CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    เพื่อความเข้าใจในอิสลามที่ถูกต้อง (ตอนที่ 4)

    ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ


    ...ต่อเนื่องมาจากกระทู้นี้ครับ

    เพื่อความเข้าใจในอิสลามที่ถูกต้อง (ตอนที่ 1)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4550064/Y4550064.html (อ้างอิง 1)

    เพื่อความเข้าใจในอิสลามที่ถูกต้อง (ตอนที่ 2)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4550455/Y4550455.html (อ้างอิง 2)

    เพื่อความเข้าใจในอิสลามที่ถูกต้อง (ตอนที่ 3)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4556667/Y4556667.html (อ้างอิง 3)

    โดยทั้งหมดมีต้นเหตุ จากกระทู้นี้ครับ
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4545268/Y4545268.html


    *************
    คริสต์
    *************

    ...คำนี้ถ้าเสิร์ชหา จะพบอยู่ 12 แห่ง (ซึ่ง จริง ๆ อาจมีมากกว่านั้น  เนื่องจากกุรอานใช้คำว่า  อะลุ้ลกิตาบ  ที่หมายรวมถึง ยิวและคริสเตียน )   ในโองการอื่น ๆ นั้น  ส่วนใหญ่จะกล่าวถึงในแง่ที่ว่า  อิสลาม มีความเชื่อต่างจากคริสต์อย่างไร   เช่นคริสต์เชื่อว่า พระเยซูเป็นพระเจ้า  แต่อิสลามไม่ได้เชื่อเช่นนั้น เป็นต้น  ....สรุปก็คือจะกล่าวถึงหลักศรัทธาที่แตกต่างกันเป็นส่วนใหญ่

    ..อิสลามถือว่า ชาวยิว และคริสเตียน นั้นเป็นอะลุ้ลกิตาบ หรือ ชาวคัมภีร์  เนื่องจากอิสลามถือว่า  ทั้ง 2 กลุ่มนั้น ต่างได้รับคัมภีร์มาจากพระเจ้าเช่นกัน  และมีแนวทางแห่งการศรัทธาที่มาจากรากฐานพระเจ้า เดียวกัน


    ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ในโองการนี้  คือ โองการที่ 51 ในบทที่ 5  ความว่า

    “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน  และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม”

    คำอธิบาย – ซูเราะห์ (บท) นี้   เป็นซูเราะห์  มาดานียะห์ ( ดูความหมายใน อ้างอิง 3) ประเด็นที่น่าสนใจคือ  ทำไมกุรอานต้องกล่าวห้ามมุสลิมเป็นมิตร กับยิวและคริสเตียน ในโองการนี้

    ...โองการนี้  ถ้ากลับดูในต้นฉบับบภาษาอาหรับ  จะอ่านว่า  
    “ยา อัยยูฮัล ลาซี นาอามานูวฺ” - (ผู้ศรัทธาทั้งหลาย)
    “ลาตั๊ตตาคีซู”  - (จงอย่าได้ยึด)
    “ยาฮูดา” – (ชาวยิว)
    “วานาซอรอ” – (ชาวคริสต์)
    “เอาลียาห์” -  (เป็นมิตร)
    “อาบะฮฺ ฎูฮุม” – (บางส่วนของพวกเขา)
    “เอาลียาห์” -  (เป็นมิตร)
    “อูบาเฎ็ม” – (บางส่วน)

    ...จะสังเกตได้ว่า  กุรอานใช้คำว่า  “เอาลียาห์” แทนความหมายของคำว่า มิตร  ใน 2 ตำแหน่ง  คือตำแหน่งแรกที่กล่าวเตือน  มุสลิม  และตำแหน่งที่ 2 ที่กล่าวถึงยิวและคริสเตียน  จากที่เคยกล่าวถึงความหมายของคำว่า  “เอาลียาห์”  ไว้แล้ว ( ดูอ้างอิง 1)  ซึงหมายรวมความสัมพันธ์ที่แนบแน่นและแน่นแฟ้น ชนิดที่ว่า  เป็นตัวตายตัวแทนได้  ซึ่งกุรอานได้จำกัดขอบเขตของความสัมพันธ์ไว้ ในฐานะที่มุสลิมต้องมีจุดยืนในเรื่องของศาสนา  แม้ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสหาย ก็ตาม  ...นั่นคือ อิสลามจะเป็นมิตรกับคนต่างศาสนา ในฐานะของ ซอดี๊ก (เพื่อนทั่วไป) หรืออาจมากกว่านั้นก็ได้  แต่ต้องไม่เลยเถิดถึงขั้น  วะลีย์  (หรือเอาลียาห์)  เพราะนั่นจะเป็นการละเลยจุดยืนที่ชัดเจนในทางศาสนา

    ...และการที่กุรอานใช้คำว่า  “เอาลียาห์” แทนความหมายของคำว่า มิตร  ในการกล่าวถึงยิว และคริสเตียนนั้น  ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า  กุรอานไม่ได้เหมารวม  ชาวยิวหรือคริสเตียน ทุกคน  แต่เจาะจงเป็นกรณีเฉพาะ ในฐานะที่คน 2 กลุ่มมีความสัมพันธ์กันแบบแนบแน่น

    ...ตัวอย่าง “เอาลียาห์”  ที่เห็นได้ชัดเจน  เช่น อเมริกา กับอิสราเอล ...ซึ่งจะเห็นได้ว่า อเมริกาซึ่งเป็นคริสเตียนนั้น  ได้ร่วมมือกับอิสราเอลที่เป็นยิว  ในการทำสงครามกับอาหรับ หรือชาติมุสลิม  ชนิดที่ว่า ประเคนทุกสิ่งทุกอย่างให้  และรับประกันความปลอดภัยของอิสราเอล ด้วยชีวิตของทหารอเมริกัน เป็นต้น....แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า  อเมริกาทุกคนจะเลว  หรือยิวทุกคนจะคบไม่ได้ครับ....ดังนั้น  กุรอานจึงไม่ได้เหมารวมทั้งหมด  แต่เจาะจงเฉพาะกลุ่ม ให้เห็นภาพชัดเจนครับ

    ----------------------------------------

    ในบทที่ 5 โองการที่ 68 และ 69  ความว่า

    “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย  พวกท่านมิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใด...จนกว่าพวกท่านจะดำรงไว้ซึ่งอัต-เตารอต และอัล-อินญีล และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกท่านจากพระเจ้าของพวกท่าน...และแน่นอนสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า จากพระเจ้าของเจ้านั้นจะเพิ่มการละเมิด และการปฏิเสธศรัทธาแก่จำนวนมากในหมู่พวกเขา ดังนั้นเจ้าจงอย่าเศร้าใจแก่พวกที่ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นเลย  

    แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธา และบรรดาผู้ที่เป็นยิว และพวกซอบิอูน และบรรดาผู้ที่เป็นคริสต์นั้น ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกและประกอบสิ่งที่ดีงามแล้ว ก็ไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่สียใจ”


    คำอธิบาย - โองการข้างต้นนี้  จะอธิบายความชัดเจนในจุดยืนของอิสลามและ ชาวคัมภีร์ (ยิว –คริสเตียน)  ได้แจ่มชัดว่า   ...อิสลาม ถือว่า  หากยิวและคริสต์ ต่างยึดถือในบัญญัติที่มาจากพระเจ้า อย่างจริงจัง  โดยไม่ละเว้นหรือละเมิดแล้ว  และยอมรับในกุรอาน ว่าเป็นหนึ่งในบรรดาคัมภีร์ที่มายืนยัน คัมภีร์ทั้งหมดแล้ว   เช่นนั้น  ทั้งหมดก็ไม่มีความแตกต่างอันใดในหมู่ผู้ที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน....

    ....ในโองการที่ 69 กล่าวว่า   “ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกและประกอบสิ่งที่ดีงามแล้ว ก็ไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่สียใจ” ...ข้อความนี้ให้ความชัดเจน  ในเรื่องความยุติธรรมของอัลเลาะห์ว่า   พระองค์ไม่เป็นพระเจ้าของอิสลามเท่านั้น  แต่พระองค์ คือพระเจ้าของบรรดาชาวคัมภีร์ทั้งมวล  และทุกคนจะได้รับการตัดสินอย่างยุติธรรม


    ++++++++ มีต่อ >>>>>>>>

    จากคุณ : kheedes - [ 24 ก.ค. 49 00:38:27 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com