ความคิดเห็นที่ 1 ชมพูทวีปไม่ใช่เฉพาะอินเดียนะคะ แต่เป็นโลกนี้ทั้งใบ ยังมีอีก คือ อุตรกุรุทวีป อัปรโคยานทวีป และปุพพวิเทหทวีปค่ะ จากคุณ : Omena - [ 22 ส.ค. 49 10:46:31 ]

ความคิดเห็นที่ 2 กรุณาอ่าน คห.  15 และ 26 จากลิงค์นี้ครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4629484/Y4629484.html จากคุณ : Ritti Janson - [ 22 ส.ค. 49 13:37:54 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตามไปอ่านลิ้งค์ที่ให้มาแล้ว ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี เหมือนจะบอกว่าหากช่วงหัวต่อกลียุคเกิดขึ้น ณ ที่ใด พุทธองค์ก็จะอุบัติ ณ ที่นั้น??? หรือเปล่า?? แล้วพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ อุบัตขึ้นที่อินเดีย (ชมพูทวีป) หรือเปล่า? ปล. ดูสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้า.. ชมพุทวีป ไม่ใช่โลกทั้งใบนี่ หรือยังไง? จากคุณ : ซุ่มอยู่ - [ 22 ส.ค. 49 15:05:09 ]

ความคิดเห็นที่ 4 พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในโลกก็ต่อเมื่อสังคมโลกเกิดกลียุค ถ้าโลกยังไม่ทุกข์ร้อน จนถึงขนาด เรามีโอกาสจะได้พบ พระปัจเจก พระโพธิสัตว์ พระอริยบุคคล ตราบเท่าที่พระพุทธธรรมยังคงอยู่ ถ้าโลกไม่เกิดกลียุคแล้วจะทรงอุบัติขึ้นมา เพื่อกระทำกิจอะไร?.... ส่วนชมพูทวีป เป็นส่วนหนึ่งของโลกครับ พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในทวีปใด ก็เกิดจากเหตุตามที่ได้กล่าวใว้แล้ว............. ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 22 ส.ค. 49 15:26:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เคยมีพระพุทธเจ้าหลายองค์อุบัติก่อนองค์ปัจจุบันใช่มั้ย ตอบว่า ใช่ครับ ทุกพระองค์อุบัติในชมพูทวีป หรือเปล่าครับ ตอบว่า ใช่ครับ แต่ไม่ใช่อินเดียครับ เพราะชมพูทวีปในความหมายของพระพุทธศาสนาหมายถึง โลกทั้งโลกน่ะครับ ไม่ใช่แค่อินเดียครับ ในพระพุทธศาสนา ท่านมีกล่าวไว้ 4 ทวีป คือ ปุพวิเทหทวีป อมรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และชมพูทวีป (ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ทวีปอเมริกา อินเดีย ยุโรป แอฟริกา นะครับ เป็นเพราะภาษาไทย ยืมคำว่า ทวีปมาใช้) แต่ทวีปอื่นๆ หมายถึง มนุษย์ต่างดาวน่ะครับ (ส่วนที่รายการโทรทัศน์ทำออกมาว่า หมายถึง อินเดีย นั่นเป็นความเข้าใจของเขาไปเองน่ะครับ ลองส่งจดหมายไปถามเขาสิครับ ว่า ถ้าชมพูทวีปคืออินเดีย และอุตรกุรุทวีป คือตรงไหน) เพราะอะไร และทำไม ตอบ เพราะว่า มนุษย์ต่างดาว (ในทวีปอื่นนั้น) มีชีวิตสุขสบาย มีศีล 5 เป็นปรกติ ซึ่งยากต่อการโปรดน่ะครับ จะไปสอนว่า ชีวิตนี้มีทุกข์นะ มนุษย์เหล่านั้น จะถามกลับว่า ทุกข์ตรงไหน ฉันมีกินมีใช้สบายจะตาย แต่ชมพูทวีป จะเป็นที่รวมของมนุษย์ทั้งชั่ว และดี ดังนั้น จะมีสุขทุกข์ ปะปนกันไป พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนเข้าใจได้ไงล่ะครับ จากคุณ : หัดฝัน - [ 22 ส.ค. 49 17:37:00 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ทวีป=ทวิ(สอง)+อปะ(น้ำล้อม) หมายความว่า แผ่นดินที่มีน้ำล้อมสองด้านเป็นอย่างน้อย เช่น ชมพูทวีป สุวรรณทวีป คห.5 อย่ามั่ว คุณกำลังจะทำให้ศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนา แห่ง สติ ปัญญา กลายเป็นลัทธิเพ้อเจ้อไปเสียแล้ว เพลาๆลงหน่อยเถอะ!!! ถ้าคนโบราณเขาจะพูดถึง สัตว์โลกอื่น ก็ไม่เห็นต้องใช้คำนี้ ฉนั้นขอความ กรุณาว่า ถ้าจะพูดถึงพุทธศาสนา ก็ควรจะมีสติบ้าง อย่าพยายามดึง ศาสนาพุทธไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหลวไหลอีกเลย...... ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 22 ส.ค. 49 19:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 7 การจะพูดใครต่อใครมั่วนั้น มันพูดง่ายครับ แต่จะมั่วจริงหรือไม่ ต้องดูที่หลักฐานคือ พระไตรปิฎก ท่านกล่าวไว้ชัดเจนว่า ชาวอุตรกุรทวีป ไม่มีทุกข์ ไม่หวงแหน มีอายุแน่นอน ดังนั้น ผมจึงขอถามคุณความคิดที่ 6 ว่า ในโลกนี้ มีทวีปใด (อินเดีย เอเซีย อเมริกา ยุโรป แอฟริกา ฯลฯ) ไม่มีทุกข์ ไม่หวงแหน มีอายุ แน่นอน ไหนลองบอกผมหน่อยสิครับ ไม่มีใช่มั้ยครับ เพราะเหตุนี้แหละพระพุทธเจ้าถีงไม่ไปเกิดในอุตรกุรุปทวีป เพราะประชาชนต่างดาวที่นั่น ไม่รู้สึกว่ามีทุกข์ไงครับ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ไม่สามารถสอนให้เข้าใจได้ว่า ทุกๆ ชีวิตมีทุกข์ไงครับ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=8419&Z=8434&pagebreak=0 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต สัตตาวาสวรรคที่ ๓ ฐานสูตร [๒๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดา ชั้นดาวดึงส์และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการ เป็นไฉน คือไม่มีทุกข์ ๑ ไม่มีความหวงแหน ๑ มีอายุแน่นอน ๑ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปประเสริฐกว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ และพวกมนุษย์ ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตร- *กุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ อายุทิพย์ ๑ วรรณะทิพย์ ๑ สุขทิพย์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาชั้น ดาวดึงส์ ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาว อุตรกุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือเป็นผู้กล้า ๑ เป็นผู้มีสติ ๑ เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ จบสูตรที่ ๑ แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 49 19:31:55 จากคุณ : หัดฝัน - [ 22 ส.ค. 49 19:30:21 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องราวหลายๆ เรื่อง แค่ตาไม่เห็นอย่าเพิ่งคิดว่า เหลวไหล แค่หูไม่ได้ยิน ก็อย่าพึ่งคิดว่าเหลวไหล เพราะคลื่นความถี่เสียง ที่มนุษย์ได้ยินนั้น เป็นแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ยังมีช่วงความถี่ที่มนุษย์ไม่ได้ยิน แต่สัตว์ได้ยินนั้น ยังมีอยู่ ถ้ามนุษย์ไม่ได้ยิน แล้วบอกว่า ไม่มีเสียงในทุกกรณี มันก็กระไรอยู่ เพราะย่านคลื่นแสง ที่มนุษย์ไม่อาจเห็นได้ก็มีอยู่ ถ้ามนุษย์ไม่เห็นแล้วบอกว่า ไม่มีแสงเลยในทุกกรณีมันก็กระไรอยู่ จากคุณ : หัดฝัน - [ 22 ส.ค. 49 19:35:06 ]

ความคิดเห็นที่ 9 กรุณาชี้ให้เห็นหน่อยเถิดว่า ตรงไหนที่เป็นมนุษย์ต่างดาว หรือ ประชาชนต่างดาว เอาบาลีคำไหนมาแปลอย่างนี้?....... คุณคิดของคุณเอาเองทั้งนั้น แค่คุณไม่รู้ว่า ชาวอุตรกุรุทวีป เป็นใคร ก็สรุปเอาเองเสียเลยว่า เป็นมนุษย์ต่างดาว.... มักง่ายดีนี่ คุณอยากจะพูดอะไร ก็พูดไป แต่อย่ามาอ้างศาสนาพุทธแบบมั่วๆอย่างนี้...........จะได้ไหม?.. ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 22 ส.ค. 49 20:44:38 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ข้อความส่วนหนึ่งจากพระสูตรนี้ http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?start_book=20&start_byte=401271 ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกร อานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันต- สัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระ- สุรเสียง ฯ      พ.  ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ      อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่ง เทศนาที่พระองค์จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาค แล้ว จักทรงจำไว้ ฯ      พ.  ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศ สว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์ พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มี อปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มี มหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มี เทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพัน หนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มี พรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลก คูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้าน จักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ จากพระสูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงจักรวาล จะเปรียบเทียบคำในพระสูตรได้ดังนี้ โลก(จักรวาล)มีอยู่พันจักรวาล(กาแลคซี่)ก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์ พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุ(แกนกลางของแต่ละกาแลคซี่ มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ)พันหนึ่ง มีชมพูทวีป(โลกมนุษย์)พันหนึ่ง มี อปรโคยานทวีป(ดาว...?)พันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีป(ดาว...)พันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีป(ดาว...)พันหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ชมพูทวีป นั้นหมายถึงโลกนี้ทั้งใบจริงๆ ไม่ใช่แค่ประเทศอินเดีย  ส่วนดาว...นั้นอาจหมายถึงดาวดวงใดดวงหนึ่งก็ได้  ในกาแลคซี่หนึ่งมีสี่ทวีปแสดงว่านอกจากโลกเราก็ยังดาวที่มีมนุษย์(อาจไม่เหมือนเรา)อยู่อีกสามดวงในทางช้างเผือกนี้ วิทยาการในโลกเราตอนนี้ยังไปไม่ถึงแม้แต่ดาวพลูโตเลย ถ้าจะบอกว่ามนุษย์ต่างดาวไม่มีก็เป็นความคิดแบบเด็กๆมาก แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 49 22:40:57 จากคุณ : sehen - [ 22 ส.ค. 49 22:23:40 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอนำภาพมาประกอบเสริม คห.คุณ sehen ละกันครับ ใน 1 กาแลกซี่ที่เราอยู่คือกาแลกซี่ทางช้างเผือกก็คือ เศษเสี้ยวของ 1 โลกธาตุเล็ก ในแต่ละโลกธาตุก็ย่อมปรากฎมีทวีปทั้ง 4 ในทุกๆ กาแลกซี่ ในแต่ละกาแลกซี่ก็ย่อมปรากฎว่ามีเขาพระสุเนรุ และสวรรค์ 6 ชั้น พรหมโลก อบายภูมิเหมือนกันหมด   ถ้าดาวเทียมฮับเบิ้ลไม่หลุดออกนอกวงโคจร ออกจากกาแลกซี่ทางช้างเผือกป่านนี้มนุษย์ตาหยาบก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้หรอกครับว่ากาแลกซี่รูปกังหันที่ตนเองอาศัยอยู่นี้มีรูปร่าง หน้าตาเป็นอย่างไร ??  ความรู้ และความเห็นของมนุษย์จึงน้อยนิดเหลือเกินเมื่อเทียบกับความรู้และการเห็นของพระพุทธเจ้าท่านครับ v v จากคุณ : XLmen - [ 22 ส.ค. 49 22:44:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ในพระไตรปิฎกก็ระบุชัดว่าอายุขัยของมนุษย์ในทวีปทั้ง 4 นั้นแตกต่างกันมาก ชีวิตความเป็นอยู่ก็แตกต่างกันมาก ไม่เฉลียวใจหรือครับว่าอายุที่ต่างกันมากจะมาอยู่รวมกันบนโลกใบเดียวกันได้หรือครับ ??? จากคุณ : XLmen - [ 22 ส.ค. 49 22:50:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 โดนรุมเลย จากคุณ : หลีกสู กูฟ่าว - [ 23 ส.ค. 49 01:07:44 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คุณRitti Janson คะ ทะเลที่ว่านั้นน่ะ ไม่ใช่ทะเลบนโลกมนุษย์นะคะ แต่เป็นทะเลที่กั้นระหว่างแต่ละทวีป ซึ่งคืออวกาศ ไม่เช่นนั้นที่พระพุทธเจ้าท่านว่าท่านบริจาคเลือดเป็นทานมากกว่าน้ำทั้งมหาสมุทรทั้งสี่นี่แปลว่าสมัยก่อนเขาก็บังเอิญแบ่งแบบเดียวกับที่ชาวอังกฤษ์แบ่งแบบนี้เหรอคะ จากคุณ : Omena - [ 23 ส.ค. 49 03:11:10 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พวกคุณพยายามมองพระไตรปิฎกอย่างคนสติเลอะเลือนเสียมากกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือ เรื่องทุกข์ และความดับทุกข์ พวกคุณไม่ให้ความ สำคัญกับเรื่องเหล่านี้ แต่ไปให้ความสำคัญกับเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล พระพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นหลักการอยู่แล้วว่า จะตรวจสอบได้อย่างไร ว่าคำกล่าวใดเป็นธรรมของพระพุทธองค์ พวกคุณเคยใส่ใจกับหลักการ สำคัญข้อนี้กันบ้างหรือเปล่า ธรรมใดที่ไม่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ ก็ไม่ใช่ ธรรมของพระพุทธองค์ ฉนั้นกรุณาเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ตีความกันไปเรื่อยเปื่อย พวกคุณมันอ่านพระไตรปิฎกไม่เป็น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มีแต่ความคิดฟุ้งซ่านเหลวไหล พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนเรื่องแบบนี้หรอกครับ เพราะฉนั้นลองใช้สติปัญญา คิดหน่อยสิครับ ว่าจักรวาลวิทยาที่ปลอมปนเข้ามาในพระไตรปิฎกนี้ มีที่มาจากไหน?.......กรุณาอย่าทำตัวเป็นแค่คนรู้ธรรม แล้วเอาพระไตรปิฎก มาอ้างข้างๆคูๆอย่างคนขาดสติ แทนที่จะอ่านพระไตรปิฎกเพื่อความดับทุกข์ กลายเป็นยิ่งอ่านยิ่งฟุ้งซ่าน .... พวกคุณคิดว่าทำถูกกันแล้วหรือ...... ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 23 ส.ค. 49 07:04:14 ]

ความคิดเห็นที่ 16 กรุณาพิจารณาอย่างมีสติ แล้วตอบให้ชัดเจนด้วย 1) จากความเห็น7 ใจความบอกแต่เพียงว่า มนุษย์ใน ชมพูทวีป อุตรกุรุทวีป และเทวดาชั้นดาวดึงส์ ดีเลวแตกต่างกัน ผมไม่เห็นมีคำไหนระบุถึงมนุษย์ต่าง ดาว อย่างที่คุณว่าสักนิด นอกเสียจากที่คุณพูดเอาเองแล้วโมเมว่ามีในพระไตรปิฎก เพราะฉนั้น ชี้มาให้ชัดๆว่าบาลีคำไหนที่แปลว่ามนุษย์ต่างดาว ในเมื่ออยากเอา พระไตรปิฎกมาอ้างดีนัก ฉนั้นต้องชี้ให้เห็นด้วยว่ามีคำๆนี้อยู่จริง ไม่ใช่เอา คัมภีร์มาอ้างลอยๆ แล้วโมเมบิดเบือนคำพูดเอาเอง.... แล้วขอถามสักนิดเถิด...คุณไม่รู้ความหมายของคำว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์ ในพระไตรปิฎกจริงๆหรือ?.... 2)ส่วนข้อความใน คห.10 คุณไม่รู้หรือว่าข้อความที่เกี่ยวกับ จักรวาลวิทยา ในพระไตรปิฎกนั้น เป็นของปลอมปน พระพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสสอนเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว หลักฐานและหลักการก็มีอยู่ว่า ไม่ทรงตรัสเรื่องปรัชญาของทิฏฐิทั้งสิบ ไม่ตรัสสอนเรื่องอจินไตย  .... ถ้าคุณมีสติสักนิดก็ควรรู้ว่า ควรมีท่าทีต่อข้อ ความที่คุณยกมาอ้างอย่างไร?.... 3)ส่วนคุณ คห.14 คำว่า อวกาศ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะ ในเชิงปรัชญาศาสนา หรือวิทยาศาสตร์ ล้วนแปลว่า ที่ว่าง ตรงกันหมด ฉนั้นคุณก็ควรอธิบายให้ชัดเจนว่า อปะ(น้ำล้อม) ที่มาจากคำว่าทวีป กลาย ไปเป็น อวกาศ ได้อย่างไร? เพราะคนในสมัยโบราณเขายังแยกออกเลย ว่าอันไหนคือน้ำ อันไหนคือ อวกาศ .... ผมเปิดโอกาสให้คุณด้วยว่า จะใช้คำว่า น้ำ จากมหาภูติรูป4 ตามหลักปรัชญา หรือจะใช้ น้ำ ในรูปแบบของวิทยาศาสตร์เคมี มาอธิบายก็ได้..... ขอแต่เพียงว่า ให้อธิบายให้ชัดเจนอย่างมีหลักการ และเหตุผล อย่ามาพูด แบบเดาสุ่ม หรือโมเมเอาตามใจชอบ..... 4)หวังว่าคงจะช่วยกันตอบ อย่างคนที่มีสติปัญญา มีเหตุมีผล และมีหลักฐาน ที่แน่นหนาเพียงพอ กรุณาอย่าใช้หลักฐานแบบจับแพะชนแกะอีก เพราะมัน เท่ากับว่าคุณเป็นคนไม่มีเหตุผล ขอชี้แนะอีกสักหน่อยว่า การอ้างอิงหลักฐาน ก็คือ ตัวหลักฐานมันสามารถอธิบายด้วยตัวของมันเองได้อย่างแจ่มชัด ไม่ใช่อ้างว่ามีหลักฐานแต่ที่จริงแล้วหลักฐานมิได้อธิบายอะไรเลย นอกเสีย จากการตีความโมเมบิดเบือนของตัวคุณเองเท่านั้น.........สุดท้ายนี้ผมหวังว่า คงจะได้รับคำตอบที่มีคุณค่าเพียงพอแก่การรับฟัง...... ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 23 ส.ค. 49 09:35:56 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สรุป มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป นี่คือใคร จากคุณ : Dr.slump - [ 23 ส.ค. 49 11:04:55 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สรุปว่า เป็นใครนั้น มีสองสมมุติฐานน่ะครับ สมมุติฐานหนึ่งนั้น ก็คือ เป็นคนที่อยู่ในโลกนี้ แต่มันค้านกับพระไตรปิฎกที่ว่า พวกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่หวงแหน มีอายุแน่นอน แนวคิดที่หนึ่งจึงไม่รู้ว่าพวกนี้คือ พวกไหนน่ะครับ อีกทั้งเวลาเจอข้อความแม้อยู่ในพระไตรปิฎกแต่ตัวไม่คุ้น ก็อ้างว่าของปลอมปนพระไตรปิฎก คือ พวกนี้จะเลือกเชื่อพระไตรปิฏกท่อนที่ตัวชอบน่ะครับ สมมุติฐานสองนั้น ก็คือ เป็นมนุษย์ต่างดาวน่ะครับ ซึ่งความคิดเห็นที่สิบ กล่าวชัดเจนดีอยู่แล้ว ว่าชมพูทวีปคือ โลกทั้งโลก แต่ต้องตัดสินด้วยการไปรู้ไปเห็นด้วยญาณของตัวเองอีกทีหนึ่ง จากคุณ : หัดฝัน - [ 23 ส.ค. 49 12:00:50 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ Ritti Janson ครับ กรุณาตรวจสอบการโพสของคุณให้ดีๆ หน่อยนะครับ 1. ในกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4641933/Y4641933.html ความเห็นที่ 5 คุณบอกว่า ..อย่าไปถือจริงจังกับ อรรถกถา ฎีกา หรือ อนุฎีกามากจนเกินพอดีไป พิจารณาธรรมโดยธรรมจะเหมาะกว่า.... ถือเอาพระวัจจนะเป็นที่ตั้ง แล้วพิจารณาตามนั้น..... แสดงว่า ให้ถือพระไตรปิฎกเป็นหลัก อย่าจริงจังกับ อรรถกถา ฯลฯ OK ผมจำไว้ 2. ในกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4637708/Y4637708.html ความเห็นที่ 16 คุณอ้างว่า นิพพานต้องเป็นอนัตตา โดยตีความว่าพระไตรปิฎกกล่าวไว้ 3. ที่นี้มาถึงกระทู้นี้สดๆ ร้อนๆ ทั้งที่ความเห็นที่ 10 เขาอ้างพระไตรปิฎก คุณกลับบอกว่า นี่คือส่วนปลอมปนพระไตรปิฎก สรุปว่า คุณเอาไงแน่ครับ บางทีให้ยึดพระไตรปิฎก อย่าจริงจังกับอรรกถา พอเขายกพระไตรปิฎกมาจริงๆ กลับบอกว่า พระไตรปิฎกมีส่วนปลอมปน แต่บางเรื่องเช่น นิพพาน กลับเอาพระไตรปิฎกมาอ้าง (แล้วตีความเอง) แล้วอ้างว่าผู้อื่นผิดพระไตรปิฏก ตกลง คุณหรือผู้อื่น ผิดพระไตรปิฎก กันครับเนี่ย แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 49 12:12:35 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 49 12:11:58 จากคุณ : หัดฝัน - [ 23 ส.ค. 49 12:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 20 นายคนนี้ เป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่องจริงๆ หลักในการวินิจฉัยว่า เป็นพุทธธรรมแท้ หรือไม่ ถือหลักว่า ธรรมนั้นเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ไหม? ชาวพุทธทั่วไป เขาก็ใช้หลักการนี้ ในการวินิจฉัยหลักธรรมว่าเป็นของจริง หรือเป็นของปลอม ปน ฉนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าเห็นว่ามีอยู่ในคัมภีร์แล้วก็เหมารวมว่า เป็นพุทธพจน์ทั้งหมด คุณควรตรวจสอบตามหลักการที่ว่านี้ก่อน เมื่อสรุปได้ว่าเป็นพุทธพจน์จริง จึงนำมาอ้างได้ว่า นี่เป็นธรรมของพระพุทธองค์ หลักการง่ายๆแค่นี้ยังไม่รู้ ยังอุตส่าห์มาพูดเพ้อเจ้ออยู่ได้...... ในข้ออ้างที่1 ที่คุณนำมา ผมก็พูดชัดเจนอยู่แล้วนี่ ว่าให้ถือเอาพระวัจจนะ เป็นหลัก จะเอา อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา มาหักล้างพระวัจจนะไม่ได้ ส่วนการพิจารณาว่าคำใดเป็นพระวัจจนะแท้นั้น ผมได้กล่าวไว้แล้วข้างบน สรุปความว่า ผมบอกให้ถือพระวัจจนะของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก แค่นี้คุณ ก็อ่านไม่เข้าใจเสียแล้วหรือ? ในข้ออ้างที่2 ผมเห็นว่า คุณมันเป็นคนจำพวกมนุษย์ปาหี่ จับแพะชนแกะไปเรื่อย ในกระทู้ที่อ้างถึงนี้ มีความพยายามจะนำ เถรบัญญัติ ของอดีตพระสังฆราช มาคัดค้านพุทธมติ ซึ่งโดยหลักการ มันเป็นไปไม่ได้ และหลักธรรมที่พยายาม จะคัดค้านกันก็คือ นิพพานเป็น อนัตตา ซึ่งข้อความนี้มีข้อธรรมที่รองรับ อยู่เต็มไปหมดทั้งใน พระไตรปิฎก อรรถกถา ฯ และธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อ ความไม่ยึดติดถือมั่น ผิดกับการยืนยันว่า นิพพานเป็นอัตตา ซึ่งไม่มีปรากฏ ในคัมภีร์ใดๆทั้งสิ้น นอกจากใน เถรบัญญัติ ดังกล่าวแล้ว หนำซ้ำ ความคิด แบบนี้ยังเป็นไปเพื่อความยึดติดถือมั่น จะถือว่าเป็นหลักธรรมของพระพุทธองค์ ได้อย่างไร?...ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมต้องมาอธิบายยาวๆเกี่ยวกับเรื่องที่ พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปควรจะรู้อยู่แล้ว............ ส่วนข้อที่3 คิดว่าคงได้จากคำตอบข้างบนมากพอแล้ว.....ถ้าอยากจะดิสเครดิต ผมนักละก็ หัดอ่านหนังสือให้แตกฉานเสียก่อน ไม่ใช่รู้งูๆปลาๆ จับต้นชนปลาย ไม่ถูก แล้วยังอยากจะมาตีฝีปากอีก....... ข้อสุดท้ายขออธิบายเกี่ยวกับ ชาวอุตตรกุรุทวีป 1)ตามคติพราหมณ์นั้น เขาพระสุเมรุนี้ เป็นภูเขาที่เป็นหลักของโลก เป็นภูเขาที่ตั้ง อยู่ในจุดศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล 2)อุตรกุรุทวีป อยู่เหนือของภูเขาพระสุเมรุ มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง 8,000 โยชน์ เป็นที่ราบ มีต้นไม้นานาชนิด คนรูปร่างงาม 3)ชมพูทวีป คืออินเดีย อยุ่ตอนใต้เขาพระสุเมรุ รูปเหมือนเกวียน มีต้นไม้หว้ามาก 4)ปุพพวิเทหะ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเขาพระสุเมรุ มีรูปเหมือนพระจันทร์ เต็มดวง เนื้อที่กว้าง 7000 โยชน์ มีเกาะ 400 เกาะ คนหน้ากลมเหมือน ดวงจันทร์ 5)อมรโคยาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขาพระสุเมรุ มีรูปเหมือนพระจันทร์ ครึ่งซีก เป็นแผ่นดินกว้าง 9000 โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย มีไม้กระทุ่มประจำทวีปนี้ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม 6)ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ ภูมิศาสตร์อินเดียโบราณ แล้วชาวอุตตรกุรุ เป็นใคร? เขาเป็นชาวอารยัน ที่ไม่ได้อพยพลงมาที่ชมพูทวีปนั่นเอง เพราะพื้นที่เหนือ หิมาลัยขึ้นไป ก็เป็นเขตรัสเซียปัจจุบัน พวกคุณไม่รู้หรือว่าชาวอารยัน อพยพมาจากดินแดนรอบๆทะเลสาบแคสเปียน สายหนึ่งมาชมพูทวีป อีกสายหนึ่งไปเยอรมัน และปุพพวิเทหะ ล่ะเป็นใครกัน ตามทิศทางที่ระบุ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าหมายถึง จีน และคำๆนี้ ก็เป็นคำที่พงศาวดาร และตำนาน ของคนพวก ไทย-ไต จดใว้ เวลาที่จะเรียกแผ่นดินจีน ที่หมายถึงยุนนาน พวกคุณไม่เคยอ่านตำรา พวกนี้ล่ะสิ ถึงได้เห็นว่า คนจีน คนในดินแดนรัสเซีย เป็นมนุษย์ต่างดาวไป... ส่วนอมรโคยาน คุณก็คิดเอาตามสะดวกเถิด.......ขี้เกียจอธิบาย...เบื่อ.... สุดท้ายนี้ ขอแนะนำว่า ถ้าอยากจะศึกษาพระพุทธศาสนา ก็ควรที่จะ ศึกษา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี อินเดียโบราณด้วย จะได้มีความรู้ความเข้าใจ ในคัมภีร์พุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ลักษณะของพวกคุณ มันเหมือนพวกชอบ อ่านหนังสือประเภท โลกทิพย์ โลกลี้ลับ จานผี จนเกิดความฟุ้งซ่าน จากนั้น ก็ไปคัดลอกข้อความในคัมภีร์ มาแอบอ้างเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ ตัวเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไร้สาระทั้งเพ......... ผมขอย้ำอีกครั้งว่า พระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องทุกข์และความดับทุกข์... เรื่องอื่นๆท่านไม่ได้สอน....แนวทางในการวินิจฉัยมีอยู่แล้ว ก็กรุณาใช้ให้ เป็นประโยชน์ด้วย...... อีกอย่างหนึ่งก็คือ แทนที่จะมาเสียเวลาในการดิสเครดิตผม ช่วยตอบคำถาม ที่ผมได้ถามใว้ใน คห.16 ให้กระจ่างจะดีกว่าไหม? เพื่อจะได้เป็นวิทยาทาน... ผมก็จะได้เปิดหูเปิดตาไปด้วย......หวังว่าคงจะตอบได้ตรงประเด็นนะ !!.......... ด้วยความนับถือ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 49 14:26:43 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 49 14:19:34 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 49 13:52:01 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 49 13:51:11 จากคุณ : Ritti Janson - [ 23 ส.ค. 49 13:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ของที่ว่าเพ้อเจ้อ ท่านมีสอนในพระไตรปิฎก สอนทั้งมหามกุฏ มหาจุฬาฯ และพระเณรทั่วประเทศ นี่เก่งขนาดจะเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนักธรรมบาลีหรือไงครับท่าน ส่วนเรื่องความจริงของชีวิต ทุกเรื่องมองไปเพื่อให้เห็นทุกข์ และความดับทุกข์ได้ทั้งนั้น ขึ้นกับว่า จะใช้สติปัญญามองหรือไม่เท่านั้น เช่น เรื่องจักรวาล พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เพื่อต้องการให้เห็นว่า สุดท้ายแล้วโลกและจักรวาลก็เสื่อมไป ไม่มีอะไรควรแก่การยึดมั่นถือมั่นเลย เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดโดยแท้ และชีวิตในพระพุทธศาสนามีเป็นภพภูมิต่างๆ อยู่แล้ว ได้แก่ สัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม ถ้าแค่เรื่องพวกนี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้มากมาย คิดแค่เป็นเรื่องลึกลับ โลกทิพย์ อะไรต่างๆ ไม่เป็นความจริง แล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้ทำไม แต่ที่ตรัส ก็ทรงต้องการให้เห็นว่า ชีวิต ก็เวียนว่ายตายเกิดเป็นนั่นเป็นนี่มาแล้วทั้งนี้ ควรที่จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด มันขึ้นกับจับแง่คิดว่าจับเป็นหรือเปล่า ไม่ใช่เอะอะ ก็คิดไม่เป็น พาลบอกเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับทุกข์ และการดับทุกข์ รู้จักมั้ยครับ โยนิโสมนสิการ จากคุณ : หัดฝัน - [ 23 ส.ค. 49 15:56:17 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เฮ้อ มีต่างดาวแล้วอย่างไร ไม่มีต่างดาวแล้วอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จากคุณ : wsarit - [ 23 ส.ค. 49 17:08:38 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตอบคำถามก่อนดีกว่านะ ในเมื่ออ้างคัมภีร์ ก็ต้องอธิบายความในคัมภีร์ให้ชัดเจน อย่าหลีกเลี่ยง หรือพยายามเบี่ยงเบนประเด็น ผมได้พยายามตอบคำถามของ พวกคุณทุกคำถามแล้ว คุณล่ะ ตอบคำถามแล้วหรือยัง?..... พระไตรปิฎกเขาก็มีสอนทั่วไปอยู่แล้ว คุณมาบอกผมทำไม?.... คุณลองไปถามสถาบันเหล่านั้นดูสิ ... ว่าหลักการวินิจฉัยธรรมที่ผมบอกพวก คุณ.....เขาใช้กันอยู่หรือเปล่า?  แล้วหลักฐานเกี่ยวกับทวีปต่างๆที่ผมยกมา ให้ดูนี้ จริงหรือเท็จ.....ทางที่ดี ตอบคำถามที่ควรตอบจะดีกว่า อย่าพยายาม หลีกเลี่ยงเลย แล้วเรื่องภพภูมิต่างๆที่คุณพยายามจะเปิดประเด็นใหม่นั้น ขอบอกตามตรงว่า มันคนละเรื่องกัน ไม่เห็นเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวของ คุณที่ตรงไหน... หรือว่านี่กำลังพยายามเฉไฉ เบี่ยงเบนประเด็นกันแน่?... ส่วนคุณที่สงสัยว่า สำคัญอย่างไรเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว? ความสำคัญมันอยู่ที่ มีคนบางกลุ่มบางพวก พยายามกล่าวตู่พระพุทธพจน์ แอบอ้างคำสอนที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัส...ทั้งพยายามบิดเบือนพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ.....คุณคิดว่าในฐานะชาวพุทธ ผมควรทำอย่างไร?....... สุดท้ายนี้ ผมขอร้องว่ากรุณาตอบคำถามหน่อย เพราะคำถามของผมก็มีที่มา จากข้อความของพวกคุณทั้งนั้น ..... ใจคอพวกคุณจะไม่ตอบปมปัญหา ของตัวเองเสียหน่อยหรือ?....ผมทวงถามมาหลายเที่ยวแล้วนะ !!!...... ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 23 ส.ค. 49 17:59:57 ]

ความคิดเห็นที่ 24 มีอีกเรื่องที่ผมลืมถามคุณไป....เดี๋ยวนี้สถาบันการศึกษาของสงฆ์ เขาสอนเรื่อง มนุษย์ต่างดาวกันแล้วหรือ?.....คุณมีหลักฐานยืนยันได้ไหม.....น่าตกใจนะนี่ ถ้าข้อมูลของคุณเป็นจริง ศาสนาพุทธคงแย่แน่แล้ว....... ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 23 ส.ค. 49 18:09:46 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ใจเย็น ๆ ครับ เรื่องมนุษย์ต่างดาวนั้น  ไม่มีหรอกครับ  เป็นการตีความ  คาดเดา  เอาตามประสา "ตาบอดคลำช้าง"  เท่านั้นเอง และก็ถูกที่ว่าพระพุทธองค์มิได้ทรงให้ไปหมกมุ่นเรื่องราวเหล่านี้เลย  พระองค์แสดงชัดเจนว่าให้สนแต่เรื่องพ้นทุกข์เป็น "พื้น" แต่หลักฐานก็ย่อมเป็นหลักฐานครับคุณ Ritti  คุณจะบอกว่าตรงนั้นปลอมปน ตรงนี้ไม่ปลอมปนไม่ได้หรอกครับ  คุณทราบหรือครับว่าตรงไหนใช่ตรงไหนไม่ใช่  สิ่งที่ไม่ได้พูดตรง ๆ เรื่องการพ้นทุกข์ก็มีจารึกเอาไว้ เพียงแต่เรื่องไหนมันไม่ได้เป็นเรื่องพ้นทุกข์โดยตรงก็แค่รับรู้เอาไว้เฉย ๆ แต่อย่าไปหมกมุ่นก็เพียงพอแล้ว ถ้าขืนเที่ยวชี้ว่าตรงนั้นปลอม ตรงโน้นปลอม โดยเอาคติของตนเป็นเกณฑ์วัดล่ะก็  ต่อไปก็ต้องมีคนพูดอย่างนี้อีก (และตอนนี้ก็มีแล้ว - ไม่ได้หมายถึงคุณนะครับ  หมายถึงพวกมารศาสนาที่กำลังบิดเบือนพระไตรปิฎกให้เข้ากับลัทธิของตน)  ไม่มีที่สิ้นสุด ปัญหาเรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาอจินไตย (โลกจินตา)  จำมาวอรี่อะไรกันนักหนาละครับ พระพุทธองค์ทรงตักเตือนเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ? จากคุณ : สุธี - [ 23 ส.ค. 49 19:01:04 ]

ความคิดเห็นที่ 26 กระทู้นี้ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน จากคุณ : Dr.slump - [ 23 ส.ค. 49 19:18:20 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ถึงคุณ คห.25 ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณ ผมเป็นคนแบบนี้เอง พูดจาโผงผาง ไม่ค่อย จะประนีประนอมกับใคร....ถ้าทุกคนคิดและทำได้อย่างที่คุณว่า ... ปัญหามัน ก็ไม่เกิดนะซี สำหรับเรื่องการศึกษาพระไตรปิฎกนั้น ครูบาอาจารย์ของผม ท่านก็สอนหลักการวินิจฉัยธรรมแบบนี้ เพื่อใช้ในการกลั่นกรองพระวัจจนะ ของพระพุทธเจ้า....ก็เรื่องราวในกระทู้นี้คุณย่อมเห็นอยู่ว่า หลักฐานมันยันกัน อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า คนพวกนี้จะพยายามบิดเบือน เพื่อประโยชน์อะไร.....การจะศึกษาพระไตรปิฎกซึ่งมีขนาดที่ใหญ่มาก ฉนั้นจะศึกษาอย่างสะเปะสะปะไม่ได้ นอกจากศึกษาอย่างมีหลักการแล้ว ยังต้องศึกษา โบราณคดี และ ประวัติศาสตร์ ควบคู่กันไปด้วย เพื่อความเข้าใจ ที่รอบด้าน คนพวกนี้ พอจนด้วยเหตุผลก็มักจะเอาการปฏิบัติมาอ้าง ปากหนึ่ง เขาก็พูดว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวบอกไม่ได้ แต่อีกปากหนึ่งเขาก็พูดเหมือนว่า ต้องผ่านการปฏิบัติอย่างเขาจึงจะรู้ได้จริงๆ......สรุปก็คือต้องฟังเขาเท่านั้น จึงจะได้ความจริง นึกว่าผมมาตีฝีปากเล่นๆหรืออย่างไร?.... ปกติคนปฏิบัติธรรมจะไม่นำเรื่องการปฏิบัติของตนมาพูดพร่ำเพรื่อ ผมจึง สงสัยเหลือเกิน ว่าคนเหล่านี้เป็นศิษย์อาจารย์ท่านไหนกัน?.... แต่ก็ช่างเถอะ ผมคิดว่าคงดูกระทู้นี้ เป็นกระทู้สุดท้ายแล้ว ยอมรับตรงๆ ว่าน่าเบื่อ หาคนที่มีความรู้จริงๆได้ยากเหลือเกิน ยิ่งคนที่มีภูมิธรรมสูงๆ ยิ่งหาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก ผมเลยไม่รู้จะขอความรู้เพิ่มเติมจากใครได้.... ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 23 ส.ค. 49 19:55:41 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมก็บอกแล้วไงครับว่าให้ใจเย็น ๆ การศึกษาปฏิบัติในแต่ละสำนักแต่ละสไตล์นั้น  มีจุดเด่นในตัวของตน  สิ่งที่ควรเน้นก็อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดก็คือ  ควรเน้นที่มุ่งสู่การพ้นทุกข์ เปรียบเหมือน นศ. ต้องสนใจการเรียนมากกว่า "ทำกิจกรรม"  แม้จะเก่งกิจกรรมยังไง  จุดประสงค์อันดับแรกก็คือ  "การเรียน"   ฉันใดก็ฉันนั้น  แต่กิจกรรมก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์  เพียงแต่ต้องเน้นที่การเรียน คนเขาจะคิดยังไงก็เป็นส่วนของเขา  และถ้ามองโดยเอาใจเขามาใส่ใจเรา  สำนักเขาก็อาจจะมีสอนแบบนั้น  ซึ่งผมดูแล้วก็ไม่ผิดอะไรนัก   จะผิดบ้างก็ผิดที่การที่ไป "ฟันธง"  ว่านั่นคือสิ่งนั้น ๆ เลย (คือ มนุษย์ต่างดาว)  การฟันธงโดยมีหลักฐานไม่ชัดเจนนั้นเป็นความอ่อนด้อยของสติปัญญาจริง ๆ ไม่ต่างจากลัทธิผีสาง  ที่ฟันธงว่าเทพของเขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้  แล้วก็บอกเทพของเขาเป็นอย่างนี้จริง ๆ แน่นอน  ทั้งที่ประสบการณ์ตรงเขาก็ไม่มี  เท่าที่มีก็คืออ่านมา  ฟังมา  ถูกเลี้ยงมาโดยอยู่แต่ความเชื่อ บุคคลอย่างนี้ต้องเมตตาครับ  ถ้าเมตตาไม่ได้ก็ต้องปล่อย ผมเองก็เคยเป็นครับ  แต่ลองมาถามตัวเองว่า  เราเข้ามาเล่นบอร์ดนี้เพื่ออะไร  เพื่อสนุก ?  ก็ใช่ครับ   เพื่ออวดความรู้ตนหรือ ?  ก็มีส่วนอีกนั่นแหละ แต่สิ่งที่ผมหาจุดยืนได้ก็คือ  การช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา  การเรียนรู้ในมุมมอง  ในศาสนาอื่น บางครั้งมีคนจาบจ้วงพุทธมากมาย  ทั้งเจตนาหาเรื่องและเจตนาตอบโต้พุทธเราที่ไปเล่นงานเขาก่อน  ถ้าสิ่งไหนเป็นธรรมผมก็ปล่อยวาง  ถ้าสิ่งไหนไม่เป็นธรรมเราก็เข้าไปชี้แจง   โดยพยายามไม่ด่าทอ  ไม่หยาบคาย บางคนเข้ามาด่าทอ  เล่นลิ้น  ผมก็ตอบโต้ไปด้วยเหตุและผล  (แม้บางทีเผลอโมโหใส่เอาบ้างก็ตาม แต่ก็พยายามให้น้อย)   วิธีแบบนี้แหละที่ผมเชื่อว่าเป็นวิธีของสุภาพชน  ตามแบบพระพุทธศาสนา และในย่อหน้าสุดท้าย  คุณคิดว่าคุณจะหาคนมีภูมิธรรมจาก "อินเตอร์เน็ท" เหรอครับ  คุณคิดยังไงถึงมาหาที่นี่ครับ อันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับ  แต่ทางครูของผมบอกเอาไว้ว่า  "เราพร้อมเมื่อไหร่  ครูมาเมื่อนั้น" คำว่า "พร้อม"  นี่คือ "เรา"  พร้อมนะครับ  ไม่ใช่ครูหรือคนอื่นพร้อมที่จะ "เข้าหา"  เรา ผมเชื่อว่าเมื่อคุณพร้อม  ผมพร้อม  เพื่อน ๆ พร้อม  ทุก ๆ คนต่างก็เป็นครูซึ่งกันและกันได้  หรือจะเรียกว่า "กัลยาณมิตร"  ที่แท้ก็ได้ แต่ถ้าในเมื่อต่างคนต่างมาจากหลาย ๆ ที่  มีความหลากหลายในหลาย ๆ มิติ  เช่น  การศึกษา อายุ  พื้นเพ  ฯลฯ   มันก็ย่อมมีความลักลั่น  เข้าใจผิด  อยู่ "เป็นประจำ"  และ "เป็นปกติ" ผมไม่อยากให้คุณไปเลยครับ  ผมดูคุณแล้วคุณได้ให้ความรู้แก่เพื่อนบอร์ดศาสนามากทีเดียว  ถ้าชื่อของผมยังขลังอยู่บ้าง  ก็โปรดอยู่เพื่อเป็นเกียรติต่อผมและเพื่อน ๆ เถิดครับ ปล. ผมขอเล่าเรื่องพระสูตรหนึ่งซึ่งผมจำไม่ได้เสียแล้ว แต่คุณอ่านคงร้องอ๋อ คือที่มีชาวเมืองหนึ่งด่าทอพระพุทธเจ้า  พระอานนท์ขอให้ไปเมืองอื่น  พระพุทธองค์ก็บอกถ้าไปอีก เขาด่าอีกเล่า  พระอานนท์ก็ว่าก็หนีไปอีกซิ และเป็นอย่างไรก็คงไม่ต้องเล่าต่อนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : สุธี - [ 23 ส.ค. 49 21:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อ่านแล้วสับสนในชีวิต *.* --------------------------------------- ...........ได้มีบุคคลทางพวกในปัจจุบัน แสดงความเห็นว่า อีก ๓ ทวีปนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในโลกนี้ แต่ในคัมภีร์ที่กล่าวถึงทวีปเหล่านี้ได้กล่าวว่า มีอยู่ในจักรวาลนี้นั่นแหละ พิเคราะห์ดูตามแผนผังโลกของท่านก็จะต้องมี ไม่เช่นนั้นก็ขาดไป ๓ ทิศ และยังได้แสดงเวลาของดวงอาทิตย์ไว้ว่าเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นในชมพูทวีปนี้ เป็นเวลาเที่ยงวันในบุพพวิเทหะ เป็นเวลาอาทิตย์ตกในอุตตรกุรุเป็นเวลาเที่ยงคืนอมรโคยาน เวลาอาทิตย์ขึ้นบุพพวิเหทะ เป็นเวลาเที่ยงวันในอุตตรกุรุ เป็นเวลาอาทิตย์ตกในอมรโคยาน เป็นเวลาเที่ยงคืนในชมพูทวีป, เวลาอาทิตย์ขึ้นในอุตตรกุรุ เป็นเวลาเที่ยงวันในอมรโคยาน เป็นเวลาอาทิตย์ตกในชมพูทวีป เป็นเวลาเที่ยงคืนในบุพพวิเทหะ, เวลาอาทิตย์ขึ้นในอมรโคยาน เป็นเวลาเที่ยงวันในชมพูทวีป เป็นเวลาอาทิตย์ตกในบุพพวิเทหะ เป็นเวลาเที่ยงคืนในอุตตรกุรุ ตามคติความคิดนี้ ดวงอาทิตย์เดินโคจรไปตามวงกลมขอจักรวาลผ่านทวีปทั้ง ๔....................... ................. ................เรื่องจักรวาลโลกตามคติความคิดที่เล่ามานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พุทธศาสน์ แต่เป็นภูมิศาสตร์เก่า จะเป็นเพราะมีผู้เชื่อถืออยู่มากจึงติดเข้ามาในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาด้วย คัมภีร์ชั้นหลังยิ่งแสดงวิจิตรพิสดารมาก ถ้าพุทธศาสตร์จะมุ่งแสดงอย่างนี้ก็กลายเป็นภูมิศาสตร์ไป และท่านผู้แสดงก็จะกลายเป็นอาจารย์ภูมิศาสตร์ในยุคหนึ่ง มิใช่เป็นศาสดาผู้ประกาศศาสนาที่เป็นสัจจธรรมอยู่ทุกยุคสมัย ด้วยเหตุผลที่เป็นสามัญสำนึกเพียงเท่านี้ ไม่ต้องอ้างหลักฐานธรรมในพระพุทธศาสนา ก็เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่าไม่ใช่พระพุทธศาสนา ได้มีผู้แสดงประกาศลัทธิศาสนามากด้วยกัน ทั้งที่เกิดก่อน ทั้งที่เกิดหลังพระพุทธศาสนา ชอบแสดงตนเป็นอาจารย์ภูมิศาสตร์ (แม้ผู้อธิบายพระพุทธศาสนาต่อ ๆ มา คือ พระอาจารย์ยุคต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน) แม้จะเป็นมูลฐานของปัจจุบัน แต่ก็ก้าวมาไม่ยุคปัจจุบัน จึงกลายเป็นเรื่องล้าหลัง เป็นนิยามหรือวรรคดีโบราณไป แต่ก็เป็นเรื่องน่ารู้อยู่ เพราะจะได้ทราบคติความคิดในชั้นเดิม เมื่ออ่านคัมภีร์หรือหนังสือวรรณคดีทางศาสนาเก่า ๆ ก็จะพอเข้าใจและมองเห็นภูมิประเทศตามคติความคิดนี้ได้โดยตลอด.................... คัดมาจาก พระนิพนธ์เรื่อง 45 พรรษา พรรษาที่ 6 : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ---------------------------------------------- พระองค์ทรงวินิจฉัยเช่นนี้แล้วยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุดอีกหรือ.... ขออนุญาตยกพระนิพนธ์บางส่วนมาให้พิจารณาแต่เพียงย่อๆ เพราะเคยเอามาโพสต์ไปแล้วหนนึง สำหรับสมาชิกท่านอื่นๆ อีกหลายท่านที่อาจจะยังไม่เข้าใจ อ่านแล้วอาจทำให้เกิดความสับสนเอาได้ (เคยเป็น) จากคุณ : analog modem - [ 23 ส.ค. 49 21:25:17 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เอ๋ย...คุณฤทธิ อย่าเพิ่งไปสิ เราชอบอ่านความเห็นของคุณ เห็นตั้งแต่กระทู้แรกแล้วน่าสนใจดี *ออกนอกหน้าไปเปล่า :p จากคุณ : analog modem - [ 23 ส.ค. 49 21:31:19 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ข้าพเจ้าก็เห็นด้วย ว่าอยากให้ท่าน Ritti Janson อยู่ต่อ จากคุณ : นมุจี - [ 23 ส.ค. 49 22:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 32 จริตคนซับซ้อนต่างกัน พระพุทธองค์ไม่ได้ขนคนข้ามวัฏฏะไปเพียงคนเดียว ขอเพียงเบื้องปลายเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จากคุณ : Dr.slump - [ 23 ส.ค. 49 23:27:45 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ความรู้บางอย่างก็ย่อมเหมาะสมกับภูมิรู้และภูมิธรรมของผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วนะครับ....เรื่องบางอย่างขนาดมีบันทึกในพระไตรปิฎกก็ยังมีคนเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างเลย....นี่ขนาดเป็นพระไตรปิฎกฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดที่เราชาวพุทธยกย่องและนับถือเป็นอย่างยิ่งแล้วก็ยังมีการคิดเดากันเองว่า ท่อนนี้ของจริง ท่อนนี้ของปลอม อืมดีครับ...สงสัยจะเก่งจัดเลยขั้นพระอรหันต์สมัยที่ทำปฐมสังคยานากระมังครับถึงได้รู้ว่าท่อนไหนจริง ท่อนไหนปลอม ว่าแล้วจะทำสังคยานาใหม่เลยดีไหมหละครับตัดท่อนที่คุณไม่ชอบออกให้หมดทำได้นะครับ...ง่ายนิดเดียวคุณไปซื้อพระไตรปิฎกมาชุดนึง...ถ้าไม่ชอบหน้าไหนก็ฉีกทิ้งได้เลยครับตามสบายครับหนังสือส่วนตัวของคุณเลือกได้จัดได้ตามใจเลยครับ เรื่องของที่มาและหลักฐานก็มีคนนำมาแสดงแจ้งชัดเจนอยู่แล้ว....กลับมองไม่เห็นแก่นสาระของธรรมเอง...แล้วจะรอให้ใครที่ไหนมาโปรดกันหละครับ....ตนแหละเป็นที่พึ่งแห่งตนนะครับถ้าไม่เข้าใจในธรรมเสียแล้วใครที่ไหนจะช่วยท่านได้ครับ ทำตนไม่อ่อนน้อมเช่นนี้ใครที่ไหนเขาจะอยากเสวนาธรรมแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยหละครับ....การศึกษาธรรมะไม่ใช่เพื่อการเอาชนะคารมกันนะครับผู้ศึกษาจะต้องมีใจเปิดกว้างมุ่งศึกษาเพื่อการสำรอกกิเลสกำจัดความไม่รู้ส่วนตน...แต่ถ้าตนเองเป็นคนที่ไม่ชอบรับคำสอนของผู้ใดแล้ว ถามจริงว่าจะตั้งคำถาม แล้วรอให้คนมาตอบเพื่ออะไรกันครับ...??? จากคุณ : XLmen - [ 24 ส.ค. 49 00:20:38 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผมขออนุญาติแก้ให้นะครับ "เป็นมนุษย์ ดาวอื่น ก็แล้วกัน แทน มนุษย์ต่างดาว " แบบนี้คงพอรับได้นะครับ จากคุณ : กรรไกรรัตนะ (กรรไกรรัตนะ) - [ 24 ส.ค. 49 01:00:54 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ถ้าจะให้ ฮา กว่านี้  ต้องแปลงเป็น มะนาวต่างดุ๊ด   เนอะ  ฮา ... จากคุณ : สุธี - [ 24 ส.ค. 49 06:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 36 โอย... สงสารคนนับถือพุทธตามทะเบียนบ้านอย่างผมบ้างเหอะคุณ ๆ เอ้ย เรื่องศาสนาก็รู้แบบงู ๆ ปลา ๆ บอกตรง ๆ จากที่งง ๆ อยู่แล้วมาตั้งกระทู้ถาม พออ่านจบ มันยิ่งเพิ่มความงุนงงสงสัยให้ผมขึ้นไปอีก ขอกราบเท้า ใครก็ได้ช่วยสรุปสาระสำคัญตามหัวกระทู้ให้ผมหายสงสัยได้มั้ยครับท่าน ๆ ปล.ตกลงผมจะเชื่อถือใครดีเนี่ย? จากคุณ : ซุ่มอยู่ - [ 24 ส.ค. 49 11:43:23 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณ Ritti Janson ครับ แน่ใจหรือครับ ว่าคุณไม่ได้กำลังยึดติดกับอคติทำนองว่า "ถ้ามันมีคำว่า 'มนุษย์ต่างดาว' โผล่มาแล้ว มันต้องเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เหลวไหล ที่คนบ้าๆ เพี้ยนๆ คิดขึ้นมาเองเป็นตุเป็นตะแน่นอน จะเป็นพระธรรมไปได้อย่างไร?" ซึ่งผมเห็นว่าคำสอนเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของมนุษย์ในทวีปทั้งสี่, เหตุที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายอุบัติขึ้นในภพภูมิมนุษย์และในชมพูทวีปเท่านั้น และ การเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์ชมพูทวีป มนุษย์อุตตรกุรุทวีป และเทวดาทั้งหลาย เหล่านี้ล้วนแต่มีประโยชน์ในการดับทุกข์ และไม่ถึงกับต้องตีความกันลึกลับซับซ้อนแต่อย่างใด แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 49 12:50:49 จากคุณ : QuaOs - [ 24 ส.ค. 49 12:46:36 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ถูกต้องแล้วครับ คุณซุ่มอยู่ เราจะเชื่อใครดี ความจริงแล้ว พวกเราก็เปรียบเสมือนคนที่กำลังยืนอยู่ในที่มืด จู่ๆ ก็มีคนบอกมาจาก 2 ทิศที่ไม่ห่างกันนักว่า มาทิศนี้สิ ทิศนี้ถูก เสียงที่สองบอกว่า มาทิศนั้นสิทิศนั้นถูก ความคิดคุณคิดว่า คุณควรเชื่อทิศไหนครับ ในเมื่อมันยังมืดๆ อยู่ หรือคุณจะยังไม่เชื่อใคร แล้วควาญหาชุดไฟ ที่ตกอยู่ที่พื้น มาจุดดูให้เห็นแสงสว่างในทางนั้น เมื่อไฟสว่างคุณก็เห็นได้เองใช่มั้ยครับ เช่นเดียวกัน ความที่ข้อมูลจาก 2 แหล่ง หรือหลายแหล่งขัดแย้งกัน วิธีการที่ถูกต้องถ้าเรายังไม่รู้คือ อย่าเพิ่งเชื่อใคร แม้ผมก็อย่าเพิ่งเชื่อ (คุณจะเห็นว่า เมื่อผมพูดเช่นนี้ คำกล่าวหาของความคิดที่ 28 ที่ว่า ผมเชื่อแบบฝังหัว ก็ต้องมาพิจาณาใหม่ว่าจริงมั้ย ในเมื่อแม้ผม ยังบอกคุณว่า อย่าเพิ่งเชื่อผม) จากนั้น เมื่อยังไม่เชื่อแล้วทำไง ก็ไปศึกษาและปฏิบัติสิครับ ศึกษาจากพระไตรปิฎก ชาวทวีปต่างๆ ท่านกล่าวไว้ยังไง เช่น ไม่มีทุกข์ อายุแน่นอน คนในโลกยุคประวัติศาสตร์อินเดียมีอย่างนี้มั้ย ไม่มีทุกข์ เราก็ศึกษาข้อมูล แล้วพระไตรปิฎกท่านกล่าว ชมพูทวีปคือ ทั้งโลก แต่มีคนแย้งว่า คือ อินเดียต่างหาก เราก็ต้องศึกษาหาข้อมูลน่ะครับ ศึกษาทำให้เราได้ความรู้จากการฟัง และคิด แล้วยังไม่พอ สุดท้าย เราต้องภาวนา จนเกิดญาณ เห็นการตายเกิดของสรรพสัตว์ เมื่อนั้นเราจะรู้เองครับว่า เทวดา ยังมีจริง กะอีกแค่ มนุษย์ต่างดาว มันไม่มีจริง เป็นไปได้หรือ แต่ไม่ใช่เชื่อ(ฝัวหัว)ไปก่อนนะครับ แต่เป็นเชื่อตามสมมุติฐานได้ แล้วพิสูจน์ด้วยผลการทดลอง เหมือนวิทยาศาสตร์ที่เขาทำๆ กันน่ะครับ ลองไปพิจารณาดูสิครับ ว่าใช่มั้ย ถ้ามีข้อขัดแย้ง 2 แหล่ง ไม่รุ้เชื่อใคร ก็ให้ศึกษาปฏิบัติเพิ่มเติม เดี๋ยวก็รู้ครับ จากคุณ : หัดฝัน - [ 24 ส.ค. 49 12:47:21 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ถ้าผมตอบคำถามแล้ว...แน่ใจไหมว่า พวกคุณทั้งหลายยังอยากจะฟังอยู่ ผมเป็นคนพูดจาไม่เพราะนะ ..... และก็ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน.... ไม่ดัดจริตสร้างภาพว่าเป็นนักเล่นฌาน....แต่ถึงแม้ว่าพวกคุณจะไม่อยากฟัง ผมก็จะตอบ .... ตอบไปจนกว่ากระทู้นี้จะตายไปเอง........ทนฟังเอาหน่อยก็แล้วกันนะ.... ถึง คห.33 ดูท่าทางคุณคงไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา จึงยังไม่ ทราบว่า พระไตรปิฎกได้ผ่านการสังคายนามาหลายครั้งแล้ว ได้ผ่านมือของ ทั้งพระอรหันต์ พระอริยะบุคคล นักปราชญ์ราชบัญฑิต ปุถุชนสามัญ มา อย่างหลากหลายครบถ้วนแล้ว แม้พระพุทธองค์เมื่อทรงพระชนม์ชีพอยู่ ก็ทรงทราบว่า เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงได้ตรัส หลักการ จำแนกธรรม ว่าธรรมใดเป็นของพระองค์ คำกล่าวใดมิใช่พุทธธรรม.... คุณเป็นชาวพุทธหรือเปล่า และได้รับการศึกษาทางด้านพุทธศาสนา ตาม รูปแบบที่ถูกต้องมาหรือเปล่า.......เรื่องพื้นฐานง่ายๆแบบนี้ทำไมคุณจึงไม่รู้... ส่วนเรื่องหลักฐานอะไรที่คุณว่ามานั้น ผมคัดค้านหรือว่าหลักฐานนั้นผิด โดยสาระแล้ว ผมตำหนิว่าคุณตีความผิดต่างหาก หลักฐานเขาระบุถึงคน ในโลกมนุษย์ก็เห็นอยู่...แต่ก็พยายามตะแบงให้เป็นพวกต่างดาวไปได้ ข้อความที่เกี่ยวกับ ภูมิศาสตร์อินเดียโบราณผมก็เอามาให้ดูแล้วนี่.... ทำไมไม่ดูเสียหน่อยล่ะ....ผมย้ำนักย้ำหนาว่า พระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องทุกข์ และความดับทุกข์ เรื่องอื่นท่านไม่สอน พวกคุณก็ไม่ยอมฟัง.......... ส่วนเรื่องการปลอมปนข้อความเข้ามาในพระไตรปิฎก คห.29 เขาก็อธิบายให้ ฟังแล้วนี่ อ่านแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรือ....หรือว่าอ่านออก แต่รับไม่ได้....... ส่วนคุณ คห.37 ผมไม่ได้ทำให้เรื่องราวที่คุณอ้างถึงซับซ้อนขึ้นมาแต่ประการใดเลย แต่ผมกลับทำให้มันง่ายขึ้นด้วยซ้ำไป การที่ผมยกเอาภูมิศาสตร์อินเดียโบราณ มาอธิบายว่า ชาวอุตรกุรุ เป็นคนที่อยู่ในแถบทะเลสาบแคสเปี้ยน มันทำให้ เกิดความซับซ้อนตรงไหนหรือ? การที่ผมเอาหลักฐานทางภูมิศาสตร์มายืนยัน ว่า ชาวปุพพวิเทหะ ก็คือชาวจีนในยุนนาน มันเป็นการทำให้เรื่องนี้ลึกลับ ขึ้นได้อย่างไร? ......คุณเข้าใจอะไร ผิดไปหรือเปล่า?   ผมเองก็มิได้มีอคติกับมนุษย์ต่างดาว ดังที่คุณเข้าใจหรอก...แต่ในเมื่ออ้างว่า ในคัมภีร์พุทธศาสนา ระบุถึงมนุษย์ต่างดาว ผมก็แค่ขอให้ชี้ว่า บาลีคำไหน ที่พวกเขาแปลออกมาได้ว่า มนุษย์ต่างดาว แต่ก็ปรากฏว่าเหลว ไม่สามารถ ชี้คำที่กล่าวอ้างได้ ทั้งๆที่ทำท่ามั่นใจนักหนาว่ามีหลักฐานอยู่ ... ผมเห็นมี แต่การพยายามตีความอย่างลมๆแล้งๆ ข้างๆคูๆ อย่างน่าสมเพช....... ไม่เรียกคนแบบนี้ว่า เพ้อเจ้อเหลวไหล แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?..... ในเมื่ออยากจะตีความนัก ผมจะทำให้ดูพอเป็นสังเขป ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดา ชั้นดาวดึงส์และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการ เป็นไฉน คือไม่มีทุกข์ ๑ ไม่มีความหวงแหน ๑ มีอายุแน่นอน ๑ คุณรู้หรือไม่ว่าข้อความทั้งหมดนี้บอกอะไรแก่เราบ้าง? ผมได้เคยอธิบายแล้วว่า อารยันได้อพยพมาจากดินแดนรอบๆทะเลสาบแคสเปียน เมื่อเข้าสู่ดินแดนชมพูทวีป ซึ่งปรากฏว่ามีชมชนเมืองขนาดใหญ่ของพวก ทราวิฑตั้งมั่นอยู่ก่อนแล้ว แม้ทราวิฑจะมีอารยธรรมสูงกว่าพวกอารยัน แต่เมื่อการต่อสู้แย่งชิงดินแดนได้เริ่มขึ้น ปรากฏว่าฝ่ายทราวิฑพ่ายแพ้ยับเยิน เพราะสู้อาวุธธนูและกองทัพม้าอันเกรียงไกรของพวกอารยันไม่ได้นั่นเอง... และนี่ก็คือการเริ่มต้นยุคทาส ของชนเผ่าอารยันเหนือแผ่นดินชมพูทวีป โดยกด ผู้แพ้สงครามทั้งหมดให้กลายเป็นทาส..... แล้วภูมิหลังของชนเผ่าอารยันคืออะไร? คุณควรมีความเข้าใจในพัฒนาการ ทางสังคมของมนุษย์เสียก่อนว่า มีความเป็นมาอย่างไร? ประวัติศาสตร์ ของมนุษย์เริ่มต้นสมัยยุคบุพกาล ในยุคนี้ ยังไม่มีระบบการจัดตั้งทางสังคม ใดๆทั้งสิ้น มนุษย์ในยุคนี้อยู่รวมกันเป็นโคตรตระกูล ล่าสัตว์ เก็บพืชผักกิน กันไปตามประสา ที่พัฒนาขึ้นมาหน่อยก็คือรู้จักการเพาะปลูกแบบง่ายๆ รู้จักเลี้ยงสัตว์บางประเภท....และนี่คือสาเหตุที่ทำไมจึงถูกระบุว่า ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวงแหน มีอายุแน่นอน เหตุที่ยังไม่มีระบบจัดตั้งทางสังคม แต่อยู่รวมกันเป็นโคตรตระกูล พวกเขาจึงไม่มีทุกข์อะไร.....และเพราะดำเนิน ชีวิตในแบบสังคมยุคบุพกาล ชอบที่จะย้ายถิ่นฐานทำมาหากินไปเรื่อยๆ คนพวกนี้จึงไม่ค่อยยึดติดในสมบัติพัสถานอะไร พูดให้ง่ายก็คือ ในเมื่อไม่มี สมบัติอะไร ก็เลยไม่มีอะไรให้หวงแหน.......ทั้งหมดก็เป็นดังนี้แล.....ไม่มีอะไร ยุ่งยากซับซ้อนใช่หรือไม่.......และที่คนพวกนี้อายุยืนก็ด้วยเหตุที่ไม่มีการ ทำสงครามระหว่างกันเพราะต่างก็เป็นชนเผ่าเร่ร่อน ฉนั้นคนพวกนี้จึง อายุยืน ตายเมื่อถึงอายุขัย........(พระสูตรจึงว่ามีอายุแน่นอน) ดังที่เคยบอกใว้แล้ว ว่ายังมีกลุ่มชาวอุตรกุรุบางพวกที่เริ่มรู้จักการเพาะปลูก และการเลี้ยงสัตว์ กลุ่มคนพวกนี้เองที่จะพัฒนาการเลี้ยงสัตว์ในท้องทุ่ง พัฒนาระบบสังคมการเมืองการปกครองแบบชนเผ่าขึ้น สุดท้ายได้เกิดการ ขยับขยายคลี่คลาย จนเราได้เห็นรัฐทาสของชาวอารยันในชมพูทวีปในที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นการกล่าวโดยสังเขป...พยายามให้สั้นที่สุดเท่าที่จะฟังรู้เรื่อง ทั้งนี้ก็น่าจะพอเพียงต่อการอธิบายข้อความในพระสูตรที่ยกมาอ้างกัน ได้เป็นอย่างดี ....... ถึงขนาดนี้แล้วถ้ายังสมัครใจที่จะให้คนโบราณเหล่านี้ เป็นมนุษย์ต่างดาวอยู่อีก .... ผมก็คงต้องตามใจพวกคุณแล้ว....... ขอเสริมความอีกเล็กน้อย ....เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้วผมก็อยากให้คุณๆทั้งหลาย ช่วยกันคิดหน่อยว่าข้อความนี้ จะหมายความว่าอะไร?และหมายถึงใคร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาว อุตรกุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือเป็นผู้กล้า ๑ เป็นผู้มีสติ ๑ เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม ๑ ลองช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ ก็แล้วกัน เพื่อความหลากหลายในความคิด... ส่วนที่เกี่ยวกับคำว่า   โลก    ผมขอให้คุณทั้งหลายพิจารณาตรงนี้ก่อน โลก แผ่นดินเป็นที่อาศัย, หมู่สัตว์ผู้อาศัย; โลก ๓ คือ ๑.สังขารโลก โลกคือสังขาร ๒.สัตวโลก โลกคือหมู่สัตว์ ๓.โอกาสโลก โลกคือแผ่นดิน; อีกนัยหนึ่ง ๑.มนุษยโลก โลกมนุษย์ ๒.เทวโลก โลกสวรรค์ ทั้ง ๖ ชั้น ๓.พรหมโลก โลกของพระพรหม โลกธรรม ธรรมที่มีประจำโลก, ธรรมดาของโลก, ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลก และสัตว์โลกก็เป็นไปตามมัน มี ๘ อย่าง คือ มีลาภ ไม่มีลาภ มียศ ไม่มียศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ โลกธาตุ แผ่นดิน; จักรวาลหนึ่งๆ ทั้งหมดนี้มาจากพจนานุกรม ฉบับ ประมวลศัพท์ นำมาให้ดูเพื่อเตือนสติ คนที่ชอบอ้างคัมภีร์ ก็ขอให้แตกฉานในความหมายและวิธีใช้ด้วย...คืออยาก ให้รู้จักอ่านหนังสืออย่างแตกฉาน.....จะได้ไม่เข้าใจอะไรผิดๆอีก..... เพราะแม้แต่ร่างการของเรานี้ พระพุทธเจ้ายังตรัสเรียกว่าโลกเลย.... การที่คุณจะคิด จะพูด จะทำ อะไรที่เกี่ยวกับคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา ก็ขอให้พิจารณาให้รอบคอบด้วย......... หวังว่าทั้งหมดนี้คงจะช่วยสร้างความกระจ่างให้กับหลายๆคน ไม่มากก็น้อย........ที่ไม่อยากคิดอะไรเลย ก็ถือว่าเป็นเรื่องอ่านเล่น สนุกๆก็แล้วกัน............... ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 24 ส.ค. 49 17:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 40 การโต้แย้งเกี่ยวกับพัฒนาการทางสังคม และความหมายที่แท้จริงของชนชั้น ลองพิจารณาที่นี่ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/07/K4551864/K4551864.html มีคำอธิบายบางส่วนที่เกี่ยวการต่อสู้เพื่อปลดแอกจากความเป็นทาส อันสืบเนื่องมาจากวรรณคดี รามเกียรติ์ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4660984/Y4660984.html#3 แก้ไขเมื่อ 21 ก.ย. 49 11:24:30 จากคุณ : Ritti Janson - [ 24 ส.ค. 49 17:15:08 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ถึง  คุณ Ritti Janson ข้อความบางส่วนจาก http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?start_book=23&start_byte=142509                        สุริยสูตร      [๖๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพปาลีวัน ใกล้ พระนครเวสาลี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นกำหนดควร เบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้น ในสังขารทั้งปวง ดูกรภิกษุทั้งหลายเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้น ในสังขารทั้งปวง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ขุนเขาสิเนรุ โดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยกว้าง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หยั่งลง ในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงจากมหาสมุทรขึ้นไป ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มี กาลบางคราวที่ฝนไม่ตกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี เมื่อฝน ไม่ตก พืชคาม ภูตคามและติณชาติที่ใช้เข้ายา ป่าไม้ใหญ่ ย่อมเฉา เหี่ยว แห้ง เป็นอยู่ไม่ได้ ฉันใด สังขารก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่ น่าชื่นชม นี้เป็นกำหนดควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้น ในสังขาร ทั้งปวง ฯ จากพระสูตรนี้ ((ในความเห็นของผม))จะสรุปได้ดังนี้ 1. ในพระสูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  อย่างชัดเจน 2. เป็นคำสอนในลักษณะอุปมาอุปมัยที่สามารถพบเห็นได้บ่อยในพระไตรปิฎก เพราะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ทันที 3. ขนาดของ เขาสิเนรุ ที่พระองค์กล่าวถึงคือ ยาวด้านละ 84,000 โยชน์--->เมื่อเทียบกับมาตราปัจจุบันแล้ว 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร--->ดังนั้น เขาสิเนรุ จะยาวด้านละ 84,000 x 16 = 1,344,000 กิโลเมตร=====>คุณ Ritti Janson คิดว่ามีภูเขาใดในโลกที่ยาวขนาดนี้บ้างครับ 4. จาก คห. 20 ของคุณ 1)ตามคติพราหมณ์นั้น เขาพระสุเมรุนี้ เป็นภูเขาที่เป็นหลักของโลก เป็นภูเขาที่ตั้ง อยู่ในจุดศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล ตอบ  ถ้าเขาสิเนรุที่เป็นหลักของโลกก็ถือตามคติพราหมณ์นั่นละครับ  แต่ถ้าตามพระสูตรหมายถึงแกนกลางของกาแลคซี่ครับ 5. จากในพระสูตรจะเห็นว่า พระองค์ตรัสกับภิกษุทั้งหลายมิได้ตรัสกับชาวเมือง เพราะคำสอนที่เทียบกับจักรวาลนี้พระองค์จะตรัสสอนเฉพาะกับภิกษุที่มี วิชชา๓ , อภิญญา ๖ หรือ สมาบัติ ๘  ซึ่งสามารถ เห็น ในสิ่งที่พระองค์ทรงกล่าวถึงเท่านั้นครับ 6. พระอริยบุคคลตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไปย่อมมีปกติที่จะไม่พูดเท็จแม้ต้องแลกด้วยชีวิต  ดังนั้นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเชื่อได้ใช่ไหมครับ 7. ผมจะไม่พูดเรื่อง มนุษย์ต่างดาว นะครับเพื่อตัดปัญหาการทะเลาะกัน  และใน คห. 10 เป็นการตีความที่ผิดของผมเองก็ต้องขอโทษครับ    แต่ในความหมายเดิมของพระสูตรนั้นก็บอกอยู่แล้วว่า "โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน" แสดงว่าไม่ได้มีเฉพาะโลกเราในจักรวาลนี้เท่านั้นที่มีสิ่งมีชีวิต 8. มีพระสูตรหนึ่งกล่าวไว้ว่า  ความรู้ของพระองค์มีมากมายเปรียบได้กับใบไม้ทั้งหมดในป่า แต่ที่พระองค์ทรงสั่งสอนนั้นเปรียบได้กับใบไม้กำมือเดียวเท่านั้น อันเป็นไปเพื่อการ พ้นทุกข์  =====>ดังนั้นผมคิดว่า แม้แต่เรื่องที่สุดแห่งทุกข์พระองค์ยังทรงรู้แล้วเรื่องจักรวาลพระองค์ทรงรู้แน่นอน เพียงแต่นำมาเปรียบเทียบในคำสอนเป็นบางครั้ง ไม่ทรงสอนลึกซึ้งเพราะไม่ใช่หนทางดับทุกข์ ผมไม่ต้องการทะเลาะกับคุณ Ritti Janson นะครับ เพียงแต่อธิบายในสิ่งที่คุณสงสัยเท่านั้น และเป็นการตอบคำถามของ จขกท. ด้วย จากคุณ : sehen - [ 24 ส.ค. 49 23:30:53 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าเช่นนั้น ผมก็จะตอบคุณเป็นข้อๆเรียงตามลำดับ เช่นกัน 1) ข้อนี้ผมยอมรับตามที่คุณกล่าวมาทุกประการ 2)ข้อนี้คุณควรจะพิจารณาให้รอบคอบ ถ้าคุณเห็นว่ามันเป็นการอุปมาจริง และคุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้ออุปมานั้น ก็ย่อมไม่เกิดปัญหาอันใด.... 3)สำหรับข้อนี้ คุณผิดพลาดไปสักหน่อยที่ไปให้ความสำคัญกับข้ออุปมา โดยมิได้ พิจารณาให้ถี่ถ้วนรอบคอบ....คุณไม่ทราบหรือว่าตัวเลข 84000 นี้หมายถึงอะไร?.... นี่เป็นธรรมเนียมของชาวพุทธสมัยโบราณ เวลาจะกล่าว ถึงสิ่งใด ว่าใหญ่โต หรือมากมาย ก็จะระบุตัวเลข 84000 นี้เสมอ....ฉนั้น คุณจะนำตัวเลขนี้ไปใช้ในการคำนวนเพื่อพิสูจน์อะไรไม่ได้ทั้งนั้น........ 4)ข้อสรุปของคุณน่าจะเกิดจากการคำนวนด้วยตัวเลขที่มีที่มา ที่ไม่ถูกต้อง ดังอธิบายแล้วในข้อ3 5)ผมเห็นว่าเนื้อหาจริงๆมีอยู่เพียงเท่านี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพปาลีวัน ใกล้ พระนครเวสาลี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นชม นี้เป็นกำหนดควร เบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้น ในสังขารทั้งปวง ดูกรภิกษุทั้งหลายเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรหลุดพ้น ในสังขารทั้งปวง ส่วนที่เหลือ ผมไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นพระวัจจนะจริงแท้ เพราะไม่เข้ากับ หลักการวินิจฉัยธรรมที่ผมได้เสนอให้ใว้แต่แรก....... 6)ผมยอมรับคำพูดข้อนี้ของคุณ แต่คุณควรจะยอมรับด้วยว่า จะต้องวินิจฉัย ตามหลักการ อย่างรอบคอบก่อน เมื่อแน่ใจว่าเป็นพุทธพจน์แท้ จึงจะยอมรับ ว่าเป็นธรรมะของพระพุทธองค์...... 7)ผมไม่ได้บอกว่า จักรวาลวิทยาเป็นความเท็จ แต่ผมบอกว่า การอ้างว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องจักรวาลวิทยา เป็นความเท็จต่างหาก เหตุผลก็อยู่ที่ ข้อความที่8 ของคุณนั่นแหละ....... 8)คุณควรเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนว่า เมื่อพระพุทธองค์ตรัสคำว่า โลก คำๆนี้หมายถึงอะไร? โลก ในความหมาย ของพุทธองค์คือ สิ่งที่มีความแตกสลายเป็นธรรมชาติ ซึ่งก็หมายถึง อายตนะ12 หรือ จิต เจตสิก รูป หรือหมายถึง ขันธ์5 หรือก็คือ สังขตธรรม... เมื่อคุณเข้าใจความหมายของคำว่าโลกดังนี้แล้วก็กลับไปอ่านพระสูตรใหม่ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ความว่าอย่างไร ก็ค่อยมาคุยกันอีกที..... หวังว่าคุณคงจะได้ความกระจ่าง ได้แง่คิด และหวังว่าจะนำข้อเสนอแนะ ที่ผมให้ไปเพื่อการพิสูจน์ข้อความต่างๆในพระสูตรที่ปรากฏอยู่ในกระทู้นี้ ได้ความว่าอย่างไร จึงค่อยมาพูดจากัน.....สิ่งที่สำคัญที่สุดในการอ่านพระไตรปิฎก ก็คือ ต้องเข้าใจความหมายของคำศัพท์ต่างๆในคัมภีร์ให้ถ่องแท้เสียก่อน เพราะคำศัพท์หลายๆคำ มีความหมายแตกต่างจากที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ไหนยังจะต้องรู้จักแยกแยะ ภาษาธรรม-ภาษาคนอีก สรุปก็คือ ควรอ่านด้วย ความรอบคอบระมัดระวัง......ผมคงแนะนำคุณได้เท่านี้...... ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 25 ส.ค. 49 00:34:04 ]

ความคิดเห็นที่ 43 อ่านแล้วนึกถึงหนังสือ โลกทัศน์ ชีวทัศน์เปรียบเทียบ วิทยาศาสตร์กับ พระพุทธศาสนา ของท่านอาจารย์ระวี ภาวิไล ท่านได้แสดงทัศนะว่า " แนวคิดทางโลกทัศน์ในเรื่อง ลักษณะธรรมชาติของโลก พิภพ ดวงดาว จักรวาลฯดังที่ปรากฏยึดถือมาในคัมภีร์ชั้นรองทางพุทธศานานั้น เป็นผลจากอิทธิพลความนึกคิดโลกทัศน์ พราหมณ์ และฮินดู สมัยยังเชื่อว่าโลกแบน ในพระพุทธศาสนานั้น อาจได้ทรงอาศัยใช้โลกทัศน์เหล่านี้ เพียงเพื่อ เป็นพื้นฐานสำหรับการแสดงธรรมเพื่อความหลุดพ้น  โดยมิได้ทรง พะวงถึงการที่จะเสียเวลาแก้ไขโลกทัศน์เหล่านั้นเสียก่อน ต่อมาภายหลังจากพุทธปรินิพพาน ก็มีการแต่งเติมเสริมต่อโลกทัศน์ เหล่านั้น ให้เป็นระบบสมบูรณ์น่าเชื่อถือ แต่ไม่อาจคงทนต่อการ พิสูจน์ข้อเท็จ จริงที่เกิดจาก การค้นพบโดยวิทยาการปัจจุบัน จึงเป็นโลกทัศน์ที่เป็นส่วนเกิน และไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เป็นพื้นฐาน ในการศึกษาธรรม...... .....ในตอนท้ายของรายงานจะได้ชี้ให้เห็นว่า จักรวาลแบบอินเดียโบราณ ดังที่ปรากฎในคัมภีร์พุทธศาสนา ถ้าพิจารณาตามรูปลักษณ์เป็นวัตถุ ในโลกแห่งรูปธรรม ไม่สอดคล้องกับระบบดาว และจักรวาล หรือเอกภพของดาราศาสตร์ปัจจุบัน และไม่สมควรจะพยายามนำไปประนีประนอมเปรียบเทียบกัน แต่ถ้าหากพิจารณาว่า จักรวาลแบบอินเดียโบราณนั้น  เป็นการฉาย โครงสร้างและรูปลักษณ์ของฝ่าย ธรรมชาติฝ่ายนามธรรม หรือ จิตของมนุษย์ ออกสู่ฉากแห่งจินตนาการ โดยอาศัยเทียบเคียงให้สอดคล้อง กับบางส่วนของประสบการณ์ของ โลกแห่งวัตถุแล้วก็จะพบความหมายใหม่ว่า  แท้จริง จักรวาลแบบ อินเดียโบราณนั้นก็คือ แผนผังของโครงสร้างของด้านนามธรรม คือ จิตใจของมนุษย์นั่นเอง" ท่านใดสนใจ ก็ลองหาอ่านเอานะท่าน   . แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 49 18:29:37 จากคุณ : นมุจี - [ 25 ส.ค. 49 18:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ถ้าเรื่องของจักวาลเป็นเรื่องที่ถูกแต่งเติมภายหลังจริง..ถ้างั้นกาลิเลโอก็ไม่ใช่บุคคลแรกสิครับที่ทราบว่าโลกไม่แบนโลกกลม ดวงดาวต่างๆ กลม ในสมัยที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 นั้นพระไตรปิฎกของไทยได้ถูกพม่าเผาทำลายเสียหายไปเป็นจำนวนมาก พระพุทธศาสนาในยุคนั้นถือได้ว่าเข้าถึงจุดเสื่อมอย่างขีดสุดเพราะพระไตรปิฎกที่สมบูรณ์ที่สุดของไทยได้กระจัดกระจายและถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้หลังจากที่พระเจ้าตากกู้อิสระภาพได้แล้ว ได้เข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์โดย ร.1 ท่านได้ทำการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาโดยได้ทรงทำการรวบรวมนักปราชญ์ และพระภิกษุที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกให้มากที่สุด แต่ถึงกระนั้นคำสอนในพระไตรปิฎกก็ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้น ร.1 ท่านจึงทรงมีรับสั่งให้มีการอัญเชิญพระไตรปิฎกมาจากลังกา  ซึ่งพระไตรปิฏกที่มาจากลังกานี้ถือว่าสมบูรณ์ที่สุด เพราะเป็นพระไตรปิฎกที่มีการสังคยานาในครั้งที่ 1-2-3 ซึ่งเป็นยุคสมัยที่พระอรหันต์เท่านั้นที่จะมีสิทธิทำสังคยานาได้ครับ ด้วยเหตุนี้พระไตรปิฏกของไทยเราที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้จึงเป็นคำสอนที่ถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดแล้วครับ v v สังคายนา “การสวดพร้อมกัน”, การร้อยกรองพระธรรมวินัย, การประชุมตรวจชำระสอบทานและจัดหมวดหมู่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าวางลงเป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียว;       สังคายนา ครั้งที่ ๑ ถึง ๕ มีดังนี้: >>>ครั้งที่ ๑ ปรารภเรื่องสุภัททภิกษุผู้บวชเมื่อแก่กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย และปรารภที่จะทำให้ธรรมรุ่งเรืองอยู่สืบไป พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน และเป็นผู้ถาม พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาพระธรรม ประชุมสังคายนาที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภารบรรพต เมืองราชคฤห์ เมื่อหลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน           โดยพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๗ เดือนจึงเสร็จ >>>ครั้งที่ ๒ ปรารภพวกภิกษุวัชชีบุตรแสดงวัตถุ ๑๐ ประการ นอกธรรม นอกวินัย พระยศกากัณฑกบุตรเป็นผู้ชักชวน ได้พระอรหันต์ ๗๐๐ รูปพระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้วิสัชนา ประชุมทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี เมื่อ พ.ศ ๑๐๐           โดยพระเจ้ากาลาโศกราช เป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๘ เดือนจึงเสร็จ       >>>ครั้งที่ ๓ ปรารภเดียรถีย์มากมายปลอมบวชในพระศาสนาเพราะมีลาภสักการะเกิดขึ้นมาก พระอรหันต์ ๑,๐๐๐ รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน ประชุมทำที่อโศการามเมืองปาฏลีบุตร เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๔ (พ.ศ. ๒๑๘ เป็นปีที่พระเจ้าอโศกขึ้นครองราชย์)           โดยพระเจ้าอโศก หรือ ศรีธรรมาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๙ เดือนจึงเสร็จ       >>> ครั้งที่ ๔ ปรารภจะให้พระศาสนาประดิษฐานมั่นคงในลังกาทวีป พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอริฏฐะเป็นผู้วิสัชนา ประชุมทำที่ถูปาราม เมืองอนุราธบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖           โดยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะเป็นศาสนูปถัมภก์ สิ้นเวลา ๑๐ เดือนจึงเสร็จ       >>> ครั้งที่ ๕ ปรารภพระสงฆ์แตกกันเป็น ๒ พวกคือ พวกมหาวิหารกับพวกอภัยคีรีวิหาร และคำนึงว่าสืบไปภายหน้ากุลบุตรจะถอยปัญญา ควรจารึกพระธรรมวินัยลงในใบลาน พระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ประชุมกันสวดซ้อมแล้วจารพุทธพจน์ลงในใบลาน ณ อาโลกเลณสถาน ในมลยชนบท ในลังกาทวีป เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ (ว่า ๔๓๖ ก็มี)           โดยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยเป็นศาสนูปถัมก์;           บางคัมภีร์ว่า สังคายนาครั้งนี้จัดขึ้นในความคุ้มครองของคนที่เป็นใหญ่ในท้องถิ่น       (ครั้งที่ ๔ ได้รับความยอมรับในแง่เหตุการณ์น้อยกว่าครั้งที่ ๕) ที่มา : http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=สังคายนาครั้งที่_๑ จากคุณ : XLmen - [ 25 ส.ค. 49 21:27:08 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เฮ้อ! ท่านXLmen  ท่านรู้จักอาจารย์ระวี ไหมนี่ เรื่องการสังคายนาประไตรปิฎก ที่ท่านยกมา ใครๆก็รู้ประวัติกัน   และยอมรับกันทั้งนั้น เพียงแต่  ข้าพเจ้าเห็นว่าเมื่อท่านทั้งหลาย ประสงค์จะตีความเรื่องของ จักรวาลในพระไตรปิฎก จึงได้แนะนำ เสนอหนังสือที่แสดงทัศนะ โดยนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ตัวจริง มาไว้ให้   เผื่อว่าท่านใดสนใจ ก็จะได้ลองหามาศึกษา เพื่อประกอบการพิจารณาดู   ในฐานะที่ข้าพเจ้าเอง  ก็เป็นเพียงผู้ศึกษาอยู่เช่นกัน   หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าซื้อมาเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว และพบว่าให้ความรู้กับข้าพเจ้ามาก โดยได้มีการอธิบายเปรียบเทียบ จักรวาล กับความรู้เรื่องดาราศาสตร์ในปัจจุบัน, อธิบายจักรวาล ในฐานะเป็นโครงสร้างของจิต  นอกจากนี้ยังอธิบายความรู้ปัจจุบัน เรื่องเอกภพ,  ความเป็นมาของเอกภพ, ปัญหาเรื่องชีวิตนอกภิภพ, วิเคราะห์ วิจารณ์ จูฬนีสูตร สุริยสูตร เปรียบเทียบกับเอกภพ  ฯลฯ ในระดับที่บุคคลทั่วไป ซึ่งไม่ใช่นักวิชาการสามารถอ่านเข้าใจได้ หากว่าท่านใด ไม่เห็นด้วย หรือไม่ต้องการอ่าน หรือ อ่านหนังสือแล้วแต่ไม่เห็นด้วย  หรือกาลิเลโอจะว่าอย่างไร ท่านก็  e-mail ไปถกกับอาจารย์เองก็แล้วกัน ตัวข้าพเจ้าเอง ก็ย่อมไม่มีอะไรเดือดร้อน เกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้ว แลข้าพเจ้า ก็เป็นคนที่ขี้เกียจพิมพ์อะไรยาวๆ อยู่เหมือนกัน . จากคุณ : นมุจี - [ 25 ส.ค. 49 22:40:06 ]

ความคิดเห็นที่ 46 .......สังคายนาครั้งที่9 ทำในประเทศไทยเมื่อ พศ.2331 พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรง อาราธนาพระสงฆ์ให้ชำระพระไตรปิฎก ในครั้งนี้มี พระสงฆ์ 218 รูป กับราชปัญฑิตาจารย์อุบาสก 32 คน ช่วยกันชำระพระไตรปิฎก แล้วจัด ให้มีการจารึกลงในใบลาน สังคายนาครั้งนี้สำเร็จภายในเวลา 5 เดือน จัดว่า เป็นสังคายนาครั้งที่ 2 ในประเทศไทย............. อ้างจาก สุชีพ ปุญญานุภาพ พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน ด้วยความนับถือ จากคุณ : Ritti Janson - [ 25 ส.ค. 49 22:49:14 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ถ้างั้นคุณRitti Janson ก็ไม่เชื่อว่ามี มาร เทวดา เขาสิเนรุอยู่ตรงไหนบอกด้วย คุณอาจจะบอกว่ามารคือความคิดด้านอกุศลจิตก็ได้แต่อยากรู้จริงๆว่า เขาสิเนรุ ป่าหิมพานต์ของคุณอยู่ตรงไหน สรุปคุณเป็นพุทธรึเปล่าเนี่ย แก้ไขเมื่อ 26 ส.ค. 49 12:27:00 จากคุณ : zone121@hotmail.com (Little Hero Jo) - [ 26 ส.ค. 49 11:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ตอบคห.ที่ 45 คุณ นมุจี เอ ไม่ทราบเข้าใจอะไรผมผิดหรือป่าวครับ ?? งง ครับ ยิ่งอ่านผมก็ยิ่ง งง ว่าผมไปทำอะไรให้คุณ นมุจี ถอนใจหละครับ ??? เรื่องจักรวาลวิทยาในพระไตรปิฎกผมทราบอยู่แล้วครับว่าพระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องโลกธาตุ และจักวาล จริงผมจะไปคัดค้านพุทธวจนะได้อย่างไรครับ ส่วนดร.ระวี ผมก็อ่านอยู่ครับ...ก็ไม่เห็นว่าจะแปลกที่ตรงไหนหนิครับเพราะสิ่งที่ดร.ท่านกล่าวก็เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบอยู่ก่อนแล้ว และได้ตรัสบอกไปแล้วในพระไตรปิฎกหนิครับ... ส่วนเรื่องประวัติการสังคยานานั้นผมต้องการจะบอกให้คุณ Ritti Janson ได้ทราบครับไม่ได้เจตนาจะคัดค้านความเห็นคุณ นมุจี หรอกครับ ส่วนกาลิเลโอนั้น ผมกำลังจะสื่อความหมายบอกว่า ถ้าพระไตรปิฎกที่เราอ่านๆ กันมีกล่าวว่ามีจักวาล และโลกธาตุต่างๆ ย้ำว่าต่างๆ แปลว่ามีหลายโลก ไม่ใช่แค่โลกธาตุเดียวแล้ว ย่อมแสดงว่าพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาย่อมต้องเข้าใจและรู้ว่าโลกนี้กลมมาตั้งนานก่อนกาลิเลโอแล้วงัยหละครับ ดังนั้นการที่เราจะคิดเอาว่าเรื่องจักวาลวิทยาในพระไตรปิฎกเป็นเพียงการปลอมปนมาของพราหมณ์นั้น ผมว่าฟังไม่ขึ้นครับ อ่อนด้วยหลักฐานเกินไปครับ...เพราะคัมภีร์ของศาสนาพุทธเรานั้นชาวพุทธต่างหวงแหนกันมาก ทั้งสวดทั้งท่องจำพระบาลีและบันทึกเป็นหลักฐานขนาดนี้ พราหมณ์ที่ไหนจะมารู้ได้หละครับว่าโลกกลม...หรือมีกี่โลกธาตุ พราหมณ์อะไรจะเก่งขนาดนั้นครับ ขนาดนักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ก็เพิ่งจะเคยเห็นดาราจักรรูปกังหัน หรือกาแลกซี่ว่ามีในอวกาศมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วนเลย ย้ำว่าตั้งนานดาราศาสตร์เพิ่งจะค้นพบว่ามีกาแลกซี่จำนวนมหาศาลมากมายทีเดียว ยิ่งถ้าเป็นสมัยที่กาลิเลโอมีชีวิตด้วยแล้ว เต็มที่เลยกาลิเลโอก็ทราบเพียงแค่มีดาวเสาร์ ดาวพฤหัส ส่วนดาราจักรที่อยู่ไกลเกินกว่ากล้องจะส่องไปถึงหนะหรือครับฝันไปเถอะครับว่าจะเห็นได้...(เพราะเทคโนโลยียังไม่ถึงขั้น) ดังนั้นพราหมณ์ที่ไหนกันจะรู้แจ้งเห็นจริงได้ชัดเจนมากขนาดนี้ครับ ไม่มีทางเลยครับที่พราหมณ์จะรู้เรื่องได้ ถ้าพราหมณ์แต่งเติมเสริมแต่งแล้วเป็นเรื่องโกหกไม่ตรงกับวิทยาศาสตร์ก็ว่าไปอย่าง....แต่นี่ดันไปตรงกับวิทยาศาสตร์อย่างจังผมจึงแซวเล่นงัยครับว่าพราหมณ์สงสัยจะเห็นว่าโลกกลมก่อนกาลิเลโอหนะครับ 555+ ดังนั้นหวังว่าคุณ นมุจี คงจะพอเข้าใจในเจตนาผมตรงกันแล้วนะครับ จากคุณ : XLmen - [ 26 ส.ค. 49 18:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เอาเข้าไป....นี่ถึงขั้นระบุว่าพราหมณ์ไม่รู้จักรวาลวิทยาไปเสียแล้วทั้งๆที่นี่เป็น วิชาความรู้ของพวกเขา......และอยากรู้ไหมว่าจักรวาลวิทยาเข้ามาอยู่ในพระไตรปิฎก ได้อย่างไร......ผมจะนำข้อมูลทางสถิติบางอย่างมาให้คุณดู ถือว่าเป็นการเปิดหู เปิดตาก็แล้วกันนะ จากคัมภีร์เถระคาถา และคัมภีร์เถรีคาถา ซึ่งเป็นอารยาฉันท์ ประพันธ์โดย พระอรหันตเถระ และพระอรหันตเถรี จำนวนกว่า300รูป เล่าเรื่องต่างๆ ในการปฏิบัติธรรมของตน เราสามารถค้นข้อมูลทางสถิติได้ดังนี้.... 1) 86% มีพื้นเพมาจากสังคมเมือง คือมาจากเมืองใหญ่ เช่น สาวัตถี ราชคฤห์ ฯ 2) 140 รูป มีพื้นเพจากวรรณะพราหมณ์ 3) 75 รูป มาจากวรรณะกษัตริย์ 4) 98 รูป มาจากวรรณะแพศย์ 5) 11 รูป มาจากวรรณะศูทร 6) 10 รูป มาจากคนนอกวรรณะ เมื่อเห็นข้อมูลดังนี้แล้ว คุณก็ไม่ต้องฉงนแล้วว่าอิทธิพลของจักรวาลวิทยา แบบพราหมณ์ แทรกซึมเข้ามาในพระไตรปิฎกได้อย่างไร? คุณควรจะรู้ เป็นพื้นฐานใว้เสียก่อนด้วยว่า ความรู้เรื่องนี้ถือว่าเป็นความรู้ชั้นสูงและทันสมัย ที่สุดในยุคนั้น...จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพระสาวกจึงพยายามสอดแทรก เข้าไปในพระไตรปิฎก .... เหตุเพียงเพื่อดึงศรัทธามหาชน .... ให้เห็นว่า พระคัมภีร์นี้อุดมไปด้วยความรู้ที่ดีพร้อม และทันสมัยที่สุดแห่งยุค... พร้อมกันนั้นก็ก่อให้เกิดประโยชน์ในทางเผยแพร่ความรู้ที่เคยเป็นของลึกลับ จำกัดให้รู้ได้เพียงชนชั้นสูง แต่พระสาวกได้เผยแพร่ไปในหมู่ชนพร้อมๆกับพระพุทธธรรม เป็นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของมหาชนไปในคราวเดียวกัน..... แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า จักรวาลวิทยาแบบเก่านี้ไม่ทนต่อการพิสูจน์ ทางวิทยาศาสตร์เสียแล้ว หนำซ้ำยังเป็นเหตุให้ผู้ที่ไม่รู้ความ กล่าวหาว่า พุทธธรรมเป็นของล้าสมัยไม่ทันโลกไปเสียอีก...และนี่ก็คือเหตุผลหลัก ของการปฏิรูปศาสนาของ ร.4 จนเกิดนิกายธรรมยุติขึ้น....... ผมไม่ทราบหรอกว่าทำไมคุณคนนี้จึงไม่รู้เรื่องแบบนี้.....ขอไม่วิจารณ์ก็แล้วกัน แต่ผมเห็นว่าเรื่องพื้นฐานแบบนี้ คนที่เป็นชาวพุทธก็น่าจะรู้เอาใว้บ้าง ไม่ใช่จะไม่รู้อะไรเลย....... ส่วนเรื่องพราหมณ์เก่งหรือไม่?.....ผมก็คงต้องถามผู้พูดว่าเคยอ่านภควัตคีตา หรือไม่?.....รู้จัก สังกราจารย์ หรือเปล่า?..........ถ้าเรื่องสำคัญขนาดนี้ คุณยังไม่เคยได้สัมผัส....ก็คงป่วยการที่จะพูดด้วย....หัดหาความรู้ใส่ตัว เสียบ้าง โลกจะได้กว้าง.......เลิกคิดมักง่าย แบบจับแพะชนแกะเสียที..... การที่จะทดสอบว่าข้อมูลของผมฟังขึ้นหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่า คุณมีข้อมูลที่ดีกว่า มาหักล้างหรือเปล่า แต่ก็อีกนั่นแหละ ตั้งแต่ผมเข้ามาในโต๊ะนี้ผมยังไม่ค่อย ได้เจอข้อมูลที่มีคุณภาพสักเท่าไหร่เลย......... น่าสมเพชตัวเองจริงๆ............... จากคุณ : Ritti Janson - [ 26 ส.ค. 49 21:50:20 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ใช่ครับน่าสมเพชจริงๆ ครับ ผมเห็นด้วยว่ามักง่ายมากครับ ไม่รู้ว่าธรรมบทนี้พราหมณ์ไปแทรกยังงัยในเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์เท่านั้น หรือจะมีพราหมณ์มาแอบนั่งฟัง ?  นั่นสิครับน่าคิดจริงๆ ?? v v ************************************************************************************ "ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า" ....... ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์ พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ ************************************************************************************ พราหมณ์อะไรทำไมรอบรู้จังครับนอกจากจะรู้จักจักรวาลแล้วยังรู้อีกแหนะว่ามีดวงอาทิตย์ตั้งพันดวง พระจันทร์พันดวง ขนาดกาลิเลโอ หรือนักวิทยาศาสตร์ยังคิดกันข้ามศตวรรษคิดว่ามีเพียงดวงอาทิตย์ดวงเดียวเป็นจุดศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล  ดวงจันทร์ก็น่าจะมีเพียงดวงเดียว พราหมณ์นี่เก่งจัดจริงๆ นะเนี่ยพระจันทร์มีดวงเดียวก็ยังรู้อีกว่ามีเป็นพันๆ ดวงเลยสุดยอดครับ อ่านไปอ่านมาพราหมณ์ดันรู้เรื่องสวรรค์ 6 ชั้นอีกแหนะเอพราหมณ์ฮินดูหรือพราหมณ์สายไหนหนอที่สอนเรื่องนรกสวรรค์ และจักวาล  จะสอดแทรกทั้งทีทำไมถึงได้ทิ้งพระศิวะ พระนารายณ์ พระวิษณุไม่เอามาร่วมแจมด้วยหละครับเนี่ย แบบนี้ศาสดาของพราหมณ์เคืองแย่เลยครับ... สงสัยผมต้องเรียกพราหมณ์ที่รู้แจ้งขนาดนี้ว่า พราหมณ์สัพพัญูตญาณ แล้วครับ แปลว่า พราหมณ์ผู้รู้แจ้งโลกยิ่งกว่าพราหมณ์ทั้งปวง นับว่าพราหมณ์ในสมัยนั้นมีความรู้ยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ในศตวรรษนี้อีกนะเนี่ย.....ถ้าพราหมณ์สอนเรื่องจักรวาลวิทยาจริงงั้นในคำสอนของฮินดูก็ต้องปรากฎว่ามีหลักคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ด้วยสิครับ...ทำไมผมไม่เคยได้ยินหละครับ... ถ้าคุณ  Ritti Janson รู้ที่มาเรื่องจักวาลวิทยาของพราหมณ์ฮินดูจะนำมาแบ่งเป็นธรรมทานให้กับผมผู้รู้น้อยได้นำมาเทียบเคียงกับคำสอนของพุทธด้วยก็ดีมากนะครับ จากคุณ : XLmen - [ 26 ส.ค. 49 22:35:48 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ท่าทางนายคนนี้ จะเป็นคนที่อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องจริงๆ....... อ่าน คห.49 ไม่รู้เรื่องจริงๆหรือ?หลักฐานเขาก็บอกอยู่โต้งๆว่า พระอรหันต์ส่วนใหญ่เป็นคนวรรณะพราหมณ์...ยังมาเถียงข้างๆคูๆอยู่ได้ ....................................หรือว่าโง่จริง? .......เรื่องนรกสวรรค์ จักรวาลวิทยา ภูมิศาสตร์พวกพราหมณ์เขารู้เขาสอนกันทั้งนั้น อะไรทำให้คุณคิดว่าเรื่องพวกนี้มีอยู่แต่ในศาสนาพุทธ........ ศาสนาอื่นลัทธิอื่นเขาก็สอนกัน เขาเรียนรู้กันมาก่อนจะมี ศาสนาพุทธเสียอีก เลิกงมงายได้แล้ว.....และเรื่องจักรวาลวิทยาอินเดียโบราณ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในสมัยนี้สักหน่อยเลิกผูกโยงมั่วซั่วซะทีเถอะ..... อ้อ.......และคุณเองไม่ใช่หรือที่อ้างเรื่องสังคายนามีแต่อรหันต์ เห็นข้อมูลของผมแล้ว จะว่าอย่างไร? ยังไม่ได้เคลียร์กันเลยมิใช่หรือ... พูดกันมาให้ชัดดีกว่า เพราะเท่าที่สังเกตุ ไม่ค่อยแตะต้องข้อมูลของผมกัน เลยนะ ทำเงียบเฉยกันตลอด ทำเหมือนมองไม่เห็น... แล้วก็หลับหูหลับตา พร่ำพรรณนาเรื่องเพ้อเจ้อของตัวเองต่อ...... เรื่องชาวอุตรกุรุทวีป ก็เหมือนกัน มีปัญญาแย้งข้อมูลภูมิศาสตร์อินเดียโบราณ หรือเปล่า? ถ้าไม่มีปัญญา ก็เลิกพูดไปเลยดีกว่า เห็นพูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อซ้ำซาก ทำเป็นอ้างหลักฐานแต่ก็เห็นว่าเหลวทั้งเพ .... เพราะจริงๆแล้วตีความเอาเอง ทั้งนั้น มั่วไปเรื่อย เจอหลักฐานของจริงเรื่องจริงไม่เห็นมีปัญญาโต้เถียง สักแอะ ...... ได้แต่หลบเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นไปเรื่อยๆ......น่าสมเพช..... จากคุณ : Ritti Janson - [ 26 ส.ค. 49 23:25:43 ]

ความคิดเห็นที่ 52 อธิบายดีๆก็ได้ครับ กว่าคุณจะรู้เยอะก็เกิดมาจากความสงสัยเยอะไม่ใช่เหรอ มีอะไรเก็บกดหรือเปล่าเนี้ย จากคุณ : Dr.slump - [ 27 ส.ค. 49 02:02:54 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ไม่ได้เก็บกดครับ...............แต่รำคาญ...คนฉ้อฉลพระธรรมวินัย............. ไม่รู้จะบิดเบือนกันไปถึงไหน? ..... และทำแบบนี้ไปทำไม?...... พูดจาเป็นเด็ก อมมือเถียงข้างๆคูๆ.........ไม่ซื่อสัตย์และไม่ซื่อตรงต่อข้อมูลหลักฐาน......... ทำตัวได้น่าสมเพชเหลือเกิน...........พูดจาอวดรู้เกินตัว เที่ยวบอกข้อธรรมที่ตัว ไม่รู้ข้อเท็จจริง..............เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนามากกว่าเป็นคุณนะนี่....... ถ้าไม่ได้เห็นกับตาก็คงไม่เชื่อ.....ว่ามีคนแบบนี้อยู่ในสังคม.....ทำตัวเป็นเหลือบ ศาสนา.....พยายามคายพิษร้ายให้กับศาสนิกชนที่ไม่รู้ความจริงให้หลงผิด เชื่อตามลัทธิเพ้อเจ้อบิดเบือนพระธรรมวินัย....กล่าวตู่พระพุทธพจน์เป็นอาจินต์ ...........................ก็ไม่รู้ว่าจะด้านหน้าทำแบบนี้กันไปนานถึงไหน?....... จากคุณ : Ritti Janson - [ 27 ส.ค. 49 06:35:48 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ผมกลับว่าเรื่องหลงผิดเป็นเรื่องปกตินะ เกิดกับทุกคน ไม่งั้นคงไม่เกิดมาแล้วละ ความรู้คุณ Ritti ก็เยอะดี แต่ควรระงับโทสะซะบ้าง คนมาอ่านกระทู้นี้เพื่อความรู้ก็มีเยอะไม่ได้เถียงทุกคนหรอก เค้าก็ค่อยๆรวมข้อมูลไว้ ถึงวันนึงข้อมูลมันลงล๊อคกันเหมือนจิ๊กซอร์ ก็ปิ๊งขึ้นมาเอง จะให้เปลี่ยนความคิดที่สะสมมาในวันเดียวมันก็ยาก จากคุณ : Dr.slump - [ 27 ส.ค. 49 13:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ผมหละขำในความฉลาดของคุณ Ritti Janson จริงๆ ครับ พระอรหันต์นั้นทำลายกิเลสและมานะทิฐิความถือตัวถือตน และทำลายชั้นวรรณะหมดสิ้นแล้วนะครับ....มีหรือที่ทิฐิเดิมสมัยที่เป็นพราหมณ์จะส่งผลให้เกิดเรื่องราวจักรวาลวิทยาได้หละครับ....กิเลสหมดแล้วหมดเลยชั้นวรรณะหมดแล้วหมดเลยไม่มี return นะครับคุณ Ritti Janson เอาเถอะคุณจะเชื่อเรื่องจักวาลวิทยาตามความคิดของคุณก็เชิญตามสบายครับ....แต่ขอเถอะครับว่าอย่ากล่าวตู่ว่าทวีปทั้ง 4 คือทิศทั้ง 4 บนโลกใบนี้ครับ เพราะถ้าเป็นจริงไหนหละครับหลักฐานในพระไตรปิฎกบทไหนระบุบ้างครับว่า v v "อารยันได้อพยพมาจากดินแดนรอบๆทะเลสาบแคสเปียน เมื่อเข้าสู่ดินแดนชมพูทวีป..." ขอย้ำครับว่าหลักฐานนอกพระไตรปิฎกที่คุณนำมายำใหญ่ใส่ให้ทานนั้นไม่ต้องนำมาแจงหรอกครับ...เพราะยิ่งนำหลักฐานนอกพระไตรปิฎกมายำใหญ่มากเท่าใดคุณก็ยิ่งกล่าวตู่พุทธวจนะเองมากเท่านั้นครับ จากคุณ : XLmen - [ 27 ส.ค. 49 23:35:30 ]

ความคิดเห็นที่ 56 นายคนนี้มันแยกไม่ออกระหว่างความรู้ทางโลก กับปัญญาความรู้แจ้งในพุทธธรรม จากคุณ : Ritti Janson - [ 28 ส.ค. 49 07:37:54 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ตกลงถือลัทธิเดียว.. ศาสนาเดียวกันรึเปล่าเนี่ย???? น่าปวดหัวแท้ ๆ จากคุณ : ซุ่มอยู่ - [ 29 ส.ค. 49 10:00:08 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ตอบคุณRitti Janson และคุณหัดฝัน และทุกท่านครับ เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรือถูกหรอกครับ มันเป็น "การตีความ"ทั้งนั้น.... ซึ่งการตีความนั้น ขึ้นอยู่กับปัญญาและความเข้าใจของแต่ละบุคคลครับ เราบอกไม่ได้หรอกว่าใครถูกหรือผิด คุณRitti Janson บอกว่าคุณหัดฝันผิด.... ผมถามเพียงข้อเดียว... "คุณรู้ได้ไงว่าเขาผิด แล้วถ้าเขาไม่ผิดขึ้นมา คุณจะทำไง?" และผมก็ถามคุณหัดฝันอย่างเดียวกันครับ การตีความนั้น ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกันครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น... ยกตัวอย่างเช่น ผมถามว่า "ขัน" แปลว่าอะไรนั้นแหล่ะ บางคนบอก "ขำขัน" บางคนบอก "ขันน้ำ" บางคนบอก "ขันน๊อต" บางคนบอก "ไก่ขัน" เห็นไหมครับ อะไรก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับปัญญาของผู้ตอบ การที่คุณ Ritti Janson บอกว่าคุณหัดฝันผิด บิดเบือนพะรไตรปิฎกนั้น... ลองถามตัวเองดูนะครับว่า.... "คุณรู้จริงๆว่ามันบิดเบือน หรือว่า มันเกิดจากการตีความพระไตรปิฎกของคุณเองว่ามันผิดเบือน???" ผมเคยอ่านพุทธพจน์นะครับ (จำไม่ได้แล้วว่าพระสูตรไหน) "พระพุทธองค์สอนว่า ... ถ้าไม่รู้จริง อย่ากล่าวอะไรเลยซะดีกว่า" สิ่งที่ผมกำลังจะสื่อคือ.... กรตีความต้องเปิดใจครับ ไม่มีเราถูก เขาผิดแล้ว ตราบใดที่เรายังไม่เห็นว่าคำตอบจริงๆ มันเป็นอย่างไรนั้นแหล่ะ คุณ  Ritti Janson อาจจะถูกก็ได้.... คุณหัดฝันอาจจะถูกก็ได้.... เรื่องนี้ต้องเปิดใจครับ ดังนั้นการที่คุณกล่าวหาว่าคุณหัดฝันบิดเบือนพระไตรปิฎกนั้น.... ผมคิดว่าอาจจะเป็นการกล่าวหาที่ "รุนแรง" ไปหน่อยนะครับ... เพราะถ้าเขาไม่ผิด คนที่จะถูกกล่าวหาว่าบิดเบือนก็คือคุณเอง อย่าคาดคะเนเองครับ ว่าเราถูกแล้ว คนอื่นผิด... ใดใดในโลกล้วนอนิจจังครับ ขอเพิ่มเติมอีกอย่างนะครับ... เรื่องนี้ ผมคิว่าเราทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นปัญหา "อจินไตย" พระพุทธองค์ทรงเตือนไว้แล้วว่าห้ามคิดกันเป็นจริงเป็นจัง เพราะจะทำให้บ้าได้ ผมเลยสงสัยว่าท่านทั้งหลาย จะมาเถียงเอาเป็นเอาตายกันทำไม??? ถ้าอภิปรายกันสนุกๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่.... ส่วนคุณซุ่มอยู่ จขกท. เรื่องที่เขาเถียงกัน... ถ้าคุณไม่เข้าถึงพระไตรปิฎกจริงแล้วล่ะก็ งงแน่ๆครับ ดังนั้นอย่าไปสนใจเลย ที่คุณควรรู้คือ หลักธรรมที่อยู่ในพระไตรปิฎกครับ... มือใหม่สำหรับพระพุทธศาสนา อย่าไปยุ่งเรื่องที่มันเกินไปเลยแบบที่หลายๆท่านกำลงเถียงกันอยู่เลยครับ เพราะมันเป็นเรื่องของการตีความ ซึ่งถ้าความรู้คุณไม่แน่นพอ จะงงเอาเปล่าๆ ตอนนี้เอาแค่รู้ว่า... ศีล 5 มีอะไรบ้าง? สมาธิที่ถูกต้องต้องทำอย่างไร? ดีกว่าไหมครับ ด้วยความเคารพครับ จากคุณ : My EyeS ArE OpeNeD. - [ 21 ก.ย. 49 15:02:49 ]

ความคิดเห็นที่ 60 องค์ก่อนๆ(อาจจะ)เคยเกิดที่ไทย พม่า ลาว ชวา กัมพูชา เวียดนาม จีน ฯลฯ ก็ได้ครับ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานครับ จากคุณ : รัชมังค์_01 - [ 21 ก.ย. 49 17:51:24 ]