมาในหลาย ๆ ครั้งเหมือนกัน  ซึ่งบางครั้งก็ใกล้เคียงกับสมัยท่านนบี  เช่น ในช่วงต้น ๆ ของราชวงศ์อับบาซียะห์ เป็นต้น  หรือในสมัยแห่งสุลต่าน ซาลาดิน ก็ตาม.... ...แต่ก็ไม่ค่อยประบความสำเร็จมากนัก  เพราะองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างมันไม่พร้อม....หรืออย่างในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ที่พยายามจะจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นมาใหม่  เช่นอิหร่าน  แต่ก็ยังใช้หลักการที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เท่าใดนัก  หรืออย่างกลุ่มตาลีบัน  ที่มีความพยายามจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นมา  แต่ด้วยความไม่พร้อมของคนในพื้นที่ และความสุดโต่งของวิถีทางทางการเมือง  เหล่านี้ จึงทำให้รัฐอิสลาม ไม่สามารถก่อกำเนิดได้อย่างสมบูรณ์ขึ้นอีกครั้ง ...โดยหลักการ ระบอบมันมีความสมบูรณ์อยู่แล้วล่ะครับ  แต่องค์ประกอบที่จะเอื้ออำนวยให้เกิด  ระบอบรัฐอิสลามนั้น  มีอยู่น้อย และเกิดขึ้นอย่างลงตัวได้ยาก ..และยิ่งในภาวะที่ โลกมุสลิม ไม่มีความเป็นเอกภาพ แบ่งแยกกันเอง ละทิ้งคำสอนของท่านศาสดาแล้ว  ยิ่งเป็นไปได้ยาก เข้าไปใหญ่ ...รัฐอิสลามจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อ มีผู้นำที่เปี่ยมคุณธรรม  ผู้สนับสนุนที่มีวิสัยทัศน์ และประชาชนที่เข้าใจในหลักการอย่างแท้จริง ...ผมจึงกล่าวว่า ถ้าหากรัฐอิสลามที่แท้จริง  จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ก็คงเป็นสมัยของท่านอิหม่ามมะฮ์ดีนั่นแหละครับ ด้วยจิตคารวะครับ แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 49 00:28:03 จากคุณ : kheedes - [ 22 มิ.ย. 49 00:26:36 ]

ความคิดเห็นที่ 62 :-) vb vb vb จากคุณ : nameonics - [ 28 มิ.ย. 49 21:45:40 ]