ความคิดเห็นที่ 1 .....ในอิสลาม ไม่มีนักบุญครับ และแม้นแต่บุคคลที่ในโลกนี้มีแต่คนมองว่าเป็นคนดีมากๆและก็ปฏิบัติดีมาตลอด ก็ไม่ใช่สิ่งตัดสินว่าจะได้ไปสวรรค์แน่นอนครับ เพราะทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความเมตตาของ เอกองค์อัลเลาะห์ (ซ.บ) เท่านั้นครับ ซึ่งทุกคนรู้ดีว่า พระองค์ทรงยุติธรรมที่สุดครับ จากคุณ : เพื่อนร่วมทาง - [ 1 ก.ค. 49 14:38:57 ]

ความคิดเห็นที่ 2 นักบุญคืออะไร พระคืออะไร โต๊ะอีหม่ามคืออะไร เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ทำไมต้องขัดแย้ง ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สันติสุขอยู่ตรงไหน จากคุณ : เสือคล้าย - [ 1 ก.ค. 49 20:38:42 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผมลองสรุปความหมายของคำว่า "นักบุญ" น๊ะครับ. 1.ผู้ที่ตายไปแล้ว 2.มีเค้า(การเป็นนักบุญ)ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ 3.มีอัศจรรย์เป็นเครื่องหมายรับรอง เช่น ไปสวดขอ จากท่าน แล้วสำเร็จ สมประสงค์ ฯลฯ คุณสมบัติทั้ง 3 ข้อนี้ ในทางอิสลาม  ตรงกับผู้ที่เรา เรียกว่า "โต๊ะว่าลี" (ผู้ใกล้ชิดพระเจ้า)ครับ. แต่อิสลามห้ามเด็ดขาด ในเรื่องการวิงวอนขอจาก สิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์(ซบ.) ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นคน สัตว์ หรือวัตถุ สิ่งของใดๆทั้งสิ้น จัดว่าเป็นโทษบาป ที่ร้ายแรงที่สุดครับ การไปหาผู้มีความจำเริญ(มีบาร่อกะฮ์) ที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อให้ช่วยวิงวอนขอพร(ดุอา) จากพระเจ้า ให้ตรงนี้ กระทำได้ครับ ครั้งหนึ่ง ท่านร่อซู้ล(ซล.) ได้ใช้ให้สาวกผู้หนึ่ง เดินทางไป ดักรอพบสาวกอีกท่านหนึ่งที่ต่างเมือง เพื่อให้สาวกท่านนั้น ช่วยวิงวอนขอพร(ดุอา)จากพระเจ้าให้ ครั้งหนึ่ง สาวกท่านหนึ่ง มาพบท่านร่อซู้ล(ซล.) เพื่อให้ ท่าน ช่วยวิงวอนขอพร(ดุอา)จากพระเจ้าให้ ฤดูฮัจย์ปีหนึ่ง ท่านร่อซู้ล(ซล.) ไม่ได้เดินทางไปทำฮัจย์ แต่ท่านอุมัร(รด.)ไป ท่านร่อซู้ล(ซล.) จึงบอกให้ท่านอุมัร (รด.) ช่วยวิงวอนขอพร(ดุอา) จากพระเจ้าให้แก่ท่านด้วย ซึ่งความจริงแล้วท่านร่อซู้ล(ซล.)จะวิงวอนขอเองก็ได้ ประเสริฐกว่าด้วย แต่ท่านต้องการทำเป็นแบบอย่าง กับ ต้องการบอกนัยยะบางอย่างแก่ท่านอุมัร(รด.) สรุปว่าที่อิสลามห้ามคือ ห้ามขอจากสิ่งอื่นใดนอกจากพระ เจ้า รวมถึงห้ามขอจากคนตายและห้ามการขอให้คนตาย ช่วยขอพร(ดุอา)ให้ครับผม. จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 1 ก.ค. 49 20:48:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4 วาลี ที่ผมพอรู้จักในไทย คือโต๊ะตะเกีย ที่ อยุธยา อะครับ เคยไปเยี่ยมสุสานท่านเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ข้างสุสานท่านเป็นสุสานของลูกศิษย์ด้วย เป็นพระสงค์มารับอิสลามตามที่ผมอ่านประวัติ ของท่านและลูกศิษย์ตรงป้ายแถวนั้น   แต่เคยได้ยินมาว่า โต๊ะวาลี ในไทยมาสามท่าน ?? จากคุณ : beckmee - [ 1 ก.ค. 49 22:12:08 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตามที่   'คุณชายดำ'  ได้แสดงไว้ใน คห.3  ว่า"โต๊ะว่าลี"  นั้นพอจะเทียบเคียงได้กับนักบุญ บุคคลที่ถูกเรียกเช่นนั้น  มีอะไรพิเศษกว่ามุสลิมทั่วไปหรือครับ ? จากคุณ : สุธี - [ 1 ก.ค. 49 22:19:42 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สลามท่าน beckmee และสวัสดีครับ ท่านสุธี ประมาณปี 2545-46 ที่ผมลงไปปาดังเบซาร์ ได้มีโอกาสพบว่าลียุ้ลลออฮ์(โต๊ะว่าลี)ท่านหนึ่ง อายุประมาณ 50 ปีเศษ ท่านเล่าให้ฟังว่า -ว่าลียุ้ลลออฮ์ ในเมืองไทย(ในปีนั้น)มีทั้งสิ้น 16 ท่านครับ -ตัวท่านพำนักที่หมู่บ้านเล็กๆ บนเนินเขา -ท่านเคยอามั้ล(ปฏิบัติธรรม)ในถ้ำใกล้ๆหมู่บ้าน 3 ปีเต็มๆ(ผมลืมถามระยะเวลานอกถ้ำ) -การปฏิบัติจะเน้นการซิกิร(รำลึกถึงอัลลอฮ์)อย่างจริงจังและสม่ำเสมอ -ภูเขาที่ท่านอยู่นั้นเป็นจุดนัดชุมนุมของบรรดาโต๊ะว่าลีทั้ง 16 ท่านเป็นประจำทุกปี -ช่วงที่ท่านอยู่ถ้ำนั้น พบเห็นสิ่งเร้นลับต่างๆมากมาย ขออนุญาตไม่ขยายความต่อ อาจฟิตนะห์(เสียหาย)ได้ -หลังจากสำเร็จได้รับตำแหน่งว่าลียุ้ลลออฮ์แล้ว จึงกลับมาอยู่บ้านเช่นคนทั่วไป -สภาพความเป็นอยู่ของท่านสมถะมากๆ ไม่ติดยึดกับวัตถุ หรือความฟุ้งเฟ้อใดๆ -ท่านเล่าว่ามีคนมาหาท่านบ่อยๆ ท่านมองเห็นเขาเหล่านั้น ตั้งแต่ขับรถมายังไม่ทันขึ้นเขา (ทางขึ้นเขาอยู่ด้านหน้าเขา บ้านท่านอยู่หลังเขา มีเขาบังอยู่-ท่านมองทะลุเขาได้ครับ..ฟิตนะห์ไม๊หว่า..ลองดูล๊ะกัน) -ท่านได้ตาพิเศษ มองกลางคืนเหมือนกลางวัน ไม่ว่ามืดเพียงใดก็ตาม -สังเกตุดูท่าน นอบน้อมถ่อมตนมากๆ ความพิเศษต่างๆที่ท่านได้รับ ท่านพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง เกรงจะเป็นการอวดอ้าง -ดุอา(การวิงวอนขอ)ต่างๆของท่านเป็นที่ถูกตอบรับจากพระเจ้าครับ -ผมพยายามขอให้ท่านช่วยขอดุอา(ขอพร)จากพระเจ้า ในสิ่งเหนือวิสัยบางอย่าง ท่านไม่รับ กลัวผมจะเสียคนครับ เท่าที่จำได้ท่านบอก ถึงเวลาจะได้เอง -ท่านบอกอีกว่า ที่เล่าให้ผมฟังนั้น ท่านพูดเท่าที่พูดได้เท่านั้น (หลายสิ่งหลายอย่างท่านพูดออกมาไม่ได้ เป็นข้อห้าม) -ก่อนลากลับ ผมยัดเงินใส่มีอท่านตอนสล่ามลา ท่านรีบคลายมือ ปล่อยเงินทิ้งทันที(ท่านไม่แตะเงินครับ) -ขอเพิ่มเติมนิด หนังสือ "รวมฮ่าดิสกุดซีย์" ระบุ "ว่าลียุ้ลลอฮ์(ทั่วโลก)มีทั้งหมด 6,000 ท่าน(ขออภัยถ้าจำ จำนวนผิด6,000 หรือ 8.000 จำไม่ได้จริงๆครับ ไม่ได้เปิดดูนาน) และหากมีท่านหนึ่งท่านใดเสียชีวิต อัลลอฮ์(ซบ.) จะแต่งตั้งท่านใหม่ทดแทนตลอดครับ" -ตอบคุณสุธีนิดครับ "ความพิเศษกว่ามุสลิมทั่วไป" คือ 1.ทุกห้วงจิตของท่านเหล่านี้จะมีแต่พระเจ้าครับ 2.จิตของท่านจะมีความอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความวิตกทุกข์ร้อนใดๆครับ 3.ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สิน เงินทอง กิเลส ตัณหา ราคะต่างๆ ท่านไม่สนใจครับ 4.ไม่ว่าท่านเหล่านี้ประสงค์สิ่งใด พระเจ้าจะประทานให้ทันทีครับ ก็คงจะพอเป็นความรู้เล้กๆ น้อยๆ น๊ะครับ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ผมพยายามค้นคว้า ติดตามศึกษามาเกือบ 10 ปี การพูดออกมาก็พยายามระมัดระวังที่สุด ในเรื่องฟิตน๊ะห์ (ความเสียหาย)ต่างๆ ซึ่งหากลงลึกในรายละเอียดแล้ว ยังมีอีกมากครับผม. จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 2 ก.ค. 49 01:10:04 ]

ความคิดเห็นที่ 7 "โต๊ะวาลี" อีกนัยคือ "ซูฟีย์ขั้นสูง" นั่นเองน่ะครับ ส่วนเรื่อง "หนังสือ "รวมฮ่าดิสกุดซีย์" ระบุ "ว่าลียุ้ลลอฮ์(ทั่วโลก)มีทั้งหมด 6,000 ท่าน(ขออภัยถ้าจำ จำนวนผิด6,000 หรือ 8.000 จำไม่ได้จริงๆครับ ไม่ได้เปิดดูนาน)" .....มีวจนะที่แข็งแรงเกี่ยวกับจำนวน "วะลี" อีกอันหนึ่งคือวจนะว่าด้วย "สัญญานก่อนวันสิ้นโลก" กล่าวถึง "วะลี" สี่สิบท่าน ที่เมื่อใดก็ตาม คนใดคนหนึ่งตายลง อัลลอฮ์ จะให้อีกคนนึงมาแทน ในวจนะบทนั้น ใช้คำเรียก "วะลี" ทั้งสี่สิบคนว่า "อับดาล" ปรากฎตัวแถวซีเรีย สัญญานก่อนการสิ้นยุคคือ ท่านเหล่านั้น จะหายไป สำนวนของวจนะคือ "วันสิ้นโลกจะไม่มาถึง ตราบที่ยังมี "อับดาล" อยู่" (รายงานโดยอะฮ์หมัด) ตอนนี้พยายามจะเจาะจงว่า "อับดาล" เหล่านั้นคือใคร แต่ผลไม่ยืนยันครับ จากคุณ : SA Student - [ 2 ก.ค. 49 02:36:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณมากครับ  คำตอบชัดเจนครับ ตรงกัน 90% เลย ผิดกันเล็กน้อยก็ตรงที่การสวดขอ หลังจากที่ท่านสิ้นชีวิตไปแล้ว เท่านั้นเอง จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 2 ก.ค. 49 08:59:48 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอถามครับ 1. ผู้ใดเป็นผู้แต่งตั้งตำแหน่ง "โต๊ะวาลี" 2. จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น "โต๊ะวาลี" ไม่ได้มีการแอบอ้าง 3. หากท่านประสงค์สิ่งใด อัลลอฮฺจะประทานให้ทันที ทำไมท่านเหล่านั้นไม่ประสงค์ให้โลกสงบสุขครับ ปล. สำหรับความคิดของผม "โต๊ะวาลี" เหมือนพระเกจิอาจารย์เลยครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 2 ก.ค. 49 10:40:21 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มุสลิมมีสำนักทรงเจ้า มีผู้ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษด้วยหรือครับ ใช่ทำไมไม่ขอให้โลกนี้สงบสุขละ จากคุณ : เสือคล้าย - [ 2 ก.ค. 49 11:41:37 ]

ความคิดเห็นที่ 11 "ถ้าสู้เจ้าแน่จริรง" จากคุณ : เสือคล้าย - [ 2 ก.ค. 49 11:43:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 (ขอแจมครับ) 1. ชาวบ้านเป็นคนตั้งครับ 2. มุสลิมมีมาตรฐานต่างกันไปในเรื่องการวัดคนดี คนไม่ดี(ตามหลักการศาสนา) อันนี้ก็อยู่ที่คนแถวนั้นเลยครับว่า จะมองคนนั้นเป็นคนดีมั้ย? แต่หลักๆเลยคือ เป็นคนที่ดำเนินชีวิตในกรอบที่ศาสนากำหนด เช่น ละหมาดครบ ถือศีลอดไม่ขาด เป็นต้นครับ หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็ถือว่าเป็นวาลีปลอม (ที่อินเดียมีเยอะมากกกครับ) 3. เคยได้ยิน "Free will"มั้ยครับ? หมายถึง พระเจ้าจะให้อิสระแก่มนุษย์ในการตัดสินใจเชื่อข้อมูลใดๆที่ได้รับ โดยการไหลเข้า-ออกของข้อมูลควบคุมโดยพระเจ้าเอง ไม่มีมนุษย์คนใดขอให้พระเจ้าเปลี่ยนใจใครได้ การขอให้คนชั่วเป็นคนดี จึงไม่อยู่ในหลักการครับ จากคุณ : SA Student - [ 2 ก.ค. 49 18:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อัสลามมุอะลัยกุมครับ ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับผม ^_^ ได้อะไรเยอะเลย วัสลามมุอะลัยกุมคับ จากคุณ : สันติ (bas'cate'ball) - [ 2 ก.ค. 49 22:26:07 ]

ความคิดเห็นที่ 14 โชคดีที่คุณ SA เข้ามาหลังจากผมอ่าน คห.6 ของ 'คุณชายดำ'  (ตอนแรกผมอ่านเป็นกระชายดำนะเนี่ย -- หวัดดีครับ ไม่ค่อยเห็นเลยนี่ครับ หายไปไหนมาเหรอ?) เพราะชักงง  ด้วยเหตุว่า คห.1 ของคุณ 'เพื่อนร่วมทาง' บอกว่าไม่มีนักบุญ  และฟังคำอธิบายของคุณก็ชักสับสน พอฟังคุณ SA ซึ่งเคยอธิบายเรื่อง "ซูฟีย์"   มาบ้างก็เลยพอกล้อมแกล้มไปได้บ้าง อ้า  ..  "โต๊ะว่าลี"  ดังกล่าวนั้นมีการบันทึกเรื่องราวรายละเอียดไว้ใน กุรอ่านหรือเปล่าครับ อยู่บทไหนครับ? ใน คห.12 ของคุณ SA ที่ว่า เคยได้ยิน "Free will"มั้ยครับ? หมายถึง พระเจ้าจะให้อิสระแก่มนุษย์ในการตัดสินใจเชื่อข้อมูลใดๆที่ได้รับ โดยการไหลเข้า-ออกของข้อมูลควบคุมโดยพระเจ้าเอง ** เคยได้ยิน "Free will"มั้ยครับ?  *** เคยครับ  แต่แปลไม่ออกเพิ่งแปลออกเพราะคุณแปลให้ฟังนี่แหละ  (ไม่ได้ไม่รู้ศัพท์แต่ไม่รู้ความหมายเฉพาะในที่นี้)   และจากประโยคของคุณ SA ที่ผมยกมานั้น มีความหมายว่าอะไรเหรอครับ ช่วยขยายความหน่อย และอยู่ในกุรอ่าน บทไหนบทไหนครับ ? ขอบคุณครับ จากคุณ : สุธี - [ 3 ก.ค. 49 06:43:09 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เราจะถือมาตรฐานจากชาวบ้านนั้นหรือครับ แสดงว่าแต่ละมาตรฐานย่อมไม่เท่ากัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าวะลีจริงหรือปลอม จากมาตรฐานที่ไม่เท่ากันล่ะครับ หากโลกไม่เกิดสันติสุข แสดงว่าคำขอไม่ได้รับการตอบรับหรือครับ หรือเพราะพระเจ้าไม่บังคับจิตอิสระของมนุษย์ หรือเพราะคำขอมันใช้ไม่ได้ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 3 ก.ค. 49 12:28:32 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ...แฮะๆ ถ้าเปรียบนักบุญ เท่ากับ "โต๊ะว่าลี" แสดงว่าผมก็ผิดเองที่อ่านคำถามไม่แตกครับ ขออภัยด้วยครับ โดยในเมืองไทย ก็พอรู้จักท่านเจ้าคุณ ตะเกีย ที่ อยุธยา เหมือนกับที่ คุณ  beckmee แจ้งไว้ครับ (ประวัติที่ฟังมาคือ พระสงฆ์ท่านนั้น กับท่านเจ้าคุณฯ ประลองวิชากันครับ แล้วลั่นวาจากันไว้ว่าใครแพ้ จะเปลี่ยนไปนับถือตามคนชนะ ผลก็คือตามที่แจ้งไว้ครับ) อันนี้ไม่ยืนยันนะครับ เพราะฟังมาอีกทีครับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 49 13:00:40 จากคุณ : เพื่อนร่วมทาง - [ 3 ก.ค. 49 12:59:18 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สล่ามท่าน SA ,ท่านสันติ และ สวัสดีครับทุกๆท่าน. เริ่มที่ คห.ที่ 7 ของท่าน SA ครับ ขออัลลอฮ์(ซบ.)ทรงตอบแทนครับ สำหรับข้อมูลต่างๆ ที่ท่านนำมาเพิ่มเติม เท่าที่ผมพบรายงานมา "อับดาล" เป็นว่าลียุ้ลลอฮ์ระดับหัวหน้าครับ มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของภูมิภาคต่างๆของโลกครับ ส่วนเรื่องความวุ่นวายต่างๆที่มีอยู่ ประเด็นนี้ยังไม่พบข้อมูลครับ จริงๆแล้ว ผมอยากจะนำตัวบท หลักฐานต่างๆที่กล่าวถึงเรื่องของว่าลียุ้ลลอฮ์มาประกอบการอ้างอิง แต่ติดขัดบางประการ จึงยังไม่สามารถนำมากล่าวอ้างได้ ได้แต่พูดไปตามเรื่องราวเท่าที่พอจำได้ครับ อินชาอัลลอฮ์ หากมีโอกาสจะนำมาเสนอต่อไปครับ ขออนุญาตแย้มนิดหนึ่งครับ ปัจจุบันกำลังมุ่งฝึก "มุรอเกาะบ้าตุ้ลลอฮ์" (การเพ่งจิตสู่อัลลอฮ์ ซบ.) แบบเดียวกับที่ท่านเคยคุยกับท่านสุธี ในกระทู้ก่อนหน้านี้ครับ แต่ของผมจะเริ่มที่การสลายสรรพสิ่งทั้งหมดออกจากห้วงความนึกคิด แล้วจึงจะเพ่งจิตสู่อัลลอฮ์(ซบ.)ครับ. คห. ที่ 9 ครับ ข้อ 1.ชาวบ้านเป็นคนตั้ง ตามที่ท่าน SA ระบุ แต่โดยอนุมัติจากพระเจ้าครับ (ตรงนี้ต้องเข้าใจนิดหนึ่งก่อนครับว่า ในความเชื่อของมุสลิมนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระเจ้า(มินั้ลลอฮ์) และทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เป็นไปโดยพระเจ้า(บิ้ลล่ะห์)ครับ. จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 3 ก.ค. 49 15:23:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 มาต่อกันครับ. ข้อ 2.รู้ได้อย่างไรว่า...ไม่ได้มีการแอบอ้าง อันนี้ดูได้จากการปฏิบัติตนของท่านครับ -ละโมภ โลภในทรัพย์สิน ชื่อเสียงหรือไม่ ของจริง ถ้าไปคุยเรื่องเงินเรื่องทอง จะเฉยๆครับ หากรำคาญ ท่านก็อาจจะลุกหนีครับ -ที่สำคัญต้องดูว่า คุณธรรมของท่านเป็นอย่างไร มีการกระทำที่เป็นการละเมิดบัญญัติศาสนาหรือไม่ครับ -ประการสุดท้าย ขอโทษน๊ะครับ ของจริงนั้นหาตัวท่านยากครับ ไม่มีโอกาสพบท่านง่ายๆหรอกครับ ถึงแม้จะทราบว่าท่านพำนักอยู่แถวนั้น แถวนี้ แต่เมื่อไปหาท่าน ไม่เจอหรอกครับ นอกจากท่านประสงค์ให้เราเข้าพบ จึงจะเจอตัวท่านครับ. ข้อ 3.ท่านกำลังนำความคิดเห็นของคนทั่วไป ไปใช้กับคนที่ไม่สนใจความเป็นไปในโลกน๊ะครับ คนเหล่านี้ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นครับ ขอมีพระเจ้าอยู่กับเขา เขาพอเพียงแล้วครับ อเมริกาจะบุกใคร ยิวจะทำร้ายใคร ไม่สนครับ อีกประการ คนเหล่านี้ทราบดีถึงเรื่องของการกำหนด กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พระเจ้าใช้ในการปกครองดูแลโลก และสรรพสิ่งต่างๆ และท่านทราบดีว่าบางสิ่ง บางอย่างนั้นเป็นเรื่องของพระเจ้า มนุษย์เข้าไปแตะต้องไม่ได้ครับ ไม่ต้องถึงคนระดับนั้นหรอกครับ เอาเพียงระดับต๊อกต๋อยอย่างผมที่ฝึกมาประมาณ 10 ปี ฝึกมั่ง ขี้เกียจมั่ง ขอโทษน๊ะครับ ผมกล้าประกาศกับพรรคพวกว่า หากสรรหาหญิงที่สาวที่สุดและสวยที่สุดในโลก นำมายกให้ผมเพื่อการเสพสุข โดยไม่ผ่านพิธีแต่งงานแบบมุสลิม ผมจะเดินหนีแบบไม่ลังเลครับ อีกข้อที่ผมประกาศเอาไว้ หากนำทรัพย์สินทั้งแผ่นดิน มากองเบื้องหน้าให้ผม แลกกับการให้ผมตั้งภาคี(ชิริก)กับพระเจ้าเพียงครั้งเดียว ผมจะเดินหนีทันทีครับ เอ้า..ไหนๆก็พูดแล้ว ขออีกข้อ..ที่เคยประกาศไว้..หากนำเบียร์ 1 แก้วมาให้ผมดื่ม แลกกับค่าจ้างดื่ม 10 ล้านบาท(สิบล้านบาท) ขอโทษครับ ผมเดินหนีครับ. คิดว่าคงพอเข้าใจน๊ะครับ คนแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ กิเลส ตัณหา ราคะ ละโมภ โลภ หลง ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับบุคคลที่ผ่านการขัดเกลาจิตใจมาอย่างดี เกลี้ยงสะอาดและใสหมดจดต่อมลทินต่างๆ คนเหล่านี้ไม่เหมือนคนทั่วไปครับ มาคห.ที่ 10 ครับ -มุสลิมมีสำนักทรงเจ้า..มีครับ แต่ส่วนใหญ่จะไม่เรียกว่า ทรงเจ้า จะเรียกว่าทรงนั่น ทรงนี่ อะไรก็ว่าไป แต่ทั้งหมดไม่ว่าทรงอะไรก็แล้วแต่ ต้องหลบๆซ่อนๆครับ เพราะเป็นพฤติกรรมที่หมิ่นเหม่ต่อการตั้งภาคี(ชิริก)ต่อพระเจ้าครับ ที่ทราบมา บางที่ก็ถูกกวาดล้างจับกุมไปแล้วครับ -มีผู้ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ...มีครับ ส่วนใหญ่ที่ทราบ วิเศษไม่จริงครับ ถูกกวาดล้างไปหลายที่แล้วครับ. -ทำไมไม่ขอให้โลกนี้สงบ...ตอบไปแล้ว ด้านบนครับ. คห.ที่ 11 ครับ. ถ้าสูเจ้าแน่จริง...ไม่อยากตอบเลย...เอาเป็นว่า...เป็นเรื่องของความเชื่อของแต่ละท่านน๊ะครับ ที่ผมนำเสนอเรื่องนี้เพราะเรียนรู้และฝึกฝนมาทางด้านนี้ครับ และกล้ายืนยันว่าถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลามทุกประการครับ เอ่อ..เท่าที่ทราบมา ที่แน่จริงๆน่ะ...คือความตาย...และผู้ที่ทำให้เราตายน๊ะครับ ผิดถูกก็...โหสิด้วยละกัน..ผมคนเรียนน้อย รู้น้อย ด้อยปัญญาครับผม. จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 3 ก.ค. 49 15:24:16 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คห.ที่ 12 ผมขออนุญาตเพิ่มเติมท่าน SA ในข้อ 2. ครับ "ว่าลี" แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ครับ. 1."ว่าลียุ้ลลอฮ์"(ผู้ใกล้ชิดอัลลอฮ์)อันนี้เป็นของจริง หาตัวยาก ไม่สน เงินทอง ชื่อเสียง มีคุณธรรมถูกต้อง ชัดเจน 2."ว่าลียุชช่ายาตีน"(ผู้ใกล้ชิดชัยตอน)อันนี้เป็นของปลอม เป็นว่าลีปลอมครับ การปฏิบัติตนจะตรงข้ามกับข้อ 1 หาตัวง่ายครับ ชอบตั้งสำนักอย่างเปิดเผย เรียกร้องทรัพย์สินแลกเปลี่ยนกับการให้ความช่วยเหลือ มักมีชัยตอนเป็นลูกมือ ใช้ไปทำงานต่างๆ(พวกเสน่ห์ ยาแฝดนั่นแหละ) ดุอา(การวิงวอนขอ) ถูกตอบรับ แต่จะน้อยกว่าว่าลีแท้ มักมีบริวารสาวๆอยู่รอบข้าง (เณรแอ ถ้าเป็นมุสลิมก็เข้าข่ายอันนี้เหมือนกัน) คห.ที่ 14. สวัสดีครับ ท่านสุธี ตอนสมัครสมาชิกเมื่อหลายปีก่อน(แฮ่..สมาชิกเก่าๆแก่ๆ..แหะ..แหะ ขออนุญาตเวอร์หน่อย) ผมยื่นรายชื่อเพื่อรับการคัดเลือก 3 ชื่อครับ 1. กระชายดำ 2. คุณชายดำ 3.ชายชุดดำ (เพราะชอบแต่งชุดดำเพื่อเตือนตัวเองว่าเราอยู่ท่ามกลางความชั่ว ความเลวน๊ะ อย่าของแว๊ะความชั่ว ความเลวน๊ะ) ชื่อแรกไม่ผ่าน มาได้ชื่อ 2 ก็ OK จึงใช้มาตลอดครับ ความจริงก็ไม่ได้หายไปไหนครับ ซุ่มดูอยู่ครับ (ประเภทซุ่มบนภู ดูเสือกัดกัน..แหะ..แหะ..) ชอบปลีกวิเวก ปฏิบัติธรรม ตามมัสยิดที่ไม่ค่อยพลุกพล่าน เป็นระยะ ๆน่ะครับ เข้าเรื่องดีกว่าครับ. -คำว่า"นักบุญ" ไม่มีในอิสลามครับ ใน คห.ที่ 6 ผมใช้คำว่า(ความหมาย)" ตรงกับ" ที่เราเรียกว่า"โต๊ะว่าลี" ครับ -หลักฐานจากอัลกุรอ่าน จะค้นมาให้ทีหลังน๊ะครับ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 49 19:24:52 จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 3 ก.ค. 49 15:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เรียนตามตรง ผมอ่านความเห็นของคุณชายดำ คนที่เป็นโต๊ะว่าลี ผมไม่คิดไปทางเซนต์หรือนักบุญเลยครับ แต่คิดไปทางหมอผีไสยศาสตร์มนต์ดำ อ่านแล้วกลัวจังครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 3 ก.ค. 49 18:11:08 ]

ความคิดเห็นที่ 21 "ไม่ต้องถึงคนระดับนั้นหรอกครับ เอาเพียงระดับต๊อกต๋อยอย่างผมที่ฝึกมาประมาณ 10 ปี ฝึกมั่ง ขี้เกียจมั่ง ขอโทษน๊ะครับ ผมกล้าประกาศกับพรรคพวกว่า หากสรรหาหญิงที่สาวที่สุดและสวยที่สุดในโลก นำมายกให้ผมเพื่อการเสพสุข โดยไม่ผ่านพิธีแต่งงานแบบมุสลิม ผมจะเดินหนีแบบไม่ลังเลครับ อีกข้อที่ผมประกาศเอาไว้ หากนำทรัพย์สินทั้งแผ่นดิน มากองเบื้องหน้าให้ผม แลกกับการให้ผมตั้งภาคี(ชิริก)กับพระเจ้าเพียงครั้งเดียว ผมจะเดินหนีทันทีครับ เอ้า..ไหนๆก็พูดแล้ว ขออีกข้อ..ที่เคยประกาศไว้..หากนำเบียร์ 1 แก้วมาให้ผมดื่ม แลกกับค่าจ้างดื่ม 10 ล้านบาท(สิบล้านบาท) ขอโทษครับ ผมเดินหนีครับ." เอ่ อย่างนี้เข้าข่าย["ตักกาโบ๊ด"ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า] หรือเปล่าครับ จากคุณ : เสือคล้าย - [ 3 ก.ค. 49 20:34:09 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ กุรอาน ซูเราะห์ (บท) อัล-บะเกาะเราะฮฺ  อายะห์ (โองการ)ที่ 207 กล่าวว่า "...และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้ที่ขายตัวของเขา ทั้งนี้เพื่อแสวงหาความพอพระทัยของอัลลอฮ์และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงปรานีแก่ปวงบ่าวทั้งหลาย" ...คำว่า ขายตัวเอง ในที่นี้มีความหมายว่า สละทุกสิ่ง ที่เป็นเรื่องทางโลก รวมทั้ง ความสุข ทุกข์ อารมณ์ใด ๆ ทั้งหมด เพื่อแลกกับความเมตตาและโปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้าครับ ...อายะห์นี้ อาจเรียกได้ว่า เป็นแก่นความเชื่อหลัก ๆ ของซูฟี ก็ได้ครับ  เพราะ มีความหมายถึง การสละซึ่ง ทางโลกทั้งหมด  เพื่อเข้าหาทางธรรม...ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับ โต๊ะวาลี ครับ ..แต่ทั้งนี้  ก็มิได้หมายความว่า อิสลามจะส่งเสริมให้ดำเนินชีวิตแบบนักบวชนะครับ " ส่วนการเป็นนักบวชนั้น เราไม่ได้บัญญัติมันขึ้นมาสำหรับพวกเขา พวกเขาเองต่างหากที่สร้างมันขึ้นมา" (กุรอาน 57:27) ส่วนกรณี อิสระในการตัดสินใจเลือกของมนุษย์นั้น  มีกล่าวไว้ในกุรอานเช่น "อัลลอฮ์จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใดนอกจากตามความสามารถของชีวิตนั้นเท่านั้น   ชีวิตนั้นจะได้รับการตอบแทนดีในสิ่งที่เขาได้แสวงหาไว้ และชีวิตนั้นจะได้รับการลงโทษในสิ่งชั่วที่เขาได้แสวงหาไว้..." (กุรอาน 2:286) "...แท้จริงอัลลอฮฺจะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเองก่อน..." ( กุรอาน 13:11) ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 3 ก.ค. 49 21:29:44 ]

ความคิดเห็นที่ 23 "อัลลอฮ์จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใดนอกจากตามความสามารถของชีวิตนั้นเท่านั้น   ชีวิตนั้นจะได้รับการตอบแทนดีในสิ่งที่เขาได้แสวงหาไว้ และชีวิตนั้นจะได้รับการลงโทษในสิ่งชั่วที่เขาได้แสวงหาไว้..." (กุรอาน 2:286) "...แท้จริงอัลลอฮฺจะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเองก่อน..." ( กุรอาน 13:11) ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes   - [ 3 ก.ค. 49 21:29:44 ] ............................................................................... บทนี้ใช้สำหรับภาคใต้ด้วยหรือเปล่าครับ [หรือว่ายังไง] [ที่ถามเพราะอยากสนทนาธรรมถ้าล่วงเกินขออภัย] จากคุณ : เสือคล้าย - [ 4 ก.ค. 49 10:24:14 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อยากสนทนาเรื่อง "นักบุญในศาสนาอิสลาม" มากกว่าครับ ... จากคุณ : สุธี - [ 4 ก.ค. 49 10:42:11 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สล่ามและคารวะท่าน kheedes (นักวิชาการศาสนาอิสลาม ผู้มุ่งมั่นในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องราวของอัลอิสลาม แก่คนทั่วไป) สวัสดีครับทุกๆท่าน. ต้องขออภัยต่อทุกท่านด้วยครับ หากความคิดเห็นต่างๆของผมรบกวนสายตาและหน้ากระทู้นี้มากเกินไป ปกติแล้วผมไม่ค่อยจะนิยมแสดงความเห็นในหน้ากระทู้ต่างๆ ชอบอ่านมากกว่า แต่มีกระทู้นี้ที่เห็นว่าตรงกับสิ่งที่ได้ศึกษา ค้นคว้าอยู่ จึงเคาะเข้ามา จุดประสงค์ คือต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านต่างๆครับ เนื่องจากว่าสายวิชาความรู้ด้านนี้ เป็นสายวิชาปกปิดครับ เรียนได้ รู้ได้ แต่พูดออกมาไม่ได้ แม้กระทั่งศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ก็ไม่คุยกันเรื่องนี้ครับ แต่ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความคิดเห็นต่างจากผู้อื่น จึงไม่ค่อยติดยึดกับประเพณีหยุมหยิมครับ  OK ครับมาว่ากันต่อ เริ่มที่ คห.ที่ 20 ท่านคลื่นแทรกครับ. ผมต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งครับที่ความเห็นของผม ทำให้ท่านเกิดความกลัว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมพยายามระมัดระวังอยู่ตลอด ระวังไม่ให้เกิดฟิตนะห์(เสียหาย)น่ะครับ เพราะการพูดใดๆที่ทำให้ผู้อื่นรับฟังแล้วไม่สบายใจเป็นโทษบาปครับ ขออภัยจากใจจริงครับ โต๊ะว่าลี แท้ๆไม่มีอะไรน่ากลัวครับ ท่านสุภาพอ่อนน้อมกว่าคนทั่วไปครับ มักจะชอบช่วยผู้ที่ไปพบหาด้วยซ้ำครับ มีอีกท่านหนึ่งที่ผมทราบมา (เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นหลานศิษย์ของท่านเล่าให้ฟัง) พวกนักการเมืองวิ่งเข้าหาท่าน จนท่านรำคาญ ต่อมาภายหลังไม่มีนักการเมีองท่านใดพบเห็นท่านอีกเลยครับ. อีกท่านหนึ่ง(อันนี้ครูผมคนหนึ่งเล่าให้ฟัง ผมมีครู 2 ท่านครับ) ท่านชอบอยู่ชายทะเล กษัตริย์ประเทศหนึ่ง(ขอปิดว่าประเทศไหนน๊ะครับ เอาเฉพาะเรื่องราวก็พอครับ) พระองค์ท่านเสด็จไปพบบ่อยๆ พร้อมองค์ราชินี และมีบ่อยครั้งที่องค์ราชินีเสด็จไปพบท่านพร้อมคณะผู้ติดตามโดยองค์กษัตริย์ไม่ได้เสด็จไปด้วย โดยเฉพาะองค์กษัตริย์กับท่านนั้นสนิทกันถึงขนาดเดินคล้องแขนกันครับ ปัจจุบันท่านนี้เสียชีวิตไปแล้ว ลูกศิษย์ท่านคนหนึ่งรับหน้าที่แทน และถูกเชิญเข้าวังของกษัตริย์องค์นี้บ่อยๆครับ. มาถึงตรงนี้บางท่านอาจแย้งว่านำเรื่องเล่ามาเล่าต่อ ไม่มีข้อมูลหลักฐาน จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็ใคร่ขอเรียนว่า คนในสายวิชานี้ไม่ชอบพูดปดหรอกครับ แม้กระทั่งเรื่องนินทาว่าร้าย ที่ว่าห้ามยาก ขอโทษครับ คนสายนี้เขาไม่พูดกันหรอกครับ แค่นั่งร่วมกลุ่มคุยกันแล้วมีใครเผลอหลุดออกมา คนอื่นๆขอตัวลุกหนีครับ. ที่ยกเรื่องว่าลี อีก 2 ท่านมาเพื่อยืนยันว่า ของจริง ไม่น่ากลัวครับ ไม่เช่นนั้น พวกนักการเมืองและกษัตริย์(บางประเทศ)ไม่ไปสนิทสนมด้วยหรอกครับ. ส่วนที่ท่านคลื่นแทรก บอกว่า..คิดไปทางหมอผีไสยศาตร์มนต์ดำ..กลัวจัง ขอเรียนว่าพวกหมอผีเหล่านี้เป็นพวกชั้นต่ำครับ เทียบกับของแท้แล้ว ห่างกันฟ้ากับดินครับ และที่สำคัญไม่มีอะไรน่ากลัวครับ (เขียนมาอย่างนี้ หมอผีบางท่านมาอ่านพบอย่าเคืองกันน๊ะ..ผมศิษย์มีครูน๊ะ..แหะ..แหะ..) คือกำลังจะบอกว่าพวกนี้ทำอะไรใครไม่ได้หรอกครับ หากไม่ใช่คราวเคราะห์ของคนคนนั้นครับ(อธิบายให้เข้าใจง่ายน่ะครับ) แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 49 01:06:14 จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 5 ก.ค. 49 00:42:44 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มาความเห็นที่ 21 บ้างครับ. ท่านเสือคล้ายครับ. ผมต้องขอขอบพระคุณท่านอย่างสูงและด้วยใจจริงครับ ที่ท่านกรุณาทักท้วงว่า เข้าข่ายตะกั๊บบุ๊ร หรือเปล่า ซึ่งจริงๆแล้ว เรื่องนี้เป็น(ฟิตนะห์-เสียหาย)อีกเรื่องหนึ่งที่ผมพยายามระมัดระวังครับ "ผู้ใดมีความตะกั๊บบุ๊ร อยู่ในใจแม้เพียงเท่าเมล็ดผักกาด เขาไม่ได้เข้าสวรรค์" วจนะศาสนฑูต(ซล.) - รายงานโดยท่านบุคอรี(ถ้าจำไม่ผิด) อยากขออนุญาตเรียนว่า โดยใจจริงแล้วไม่มีเจตนาครับ ที่ระบุไปเช่นนั้น ต้องการเปรียบเทียบอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนครับ ยอมรับครับว่า หลังจาก post ไปแล้ว ผมยังมานั่งนึกทบทวนดูว่า ยกตัวอย่างเปรียบเทียบอธิบายไปยังไม่ค่อยชัดเจน ไม่ค่อยตรงประเด็น แต่ยังไม่มีเวลาเข้ามาแก้ไข ติดภารกิจด้านอื่นอยู่ครับ ขออนุญาตเรียนเพิ่มเติมใน คห.ที่ 18 ข้อ 3 น๊ะครับ. คนระดับว่าลียุ้ลลอฮ์นั้น ไม่สนใจความเป็นไปในโลกครับ มุ่งปฏิบัติธรรมด้วยการละหมาด อ่านอัลกุรอ่าน และเน้นการรำลึกถึงพระเจ้า(ซิกิร)ครับ การดำรงชีพจะเป็นไปแบบเรียบง่ายที่สุด เพื่อเอาเวลาส่วนใหญ่ มารำลึกถึงพระเจ้า(ซิกิร)ให้มากที่สุด หลักปฏิบัติที่ยึดถือคือ "กินให้ง่ายที่สุด นอนให้ง่ายที่สุด และกินให้น้อยที่สุด นอนให้น้อยที่สุด เอาเวลามาปฏิบัติธรรมให้มากที่สุดเพื่อมุ่งหวังความโปรดปราน(จากพระเจ้า)ให้มากที่สุดและเร็วที่สุดครับ" อันนี้เป็นหลักปฏิบัติที่ผู้ฝึกแรกเริ่มยึดถือปฏิบัติโดยตลอด ไม่ว่าจะใช้เวลาการฝึกกี่ปีตาม    จะเป็นเช่นนี้ตลอด 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี 40 ปี จนกว่าจะสำเร็จ บางคนฝึกจนตายไม่สำเร็จก็มีครับ บางคนเบื่อการฝึกเลิกราไปก็มาก (แย้มนิดครับ ช่วงการฝึกบางท่าน ทีวีไม่ดู วิทยุไม่ฟัง หนังสือพิมพ์ไม่อ่านครับ บางท่านปลีกวิเวก เข้าป่า เข้าถ้ำ เร้นกายออกจากสังคมครับ) ทีนี้เมื่อการใช้ชีวิตเช่นนี้นานวันเข้า จึงทำให้ไม่สนใจเรื่องราว ต่างๆ ในโลกครับ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีความรู้สึกว่า ตนเองพบกับความสุขที่แท้จริงในชีวิตแล้ว มีความอิ่มเอิบ พอเพียงในชีวิตแล้ว และเริ่มมองว่าในสังคมโลกมีแต่ความวุ่นวาย แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น รบราฆ่าฟันกันสารพัด นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สนใจเรื่องราวในโลกประการที่หนึ่งครับ ประการที่ 2 เมื่อเริ่มฝึกระยะแรกๆ ไปเรื่อยๆ พระเจ้าจะเริ่มประทานความรู้ต่างๆให้ครับ. "ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้" (อัลกุรอ่าน 96:5) สิ่งแรกเลย คือการรู้จักพระองค์(มะริฟะตุ้ลลอฮ์) เป็นการรู้จักด้วยใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการรู้จากคำบอกเล่าของใคร หรือจากตำราเล่มไหน "ผู้ใดรู้จักตัวเอง เขารู้จักพระเจ้าของเขา ผู้ใดรู้จักพระเจ้าของเขา เขาจะรู้จักตัวเอง" สรุปจากวจนะของท่านศาสนฑูต(ซล.) (จำผู้รายงานไม่ได้ครับ) หลังจากนั้น จะเป็นความรู้เกี่ยวกับเดชานุภาพของพระองค์ เช่นการสร้างสรรพสิ่งต่างๆ การปกครองดูแลสรรพสิ่งต่างๆ การให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือแก่มวลสรรพสิ่ง ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ พระเจ้าจะทะยอยประทานให้ โดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้าใดๆทั้งสิ้นครับ. บางท่านอาจสงสัยว่าพระองค์ท่านประทานความรู้ให้อย่างไร? วิธีการไหน? การรู้ด้วยใจเป็นอย่างไร? ตอบง่ายๆละกัน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ จะเกิดความรู้ความเข้าใจในปมปัญหาต่างๆ(ที่ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจมาก่อน)ในฉับพลันทันที โดยไม่ต้องถามใคร และไม่ต้องเปิดตำราเล่มไหน และจากความรู้ที่ได้รับ เขาจะทราบทันที สิ่งนี้เป็นการงานของพระเจ้าน๊ะ อย่าเข้าไปยุ่งน๊ะ สิ่งนี้น๊ะ คนเขามาไหว้วานน๊ะ ช่วยเขาหน่อยน๊ะ จะแยกแยะออกโดยอัตโนมัติครับ. นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนระดับ ว่าลียุ้ลลอฮ์ เขาไม่ยุ่งเรื่องราวในโลกครับ. โดยส่วนตัวผมเองแล้ว จากการฝึกมาประมาณ 10 ปี ยังรับรู้สิ่งเหล่านี้เล็กน้อยมากครับ กับเรื่องราวความวุ่นวายต่างๆในโลก หรือจะทางภาคใต้ของเรา ผมยังมองว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้าครับ ทั้งนี้ก็เพื่อทดสอบบ่าวของพระองค์ว่า มีความศรัทธาต่อพระองค์แน่นแฟ้นแค่ไหน มีความอดทนต่อความทุกข์ยากต่างๆมากน้อยเพียงไร "ผู้ใดไม่พอใจ ต่อการกำหนด(สภาวะการณ์ต่างๆ)ของเรา(อัลลอฮ์ ซบ.)ก็จงไปแสวงหาพระเจ้าอื่นนอกจากเรา(อัลลอฮ์ ซบ.)" สรุปจากวจนะท่านศาสนฑูต(ซล.) (เป็นฮ่าดิสกุ๊ดซีย์..แหะ..แหะ จำผู้รายงานไม่ได้อีกเช่นเคย) ผมชอบฮ่าดิสบทนี้จริงๆ ไม่รู้เป็นไง. แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 49 01:22:16 จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 5 ก.ค. 49 00:46:09 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คห.ที่ 22 สล่ามอีกครั้งครับ ท่าน kheedes ขออัลลอฮ์(ซบ.)ทรงตอบแทนความกรุณาของท่าน ที่ได้กรุณาเพิ่มเติมข้อมูลครับผม.( แหะ..แหะ..รอดตัวไป ไม่ต้องไปนั่งค้นเอง) คห.ที่ 24 สวัสดีครับ ท่านสุธี ผมอ่านดูจากที่ท่าน "ถกธรรม" กับท่าน SA แล้ว ผมยังแอบเก็บความรู้ต่างๆไว้ได้เป็นโอ่งๆ เลยครับ ดีครับ ดี "ถกธรรม "ดีกว่า "เถียงธรรม" เพราะถ้า "เถียงธรรม"มากๆ มันจะกลายเป็น "วิวาทธรรม" หรือ "ทะเลาะธรรม" กันบน net เปล่าๆ(เอ่อ..หมายความถึงใครมั่งก็ไม่รู้เน๊อะ..เอาเป็นว่าท่านใดไม่มีคุณสมบัติ "ทะเลาะธรรม" ก็ผ่านไป ส่วนท่านที่มีคุณสมบัติครบถ้วนก็..ไม่ต้องมา "งับ" ผมน๊ะครับ ผมเถียงใคร ทะเลาะใคร..ไม่เป็นครับ..เป็นแต่ทะเลาะกับผีน่าครับ..แหะ..แหะ..พูดเล่นครับ รักๆ กันไว้ สมานฉันท์กันไว้ดีกว่าครับ.)  ยังไงก็ "ถกธรรม" กับท่าน SA ต่อเรื่อยๆ น๊ะครับ จะแอบซุ่มติดตามต่อไปเรื่อยๆ เป็นระยะๆ ครับผม ผมมีหนังสือภาษาไทยเล่มหนึ่ง ชื่อ "ว่าลียุ้ลลอฮ์ หรือ ว่าลียุชช่ายาตีน" (แปลง่ายๆว่า "ว่าลีของอัลลอฮ์ หรือว่าลีของชัยตอน") เล่มบางๆ ไม่หนาเท่าไหร่ มีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่ท่าน "อยากสนทนา" ซึ่งอยากจะมอบเป็นของกำนัลแก่ท่าน ไม่ทราบว่าสนใจไหมครับ ? หากสนใจก็กรุณา mail สถานที่จัดส่งที่ท่านสะดวกแก่ผมด้วยครับ mail ของผม khun_sak_1957@hotmail.com (ระหว่าง n กับ s และ  k กับ 1 มีขีดล่างครับ.) ผมชอบลีลาร่ายรำบนกระทู้ของท่านจริงๆ ..ผับผ่า..แหะ..แหะ  โชคดีเป็นของท่านตลอดไปน๊ะครับ. แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 49 01:43:25 จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 5 ก.ค. 49 00:46:20 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรียนคุณชายดำ   คห.ของคุณรบกวนสายตาผมจริง ๆ ด้วยครับ  สีเขียว มองแล้วแซ๊บ แสบตาอ่ะครับ  เอาสีมืด ๆ หน่อยก็จะดีนะครับ  อ่านเอาเรื่อง เอ๊ย อ่านเอาความรู้ต้องคิดอยู่แล้ว  ยังต้องฝืนอ่านสีสันแสบตาอีก เฮ้อ.. อ้อ  ถ้ามีอะไรยาว ๆ แบ่งเป็นส่วน ๆ ดีแล้วนะครับ อย่าติดเป็นพืดแบบหลาย ๆ คนนะครับ อันนั้นผมไม่อ่านเลยแหละ อ้อ  ธรรมะนะครับไม่ใช่กะปิ น้ำปลา  จะได้เก็บเป็นโอ่ง เอาเป็นแค่เก็บเป็นกล่องหรือเป็นแฟ้ม ก็ดูเท่ดีออกครับ ผมล้อเล่นน่ะครับ  ผมอ่านแล้วปวดตา  ก็คลายเครียดนิดนึงอย่าถือสาหาความเล้ย ... 555  ... 666  ...  777 จากคุณ : สุธี - [ 5 ก.ค. 49 06:41:03 ]

ความคิดเห็นที่ 29 รบกวนถามคุณชายดำนิดนึงน่ะครับว่า ที่คุณชายดำบอกว่า "ศิษย์มีครู" อยากทราบว่า "ครู" ที่ว่า เป็นใคร? ท่านได้มุบัยยิอัตจากใครมา? รบกวนด้วยครับผม ^-^ จากคุณ : SA Student - [ 5 ก.ค. 49 06:46:08 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ยิ่งอ่าน โต๊ะว่าลี ยิ่งเหมือนนักบวช ทางโลกคือไม่สนอีกแล้ว บวชเพื่อพระเจ้าแล้ว จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 5 ก.ค. 49 11:50:30 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คห.ที่ 28 สวัสดีครับ ท่านสุธี เรื่องสีสัน จัดให้แล้วน๊ะครับ ต้องขอขอบพระคุณอย่างสูงครับที่กรุณาทักท้วง และต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ทำให้ท่าน ต้องปวดสายตากับข้อความที่ไม่ค่อยจะมีสาระน่ะครับ. คห.ที่ 29 สล่ามครับ ท่าน SA ครูผมมี 2 ท่านครับ ท่านแรก ท่านเป็นคนที่ชอบเก็บตัวครับ ไม่ชอบทำตัวเป็นคนมีชื่อเสียงในสังคม แวดวงมุสลิมมีคนรู้จักท่านไม่มาก ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าท่านเป็นครูสอนศาสนาชราๆคนหนึ่งเท่านั้น (ท่านสอนศาสนามาประมาณ 30 กว่าปี ปัจจุบันท่านอายุประมาณ 80 ปีครับ เลิกสอนแล้วครับ) แต่ในแวดวงของนักธุรกิจ นักการเมือง และนักการทหาร(ของบางประเทศ) ต่างพากันมาขอให้ท่านช่วยดุอา(ขอพร)ให้มากมาย โดยการมารับท่านไปทำพิธีที่บ้าน สำนักงาน หรือกรม กองต่างๆ(ของประเทศนั้นๆ) เนื่องจากท่านไม่ต้องการให้ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง รับทราบเรื่องราวของท่าน ท่านปกปิดตัวเองได้แนบเนียนมาก จนไม่มีใครระแคะระคายว่าท่านเป็นผู้ที่มีความจำเริญ(บ่ารอกะฮ์)คนหนึ่ง ผมกับศิษย์พี่(รุ่นพี่)อีกคนมักจะถูกท่านตำหนิและตักเตือนอยู่บ่อยๆว่า หากยังมีลักษณะของการ "ตะกั๊บบุ๊ร" อยู่ อัลลอฮ์(ซบ.)จะไม่เปิด (open)สิ่งต่างๆให้ สายวิชาของท่านนั้น ท่านเรียนมาจากครูของท่าน(ขออนุญาตเรียกท่านครูใหญ่ละกัน..ง่ายดี) ท่านครูใหญ่นี้จบมาจากมักกะฮ์ และรับ "มุบายิอะฮ์" มาจากอาหรับภูเขาครับ (เป็นสาย "กอดิรียะฮ์"-ผ้าเขียวครับ) ครูผมท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านครูใหญ่เรียนอยู่นั้น กลางวันจะเรียนวิชาการศาสนาทั่วๆไป แต่กลางคืนอาหรับภูเขาจะ "ปรากฎ" ตัวมาสอนวิชาสาย "ซูฟีย์"นี้ครับ ขณะเรียนอยู่ท่านครูใหญ่ได้มีโอกาสรู้จักกับ เจ้าชาย fahad (ช่วงก่อนครองราชฯ ถ้าผมจำชื่อไม่ผิดน๊ะครับ) และถูกอัธยาศัยกัน จนเป็นที่โปรดปรานเป็นอย่างมาก หลังจากเรียนจบเจ้าชาย fahad จึงชักชวนเข้ารับราชการอยู่กับท่าน ในตำแหน่งเลขาคนสนิทส่วนตัว ท่านรับราชการอยู่หลายปี จนกระทั่งเจ้าชายท่านขึ้นครองราชฯก็ยังคงรับราชการต่อ จนกระทั่งล่วงเข้าวัยกลางคน(อายุประมาณ 40 ปีเศษ) จึงลาออกจากราชการ กลับมาเปิดปอเนาะสอนหนังสือที่เมืองไทย(แถวมินบุรี)ครับผม. ส่วนครูผมอีกท่านหนึ่ง ท่านก็ไม่ชอบเปิดเผยตัวเช่นกัน สอนศาสนามาประมาณ 20 ปี มีที่พำนักแถวรามคำแหง เป็นสาย "กอดิรียะฮ์" - ผ้าขาวครับ ท่านรับมุบายิอะฮ์มาจากบิดาของท่านครับ. พูดถึงเรื่องผ้าสีต่างๆแล้ว เคยถามครูท่านแรก ท่านตอบว่า "ผ้าซงผ้าสีอะไรกัน..เกะกะ" ความหมายก็คือ "อย่าไปติดยึดกับวัตถุ แต่ให้ติดยึดอยู่กับอัลลอฮ์(ซบ.)" แปลอีกทีก็คือ "ให้ซิกิร(รำลึก)มากๆและเอี๊ยะติกอด(ยึดมั่น)ให้แม่น" ครับผม. แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 49 16:23:35 จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 6 ก.ค. 49 16:17:04 ]

ความคิดเห็นที่ 32 บ้านผมก็อยู่แถวรามคำแหงน่ะครับ ซอย53 เคยเรียน"ฮาฟิส"ที่ "มัรกัสมีนบุรี" อยู่ปีกว่า คืด บ้านผมเป็นสายดะวะฮ์น่ะครับ ไปมาแถวนั้นบ่อยๆ ไม่แน่อาจจะเคยเจอพวกท่าน แต่ไม่ได้พบปะ ปราศรัยกันก็ได้ อันที่จริง พ่อผมก็รับ"มุบัยยิอัต" มาจากปู่น่ะครับ สาย"กอดิรีย์" เหมือนกัน แต่ไม่เคยถามว่า ผ้าไหน? พูดๆอยู่ ท่านพ่อก็ชอบตัดบท ตอนนี้อยู่ที่แอฟริกาใต้ มีกลุ่มจากอินเดียอีกอัน เรียกว่า "คานกา" ที่ร.รมีสาย "ฮามีดีย์" ไม่เคยได้ยินมาก่อนน่ะครับ แต่ค่อนข้างประยุกต์เอามากๆเลย ยินดีที่ได้สนทนาด้วยครัย จากคุณ : SA Student - [ 6 ก.ค. 49 18:11:27 ]

ความคิดเห็นที่ 33 สล่ามครับ ท่าน SA -อยู่รามฯ 53 เชื่อว่าต้องเคยพบครูผมท่านที่ 2 เพราะท่านมักจะมาละหมาดวันศุกร์ที่นั่นเป็นประจำ แต่ท่านมักจะแต่งตัวสมถะ คนทั่วไปมอง จะไม่พบความพิเศษใดๆในตัวท่านครับ ผมเองก็มักจะแว๊ะไปละหมาดที่นั่นบ่อยๆ อินชาอัลลอฮ์ มีโอกาสคงได้พบกัน -เคยเรียนฮาฟิสมาปีกว่า เชื่อว่า "ตุน" เอาไว้ได้ไม่น้อย ไม่ทราบว่าปัจจุบันได้ครบหมดไหมครับ? -อยู่ที่แอฟริกาใต้..ดีจังครับ ผมยังคิดว่ามีโอกาส อินชาอัลลอฮ์ อยากจะไป "ปลีกวิเวก" แถวนั้นบ้างน่ะครับ เอ่อ..พูดถึง "ปลีกวิเวก" นี่ไม่ทราบว่า คำอาหรับ เค้าใช้คำไหนนะครับ ไม่รู้จริงๆครับ..จึงต้องถาม แหะ..แหะ  "ดังนั้น พวกเจ้าจงถามบรรดาผู้รู้  หากพวกเจ้าไม่รู้" (16:43) แหะ..แหะ เจอผู้รู้ ต้องถามหน่อย ผมถามเก่งน๊ะครับ พรรคพวกกัน ไม่ว่าจะไคโร มะดีนะห์ เจอหน้าผมจะแหยงๆ บางคนตั้งฉายาผมว่า "จอมมัสอะละฮ์" -ยินดีที่ได้สนทนาด้วยเช่นกันครับ (แล้วอย่าลืมตอบผมน๊ะครับ.) จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 7 ก.ค. 49 01:24:31 ]

ความคิดเห็นที่ 34 จริงๆก็ไม่ครบครับ สมัยนั้นเกเรด้วย และไม่เรียนแค่ปีครึ่งน่ะครับ ไปต่อที่ศรีลังกาอีกปี แล้วลงใต้(มัรกัสยะลา)อีกปี เป็นสามปีครึ่ง...เอ่อ...ได้มาเจ็ดญุซครับ - -" ตอนนี้ก็อินชาอัลลอฮ์(หากอัลลอฮ์ประสงค์) เรียนอาลิมจบจะกลับไปเรียนฮาฟิซให้จบครับ คำว่า "ปลีกวิเวก" ภาษาอาหรับมักใช้ "คอละอะ"(รูปกิริยาอดีต) "คอลอุน"(รูปคำนาม) ส่วน"ผู้ปลีกวิเวก" จะใช้ "มุค้อลละอะฮ์" เป็นความหมายตรงตัวน่ะครับ แต่จะหาคำที่ใช้ๆกันอยู่อีกทีครับ เรื่องถามมาก ไม่ใช่ปัญหาครับ ปัญหาคือ ไม่ถามเลย มากกว่า เพราะเราจะไม่รู้ว่า เขาเข้าใจที่เราพูดมั้ย? หรือเข้าใจผิด-ถูก อย่างไร? ออกตัวก่อนว่า ผมเรียนมัซฮับฮานาฟีย์น่ะครับ หากจะถามปัญหาศาสนา ให้ถามท่านอื่นๆดีกว่า เกรงว่าที่เรียนมาจะไม่ตรงกับสังคมเมืองไทยนักน่ะครับ แต่หากเป็นข้อสงสัยในกุรอ่าน หรือตัวบทต่างๆ หากอัลลอฮ์ประสงค์ จะไล่ตอบให้ครับ จากคุณ : SA Student - [ 7 ก.ค. 49 06:33:21 ]

ความคิดเห็นที่ 35 .      ขอบคุณ "คุณชายดำ"  ครับ  ความจริงแล้วผมล้อเล่นน่ะครับ ไม่นึกว่าจะจริงจัง แต่ก็ขอบคุณครับ  เพราะจริง ๆ แล้วอ่านตัวขาวในพื้นมืด  น่าจะถนอมสายตามากกว่า  และทำให้ใจเย็นดีด้วย      คุณ SA  ครับ เช่นเคยครับ ได้ยินศัพท์ใหม่ ๆ      "ปลีกวิเวก"  ,  "ผู้ปลีกวิเวก"      ขออธิบายพร้อมยกตัวอย่าง  อ่ะ  พร้อมบอกแหล่งข้อมูลด้วยฮับผม      ขอบคุณครับ . จากคุณ : สุธี - [ 7 ก.ค. 49 07:37:27 ]

ความคิดเห็นที่ 36 "การปลีกวิเวก" ในอิสลามไม่ได้กำหนดช่วงเวลา หรือการปฎิบัติตายตัวครับ นอกจากการละหมาด5เวลาซึ่งบังคับอยู่แล้วเท่านั้น หากจะปฎิบัติเพิ่ม ก็เป็นเรื่องดีครับ ส่วนใหญ่มักใช้การ"รำลึกถึงอัลลอฮ์"(ซิกรุ้ลลอฮ์=ดังที่เคยคุยกันไปแล้ว) ครับ ระยะเวลาก็แล้วแต่เลยครับ แค่นอนชมจันท์บนหลังคาบ้านตัวเอง แล้วรำลึกถึงผู้สร้าง นั่นก็ปลีกวิเวกแล้วครับ (ดูกุรอ่าน3:191 เรื่องของสาวกท่านหนึ่ง) (หากคุณชายดำเข้ามา รบกวนเล่าสู่กันฟังถึงภาคปฎิบัติของคุณชายดำหน่อยครับ การเผยแพร่ความรู้เป็นอุธาหรน์ ไม่เข้าข่ายโอ้อวดครับ ยืนยัน) ส่วน"ผู้ปลีกวิเวก" ในทุกๆอย่าง มุสลิมเราจะเอาท่านนบีมุฮัมมัดเป็นแบบอย่างครับ แม้กระทั่งเรื่อง "การปลีกวิเวก" เองก็ตาม แนวทางปฎิบัติของท่าน ท่านเน้นทางสายกลาง ดังที่ได้บันทึกไว้ในวจนะบทหนึ่ง ใจความว่า "ชายสามคนได้มาหาภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัด เพื่อขอให้ท่านหญิงอธิบายกิจวัติของท่านประจำวัน เมื่อท่านหญิงกล่าวเสร็จแล้ว พวกเขาพากันแปลกใจ(เพราะท่านไม่ได้ปฎิบัติอันใดเป็นพิเศษ แต่พวกเขาคิดว่า เพราะท่านเป็นนบี) คนหนึ่งจึงกล่าวว่า "ฉันจะละหมาดทั้งคืนโดยไม่นอน" อีกคนกล่าวว่า "ฉันจะถือศีลอดโดยไม่ละศีลอด"(เอาให้หิวตายไปข้าง..) คนสุดท้ายกล่าวว่า "ฉันจะเลิกยุ่งกับผู้หญิง" เมื่อท่านนบีทราบถึงคำพูดของทั้งสาม ท่านจึงเรียกมาแล้วกล่าวว่า "แน่แท้ เรา(ท่านนบี)เป็นแบบอย่างแก่พวกท่าน แต่เราละหมาดแล้วก็นอน เราถือศีลอด แล้วเราก็ละศีลอด และเราแต่งงาน ใครก็ตามที่หันเหจากแนวทางของเรา เขาไม่ใช่พวกของเรา" ท่านนบีมุฮัมมัด ก่อนการได้รับการแต่งตั้ง ท่านก็มักปลีกวิเวก ณถ้ำ"ฮิรออ์" (ซึ่งต่อมาท่านก็ได้รับการแต่งตั้ง ณที่เดียวกันนั้นเอง) เริ่มโดยไปเช้า เย็นกลับ ต่อมา ท่านเริ่มไปทีละหลายๆวัน ไม่มีการบันทึกในรายละเอียดตรงนี้ครับ อาจเป็นเพราะท่านเองไม่ได้เล่ากิจปฎิบัติของท่านให้ผู้ใดฟัง และอยู่ในยุคก่อนเป็นนบี จึงไม่มีผู้ใดคอยติดตามบันทึกอิริยาบทของท่านไว้ครับ เกี่ยวกับทั้งสองอย่างข้างต้น หลักฐานที่นึกออกตอนนี้คือ วจนะดังนี้ครับ "การปลีกตัวออกไป เช้าครู่หนึ่ง เย็นชั่วครู่หนึ่ง เพื่อรำลึกถึงอัลลอฮ์(ซิกรุ้ลลอฮ์) ดีกว่าโลกนี้และสิ่งที่อยู่ในมัน" (บันทึกโดยบุคอรี มุสลิม) "ในวันพิพากษา บุคคลเจ็ดจำพวกที่จะอยู่ใต้รมเงา"อรัช"(บัลลังค์)ของอัลลอฮ์ ในวันซึ่งที่ไม่มีร่มเงาอื่นอีก นอกจากร่มเงานี้ของพระองค์ หนึ่งในนั้นคือ "ผู้ที่เขานั่งรำลึกถึงอัลลอฮ์(ซิกรุ้ลลอฮ์) อยู่คนเดียว(ปลีกวิเวก) แล้วดวงตาของเขา ก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา" (รายงานโดยอบูฮุรอยเราะฮ์ บันทึกโดยมุสลิม) "จะมีมาสมัยหนึ่ง ซึ่งที่เมื่อคนทำความชั่ว จะทำอย่างเปิดเผย การตักเตือนพวกเขา เสมือนวิ่งเข้าไปในกองเพลิง เมื่อเป็นเช่นนั้น หากพวกท่านประสงค์ทางรอด ท่านจงสมามัคคีกันภายใต้ผู้นำเดียว หรือออกไปอยู่ตามหุบเขา แล้วใช้ชีวิตที่เหลือกับการภักดีอัลลอฮ์เถิด" "บุคคลสองคนที่อัลลอฮ์รักมากที่สุด คนหนึ่งเมื่อเขาเห็นคนกำลังประพฤติชั่ว เขาหักห้ามมันด้วย วาจา และกำลัง และอีกคนหนึ่งคือ เมื่อเขาเห็นคนกำลังประพฤติชั่ว เขาละทิ้งพวกนั้น แล้วออกไปยังหุบเขาพร้อมฝูงแกะ ใช้เวลาที่เหลือหมดไปกับการภักดีต่ออัลลอฮ์" แหล่งข้อมูลเรื่อง"การปลีกวิเวก" เนื่อจากยังจำกัดอยู่ในวงแคบๆอยู่ จึงไม่มีให้หาได้จากเนตครับ เรื่องการรำลึกถึงอัลลอฮ์ลองดู http://www.kamalulislam.com/Alhadith/Untitled-5.html แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 49 04:44:41 จากคุณ : SA Student - [ 8 ก.ค. 49 04:37:57 ]

ความคิดเห็นที่ 37 หมายความว่าการปลีกวิเวกขออิสลามก็คือ การทิ้งอะไรต่ออะไรชั่วคราว เพื่อไประลึกถึงพระเจ้าใช่ไหมครับ แล้วในช่วงเวลานั้น  คุณมีความรู้สึกและมีผลอะไรเกิดขึ้นกับกายและใจของคุณบ้างครับ และขั้นตอนวิธีการในการปลีกวิเวกได้จารึกไว้ในศาสนาอิสลามบทไหนบ้างครับ ? จากคุณ : สุธี - [ 8 ก.ค. 49 12:28:34 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สล่าม ท่าน  SA และสวัสดีครับท่านสุธี ภาคปฏิบัติของผมก็ง่ายๆครับ จะใช้คำซิกิร(รำลึก)แบบที่ใช้กันทั่วไปนั่นแหละครับ แต่มีหลักง่ายๆว่า -ขณะรำลึก อย่าให้มีสิ่งอื่นใดเข้ามาในห้วงจิต ต้องมีเฉพาะอัลลอฮ์(ซบ.)และร่อซู้ล(ซล.)เท่านั้นครับ -ปฏิบัติให้มาก ปฏิบัติให้จริง เท่านี้แหละครับ. http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4505955/Y4505955.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4504818/Y4504818.html -เอ่อ..เรื่องสูดลมหายใจเข้า-ออก พร้อมซิกิร(รำลึก)ในใจ ตามลมหายใจนี้ เรียกว่า "การเดินลม" ครับ มาจากหลักฐานที่ว่า "ผู้รู้ ลมหายใจของเขา เป็นอิบาดะห์" (จำผู้รายงานไม่ได้) ครับผม -ขออัลลอฮ์(ซบ.)คุ้มครองครับ.. จากคุณ : คุณชายดำ (คุณชายดำ) - [ 9 ก.ค. 49 18:42:57 ]