ความคิดเห็นที่ 1 ระบบศาลของราชอาณาจักรไทย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ในการออกนั่งบัลลังก์เพื่อพิจารณาคดีแต่ละครั้ง ผู้พิพากษา ซึ่งเป็นประธานในศาล ท่านมาในฐานะตัวแทนของพระมหากษัตริย์ เอกสารสำคัญเกือบทุกอย่าง ก็ประทับรับรอง "ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์" ทุกคดีความในศาล จึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างที่บางท่านพยามยามทำให้เข้าใจไขว้เขวไปอย่างนั้น ด้วยความที่เป็นเรื่องจริงจังสำคัญยิ่ง  จึงต้องมีระบบกลั่นกรองพิจารณาในชั้นต้นมากมายก่อนขึ้นสู่ศาล เพื่อกลั่นกรองมิให้คดีล้นศาล  ซึ่งเริ่มจากขั้นสืบสวนสอบสวน (ปรกติจะเป็นหน้าที่ของตำรวจ  แต่ในกรณีนี้เป็นกรมศาสนา) สืบสวนสอบสวนหาหลักฐานมาประกอบ "ข้อกล่าวหา" เพื่อส่งให้อัยการพิจารณา เมื่ออัยการตรวจสอบพิจารณาเอกสารและข้อกล่าวหาแล้ว เห็นว่ามีหลักฐานที่เป็นจริงและถูกต้อง เพียงพอเหมาะสมต่อข้อกล่าวหา จึงทำสำนวนส่งฟ้องศาล  เพื่อให้ศาลพิจารณากลั่นกรองอีกครั้ง ว่าจะรับฟ้องหรือไม่ (ช่วงระหว่างนี้  ผู้ถูกกล่าวหายังมีสถานะเป็นเพียง "ผู้ต้องสงสัย / ผู้ถูกกล่าวหา" เท่านั้น) เมื่อศาลพิจารณาสำนวนและหลักฐานแล้ว ว่ามีเหตุผลสนับสนุนข้อกล่าวหาเพียงพอ ท่านจึงจะประทับรับคำฟ้อง  อนุญาตให้เป็นคดีความได้ ในชั้นนี้  "ผู้ต้องสงสัย / ผู้ถูกกล่าวหา" จึงจะตกเป็น "จำเลย" อย่างแท้จริง แต่เพื่อความยุติธรรม และด้วยความเมตตาอย่างที่สุด ท่านก็เปิดโอกาสให้จำเลยหาพยานหลักฐานมาแก้ข้อกล่าวหา เพื่อให้ตนพ้นผิดจากข้อกล่าวหานั้นๆ ชั้นนี้เรียกว่าชั้นไต่สวน ซึ่งคดีธรรมกายก็ได้สิ้นสุดลงไปในชั้นนี้ เมื่ออัยการขอถอนฟ้องต่อศาลก่อนที่คดีจะถึงที่สุด คือการพิพากษา และศาลเมตตาอนุญาตให้ถอนฟ้อง จากคุณ : Sea Ghost Man - [ 28 ส.ค. 49 01:15:53 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จากที่กล่าวมาคร่าวๆ ทุกท่านคงพอจะเห็นถึงความสำคัญของ "เอกสาร / หลักฐาน" แล้ว ว่าทุกขั้นตอนของระบบ "ศาลสถิตย์ยุติธรรม" เต็มไปด้วยเอกสารหลักฐานมากมายมหาศาล คำพูดปากเปล่าโคมลอย มีค่าแค่เพียง "คำให้การ"  ที่ไม่มีน้ำหนัก จึงต้องมีการซัก / ค้านกัน ในศาลนั้น ทุกอย่างคุยกันด้วยหลักฐานที่เป็นเอกสารที่ตรวจสอบชัดเจนแล้วทั้งสิ้นเป็นสำคัญ จุดที่ผมให้ความสำคัญในคดีนี้คือ เรื่องที่ดิน เพราะข้อกล่าวหาว่ายักยอกทรัพย์สินที่ดินที่จะให้ศาลรับฟ้องได้นั้น ท่านต้องชัดเจนอย่างปราศจากข้อสงสัยแล้ว ว่ามีการถือครองที่ดินผืนนั้นๆ ในนามคนนั้นๆ จริง และมีพฤติกรรมส่อว่าเป็นการยักยอกจริง ท่านจึงพิจารณารับฟ้อง ซึ่งมีผลเปลี่ยน "ผู้ถูกกล่าวหา" ให้กลายเป็น "จำเลย" (โปรดสังเกตขั้นตอนนี้ให้ดี  การจะตัดสินให้ใครต้องตกเป็น "จำเลย" ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น) จากคุณ : Sea Ghost Man - [ 28 ส.ค. 49 01:18:18 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ที่จริงควรสรุปตั้งแต่เมื่อศาลพิจารณารับฟ้องแล้วด้วยซ้ำ  ว่าท่านเจ้าสำนัก "ปาราชิก" เพราะการรับคำฟ้องของศาล พ้องต้องกันดีกับพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ ในข้อความดังนี้... "ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ..." (26 เมษายน 2542) ข้อสังเกต : พิจารณาพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชดีๆ ก็จะเห็นเจตนาเดียวกันกับศาล นั่นคือ ความเมตตา เปิดโอกาสให้แก้ตัว/แก้ไขเสียให้ถูกต้อง แต่ "จำเลย" ไม่ทำ จากคุณ : Sea Ghost Man - [ 28 ส.ค. 49 01:20:00 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สรุป.... ศาลรับฟ้อง  นั่นคือ มีหลักฐานชัดเจนว่า "จำเลย" ได้กระทำความผิดจริงแล้วในเบื้องต้น จึงให้ไต่สวน ด้วยเมตตาให้ "จำเลย" ได้มีโอกาสแก้ข้อกล่าวหา แต่เมื่อคดีใกล้ถึงที่สุด  อัยการกลับขอถอนฟ้องเสียก่อน ด้วยเหตุผลและหลักฐานว่า "จำเลย" ได้คืนทรัพย์สินที่ยักยอกไปให้แก่สงฆ์แล้ว ศาลท่านพิจารณาหลักฐาน/คำขอถอนฟ้องแล้ว  ด้วยเมตตา จึงอนุญาตให้ถอนฟ้องได้ คดีความทางกฏหมายสิ้นสุดไปแล้วก็จริง แต่กลับเป็นข้อยืนยันชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่ง ว่าเจ้าสำนักดังกล่าว ปาราชิกไปแล้ว เพราะทั้งประมุขสงฆ์และศาล ต่างได้พิจารณาและยืนยันแล้วจากหลักฐาน ว่ามีการยักยอกจริง แต่ "จำเลย" ดื้อแพ่ง ไม่ยอมคืนทรัพย์สินแต่ตอนต้นตามคำสั่งพระประมุขสงฆ์ กลับมาโอนคืนให้ใน ๗ ปีให้หลัง เพื่อขอปิดคดีในศาล ซึ่งศาลท่านก็เมตตา ไม่เอาผิดตามกฏหมาย แต่ตามหลักความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ คือ มีการยักยอกจริง และมีการโอนทรัพย์สินคืนให้สงฆ์จริง  ศาลจึงอนุญาตให้ปิดคดี ผมจึงกล้าฟันธงยืนยัน ว่าเจ้าสำนักนี้ "ปาราชิก" ไปนานแล้วด้วยประการฉะนี้. จากคุณ : Sea Ghost Man - [ 28 ส.ค. 49 01:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณครับสำหรับคำเตือนหลังไมค์ ดังที่ผม capture หน้าจอมาให้ดูข้างล่างนี้ เพิ่งกลับมาจากตจว. เลยเพิ่งได้รับข้อความ ขอบอกไว้ตรงนี้ว่าผมเป็นลูกผู้ชายเปิดเผยชัดเจน ไม่มีอะไรต้องปิดบังอ้ำอึ้ง พูดคำไหนก็คำนั้น  ไม่มีกลิ้งกลอกไปมา  และไม่ชอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ หากเห็นสมควรพูด ผมก็ต้องพูด หน้าไหนก็อย่ามาห้าม หากเห็นว่าไม่สมควรพูด ผมก็วางเฉย เอาปืนมาจ่อกบาลผมก็ไม่พูด คำพูดทุกคำที่พูดออกไป ล้วนกลั่นกรองดีแล้ว และยินดีรับผิดชอบทั้งสิ้น  จึงขอตอบทางนี้แทน.... ว่าผมอ่านแล้ว ขำ มากครับ  อิอิอิ จากคุณ : Sea Ghost Man - [ 28 ส.ค. 49 01:34:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมเจอมากับตัวเอง โดนยึดของกลางอย่างไม่ทันตั้งตัว พอคุยกับเจ้าทุกข์อยู่นานแสนนาน (ทีแรกนึกว่าเป็นตำรวจ เพราะเขาทำท่าอย่างกับมีอำนาจมาก) เราบอกว่าเราอธิบายได้ทั้งหมด หลักฐานบ่งบอกได้ว่าเราไม่ได้ผิด คุยไปคุยมา ของกลางหายไปไหนไม่รู้ ตอนหลังต้องยอมจ่ายเงินให้เจ้าทุกข์เขาจึงยอมถอนฟ้อง เพราะดูสถานการณ์แล้วเราเสียเปรียบตั้งแต่ต้น พอเอาของกลางกลับมาดู โดนยัดหลักฐานว่าเราผิดเสียแล้ว เขาทำเพิ่มจากคำพูดของเรา ทีแรกเขาก็ยัดหลักฐานมัดตัวเข้ามา กะเล่นง่าย ๆ แต่เราอธิบายได้ เขาเลยเอาไปแก้ให้ดิ้นไม่หลุด ให้ประกันตัวไปสู้ก็ไม่รู้จะสู้ยังไง เส้นสายก็ไม่มี เงินก็ไม่มี หลักฐานก็อยู่ที่เขา ไม่มีการพิสูจน์ เพราะข้อกฏหมายมันมีช่องโหว่เยอะ และพฤติกรรมของนายตำรวจและเจ้าทุกข์ในตอนนั้น หาความยุติธรรมไม่เจอเลย มีแต่พูดบ่ายเบี่ยงเพื่อไม่ให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากเท่านั้น เพราะเขาต้องการมาตบทรัพย์โดยเฉพาะ จากเรื่องนี้ทำให้ผมรู้อย่างหนึ่งว่า กฏหมายถ้าตกอยู่ในมือคนไม่ดี มันก็ไม่มีทางดี ไม่มีความยุติธรรมเกิดขึ้นหรอกครับ มีแต่จะใช้กลั่นแกล้งผู้บริสุทธิ์ หรือบางทีใช้ข่มเหงผู้อื่นโดยถูกต้องตามกฏหมายด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ไม่ใช่ทนาย ไม่ได้รู้กฏหมายมากมาย แม้จะรู้กฏหมาย แต่เขามักจะขนคนมาเป็นสิบ มาข่มขู่เรา มีนายตำรวจยศสูงออกหมายอนุมัติมาอีกแน่ะ ตำรวจที่มาด้วยก็ยืนเฉย ๆ ส่วนคนที่มาตรวจค้นเป็นใครก็ไม่รู้ มีคนเจอแบบผมหลายราย เขาได้ไปไม่รู้เท่าไร มีแค่รายสองรายที่ฮึดสู้และปกป้องตัวเองอย่างถึงที่สุด และก็ชนะคดี หรือไม่เขาก็ต้องถอยกลับไป ถามว่ากฏหมายช่วยอะไรได้ไหมในกรณีนี้ อีกทั้งยังมีกระแสจากสังคมอย่างต่อเนื่อง ที่จะคอยบอกประชาชนว่าให้รักษากฏหมาย ไม่มีใครนำเสนอข้อมูลที่แท้จริง และมีกฏหมายเป็นจำนวนมากที่เอาใจกลุ่มผลประโยชน์ ไม่ได้มีความยุติธรรมกับประชาชนทั่วไปเลย ถ้าหากประชาชนผู้เสียประโยชน์ไม่รวมตัวกันออกหน้าร้องขอความเป็นธรรมแล้ว เราก็ถูกกลั่นแกล้งไปเรื่อย ๆ เขาพูดเหมือนกับว่าทุกคนในสังคมต้องเห็นแก่ตัวเหมือนกันหมด เวลาปราบผู้ทำผิดกฏหมายทีไร ผู้บริสุทธิ์ที่ตั้งใจรักษากฏหมาย ยอมเสียเงินมากมายเพื่อให้มันถูกต้อง ก็เดือดร้อนทุกที อย่างนี้แล้วใครจะไปอยากรักษากฏหมาย เพราะว่ารักษากฏหมายแล้วโดนจับ เสียทั้งเพื่อความถูกต้องและเสียให้กับผู้ไม่หวังดี ในขณะที่ถ้ายอมจ่ายให้เขาสักหน่อยซึ่งน้อยกว่าจ่ายเพื่อทำให้ถูกต้อง แม้ทำผิดก็ไม่โดนจับ ที่น่าตกใจ บรรดาผู้ที่อาศัยกฏหมายหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง มันมีอยู่เยอะมากในวงการทั้งหลาย มีทั้งอิทธิพล อำนาจ ชื่อเสียง เงินทุน ไม่แปลกใจเลยที่ประเทศไทยพัฒนาช้า พอจะพัฒนาได้สักที ก็มีกลุ่มคนเหล่านี้ก่อเรื่องขึ้นมาอีก คนที่ตั้งใจทำดีจริง ๆ เลยหมดกำลังใจ เพราะว่าคนดีเขาไม่ค่อยรวมตัวกันทำ แต่คนชั่วเกาะกุมกันหาผลประโยชน์มาตลอดอย่างไม่ขาดสาย หรือว่าจะต้องปล่อยให้บ้านเมืองนี้เป็นที่อยู่ของคนชั่ว ส่วนคนดีต้องหนีไปอยู่ป่า ดังคำทำนายในสมัยพุทธกาล จากคุณ : พักผ่อน - [ 28 ส.ค. 49 02:24:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุณพักผ่อน คคห.6 นั่นสิครับ  ผมเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ว่ามีคนใช้อำนาจ อิทธิพลและกำลังทรัพย์ (ที่ยักยอกไปจากสถาบันสงฆ์) รวมถึงกำลังศรัทธา มาเปลี่ยนแปลงบิดเบือนกลบเกลื่อนความจริงของคดีนี้หรือเปล่า? แต่อย่าเพิ่งเปลี่ยนประเด็นเลยดีกว่ากระมังครับ กระทู้นี้อยากให้พูดถึงข้อเท็จจริงคดีธรรมกายนี้เท่านั้น ประเด็นอื่นค่อยว่ากันกระทู้อื่น  ดีไหม? จากคุณ : Sea Ghost Man - [ 28 ส.ค. 49 03:26:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แม้นพระพุทธองค์เมื่อถูกหญิงแพศยามากล่าวหาว่ามีครรภ์กับนาง ท่านยังเงียบ คุณพักผ่อนก็เงียบเถอะค่ะ เพราะเมื่อความจริงปรากฎ เมื่อนั้นลมย่อมพัดทรายที่ถูกปาทวนลม รออีกหน่อยก็จะนู้กันว่าใครโกหก จากคุณ : Omena - [ 28 ส.ค. 49 05:40:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จขกท.มองในเรื่องเจตนาหรือไม่? เราเอาแต่รูปแบบใน ทางโลกไปจับ ไม่มีใครไปยักยอกทรัพย์เพื่อประโยชน์ ส่วนตนครับ หลายสิ่งในโลกของที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วย หู ไม่เป็นอย่างที่เราคิด กิเลสเรายังยังหนา ปัญญาระดับ เรายังพิจารณาอะไรไม่ตรงกับความจริงครับ เราคิดว่าเรา เก่ง ในทางธรรม เราจัดว่าเป็นคนน่าเป็นห่วง ถือว่าตกอยู่ ในความประมาท ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ได้กล่าว ไว้ในเรื่องความประมาท    จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในสมัยพุทธกาลก็มีตัวอย่างที่พระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวหาพระ อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เพราะสิ่งที่ตนเห็น   พระ พุทธองค์จะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ คิด สุดท้ายพอพ้นเขตประตูวัดเชตวัน  ก็ได้รับกรรมและ ตาย ณ ที่นั้นดิ่งสู่มหานรกทันที   เพราะวจีที่ทำกับพระ อรหันต์ กรรมที่กล่าวหาพระนี่รุนแรง  ยิ่งเป็นพระที่ปฏิบัติดี ทำคุณ ประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนามากมาย(แม้เราไม่เห็นค่า) กรรมนี้เราจะรับไหวเหรอ      ชีวิตเราแสนสั้น เราหาสิ่งที่ ดีให้กับตนเองไม่ดีกว่าหรือ? ก็ได้แค่เตือน ได้เห็นข้อเขียน แล้วคงเอาไม่อยู่ แต่ก็ต้องเตือน ผลเป็นอย่างไรก็ต้อง ปล่อย หรือได้เห็นคำเตือนจิตยิ่งขุ่น หนักขึ้นไปอีก ก็ต้อง ปล่อย ทำได้แค่นี้  ด้วยความปรารถนาดีจริงๆครับ แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 49 06:24:01 จากคุณ : วรกร - [ 28 ส.ค. 49 06:21:41 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เจตนาก็ชัดเจนออก ถ้าทำไปโดยบริสุทธิ์ใจ สมเด็จพระสังฆราชออกมาเตือน ก็โอนคืนไปแล้วชี้แจงให้ทรงทราบว่าทำไปโดยเจตนาอื่น ไม่ได้หวงไว้ ฯลฯ แต่นี่ยอมเป็นคดีทางโลกถึง 7 ปีโดยไม่ยอมโอนคืน มันทำให้มองเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากโลภ หวงสมบัตินี้ไว้ จากคุณ : หลังเขา - [ 28 ส.ค. 49 06:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอสนับสนุน  ท่านเจ้าของกระทู้ครับ จากคุณ : misery - [ 28 ส.ค. 49 10:50:29 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนท่านใด  ที่.. มักยกเรื่อง นรก  และบาปกรรม มาข่มขู่ แสดงว่า  ไม่ได้ใช้ปัญญาเลย พระธรรมวินัย พระพุทธองค์แสดงไว้ชัดเจนแล้ว มีแต่พวก สัทธรรมปฎิรูปเท่านั้น  ที่... ทำเป็นไม่รู้  ไม่ทราบ ไม่เห็น จากคุณ : misery - [ 28 ส.ค. 49 10:57:14 ]

ความคิดเห็นที่ 13 .. ขอแทรกหน่อยนะครับ อยากให้ชาววัดธรรมกายช่วยตอบให้สักหน่อย พอดีมีโอกาสดูทีวี ที่มีช่อง DMC ได้เห็นพระท่านหนึ่ง สวมแว่นอันโตๆ ท่านพูดบรรยายธรรม แต่ก็สงสัยว่า เหตุใดท่านจึงสวมเสื้อยืดสีส้ม แล้วห่มจีวรทับอีกชั้นหนึ่ง ความจริงแล้วเรื่องจีวรเครื่องนุ่งห่มนั้น เป็นแต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรนักที่จะนำมาสงสัย อาจเป็นเพราะท่านไม่สบาย หรือแพ้อากาศ หรืออะไรสักอย่างก็เป็นได้ แต่ก็ให้อดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดท่านต้องขวนขวายหาเครื่องนุ่งห่มอื่นใดมาเพิ่มอีก เพราะเพียงสบงจีวรนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้พระภิกษุ ดำรงชีพได้อย่างไม่เดือดร้อนนัก พระป่าหลายท่าน ถือข้อวัตร นุ่งห่มจีวรผืนเดียว ท่านก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่า ที่มีอากาศหนาวเย็นได้ แต่ก็นั่นแหละ บางครั้งเราก็เห็นพระท่านมีผ้าห่ม หมวกไหมพรม สีเดียวกัน สำหรับใช้ตอนหน้าหนาวเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมแต่อย่างใด เพราะมีเหตุ มีผล ไม่ทำให้คิดเป็นแบบอื่นได้ แต่ในกรณีนี้ อดคิดไม่ได้จริงๆ ช่วยตอบให้ทราบด้วยนะครับ .. จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ - [ 28 ส.ค. 49 11:03:26 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถึง คุณพักผ่อน ผมว่าคุณเงียบไปดีกว่าครับ มีข้อสงสัยติดต่อหลังไมค์ได้ครับ พูดไปก็เท่านั้นครับ กับพวกอนิยตะ แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 49 22:50:58 จากคุณ : A Bigman - [ 28 ส.ค. 49 11:10:36 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอตอบคุณไม่เป็นดั่งใจครับ หลวงพ่อท่าน แพ้อากาศ พอเจอลมแล้วจะสะท้านน่ะครับ สมัยหนุ่มๆ (มีรูปท่านอยู่) ท่านยังทนได้ แต่พอตอนนี้อายุ 62 ปีแล้ว สังขารเริ่มไม่ไหวน่ะครับ เหตุที่ตอบเพราะคุณไม่เป็นดั่งใจได้ถามมาน่ะครับ ส่วนคุณเจ้าของกระทู้ ไม่ได้ถามอะไร แค่วิเคราะห์ข้อมูลให้ทราบ ผมก็รับฟังไว้ก็แล้วครับ ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่เมื่อคุณวิเคราะห์สถานการณ์ ผมก็จะลองวิเคราะห์ดูกับคุณบ้างนะครับ เพราะเรายังมีสุดยอดแห่งผู้พิพากษา ยุติธรรมที่สุดสำหรับทุกคดี ผู้ทำผิดย่อมต้องรับผิดอย่างแน่นอน นั่นคือ กฏแห่งกรรม ดังพุทธวาจาว่า ใครทำกรรมใดย่อมได้รับผลกรรมนั้น ทีนี้มาวิเคราะห์สถานการณ์กันนะครับ 1. สมมุติว่า พระท่านยักยอกจริง หลวงพ่อท่านเคยสอนผมครับ ว่าวิบากกรรมที่พระยักยอกทรัพย์จะทำให้ต้องลงมหานรกขุมขโมย และหลอกลวง ทนทุกข์ทรมาณมาก พ้นนรกมาแล้ว ยังต้องมาเป็นควายไถนาใช้คืนทรัพย์สินที่ยักยอกไปจนกว่าจะหมดกรรม ถ้าเป็นกรณีนี้จริง ไม่มีปัญหาใดกับคุณ ผมก็จะผ่านไป ส่วนตัวผมก็ไม่มีปัญหา เพราะแม้ผมถูกหลอก โดยที่ผมยังทำบุญกับพระท่าน ผมก็ยังได้บุญตามสมควร แต่ไม่ลงอบายแน่นอน (ทำทานกับผู้ทุศีล อานิสงส์พันชาติ ถ้ามีศีล แสนชาติ ถ้าทรงศีล นับชาติไม่ถ้วน) 2. ทีนี้มากรณีที่ 2 สมมติว่า พระท่านไม่ได้ยักยอก เป็นทรัพย์ที่เจ้าของทรัพย์จงใจถวายท่านอยู่แล้ว และท่านเอาไปทำประโยชน์ต่อให้กับวัด แต่คุณไปกล่าวตู่ท่าน วิบากกรรมนี้จะคล้ายกับพระโพธิสัตว์ไปกล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีตว่าทุศีล ดังนั้น จะต้องหมกไหม้ในนรกนานแสนนานทีเดียว พ้นนรกมาแล้ว ถ้าได้เป็นคนจะต้องถูกใส่ร้ายอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วนทีเดียวเช่นกัน เหมือนที่พระพุทธเจ้าต้องถูกใส่ร้ายจนชาติสุดท้าย ส่วนผมยิ่งไม่มีปัญหา ถ้าพระท่านบริสุทธิ์ ผมก็ได้ผลยุญที่ทำกับผู้บริสุทธิ์ไปเต็มๆ ดังนั้นนะครับ ด้วยคุณความดีที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ ให้ผม 1. มีส่วนมาช่วยตอบกระทู้ให้หลายๆ กระทู้พบทางแก้ปัญหาชีวิต (ผมไม่ได้บอกว่า ผมคนเดียวนะครับ คนอื่นก็มีหลายคน แต่นั่นเป็นบุญเขา นี่ผมพูดเฉพาะบุญผม) 2. สร้างบุญถวายสังฆทานแด่พระ 4 จังหวัดภาคใต้ ต่อเนื่องแทบทุกเดือน 12 ครั้งแล้ว (ขาดไป 2 ครั้ง) 3. สร้างบุญถวายสังฆทานแด่พระ หมื่นวัด สามพันวัด หลายต่อหลายครั้ง 4. ด้วยบุญที่ได้ร่วมบริจาคปัจจัยให้วัด นำไปร่วมถวายให้กับพระเปรียญธรรม 9 ประโยค ในพิธีมุธิตาท่าน เพื่อเป็นกำลังใจให้ท่านอยู่ในผ้าเหลืองต่อไป ไม่คิดสึกเป็นผู้ครองเรือน จะได้อยู่พัฒนาพระศาสนา 5. ด้วยบุญที่ผมบำรุงเลี้ยงบุพการี แบ่งเงินเดือนให้บิดามาตลอด 14 ปี (ขาดแค่ 3 เดือนเท่านั้น) 6. ด้วยบุญที่ผมรักษาศีล 5 และเจริญภาวนา ศึกษาธรรมะทุกวัน มาหลายปีแล้ว (ก่อนนี้รักษาศีลทุกวัน แต่ภาวนาไม่ทุกวัน) ด้วยอำนาจสัจจวาจานี้ รวมกับอำนาจแห่งบุญที่ได้ทำในครั้งนี้ มีอานิสงส์มากน้อยเพียงใด ขอคุณเจ้าของกระทู้ จงมีส่วนในบุญนี้ด้วยนะครับ หากเป็นดังกรณีที่สองจริง (สมมุติมองในมุมมองคนที่ยังไม่รู้ข้อมูล แต่รู้หลักศาสนาดี) คุณจะต้องลงอบายอย่างแน่นอน เพราะตู่ผู้บริสุทธิ์เป็นกรรมหนัก ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ขอให้คุณนึกอนุโมทนาบุญในบุญที่ผมทำนี้ นอกเหนือจากบุญของคุณเองนะครับ จะมีส่วนช่วยตัดรอนวิบากกรรมให้คุณได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 49 15:14:23 จากคุณ : หัดฝัน - [ 28 ส.ค. 49 13:10:41 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนท่านใด  ที่.. มักยกเรื่อง นรก  และบาปกรรม มาข่มขู่ แสดงว่า  ไม่ได้ใช้ปัญญาเลย จากคุณ : misery ............................................................ คุณ misery เอ๊ย คุณ misery จากคุณ : บุญโต - [ 28 ส.ค. 49 13:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอเชิญท่านทั้งหลายมาเอาบุญอัญเชิญรูปเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำที่วัดพระธรรมกายในวันพฤหัสบดีที 7 กันยายนน่ะครับ ทำใจให้บริสุทธิ์แล้วมากอบโกยบุญกลับบ้านกันน่ะครับ จากคุณ : บุญอนันต์ - [ 28 ส.ค. 49 14:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถ้ามั่นใจในกฏแห่งกรรม ก็อย่ากลัวว่ากฏจะไม่สนองเลยนะครับ คุณ งงทุกสถานการณ์ แต่ถึงแม้คุณจะเปลี่ยนชื่อเป็นปลงทุกข์ให้อันตรธาน ถ้าคุณต้องไปอบายจริงๆ เพราะไปกล่าวตู่ผู้ทรงศีลล่ะก็ อย่าลืม อนุโมทนาบุญในบุญที่ผมทำด้วยนะครับ มันคงพอช่วยคุณได้บ้างไม่มากก็น้อย ยังไงผมก็ปรารถนาดีกับคุณเช่นกัน จากคุณ : หัดฝัน - [ 28 ส.ค. 49 14:58:36 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมเพิ่งจะเข้ามาวัดพระธรรมกาย   ผมมองดูว่าวัดมีความมุ่งมั่นให้คนมาวัดปฎิบัติธรรม   เอาใจใส่ทุกคนที่มีความอยากรู้เรื่องธรรมะแกรปฎิบัติตนให้เป้นคนดีมีศิล   ให้ใจติดอยู่กับบุญ   และที่สำคัญคืออยากให้ทุกคนพ้นจากอบาย    มีการสอนสมาธิแนวพระเดชพระคุณหลวงปู่สด   ให้ได้ธรรมกาย   การที่สร้างวัดให้ใหญ่ก็เพราะคนที่ไปวัดเยอะมาก   อีกหน่อยจะเยอะขึ้นไปอีก  เพราะเท่าที่เห็นมาก็เยอะมากเลยครับ    การที่มีข่าวมาผมก็อ่านมานะครับ    แต่ก็ไม่รู้สึกอะไร   เพราะผมดู DMC ก็มักจะเห็นหลวงพ่อถวายเงินในการทำบุญครั้งละหลายล้านบาท    แล้วบุญที่วัดก็เยอะมากครับ   ผมเองก้ไม่สนใจหรอกครับ   สนแต่ชาตินี้จะต้องหลุดพ้นจากความทุกข์    คุณเจ้าของกระทู้ก็ปล่อยวางบ้างเถอะครับ    ไม่เบื่อบ้างหรอครับที่ต้องเกิดมาไม่รู้จักจบ   มันทรมานมากเลยนะครับ    อย่าได้ไม่ชอบใครอีกเลย   อย่าได้สร้างกองทุกข์ให้แก่ใครอย่าว่าร้ายใครเป็นบุญครับ   ทำใจใสๆคุณจะได้พ้นทุกข์ จากคุณ : มองตน (มองตน) - [ 28 ส.ค. 49 16:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอร่วมแสดงความคิดเห็นนะครับ อ่านแล้วอย่าโกรธกัน กระทู้นี้เปิดขึ้นมาโดยยกเอากระบวนการของศาลขึ้นนำ แล้วยกกรณีเจ้าอาวาสวัดธรรมกายมาจับประเด็น ผมเรียนกฎหมายมาบ้าง(นบ.)และบวชมา1พรรษา4เดือนและผมไม่ใช่สาวกของธรรมกายครับ ผมสรุปว่าความยุติธรรมในสังคมมี2อย่าง อย่างแรกเป็นความยุติธรรมในทางศาล อย่างที่2เป็นความยุติธรรมในความเป็นจริงของสังคม อย่างกรณีแหม่ม แมรี่ แอนน์ ดันแคน เป็นความยุติธรรมในทางศาล แต่ไม่ใช่ความยุติธรรมในความเป็นจริงๆเพราะปรากฎในภายหลังว่าจำเลยที่ถูกตัดสินจำคุกไปนั้น ไม่ใช่ผู้ทำผิดที่แท้จริง (ที่ต้องติดคุกเพราะศาลเชื่อในพยานหลักฐานของโจทก์มากกว่า) เพราะระบบศาลของเราพูดง่ายๆก็คือ คนสองคนทะเลาะกล่าวหากัน ก็ให้ทั้งสองคนเอาหลักฐานมาแสดง โดยคนกลางซึ่งก็คือศาลจะฟังแล้วชั่งน้ำหนักดู ใครน่าเชื่อถือกว่าก็ตัดสินให้คนนั้นชนะเท่านั้นเอง กรณีของธรรมกาย เจตนาที่แท้จริงของเจ้าอาวาสเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ เพียงแต่หลักฐานในทางโลกมันชี้ว่าทำอย่างนั้น มันคือการยักยอก แต่ในทางธรรม ผมไม่รู้ แต่ผมมีประสบการณ์ซึ่งอาจอธิบายเทียบเคียงได้สำหรับกรณีทางโลกและทางธรรมคือ สองสามปีก่อนผมมีโอกาสได้พาลูกชายซึ่งตอนนั้นเรียนมหาวิทยาลัยวิศวะคอมปี 2 ไปฝึกปฏิบัติธรรมและนั่งสมาธิช่วงสั้นๆ7วัน ที่ศูนย์ฯของธรรมกาย อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ เพราะห่วงลูกชายที่จะต้องเจอความกดดันจากการเรียนหนักกับเพื่อนร่วมห้องที่เป็นระดับท็อปของประเทศ แต่หาที่ปฏิบัติที่ดีๆไม่ได้ จนมีคนแนะนำให้ไปที่นี่ ครบ7วัน ลูกชายได้รับผลเกินคาดจนทำให้เขาปวารณาตนที่จะบวชหลังเรียนจบเป็นเวลา1เดือนก่อนเรียนต่อโท สรุปก็คือเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมที่ดีเยี่ยม ตั้งอยู่บนเขาที่ห่างไกล สถานที่สะอาด สงบ เงียบ อากาศเย็นสบาย(เดือนเมษายนที่ข้างล่างร้อนแทบตาย แต่ที่นั่นตอนเช้ายังต้องใส่เสื้อกันหนาวอยู่เลย) ห้องปฏิบัติธรรมห้องใหญ่สุดจุคนได้500คน ศูนย์แห่งนี้คงลงทุนหลายสิบล้าน ด้วยความอยากรู้จึงถามผู้เกี่ยวข้อง จึงได้รู้ว่าที่ดินผืนนี้เดิมเป็นปางไม้ ต่อมาเจ้าของได้มอบให้ธรรมกายใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมแต่กรรมสิทธิ์ยังเป็นของเจ้าของอยู่ เจ้าอาวาสวัดธรรมกายก็ใช้เงินที่ได้รับบริจาคมา ค่อยๆสร้างศูนย์นี้ขึ้นมาจนเสร็จสมบูรณ์ ผมถามว่าลงทุนทำเสียเงินไปมากมายอย่างนี้ ถ้าภายหลังเจ้าของเขาฮุบเอาไปจะทำอย่างไร เขาก็บอกว่าก็เคยเรียนถามเจ้าอาวาสอย่างนี้เหมือนกัน หลวงพ่อตอบว่า ก็โยมเขาบอกว่ามอบให้วัดแล้วนี่ ถ้าเขาจะฮุบเอาไปภายหลัง อาตมาก็คงไม่รู้จะทำอย่างไร ก็คงจะเป็นบาปเวรของเขาเอง เพราะทุกอย่างที่ทำไปหลวงพ่อก็ใช้เงินที่ญาติโยมบริจาคมาเพื่อประโยชน์ในทางธรรมแล้วทั้งสิ้น(ผมคิดว่าในสมัยพุทธกาลที่ยังไม่มีกรมที่ดิน ไม่มีโฉนดก็อาจจะทำอย่างนี้) กรณีนี้ หากมีการนำกรณีขึ้นฟ้องร้องกล่าวหาในทางโลก ต้องเป็นกรณียักยอกหรือฉ้อโกง(ร่วมกันกับเจ้าของที่)อย่างแน่นอน คงหาหลักฐานในทางโลกมาหักล้างได้ยาก ส่วนหลักฐานในทางธรรมนั้นนำมาพิสูจน์หักล้างในทางโลกก็ไม่ได้ เพราะในทางธรรมนั้นทุกสิ่งย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง " ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ" เรื่องพระติดคุกติตารางนี่ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตคูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย ก็เคยถูกกล่าวหาและถูกตัดสินจำคุกมาแล้ว จากคุณ : เฒ่าไอที - [ 28 ส.ค. 49 16:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คนที่ต่อต้านหรือไม่เชื่อถือ ก็ปล่อยไปเถิดครับ... คนที่สนับสนุนก็อย่าคิดว่าที่ตนทำนั้นถูกเสมอ ... ผมว่าหลักนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องนะ มองโลกด้วยใจเป็นกลางของคนนอกศาสนาครับ สำหรับผม ผมว่าภิกษุจับเงินผมว่าก็อาบัติแล้ว ไม่ต้องถึงเก้าร้อยล้านอะไรนั่นหรอก --------------------------------------------------------------- จากคุณ : Epinephrine - [ 28 ส.ค. 49 16:36:30 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ข้อนี้เป็นเพราะมีการยึดติดถือมั่นในตัวบุคคลมากกว่าหลักธรรมจึงทำให้มองกันอย่างไม่เป็นกลาง คนที่ปฏิบัติธรรมควรยึดในหลักธรรม ในความเป็นธรรม ในเหตุและผล มากกว่ายึดตัวบุคคล มีศีลอยู่หลายข้อที่จะเข้าข่าย คือ โลกติเตียน ทำให้สงฆ์แตกแยก แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 49 16:38:40 จากคุณ : ศิรัสพล - [ 28 ส.ค. 49 16:36:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เอาล่ะสิ... ฝ่ายนึงก็กลัวอีกฝ่ายจะเจอกรรมหนักที่ไปกล่าวตู่เจ้าอาวาส อีกฝ่ายนึงก็กลัวเจ้าอาวาสจะเจอกรรมหนักที่"ยอมคืน" ผู้ปฏิบัติระดับสูงยัง"ทำใจ" หรือ "ตัดใจ" ลำบากยามมีปัญหาคดีพัวพันเกี่ยวกับตน กว่าเจ้าอาวาสจะยอม"เข้าใจ" ในพระลิขิตของพระสังฆราชฯ  ก็ต้องใช้เวลากว่า 7 ปี .... ถ้าไม่มีวัดนี้  เจ้าอาวาสนี้อยู่ได้ไหม ถ้าไม่มีเจ้าอาวาสนี้  วัดนี้อยู่ได้ไหม ถ้าไม่ยึดติดอะไร ไม่ยึดมั่นถือมั่น   ทำไมเจ้าอาวาสไม่"เว้นวรรค"ซะล่ะ ใครจะเป็นก็เชิญ  ท่านจะยึดติดไปทำไม เป็นพระลูกวัด  เป็นพระเจ้าวัด  ก็พระสงฆ์เหมือนกัน ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ...... ที่วัดมีระบบทะเบียนบันทึกการรับบริจาคไว้บ้างหรือเปล่า ถ้ามีความสามารถในการแพร่ธรรมซะใหญ่โต เรื่องทะเบียนบันทึกการรับบริจาคอย่างละเอียดคงไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ามีระบบดีจริง  ก็น่าจะโปร่งใส  ไม่ว่าจะถือครองในนามวัด หรือนามเจ้าอาวาส   แต่ถ้ามีบันทึกไว้ตั้งแต่เริ่มรับแล้ว  ก็เอาบัญชีมาเปิดให้ดู  ก็จบเรื่อง ที่วัดมีบัญชีมาให้ดูอ่ะป่าว ....... เอาไปลงหนังสือพิมพ์ก็สิ้นเรื่อง  จะได้สบายใจทุกฝ่าย ( ถ้ามีระบบดีจริง .... แล้วจะเป็นคดีแบบนี้รึ ?? ) จะให้ หรือ จะรับ  ควรต้องโปร่งใส แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 49 17:03:23 จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 28 ส.ค. 49 17:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ผมแบ่งบุญให้คุณ ฟ้าคำนวณด้วยนะครับ เพราะเรื่องนรกนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นครับ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจนในพระไตรปิฎกว่า ถ้าหากมีนักโทษคนหนึ่ง ถูกลงโทษโดยการให้หอกทิ่มแทง 7 วัน 7 คืน แล้วไม่ตาย (เผอิญทรหดมาก) แต่ถึงแม้ไม่ตาย ความทุกข์ของเขามีมากมายเพียงใด ก็ยังไม่เท่าเศษเสี้ยว แห่งความทุกข์ในนรกได้เลย ดังนั้น ถ้าพระท่านผิดศีลจริง ผมหรือใครก็ไม่มีปัญญาปกป้องท่านได้หรอกครับ แต่ถ้าใครไปกล่าวตู่ผู้มีศีลจริง แม้บุญของผมป้องปกเขาไม่ได้ แต่ผ่อนหนักเป็นเบาได้ครับ วันนี้ไม่สนใจก็ไม่เป็นไร จำๆไว้หน่อยก็ดีครับ เพราะเมื่อวันที่สำคัญมาถึง วันนั้นยังสามารถนึกถึงบุญให้ช่วยแบ่งเบาได้บ้างน่ะครับ (ชีวิตหลังความตายไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งให้กับเราได้เลย นอกจากความดี กับความชั่ว(รวมถึงแม้บริสุทธิ์ใจ แต่เข้าใจผิดไปกล่าวตู่คนดีที่ทรงศีลด้วย) เท่านั้น) จากคุณ : หัดฝัน - [ 28 ส.ค. 49 17:27:45 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องที่ผมเล่ามา มันอาจจะไม่เกี่ยวโดยตรง แต่มันไม่ใช่ไม่เกี่ยวเลยครับ เพราะทุกเรื่องมันเกี่ยวเนื่องกันหมด เราจะมองข้ามไปได้อย่างไร เห็นตัดสินอะไรกันอยู่แต่ด้านเดียว มันจะเรียกว่ารอบคอบได้อย่างไรครับ และผมทราบว่าการพูดตรง ๆ ในเรื่องนี้ไม่มีใครฟังใครหรอกครับ ฝ่ายที่เชื่อว่าผิดก็จะยังคงเห็นว่าผิด ฝ่ายที่เชื่อว่าถูกก็จะยังคงเห็นว่าถูก ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตน เพราะเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองคิด ในที่นี้จึงไม่ได้มีใครเก่งไปกว่าใคร หรือมีเหตุผลดีกว่าใคร เพราะความจริงมันก็คือความจริง ไม่มีใครบิดเบือนได้ ไม่ว่าจะถกเถียงกันไปแค่ไหน ผมจึงแค่นำเสนอเรื่องที่ทุกคนอาจมองข้ามไปในกรณีหนึ่งเท่านั้นเอง ผมขอเล่าเพิ่มว่า ตอนผมอยู่โรงพัก ผมปฏิเสธข้อกล่าวหา เขาก็บอกว่าให้รับสารภาพเรื่องจะได้จบ ๆ ลองนึกดูสิครับ ผมรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ผิด แล้วจะรับสารภาพเรื่องอะไร ให้เรื่องมันจบแบบว่าตัวเราผิดแล้วยอมจ่ายค่าเสียหายได้อย่างไร เสียเงินไม่กลัวครับ ยังไงก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมยอมให้เขาทำกับผมต่าง ๆ นานา เขาพาผมไปอยู่ในห้องขัง ทั้ง ๆ ที่เป็นห้องขังหญิงนะครับ นึกดูเอาแล้วกัน ให้ผมเดินไปเดินมาอยู่ตรงนั้นล่ะ เพราะเขาทำไม่ถูกต้อง พอมีผู้ใหญ่มาคุย เขาจึงต้องเอาผมไปไว้ในห้องขัง ทั้ง ๆ ที่เขาจะยอมความกันอยู่นั่นแหละ ผมบริสุทธิ์ใจผมจึงกล้าเผชิญหน้าเขา แต่เขามีอำนาจ ผมเสียใจตรงนี้ที่ไม่มีอะไรไปสู้เขา นอกจากความบริสุทธิ์ใจว่าตัวเองไม่ผิด ผมได้รู้ว่า ถ้าเราไม่ผิด จะบอกให้เรายอมรับและแก้ไขให้ถูกต้อง มันเป็นไปไม่ได้ครับ ถ้ามีผู้ใหญ่ที่ให้ความยุติธรรมได้มากกว่านี้ สอบสวนด้วยความเป็นธรรม ยังไงผมก็ไม่ยอมให้เขาทำแบบนี้ ไม่งั้นบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรถ้าหากความยุติธรรมตั้งอยู่ไม่ได้ ยอมจ่ายเงินให้เขาโดยบอกว่ารับสารภาพเพื่อให้เรื่องจบ ๆ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับ เขาจะให้เราผิด เขาอ้างได้ตลอด ถ้าเรายอมจ่าย เขาก็ว่าเราผิดจริง ไม่อย่างนั้นจะยอมจ่ายทำไม พอไม่ยอมจ่าย เขาก็ว่าหน้าด้าน ผิดแล้วไม่ยอมรับผิด สรุปว่าคนจะให้ผิด ทำอย่างไรมันก็ผิดครับ พอตอนหลังเราเห็นว่าเขายอมรับแล้วนะว่าเราไม่ผิด ไม่ได้มีเจตนาหรืออะไร แต่เขาแจ้งความไปแล้ว มีอย่างเดียวที่ให้เขาถอนแจ้งความคือ "ต้องทำให้เขาพอใจครับ" เขาไม่สนหรอกว่าสุดท้ายเราจะผิดหรือไม่ผิด คือไปตกลงจ่ายเงินต่อรองราคากันนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปเสียเวลาสู้กันในศาลอย่างเดียว สรุปผิดหรือไม่ผิดก็ต้องเล่นเกมส์ตามเขาอยู่ดี แต่เราได้พิสูจน์ตัวเองระดับหนึ่งแล้ว ถ้าสิ่งที่ผมเขียนมา ไม่มีใครนำไปเปรียบเทียบได้ว่ามันเป็นอย่างไร ก็สุดแท้แต่ครับ ผมเห็นว่าที่นี่เป็นบอร์ดสาธารณะ ไม่มีใครห้ามใครไม่ให้โพสต์อะไรได้ ขนาดคนที่ทำผิดกฏเขาก็สมัครเข้ามาใหม่ เราจึงต้องคุยกันด้วยมารยาทมากกว่าการบังคับขู่เข็ญ โดยเฉพาะเรื่องยกนรกสวรรค์มาอ้าง ผมก็เห็นว่าไม่สมควรครับ พระพุทธองค์จะตรัสคติที่เป็นไปเพื่ออบายของบุคคลใด ท่านก็ต้องเห็นเสียก่อนว่า ไม่มีเหตุอะไรที่ทำให้เขาพ้นจากภูมิอบายนั้นไปได้แล้ว ท่านจึงจะพยากรณ์ครับ ไม่ใช่นั้นท่านไม่นำมาพูดพร่ำเพรื่อหรอกครับ นอกจากว่าเป็นการสอนรวม ๆ ไม่ใช่นำมาขู่ผู้สนทนาครับ ข้อความของผมทุกตัวอักษร ผมเป็นผู้รับผลทั้งหมด ขอให้ทุกท่านดูแลรับผิดชอบข้อความของตนให้ดีเถอะครับ ส่วนตัวผมถ้าเป็นความจริง และสมควรที่จะนำมากล่าวในเวลาอันควร เพื่อปกป้องความจริง ผมก็ไม่กลัวผลที่จะได้รับครับ เราจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นปล่อยให้ความอยุติธรรมมันคงอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นโลกนี้มันก็กลายเป็นโลกสำหรับผู้รักความอยุติธรรม เรื่องนี้มีแต่ต้องสู้กันครับ เราไม่ได้สู้รบกับผู้คน แต่เราสู้รบกับความชั่วร้ายในใจของคน บางเรื่องก็แค่เข้าใจผิด เราก็ต้องพยายามชี้แจงก่อน ถ้าเห็นว่าชี้แจงไม่เป็นผลแล้วค่อยวางเฉยก็ไม่สาย ถ้าไม่พยายามเลยก็เท่ากับว่าปล่อยให้มันไปตามกระแส เรียกว่าไม่ได้ลงมือแก้ไขอะไรเลย และเรื่องราวเกี่ยวกับความจริงของชีวิต มันก็สำคัญที่สุดสำหรับตัวเอง เวลาเราตาย หรือต้องรับผลกรรมอันใด ตัวเราก็เป็นผู้รับผลเอง ผมไม่ได้นึกเดือดร้อนถ้าจะมีใครมากล่าวหาตนเองหรือผู้อื่น แต่เราอาศัยโลกนี้อยู่ เราก็ต้องช่วยกันรับผิดชอบโลกนี้ ไม่มีใครยิ่งใหญ่พอจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังมีพระอรหันตสาวกมากมาย เพื่อให้ศาสนาของพระองค์ขยายไปสู่ใจของสัตว์โลก ผมนำเสนอเรื่องราวไม่ได้มีเจตนาจะให้ร้ายแก่บุคคลใด แต่ต้องการให้มองเห็นความจริงว่า โลกนี้ยังต้องได้รับการแก้ไขอีกมาก ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาคอยล้างผลาญให้ร้ายกัน ด้วยอคติส่วนตัว ในเมื่อคนกลุ่มหนึ่งไม่ชอบ คนกลุ่มหนึ่งชอบ คนกลุ่มหนึ่งเฉย ๆ เราจะเอาแต่ยึดถือความเห็นของตนเองได้อย่างไร สิทธิเสรีภาพของบุคคลคนหนึ่ง ต้องไม่ได้มาด้วยการเบียดบังสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น เราต้องเคารพการตัดสินใจของผู้อื่นด้วย ไม่อย่างนั้นประเทศไทยลุกเป็นไฟไปนานแล้ว ถ้ามีแต่คนที่คอยล้างผลาญผู้ที่ไม่คิดเหมือนตนเอง แต่นี่เพราะคนไทยรู้จักความประนีประนอม รู้รักสามัคคี จึงอยู่กันได้อย่างร่มเย็น มีแต่บรรดาผู้ที่ชอบเข้าไปนินทาว่าร้าย ล้างผลาญกันนั่นเอง ที่ทำให้สังคมไม่ได้ร่มเย็นแต่เพียงอย่างเดียว เท่ากับบ่อนทำลายความสงบของประเทศชาติโดยตรง ไม่ต้องรอให้ใครเขามารุกราน ผมจะหยุดแสดงความเห็นไปนานแล้วล่ะครับ แต่เห็นว่ามีสิ่งที่ควรพยายามเพิ่มอีกหน่อย และถ้าข้อความนี้ไม่สามารถแม้แต่จะให้ใครสะกิดใจอะไรได้ ผมก็ไม่เสียดายครับ การสร้างคนดีให้แก่โลกนี้ มันต้องเหนื่อยกว่านี้มากนัก ผมเห็นบางท่านต้องมานั่งปากเปียกปากแฉะ พูดให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์ ทุกวัน ๆ ไม่มีเวลาพัก แล้วผมก็รู้สึกเหนื่อยแทน เพราะพูดไปก็ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่เข้าใจและไม่ยอมเข้าใจ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องจริงและเป็นประโยชน์แก่ทุกคนจริง ๆ แต่คนก็ยังขวนขวายเอาสิ่งล่อลวงในโลกที่ไม่เป็นสาระของชีวิตว่าเป็นเรื่องจริง ไม่รู้ว่าจะต้องพูดจนโลกหมุนกลับด้านกระมัง ผู้คนจึงใส่ใจที่จะนำใจกลับมาไว้ภายในตน และเข้าถึงความสงบสุขภายใน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบสุขภายนอก ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ขอความสงบสุขจงบังเกิดขึ้นแก่ทุกท่าน ขอความสงบสุขจงบังเกิดแก่สัตว์โลกทั้งหลายทั้งมวลในเร็วพลัน ผมขอจดจำแต่ภาพดี ๆ ในโลกนี้เอาไว้ เพื่อเวลาหลับตาลาโลก ต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างไป จะได้ไม่มีอะไรคับแค้นฝังแน่นอยู่ในจิตใจ เพราะสุดท้ายมันก็เหลือแต่ใจเรานี่เองที่คอยเฝ้าดูการจากไปของเราอย่างแท้จริง ผลบุญเป็นของทุกท่าน ผลงานเป็นของทุกคน ขอให้ทุกคนรักษาตัว รักษาใจ ให้ผ่องใสอยู่เสมอ เพื่อความสุขของตัวท่านเองทั้งในปัจจุบันด้วยเถิดครับ จากคุณ : พักผ่อน - [ 28 ส.ค. 49 18:29:58 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ถูกต้องครับ ผู้บริสุทธิ์น่ะให้อภัยเสมอ แต่กฏแห่งกรรมไม่ได้สนใจน่ะครับว่า ผู้บริสุทธิ์จะให้อภัยหรือไม่ แต่มันจะทำงานของมันอย่างเที่ยงตรงดุจตราชั่งทีเดียวล่ะครับ ผมก็บอกแล้วไงครับว่า ตอนนี้คุณไม่สนใจก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ร่างกายเรายังแข็งแรงอยู่ เรายังอาจรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดเป็นอุปสรรค แต่เมื่อวันนั้นมาถึง วันนี้ร่างกายเราไร้เรี่ยวแรงหมดสิ้น เหมือนถูกบุรุษ 10 คนตรึงไว้อยู่กับที่ (วันที่ชรามากแล้ว) วันนั้นแหละครับ เราจะรู้สึกเหมือนไร้ที่พึ่ง (ถ้าไม่ได้ความดีไว้สักเท่าไหร่) และหวาดหวั่นนิดๆ ถึงมากๆ กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น เตรียมการไว้บ้างก็ดีนะครับ ไม่ใช่เตรียมเพราะกลัว แต่เพราะไม่ประมาทน่ะครับ จากคุณ : หัดฝัน - [ 28 ส.ค. 49 18:57:08 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คนเราจะมีความละอายเกรงกลัวต่อบาป จะต้องรู้ผลของ กรรมว่าเป็นอย่างไร?  ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  พอผิดก็อุ้ยขอ โทษ ผมไม่ได้เจตนา เข้าใจผิดไปครับ หรือผมหวังดีเพื่อ ปกป้องพระพุทธศาสนา ฯลฯ อย่างนี้กฎแห่งกรรมไม่ได้ ยกเว้นให้นะครับ กาย วาจา ใจ เราทุจริต ก็เป็นบาปแล้ว ครับ เอาแค่ชั้นเดียว อย่าไปปรุงแต่งหาเหตุผลให้เราคิด พูด ทำ ในสิ่งที่ไม่ดีจะดีกว่า ความดีความชั่วอยู่ที่เราทำ ทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่นจะเป็นอย่างไร? เรายังมีกิเลสย่อม มีความหลงเป็นธรรมดา วันนี้เรายังไม่เข้าใจว่าคนเก่งอย่าง เรา จะหลงไปได้อย่างไร?  ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมไป เรื่อยๆ วันข้างหน้าก็จะรู้ว่าเรานะหลงมากน้อยแค่ไหน? อย่างคุณ misery เห็นโจมตีวัด ด่าพระเป็นประจำ ก็ให้สัง เกตุความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัว ว่าบุญหรือบาปส่ง ผลแก่ชีวิตเราอย่างไรบ้าง? เพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่ง กรรมทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าจะส่งผลเมื่อไรเท่านั้น ชีวิตเราแสนสั้น เราหาสิ่งที่ดีงามให้แก่ตัวเองไม่ดีกว่าหรือ? คนที่มีปํญญาก็ จะต้องไม่ประมาท ทำสิ่งที่ดีงาม เป็นบุญกุศลแก่ตนเอง ครับ ชัดเจนใครเห็นก็ดี   เริ่มก็ดี ลงท้ายก็ดี ไม่มีการปรุง แต่ง  คนที่มีกิเลสปรุงแต่งก็เสร็จทุกทีครับ จากคุณ : วรกร - [ 28 ส.ค. 49 20:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ nameonics บุญบาปเราเป็นผู้เลือกเอง คงไม่มีใคร ไปบังคับได้ คุณและผมก็ได้เลือกแล้ว ได้เขียนข้อความ ไปแล้ว ก็รอผลของกรรมก็แล้วกันนะครับ กฏแห่งกรรม ไม่เคยยกเว้นให้ใครครับ จากคุณ : วรกร - [ 28 ส.ค. 49 21:33:51 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตามความเห็นแล้ว "หลังเขา misery ปลงให้ทุกข์อันตรธาน (งงทุกสถานการณ์ ) ศิรัสพล ฟ้าคำนวณ ฮวยฮ้วยห่วย " อาจจะได้รับสิทธิ์พิเศษ บางอย่างครับ แล้วก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีกนานมากเลยทีเดียว ปล.พิเศษสุดๆ เฉพาะ VIP ONLY จากคุณ : อุเบกขา (A Bigman) - [ 28 ส.ค. 49 22:58:57 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แปลกดี ผมตั้งกระทู้ด้วยเหตุด้วยผล  ด้วยข้อมูลหลักฐานที่เห็นกันอยู่ทนโท่ ถ้าไม่แน่ใจก็ตรวจสอบได้  ว่าจริงเท็จตรงไหน อย่างไร แต่กลับไม่ได้เห็นข้อมูลหลักฐานที่มีน้ำหนักมาหักล้างแต่อย่างใด มีแต่การเอานรกอเวจีมาข่มขู่กัน เหมือนนิทานตุ๊กแกกินตับอย่างไรพิกล ถ้าไม่มีหลักฐานข้อมูลอะไรมาพูดกัน ผมคงขอลากระทู้ตรงนี้ครับ ฟังมาจนเบื่อแล้ว คำขู่นรกอเวจีต่างๆ บางความเห็น อ่านแค่สองสามบรรทัด ไม่ต้องดูชื่อก็รู้แล้วว่าใคร ไม่ได้ห้ามนะครับ  จะสาปแช่งข่มขู่ยังไงต่อก็ตามสบาย  สิทธิ์ของท่าน อ่านแล้วขำดีเหมือนกันครับ  ขอบคุณ _____________________________________ สาธุกับทุกท่านที่ร่วมปกป้องพระศาสนาด้วยกันครับ จากคุณ : Sea Ghost Man - [ 29 ส.ค. 49 00:21:17 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ ถ้าบรืสุทธิ์ต้องตรวจสอบได้ จากคุณ : amited - [ 29 ส.ค. 49 01:28:41 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อ่านความเห็น 26 แล้วขำค่ะ โกหกด้านๆ ถ้าเป็นคนที่เคยไปดูจริงๆคงจะรู้ว่าทำไม จากคุณ : Omena - [ 29 ส.ค. 49 02:41:24 ]

ความคิดเห็นที่ 41 การที่ผมมาตอบในกระทู้ทั้งหลายนี้ ก็เพราะความรักและเทิดทูน ในพระสัทธรรม และ..... เป็นห่วง ผู้ที่ยังใหม่ ผุ้มาใหม่ จะถุกดูดเข้าสู่เส้นทาง ปลอมปน และบิดเบือน เพราะ..... ผมเห็นมามากแล้วว่า หลงเข้าไปแล้ว  หลุดยากที่สุด จากคุณ : misery - [ 29 ส.ค. 49 05:56:56 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ผมคิดว่า จะไปกันใหญ่แล้วครับ ผมจะเปิดกระทู้ใหม่นะครับ ในนี้มันยาวแล้ว จากคุณ : จักรแก้ว - [ 29 ส.ค. 49 13:14:52 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ที่ผมมาตอบในกระทู้ทั้งหลายนี้ ก็เพราะความรักและเทิดทูน ในพระสัทธรรม และ..... เป็นห่วง ผู้ที่ยังใหม่ ผุ้มาใหม่ จะถุกดูดเข้าสู่เส้นทาง ปลอมปน และบิดเบือน เพราะ..... ผมเห็นมามากแล้วว่า หลงเข้าไปแล้ว  หลุดยากที่สุด จากคุณ : misery ...................................................... คำว่า...ก็เพราะความรักและเทิดทูน ในพระสัทธรรม...ของคุณ misery รักแค่ไหนกันหรือ ที่บอกว่ารักและเทิดทูน...ทำความเข้าใจในความรักและเทิดทูนด้วย... อย่าไปห่วงใครเค้าเลยค่ะ ห่วงตัวเองดีทีสุด "ใคร ๆ ต่างก็รักสถานที่ของตน รักเคารพ ปกป้อง" ไม่ต้องการให้ใครมาปล่อยข้อมูลผิด พูดจาจาบจ้วง บางท่านก็พูดเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ อย่างเช่น คุณnameonics...อย่างนี้ถ้าเปรียบเทียบกรณีเป็นการวิจารณ์เรื่องกรณีของดารา ก็เทียบได้กับเหมือนเข้าไปนอนอยู่บนเตียง อยู่ใต้เตียงดาราเลยเชียว... ถ้าจะสังเกตุให้ดี คนที่วัดธรรมกายทุกคน ปฏิบัติเหมือนกันคือ ไม่กล่าวว่าใครก่อน ไม่เอาสถานที่ไหนไปเปรียบเทียบกับสถานที่ไหน ไม่พูดจารุกรานวิจารณ์สำนักใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนเรื่องกิเลศในเรื่องของโทสะ คนที่วัดบางท่านทำได้อย่างดีเยี่ยม บางท่านก็ยอมรับว่ายังทำไม่ได้...อาจจะเป็นที่มาช่วยกันตอบในนี้นี่เอง...ตอบเพื่อให้เข้าใจ ไม่ได้มีจุดมุ่งหวังเพื่อเอาชนะท่านที่มีอคติ แต่บางท่านก็ยังไม่เข้าใจ ยั่วไปทางโน้น ยั่วไปทางนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วก็ถูกขอร้องไม่ให้เข้ามายุ่ง มาโต้ตอบ แก้อะไรในที่นี้(ต้องขอโทษผู้ขอร้องจริง ๆ) เชื่อว่าทุกคนเข้ามาเพื่ออธิบาย แต่ที่ต้องยกบาป บุญคุณโทษ นรกมานั้น ต้องการให้เป็นข้อคิดว่า ไม่ได้เพื่อนำมาขู่ หรือกล่าวว่าคนใดเป็นพิเศษ...ที่ไหน ๆ ก็มีสอนกันนี่นาถ้าเป็นชาวพุทธ แต่ทั้งนี้ก็ขออนุโมทนา..สาธุ และขอให้เจริญยิ่งในธรรมสำหรับกัลยาณมิตรที่พยายามอธิบายเพื่อความเข้าใจ ให้รู้ถึงกฏแห่งกรรมจากวจีกรรม และผู้ให้คำตอบเป็นกลาง เช่นคุณวรกร และท่านอื่น ๆ ด้วย เป็นคำตอบที่มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง ก็ลองเปรียบเทียบดูนะ กับคนที่มีอคติ โยงไปนั่นไปนี่ เช่น คุณRitti Janson ลองเปรียบเทียบกับคำพูดของตนเองแล้วอ่านของคนวัดธรรมกาย หรือเปรียบเทียบคำตอบของผู้ที่เป็นกลางดู...ว่ารู้สึกอย่างไร จากคุณ : บุญโต - [ 29 ส.ค. 49 13:18:01 ]

ความคิดเห็นที่ 48 จากคุณ : nameonics .................................... ดิฉันไม่เปรียบเทียบคุณกับดิฉันค่ะ คุณดูตรงไหนค่ะ ดิฉันเปรียบเทียบคำพูดคุณกับคนอื่น ... ซึ่งต่างกันมาก ... จากคุณ : บุญโต - [ 29 ส.ค. 49 15:37:43 ]

ความคิดเห็นที่ 50 นายบุญโต นายมันแค่เด็กหัวฝน.....อย่ามาตีฝีปากอีกเลย ถ้ารักกันมากนักก็อุปฐากกันต่อไปเถอะ.......แต่ถ้าเจ้าสำนักยังเคลียร์ตัวเอง ให้สะอาดในสายตาคนทั่วไปไม่ได้ ก็อย่าได้คาดหวังการยอมรับนับถือเลย ............................................... บุญโตบ่ได้ตีฝีปากเด้อ ตีไม่เป็นจริง ๆ บุญโตพูดตามความรู้สึก ... ไปไกลแล้ว "ถ้ารักกันมากนักก็อุปฐากกันต่อไปเถอะ.......แต่ถ้าเจ้าสำนักยังเคลียร์ตัวเอง ให้สะอาดในสายตาคนทั่วไปไม่ได้ ก็อย่าได้คาดหวังการยอมรับนับถือเลย"...พาลจริง ๆ บุญโตยอมแพ้จ้า...เพราะคุณRitti Janson ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว...บุญโตกลัวแล้วคร๊าบ ขอโทษคร๊าบ...คุณคุณRitti Janson ก็เคลียร์ตัวเองในทุก ๆ เรื่องด้วยนะ จากคุณ : บุญโต - [ 29 ส.ค. 49 15:46:55 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ไม่ได้อคติกับคุณเลยค่ะ...จะไปอคติทำไม ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลย จะไปอคติทำไม๊ ๆ คุณไม่ได้มาทำให้ชีวิตบุญโตดีขึ้นหรือเลวลงนี่...เพียงแต่คำพูดของคุณแต่ละคำ มันไม่น่ารักจริง ๆ นี่คร๊าบ ก็เลยทักทาย (แต่แบบใส่อารมณ์ไปหน่อย) ขอโทษ ขอโทษ ... ที่บุญโตบอกว่าอยู่บนเตียง ใต้เตียง หมายถึง ไปแอบฟังได้เห็น ได้ยิน ได้รู้การกระทำของผู้อื่นมากับตากับหู...อย่าคิดลึกซิ .................................................... "วิธีคิดแบบธรรมกาย" อะไรกันนี่เอาอีกแล้ว อย่าไปว่าคนอื่นเค้าซิ อย่าไปเหมาคนอื่นเค้าซิ ยิ้มไว้นะคุณnameonics .................................................... .......ท้ายนี้ขออนุญาตเตือนสติ คุณบุญโต อีกสักหน่อย ถูกต้องแล้วครับ ที่คุณเขียนว่า "ใคร ๆ ต่างก็รักสถานที่ของตน รักเคารพ ปกป้อง" แต่ถ้ามัวแต่ปกป้องสถานที่ของคน หรือ คนที่ตัวเองรักและเคารพ จนลืมหรือมองไม่เห็นความบกพร่องของบุคคลคนนั้น ก็เท่ากับ คุณกำลังส่งเสริมให้ผู้นั้นกระทำผิดต่อไป ไงครับ... ............................................................ เรื่องความบกพร่อง ส่งเสริม...ถ้าคุณnameonicsไม่ฟังแต่คนที่โจมตี คนที่มาแก้ต่าง ที่มาอธิบาย ไม่ได้เป็นลูกศิษฐ์หลวงพ่อก็มีนี่คะ...สื่อที่มาขอโทษก็มีนี่คะ  บุญโตไม่รู้ไม่สนใจเรื่องนั้น...รู้แต่ว่าหลวงพ่อท่านทุ่มเท ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ถ้าทำเพื่อตัวเอง ไม่รู้ท่านจะทำไปทำไม...เราดู DMC ทุกวัน เราไปวัดทุกอาทิตย์ เราปฏิบัติตามคำสอนของท่าน...เราย่อมรู้ดีค่ะ ............................................................. ยิ่งถ้าปกป้องกันแบบที่คนธรรมกายทำ คือ ไม่ยึดถือพระธรรมวินัยเป็นที่ตั้ง เอาแต่คุณธัมมชโยเป็นสรณังแบบนี้ ก็เท่ากับคุณไม่เคารพในพระพุทธศาสนา ทำลายศาสนา ด้วยความรักในตัวบุคคลโดยแท้.......... คุณnameonics.....คุณไม่ควรคิดอย่างนี้นะคะ คุณไม่ควรสรุปตามความคิดของตัวเองอย่างนี้เลย...เฮ้อ... บุญโตทำบุญได้ทุกวัด เคารพพระทุกวัด     แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 49 17:12:34 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 49 17:03:55 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 49 16:56:02 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 49 16:44:04 จากคุณ : บุญโต - [ 29 ส.ค. 49 16:37:51 ]

ความคิดเห็นที่ 53 อ๋อ ผมน่ะไม่คิดลึกอยู่แล้วล่ะครับ ใครทำผิดตามพระธรรมวินัย ก็ว่าไปตามผิด จริงๆ ส่วนกระทู้นี้ ผมตอบไปให้แล้วนะครับ ที่คุณบุญโต ไม่ทราบคิดแบบไหน มาทักทาย (แต่แบบใส่อารมณ์ไปหน่อย) อีกหรือเปล่า มิทราบ ที่มาตู่ว่า ผมเป็นคนพาลเนี่ย อย่าลืมไปตอบล่ะครับ 5 5 5 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4646385/Y4646385.html#68 ปล. แหม.. เห็นว่าเป็นผู้หญิง นึกว่าจะไม่ชอบใส่ร้ายผู้อื่น เรื่องแย่ๆ แบบที่ชาวธรรมกาย"บางคน"ชอบทำเนี่ย คุณบุญโต ก็เก่งใช้ได้เลยนะครับ ;-) จากคุณ : nameonics - [ 29 ส.ค. 49 16:58:19 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ก็ข้อความอย่าง คห.50 นี่ไม่เรียกว่าตีฝีปาก แล้วจะเรียกว่าอะไร? การที่บุคคลผู้หนึ่งไม่สามารถเคลียร์ตัวเองให้สะอาดในสายตาของคนทั่วไปได้ แล้วจะมาคาดหวังให้คนเขายอมรับนับถือได้อย่างไร? คำพูดแบบนี้มันพาลตรงไหน? เพราะที่ผมพูดนี่เป็นข้อเท็จจริง......ใครที่ไหนเขาจะนับถือคนที่ไม่โปร่งใสคลุมเคลือ นี่มันธรรมดาโลกอยู่แล้ว จะบอกว่านี่พูดอย่างคนพาลได้อย่างไร? ข้อมูลที่ผมแจกแจงมาไม่ตรวจสอบสักหน่อยหรือว่าจริงหรือเท็จ มาพูดถึง เรื่องเล็กน้อยอยู่ทำไม? และแทนที่จะพูดตามความรู้สึก ก็หัดพูดตามหลักฐาน และเหตุผลเสียบ้างสิ....... จากคุณ : Ritti Janson - [ 29 ส.ค. 49 17:00:03 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ปล. แหม.. เห็นว่าเป็นผู้หญิง นึกว่าจะไม่ชอบใส่ร้ายผู้อื่น เรื่องแย่ๆ แบบที่ชาวธรรมกาย"บางคน"ชอบทำเนี่ย คุณบุญโต ก็เก่งใช้ได้เลยนะครับ ;-) ........................................................ หว๊านิสัยผู้หญิงอย่างนี้ บุญโตไม่คุยด้วยแล้วฮ่ะ ทำไมไม่ด่าบุญโตล่ะฮ่ะ ไปเหมาเป็นชาวเลย...ก็แบกความคิดเน่า ๆ ไว้บนบ่าต่อไปจนตายเลยแล้วกันฮ่ะ...ไปแล้วฮ่ะ ......................................................... ก็บุญโตไม่ได้ตีฝีปากนี่ฮ่ะ...แต่คุณก็บอกว่าบุญโตตีฝีปากฮ่ะ...มันก็ไม่จบซิฮ่ะ แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 49 17:10:13 จากคุณ : บุญโต - [ 29 ส.ค. 49 17:08:36 ]

ความคิดเห็นที่ 56 Ritti Janson เคลียร์ตัวเองทุก ๆ เรื่องด้วยนะ...เรารู้จักท่านดี แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 49 17:14:48 จากคุณ : บุญโต - [ 29 ส.ค. 49 17:14:22 ]

ความคิดเห็นที่ 57 แหม.. เห็นว่าเป็นผู้หญิง นึกว่าจะไม่ชอบใส่ร้ายผู้อื่น เรื่องแย่ๆ แบบที่ชาวธรรมกาย"บางคน"ชอบทำเนี่ย คุณบุญโต ก็เก่งใช้ได้เลยนะครับ ;-) ........................................................ หว๊านิสัยผู้หญิงอย่างนี้ บุญโตไม่คุยด้วยแล้วฮ่ะ ทำไมไม่ด่าบุญโตล่ะฮ่ะ ไปเหมาเป็นชาวเลย... เอ่อ คุณ บุญโต ครับ ช่วยเบิ่งตาดูดีๆสักนิดสิครับ ว่า ผมน่ะเขียนชัดเจน ว่า คุณทำนิสัยแย่ๆแบบชาวธรรมกายบางคน เข้าใจแล้วก็แล้วกันไปเถิดครับ เฮ้อ.... จากคุณ : nameonics - [ 29 ส.ค. 49 19:46:03 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ความคิดเห็นที่ 49   จากคุณ : ฮวยฮ้วยห่วย   - [ 29 ส.ค. 49 15:37:52 ] ความคิดเห็น 38 ถ้าผมไม่เคยไปวัดคุณผมจะรู้ได้ไงว่าสร้างศูนย์การค้า *** แล้วรู้หรือเปล่าว่าเขตวัดสิ้นสุดตรงไหน -หมอดูประจำตระกูลผม ศิษย์ก้นกุฏิหลวงพ่อสด เป็นคนวางฤกษ์ปฏิวัติให้จอมพลสฤษดิ์ เป็นเพื่อนสนิทครูเทพย์ สาริกบุตร *** เกี่ยวกันด้วยหรือ -พี่ที่ออฟฟิซเก่าผมเป็นคนวัด ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพวกคุณรับคำสอนอะไรมา *** ถ้าถามว่าคนพุทธทุกคนไม่งมงาย จะตอบได้ไหมว่าใช่ เพราะมันต้องมีสักคนล่ะ ที่นับถือไว้ประดับแต่ไม่ศึกษาจริง   มันไม่ใช่คณิตศาสตร์ที่เมื่อ 1 คำตอบออกมาผิด ที่เหลือก็ต้องผิดด้วย -คนที่ออฟฟิซผม 2 คน เคยเป็นคนวัด เลิกแล้ว เพราะเสื่อมหลวงพ่อของคุณ *** ข้างบน -คุณสมถะ สายตรงหลวงพ่อสดในเว็บนี้ เขายังไม่เอากับพวกคุณเลย *** เขาเชื่อว่าเป็นฆราวาสดีกว่า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าในพระนิพพานถูกมารจับไปขัง แล้วคนที่เขาบูชาซึ่งไม่ใช่พระไปช่วยพระพุทธเจ้า เก่งกว่าพระพุทธเจ้า   อย่างนี้คุณนับถือเหรอคะ   วัดนั้นก็เป็นวัดแตกออกมา คนที่เขานับถือก็มีครอบครัว ยังมีด้วยค่ะ   แล้วพระพุทธเจ้าสอนแบบนั้นหรือคะ คนบางกลุ่มดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีหลักยึดทางใจ เมื่อลังเลสงสัยว่าคนที่เขาบูชาดีหรือเลวกันแน่ แต่ก็ต้องตะบี้ตะบันเชื่อกันต่อไป เพราะกลัวว่าถ้ารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้นผิด ก็จะไม่เหลือหลักยึดในชีวิตอีกเลย *** คนบางกลุ่มนั้นก็ต้องรู้จักคิดบ้าง ใครเชื่อแบบนั้นควรจะไปพบจิตแพทย์แล้วล่ะค่ะ ถามข้อเดียวพอ ที่สมเด็จพระสังฆราชวินิจฉัยว่าปราชิกนั้น ยอมรับหรือไม่ หรือสมเด็จฯท่านก็โกหกหน้าด้านๆ ...... ตอบสิ *** ไม่ขอออกความเห็น   แต่อยากบอกว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่าน"วินิจฉัย" ผิด จากคุณ : Omena - [ 30 ส.ค. 49 03:46:39 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คุณ คห.61 ไม่ต้องถึงกับเป็นอรหันต์หรอก จึงจะวินิจฉัยกรณีนี้ได้ มนุษย์ขี้เหม็น ทั่วไปเขาก็รู้ได้ อย่าพยายามไปลามปามสมเด็จฯท่านเลย ทีอย่างนี้ไม่กลัวบาป กลัวกรรมกันเลยนะ.......พออยากจะปกป้องอลัชชีอาจารย์ของตัวขึ้นมา ก็กล่าววาจาสามหาวล่วงเกินไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหมกันเลย...... ด่าพวกผมจะดีกว่ามั๊ง....? ปัญหาจะได้ไม่มี เพราะผมมันก็กิเลสหนาพอกัน..... จากคุณ : Ritti Janson - [ 30 ส.ค. 49 07:18:10 ]

ความคิดเห็นที่ 63 จากคุณRitti Janson ^ ^ ^ ชอบตีความผิด ๆ จริง คนนี้...Omena ลามปามตรงไหนน๊า...เพราะอะไรคุณ Omena เค้าถึงพูดคำนั่นออกมา คิดดูก่อนไม่ได้หรือ จากคุณ : บุญโต - [ 30 ส.ค. 49 08:21:14 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เอ่อ คุณ บุญโต ครับ ช่วยเบิ่งตาดูดีๆสักนิดสิครับ ว่า ผมน่ะเขียนชัดเจน ว่า คุณทำนิสัยแย่ๆแบบชาวธรรมกายบางคน เข้าใจแล้วก็แล้วกันไปเถิดครับ เฮ้อ.... จากคุณ : nameonics ....................................................... ก็เบิ่งแล้วนี่...แค่คำว่าชาวธรรมกาย...ถ้าจะด่าบุญโตก็เจาะจงไปซิ ว่า "คนอย่างไอ้บุญโต" อย่างเนี๊ย ได้ไหมค่ะ คำว่าชาวธรรมกาย แม้จะใช้คำว่าบางคน ก็ไม่สมควรหรอกค่ะ... ก็ดูคุณใช้คำพูดแต่ละคำซิ มันจุกจิก จู้จี้ ฯลฯ บอกไม่ถูกนะ บอกตรง ๆ นะ บุญโต ไม่ได้คิดจะมาตีฝีปากกับท่านเล๊ยแม้แต่นิด...แต่บุญโตอยากให้คุณเปิดใจบ้าง อย่างน้อยก็คิดเสียว่า "เรื่องของพระท่าน จะผิดจริง ไม่จริง ยังงัยก็ปล่อยให้ผู้ที่รับผิดชอบดูแลไปเองไม่ดีกว่าเหรอ" บุญโตไม่อยากให้คุณด่าว่าหลวงพ่อท่าน คุณชวนคนด่าว่าไปสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่ได้รับกลับก็คือคุณเองไม่ใช่หรือ... นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ก็ช่าง...แล้ว "ถ้ามีจริงขึ้นมาล่ะ" ทางที่ดีเราก็อยู่ของเรา ทำตัวเราให้ดี หมั่นทำดี รักษาศีล เจริญเมตตา ใช้คำพูดด้วยปิยะวาจา ไม่ด่าไม่ว่าใคร ไม่มีความสุขกว่าหรือ...บุญโตยอมรับว่าบุญโตก็ทำได้ไม่ดีนัก ตามแบบอย่างที่บอกเลย ก็คือ ยังเข้ามาอ่าน ยังเข้ามาโต้ตอบในนี้...ไม่ใช่ว่า "หลงในตัวบุคคลอย่างที่คุณพูด" "ไม่ได้ปกป้องใคร" "ไม่ได้ยึดที่ว่าฉันเป็นพวกธรรมกายฉันเป็นคนดี" สิ่งเหล่านี้คุณวิเคราะห์จากความคิดคุณเอง  แต่หลวงพ่อท่านทำประโยชน์มากมาย ซึ่งคนอย่างเรา ๆ ทำแม้แค่ปลายเศษเสี้ยวยังไม่ได้เลย เราได้รับสิ่งดี ๆ จากท่านมาใช้ในการดำเนินชีวิตมากมาย และคนที่วัดก็ไม่มีใครหลงตัวเองว่าฉันดี...ตรงกันข้าม ทุกคนยอมรับข้อแย่ ๆ ของตนเอง และพยายามปรับปรุงนิสัยที่ยังแย่ ๆ ที่ยังเหลืออยู่ให้ได้ตามคำสอนดี ๆ ที่หลวงพ่อท่านปลูกฝัง...ถ้าคุณได้รู้จักได้สัมผัสกับเด็ก นักศึกษา อาสาสมัครที่มาทำงานวัด คุณจะรู้ว่า "โอ้...ถ้าเยาวชนไทย เป็นกันอย่างนี้ บ้านเมืองเจริญ ไม่น่าเป็นห่วงแน่" กราบขอโทษคุณnameonicsค่ะ ไม่ได้สอนคุณนะคะ "มนุษย์ด้วยกันไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่หรือค่ะ ศัตรูที่แท้จริงคือ "กิเลส...ที่มันครอบงำจิตใจเรา" ไม่ใช่หรือ กราบขอโทษอีกทีถ้าคุณมองว่าข้อความเหล่านี้เป็นการสอน...บุญโตไม่ใช่แม่พระ ไม่ได้อยากได้หน้า แต่บุญโตกล้าพูดแทนอย่างมั่นใจว่าคนที่ออกมาแก้ต่างในที่นี้นั้น ในใจของเขาเหล่านั้นไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเอาชนะกระทู้ของท่าน ไม่ใช่เพื่อความมันส์ในอารมณ์เลยแม้แต่นิด  ...เพียงแต่ท่านไม่เปิดใจฟังและพิจารณาก็เท่านั้นเอง... แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 49 09:50:29 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 49 09:48:38 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 49 08:48:17 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 49 08:46:27 จากคุณ : บุญโต - [ 30 ส.ค. 49 08:45:16 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขออีกข้อความนะคะ.... ........................................................... แต่ก็ให้อดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดท่านต้องขวนขวายหาเครื่องนุ่งห่มอื่นใดมาเพิ่มอีก เพราะเพียงสบงจีวรนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้พระภิกษุ ดำรงชีพได้อย่างไม่เดือดร้อนนัก จากคุณ : ไม่เป็นดั่งใจ .......................................................... ^^^ อย่าไปว่า ท่านขวนขวาย ด้วยการวิเคราะห์และใช้ความคิดของตนเองเลยค่ะ...ของที่ท่านใช้ก็มาจากญาติโยมถวายท่านทั้งนั้น ท่านไปขวนขวายทำไม...บางคนก็คิดไปเอง ว่าหลวงพ่อต้องนอนห้องหรู ติดแอร์เย็นฉ่ำ จีวรท่านต้องราคาเป็นหมื่น(เคยได้ยินบางคนพูด)...อย่าไปคิดเองหรือฟังใคร นอกเสียจากว่าไปพิสูจน์นะคะ อย่าไปคิดเล็ก คิดน้อย คิดจู้จี้ จุกจิก ขนาดนั้นเลยค่ะ "มองความดี มองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่คนอื่นทำดีกว่า...เมื่อนั้นใจเราจะรู้สึกพองโตเป็นอย่างยิ่ง" และอีกอย่างใครที่ไปวัดมาแล้ว ชอบเอาวัดมาด่า ก็อย่าทำเลยค่ะ ให้นึกถึงคำสุภาษิตที่ว่า "กินบนเรือน ถ่ายรดบนหลังคา" ให้มาก ๆ คนอกตัญญูที่ไม่รู้บุญคุณของใคร เขาอุตสาห์ต้อนรับ ยกมือไหว้ ทักทายด้วยคำพูดน้ำเสียงสวย ๆ ด้วยความจริงใจ ที่คุณก้าวเข้าไปที่วัด เลี้ยงน้ำ เลี้ยงข้าวปลาอาหาร...ก็ยังอุตสาห์เนรคุณถ่ายรดบนหลังคาบ้านเขานะ ................................................................. ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตของสังคมที่เราอยู่ให้ร่มเย็นหรือเร่าร้อนได้ด้วยตนเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะให้เป็นแบบไหน หากตัวเราเองใฝ่ดีมีใจเอื้อเฟื้อ เมตตา เผื่อแผ่ อภัยให้แก่กันและกัน ทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่เป็นเพราะแรงปรารถนาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ริษยา พยาบาท หรือความเห็นแก่ตัวนั่นเอง จึงทำให้เราได้รู้ ได้เห็น ได้พบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาอย่างเช่นทุกวันนี้ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรบ้างนั้น เราใช้จิตของเราพิจารณาก็จะรู้ได้เองในสิ่งที่เราไม่ชอบใจนั่นก็คือ สิ่งที่เราไม่พึงปรารถนานั่นเอง... เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงได้เห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ดุด่า ว่ร้าย ฟ้องร้อง ขึ้นโรงขึ้นศาล เบียดเบียน ทำร้ายกันในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีให้เห็นตามข่าวทั่ว ๆ ไปเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้เตือนให้เราได้เห็นถึงความผิดพลาดบางอย่างใหญ่หลวงของการไม่มีเมตตาต่อกันไม่ใช่หรือ การเจริญเมตตาหรือการแผ่เมตตานั้น มีพลังอานุภาพมาก ยิ่งผู้มีศีล ทรงคุณธรรมเจริญภาวนาเมตตาแผ่ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายยิ่งมีอานุภาพมากยิ่งขึ้น การแผ่เมตตาหรือการเจริญเมตตานั้น ไม่ได้จำเพาะเจาะจงเพียงการแผ่ไปให้กับบุคคลทั่วไป แต่ยังสามารถแผ่คุณความดี ความปรารถนาดี ความรัก การอภัยหรือที่เราเรียกว่าเมตตานี้ไปสู่สัตว์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย ความเมตตาหากบำเพ็ญด้วยใจบริสุทธ์ สม่ำเสมอ แผ่ไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายไร้ขอบเขต เชื่อแน่ว่าผู้เจริญจะเป็นผู้รอดพ้นจากอันตรายทั้งหลายแน่นอน แสดงความเมตตาเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก ขอเพียงอยากจะทำ และทำอย่างสม่ำเสมอไม่เลือกที่จะทำ แต่เห็นสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดมาเป็นเพื่อร่วมสุขร่วมทุกข์กันและแผ่เมตตาให้ความรัก ไม่เบียดเบียนกัน แค่นี้ก็คงพอ ในการที่จะสร้างสังคมให้เป็นสุขและร่มเย็น เมตตาเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ปุถุชนทั่วไปมีจิตใจสูงขึ้นดังเทพผู้เปี่ยมล้นด้วยบารมีและมีเมตตาธรรมคอยให้ความช่วยเหลือสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ถึงแม้สังคมของเราจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งความแตกต่างกันนั้นก็เกิดขึ้นเพราะผลแห่งบุญกุศลกรรมที่ทำมาแตกต่างกันไป หลายคนอาจเกิดมาพร้อมกับยศถาบรรดาศักดิ์ เกิดมากับกองเงินอันมหาศาล มีผิวพรรณวรรณะงดงาม  นั่นอาจเป็นเพราะบุญกุศลแรงวิบากแห่งกรรมอันงามที่เขาได้ทำไว้แต่ชาติปางก่อนสะท้อนมาให้ผลสนับสนุนให้เขาได้เกิดมาในชาตินี้อย่างสมบูรณ์เพียบพร้อม แต่ตรงข้ามกับหลาย ๆ คนที่เกิดมาพร้อมกับตราบาปที่ตราไว้ซึ่งความเศร้าหมองติดตัวมาแต่เกิด เกิดมาในครอบครัวยากจน หาเช้ากินค่ำ หรือต่ำกว่านั้น เช่นขอทานที่ไร้ปัญญา ผิวพรรณหม่นหมอง ฯลฯ นี้ก็คงเป็นผลวิบากกรรมฝ่ายอกุศลที่คอยส่งผลสะท้อนให้เขาได้รับในสิ่งที่คนทั้งโลกอยากหลีกหนีให้พ้น ทำให้เขาได้เจอกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา พบเจอกับความทุกข์ทรมาน....มองไปแค่นี้ ว่าทำไม???แต่ละชีวิตช่างเกิดมามีชีวติที่แตกต่าง...ก็น่าจะมองกันได้แล้วว่ามาจากอะไร ฉะนั้น "จงใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น คำพูด ความคิด การกระทำ ที่มีผลร้ายต่อผู้อื่น...ด้วยความไม่รู้กันเถอะ" ... ฟัง "สื่อ" ที่เอาแต่โจมตีคนอื่นด้วยปัญญา ฟัง"นักวิเคราะห์" ที่เขียนวิเคราะห์วิจารณ์คนอื่นด้วยปัญญา เท่านั้นพอ ตราบใดที่เราไม่ได้พิสูจน์เห็นด้วยตา สัมผัสด้วยใจ ...วิบากกรรมมีจริงหรือไม่ เราไม่รู้ หลีกหนีให้พ้นไว้ก่อนดีกว่า .............................................. อย่าปล่อยให้ความคิดกลายเป็นการกระทำ อย่าปล่อยให้การกระทำกลายเป็นนิสัย อย่าปล่อยให้นิสัยกลายเป็นสันดาน อย่าปล่อยให้สันดานกลายเป็นชะตากรรม (หรือที่เรียกว่า "วิบากกรรม"นั่นเอง) ...เคยได้ยินประโยคนี้มานานมาก...น่าจะเป็นคำสอนจากหลวงปู่ชา...ใช้ได้ดีมาก ............................................... แชร์ข้อมูลให้ฟังกันค่ะ ไม่ได้สอน แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 49 09:42:56 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 49 09:08:25 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 49 09:07:17 จากคุณ : บุญโต - [ 30 ส.ค. 49 09:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 66 งง คห.62 พูดอะไรผิดตรงไหนคะ ลามปามอะไร   อ่านอีกที จากคุณ : Omena - [ 30 ส.ค. 49 11:08:46 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คนพวกนี้ ไม่อยากให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าสำนักของตัว อ้างนรกสวรรค์สารพัด แต่เขาสามารถวิจารย์ สมเด็จพระสังฆราชได้หน้าตาเฉย อ้างจาก คห.61 ไม่ขอออกความเห็น   แต่อยากบอกว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่าน"วินิจฉัย" ผิด ช่วยอธิบายข้อความนี้สักหน่อย พูดให้ชัดๆนะ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? ถึงบังอาจวินิจฉัยภูมิธรรมของสมเด็จฯท่านได้ขนาดนี้ ..... เลวร้ายอย่างที่สุด คุณจะต้องพูดมาให้ชัดว่าคุณใช้กฏเกณท์อะไรในการตัดสิน และพิจารณาอย่างไร? เพราะเหตุว่า...ถ้าคุณอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ ผมก็จะถือว่าคุณมันเป็นพวกนรกส่งมาเกิดโดยแท้.... สมเด็จฯท่านได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วตลอดพระชนม์ชีพจนถึงบัดนี้....... คุณมันแค่ศิษย์อลัชชีที่ไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้เท่านั้น......... คุณตั้งอาจารย์ของคุณสูงส่งอยู่ในระดับไหนกัน? ถึงพยายามปกป้องไม่ให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์......... แล้วคุณคิดว่าพระสถานะของสมเด็จฯท่านอยู่ในระดับไหนหรือ? คุณถึงได้บังอาจวินิจฉัยภูมิธรรมของท่านได้อย่างไม่รู้สึกกลัวบาปกลัวกรรมเยี่ยงนี้............... สรุปว่าตอบมาให้ชัดในประเด็นที่ถาม ไม่ต้องมาทำเฉไฉหรือตะแบงอะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้ตีความอะไรทั้งนั้น นี่มันข้อความคำพูดของพวกคุณเอง ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 30 ส.ค. 49 11:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ผมว่าน่าจะหยุดได้แล้วนะครับ เรื่องก็จบแล้ว เราทุกคนควรหยุดได้แล้วครับ ผู้บริจาคเงินและที่ดินให้ท่าน ยังไม่เดือดร้อนเลยครับไหนผู้อื่นจะมาเดือดร้อนแทนละครับ เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ให้ไปพิสูจน์กันเลยครับ ไปที่วัดแล้วไปหาท่านที่บริจาคที่ดินให้กับวัดที่ส่วนใหญ่ก็ยังเข้าวัดฟังธรรมอยู่เป็นประจำ ไปถามเลยว่าท่านบริจาคที่ดินนั้นๆให้หลวงพ่อหรือให้วัด เอาแบบนี้เลยดีไหมครับ เฮ้อ..............จะสงสัยอะไรกัน ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ขอบคุณครับ จากคุณ : กรรไกรรัตนะ (กรรไกรรัตนะ) - [ 30 ส.ค. 49 23:24:40 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คห.61 -คุณสมถะ สายตรงหลวงพ่อสดในเว็บนี้ เขายังไม่เอากับพวกคุณเลย *** เขาเชื่อว่าเป็นฆราวาสดีกว่า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าในพระนิพพานถูกมารจับไปขัง แล้วคนที่เขาบูชาซึ่งไม่ใช่พระไปช่วยพระพุทธเจ้า เก่งกว่าพระพุทธเจ้า   อย่างนี้คุณนับถือเหรอคะ   วัดนั้นก็เป็นวัดแตกออกมา คนที่เขานับถือก็มีครอบครัว ยังมีด้วยค่ะ   แล้วพระพุทธเจ้าสอนแบบนั้นหรือคะ วัดพระธรรมกายก็เชื่ออย่างนี้แหละ  มาสายเดียวกัน  แปลกใจนิดหน่อยที่คุณไม่รู้ เพียงแต่คุณสมถะว่า   วัดพระธรรมกายเอาวิชาธรรมกายมาหากินผิดเจตนาของหลวงพ่อสดที่เป็นต้นวิชา  จึงไม่ค่อยชอบ แต่ถูกตามที่คุณว่าอย่างหนึ่ง "แล้วพระพุทธเจ้าสอนแบบนั้นหรือ?" จากคุณ : เหรียญ - [ 31 ส.ค. 49 00:31:10 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ^ ^ วักพระธรรมกายไม่เชื่อแบบนั้นค่ะ พระพุทธเจ้าท่านพ้นแล้ว   จะไปถูกมารจับได้อย่างไรกันคะ   คุณลองเอาทั้งหมดมาชั่งน้ำหนักดูแล้วค่อยว่าดีกว่าค่ะว่าใครเพี้ยนใครตรง จากคุณ : Omena - [ 31 ส.ค. 49 04:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 71 คุณ  Omena ไม่ตอบคำถามของผมเสียหน่อยหรือ? แปลกดีนี่ ตอนแรกทำ เป็นโวยวายว่าผิดตรงไหน พอคนเขาชี้ความผิดให้เห็นกลับทำตาบอดตาใสเสียได้................. ไม่ต้องพยายามแสดงขันติธรรมหรอกนะ เรื่องแบบนี้มันต้องอธิบายให้ชัดเจน ต้องแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์โปร่งใสในคำพูดของตัวเอง........ จะมาทำตัวเป็นคนพูดจาปากพล่อยแล้วไม่รับผิดชอบไม่ได้นะ......... .........แล้วจะรอดูว่าศิษย์กับอาจารย์จะเหมือนหรือต่างกันแค่ไหน? ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 31 ส.ค. 49 08:11:34 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ไม่ต้องพยายามแสดงขันติธรรมหรอกนะ ^^T โอคุณRitti Janson ...อย่าตีความรู้สึกคนอื่น ด้วยความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเลยค่ะ จากคุณ : บุญโต - [ 31 ส.ค. 49 09:59:12 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ^ ^ เอากลับไปบ้าน นั่งพิจารณาคำพูดของตนเอง...แบบเป็นกลาง...พิจารณาคำพูดตนเองตั้งแต่ต้น แล้วเหตุผลใดที่ทำให้คนอื่นต้องตอบคุณอย่างนั้น...และข้อความล่าสุดของคุณRatti ไปถามใคร(คนที่เป็นกลาง)ก็น่าจะพอดูออกแล้ว คุณยั่วเข้าไป ยั่วให้ตาย...  พูดจาเช่นนี้ไม่มีใครอยากคุยด้วยแล้ว... ผู้ใหญ่มักสอนเด็กเสมอว่าไม่ให้ประพฤติชั่ว ทั้งการคิด การพูด การกระทำ เพราะการกระทำเช่นนั้นย่อมไม่มีผู้ใดอยากจะคบด้วย ถ้าเด็กประพฤติชั่ว ผู้ใหญ่ก็จะไม่ให้ความรักและความเอ็นดู...แต่วันนี้ผู้ใหญ่มาทำเสียเอง!!! พูดได้แค่นี้...จะให้ถามคุณกลับบ้างได้หรือปล่าวคะว่าชีวิตคุณใครอบรมคุณมาหรือ...ดูเหมือนว่าจะไม่ห่วยเอาซะเลยเชียว แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 14:19:12 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 14:15:11 จากคุณ : บุญโต - [ 31 ส.ค. 49 12:54:59 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ความคิดเห็นที่ 73   คุณ Omena นี่สงสัยเพิ่งจะเข้าสำนัก ขนาดผมเป็นคนนอกยังรู้เลย ว่าสำนักนี้สอนอย่างนี้จริงๆ ใน pantip นี่เองก็เคยมีศิษย์สำนักคุณพูดถึงเรื่องนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ไว้มีเวลาลองไปหาในคลังกระทู้เก่ามาอ่านดูสิครับ พอดีมะกี้ตามลิงค์ในกระทู้อื่นไปเจออันนี้ เลยคัดมาให้อ่านเป็นตัวอย่าง จากคุณ : Sea Ghost Man ................................................ ^^ ขอตอบแทนคุณOmena นะ...แค่คุณวิเคราะห์คุณ Omena คุณก็วิเคราะห์ผิดไปแล้ว ไปหาเรื่องราวคุณOmenaอ่านในหนังสือแล้วกัน อย่าไปนั่งวิเคราะห์ตัวเค้าเลย...หาเอาเอง ไม่บอกว่าหนังสือเล่มไหน อย่างไร เพราะคุณช่างหา ช่างขุดคุ้ย เก่งเหลือเกิน...หาอ่านเจอแล้วคุณจะอับอายขายหน้าเด็ก (ขอโทษคุณOmenaนะคะ) ก็คุณเล่นดึงแต่ข้อมูลที่เป็นแหล่งที่มาจาก: นักวิเคราะห์นี่ ก็บอกแล้ว นักวิเคราะห์จะวิเคราะห์ใครไปทางไหนก็ได้ เพียงแต่อ่านแล้วใครจะใช้ปัญญาประกอบการอ่านแค่ไหนเท่านั้นเอง...คนที่ปรารถนาดี ไม่ว่าต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อชาวโลก เค้าไม่ใช้วิธีการที่ไม่สะอาดโจมตีคนอื่นหรอก แล้วบทความดี ๆ ที่มีคนเขียนถึงวัด คุณไม่เอามาลงบ้าง คำขอโทษจากหลาย ๆ ที่ที่รู้สึกสำนึกผิดคุณไม่เอามาลงบ้างล่ะคะ...ถึงได้บอกงัย "เมื่อไหร่ที่คุณหัดมองเห็นคุณค่าของคนอื่นบ้าง จิตใจคุณก็จะเป็นอีกแบบ" แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 13:58:43 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 13:57:00 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 13:54:53 จากคุณ : บุญโต - [ 31 ส.ค. 49 13:52:13 ]

ความคิดเห็นที่ 77 สรุปว่าสองคนนี่ไม่ยอมตอบคำถามที่เกี่ยวกับคำพูดชั่วๆของตนเอง แต่กลับแถไถไปพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ...... ด้านพอๆกับเจ้าสำนักเลย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีปัญญาสะสางได้.......แล้วกล่าวคำชั่วช้าแบบนี้มาทำไม? ตอนที่พูดไม่รู้สึกตัวหรือย่างไร?ว่าพูดอะไรออกไป........... แล้วมีผู้ใหญ่ฝ่ายไหนของพวกคุณหรือที่สอนให้กล่าววาจาจาบจ้วงสมเด็จพระสังฆราช ผมด่าคุณน่ะมันไม่แปลกหรอก.......เพราะคุณมันเลวสมควรให้ด่า แต่ที่พวกคุณกล่าวถึงสมเด็จฯในทางร้ายนี่สิ.....จะว่าอย่างไร? และก็ไม่ต้องมาทำเป็นโกรธจนไม่อยากคุยไม่อยากตอบคำถามหรอก..... ที่ไม่อยากตอบเพราะจนด้วยหลักฐานน่ะซิไม่ว่า.....ผมรู้นิสัยของคนสำนักนี้ดี อย่ามาทำเฉไฉหน่อยเลย......หน้าไม่อาย...... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 31 ส.ค. 49 14:21:39 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ^ มีคนโต๊ะข้าง ๆ มาอ่านแล้วบอกว่า "ซ้อเจ็ดตัวจริง" อยู่นี่ ซ้อเจ็ดคือใครกันนะ? แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 49 16:38:44 จากคุณ : บุญโต - [ 31 ส.ค. 49 16:38:11 ]

ความคิดเห็นที่ 79 เป็นอันแน่ชัดแล้วนะว่าสองคนนี้เข้ามาแต่ไม่กล้าตอบคำถามในเรื่องจาบจ้วง ที่ได้ก่อเอาใว้......จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาดูคำตอบ.... คำพูดของตัวเองยังไม่รับผิดชอบ.........นี่นะหรือผู้ประพฤติธรรม.... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 31 ส.ค. 49 17:04:38 ]

ความคิดเห็นที่ 80 วัดพระธรรมกายไม่เชื่อแบบนั้นค่ะ พระพุทธเจ้าท่านพ้นแล้ว   จะไปถูกมารจับได้อย่างไรกันคะ   คุณลองเอาทั้งหมดมาชั่งน้ำหนักดูแล้วค่อยว่าดีกว่าค่ะว่าใครเพี้ยนใครตรง 1.สาธุที่คุณมีความเห็นอย่างนี้ครับ  คือ แยกออกว่านี่ไม่ควรเป็นคำสอนในศาสนาพุทธ 2.วัดธรรมกายเชื่ออย่างนี้ครับ  ผมยังคงยืนยันอยู่  แต่เสียดายไปค้นใน"คลังกระทู้เก่า"  พบว่า กระทู้เก่าๆ ที่มีคนเคยคุยเรื่องนี้กับศิษย์วัดพระธรรมกายหายไปหมดแล้ว  จึงไม่มีหลักฐานเป้งๆ มาแสดง  มีแต่คำพูดลอยๆ  : )     2.1 ถ้าให้ไปถามศิษย์วัดฯที่ยังเล่นห้องนี้อยู่บางท่าน  เช่น คุณหัดฝัน  ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะตอบอย่างไร  อันนี้พูดจริงๆนะครับ-__-a   หรือถ้าจะถามคุณจักรแก้ว(เึึคยเป็นศิษย์วัดฯ ปัจจุบันคลุมเครือ?)  ตอนนี้ไม่ทราบว่า คุณจักรแก้วจะยังมีความน่าเชื่อถือในสายตาศิษย์วัดฯหรือเปล่าน่ะสิ  ขออภัยที่พาดพิง : )     2.2 ก็เลยเอาลิงค์อื่นมาให้ครับ ลองอ่านเทียบๆดูแล้วกันครับ  เชื่อไม่เชื่อ  จะตำหนิหรือด่าว่า ก็ด่าว่าผมก็แล้วกันครับ  อย่าไปตำหนิเจ้าของบทความเลยครับ เพราะเขาเคยประกาศห้ามก้อปข้อความไปแปะที่ไหน  ผมก้อปมาแต่ลิงค์ ถือว่าเลี่ยงบาลีก็แล้วกัน http://www.bangkokmap.com/pm/index.php?option=com_content&task=view&id=82&Itemid=40 แล้วก็ลองเทียบเคียงกับบทความนี้ดู(อันนี้ก้อปแปะได้) "...ในทางวิขขาธรรมกาย ผู้ที่มีญาณทัสสนะแก่กล้า ก็จะสามารถไปพบเห็นพระพุทธเจ้า องค์ที่บารมีแก่ๆ เหล่านี้ได้ ท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่มีบารมีมาก จนปรินิพพานไม่เหมือนกับพระพุทธเจ้าธรรมดาทั่วๆไป ตามปกติพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป จะเข้านิพพานโดยการถอดกายเนื้อหรือทิ้งซากกายมนุษย์ไว้กับโลก แล้วจึงเอาแต่ธรรมกายไปอยู่ในอายตนนิพพาน แต่พระพุทธเจ้าที่บารมีแก่ๆนี้ จะเข้านิพพานไปทั้งกายมนุษย์โดยไม่ต้องถอดกายเลย พระพุทธเจ้าประเภทนี้เรียกว่า "พระบรมพุทธเจ้า" ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย..." http://www.geocities.com/Athens/Ithaca/3050/borom.html อันนี้แถม"นิพพานในทัศนะของชาววิชาธรรมกาย" (คาดว่าคงคุ้นเคยเป็นอย่างดี) http://www.geocities.com/Athens/Ithaca/3050/nirvana.html เอามาจากเวบนี้ครับ  เสิร์ชหามั่วๆ http://www.tawandhamma.net/ อันนี้ถ้าสนใจ "กระทู้ที่คุณสมถะกับชาววิชาธรรมกาย กับชาววัดฯบางท่านคุยเรื่องวิชากัน" http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2006/04/Y4313130/Y4313130.html จากคุณ : เหรียญ - [ 31 ส.ค. 49 22:55:39 ]

ความคิดเห็นที่ 81 คห.73 แดนธรรมกายไม่เคยมีปรากฎ   นิยายค่ะ คห 74 ถ้าใช้ปัญญาเหนืออารมณ์จะดีมากเลยค่ะ   หิ้วบาปวันละกี่กัปคะ คุณฤทธีคะ    นี่เข้าพรรษานะคะ อย่างน้อยศีล 5 ก็ได้ค่ะ วัดพระธรรมกายไม่เชื่อว่ามารจับพระพุทธเจ้าไปขังค่ะ จบ   คุณเข้าวัดกี่ร้อยปีก็จะได้ความรู้แบบนี้ว่าท่านพ้นแล้วค่ะ   หรือว่าคุณจะลองไปถามมารดูก็ได้นะคะว่าจับท่านไปเหรอมาร ไม่เข้าใจนะคะว่าต้องการให้ตอบคำถามอะไรกัน   แล้วก็มาหาว่าโวยวาย   นี่อินเตอร์เน็ทค่ะ   เราไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าเขาใช้น้ำเสียงแบบไหนหากไร้คำหยาบ จากคุณ : Omena - [ 1 ก.ย. 49 08:54:55 ]

ความคิดเห็นที่ 82 จากคุณ : เหรียญ ....................................................... แล้วทั้งหมดที่คุณเหรียญกำลังทำ ทำเพื่ออะไรเหรอค่ะ? แต่ที่เรามาตอบ เราไม่ได้มาโจมตีที่อื่น สิ่งไหนที่ท่านเอามาพูดผิด ๆ เราก็ขอแก้ แต่สิ่งไหนที่ท่านพูดถูกหรือติมาและจริงเราก็รับได้ คุณเหรียญทำเพื่ออะไรค่ะ? เสิร์ชหามั่วๆ? เป็นอย่างไรเหรอค่ะ? ...ความรู้ทุกอย่างของคุณเหรียญมีมาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องหาที่ไหนเลย ไม่เคยเอาสมองหรือความคิดใครเขามาพูดเลยหรือ? จากคุณ : บุญโต - [ 1 ก.ย. 49 10:52:24 ]

ความคิดเห็นที่ 83 สรุปว่าไม่ตอบ  ??????????????? จากคุณ : Ritti Janson - [ 1 ก.ย. 49 11:18:21 ]

ความคิดเห็นที่ 84 "มนุษย์ด้วยกันไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่หรือค่ะ ศัตรูที่แท้จริงคือ "กิเลส...ที่มันครอบงำจิตใจเรา" ไม่ใช่หรือ --------------------------------------------------- ผมว่าคุณบุญโต ควรยกคำถามนี้กลับไปถามคุณธัมมชโย ดีกว่าครับ ว่า ด้วยกิเลสอันใด ถึงทำให้คุณธัมมชโยในที่สุด ก็ขว้างงูไม่พ้นคอ ตกเป็นผู้ที่สังคมรับทราบโดยทั่วกันว่า มีพฤติกรรมยักยอกเงินวัดเมื่อหลายปีก่อน จนต้องนำเอาเงินที่ยักยอกทั้งหมด กว่า 900 ล้านบาทมาคืน เพื่อให้อัยการท่านถอนฟ้อง แล้วตัวคุณธัมมชโยเอง ถึงจะคืนเงินที่ยักยอกไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นข้อหาอาบัติปาราชิกไปได้ แต่ก็ยังดันทำตัวราวกับตนเองยังมีสภาพเป็นพระต่อไปอีก แบบนี้ มันเป็นเรื่องของ กิเลส อันใด ??? คงต้องวานคุณ บุญโต ไปถามจริงๆครับ ตกลงว่า สำนักธรรมกายจะสอนว่า ยักยอกเงินวัด แล้วเอามาคืนเมื่อล่วงไป 7 ปีเพราะกระบวนการยุติธรรม (ไม่ใช่เพราะด้วยเพื่อความถูกต้องตามพระธรรมวินัย) ทำแบบนี้ ไม่ผิดศีล ใช่ไหมครับ? ----------------------------------------------------------- เรื่องแบบนี้ ถ้าจะยกมาสอนผมมันคงเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัว ไปโดยมาก ผมว่า คุณบุญโต ควรจะยกไปสอนให้ถูกคน นำไปถาม คุณธัมมชโย ดีกว่าครับ :-) ----------------------------------------------------- ปล. ไม่ต้องมาอ้างว่า คนที่ยกที่ดินไม่มีปัญหานะครับ เพราะ ที่เป็นคดีนั้น กรณีที่คุณธัมมชโยยักยอกเงินวัดไปจริงๆ โดยไม่เกี่ยวกับในส่วนของเจ้าของที่ดินไม่มีปัญหานั้นก็มีอยู่จริง จากคุณ : nameonics - [ 1 ก.ย. 49 12:27:22 ]

ความคิดเห็นที่ 85 คุณจะไปพูดถึงหลวงพ่อท่านอีกทำไม ท่านทำอะไรให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจหนักหนา...ถึงอะไรอะไรก็ไปลงท่าน...ในเมื่อทุกอย่างจบไปที่ศาลแล้ว ใครจะผิดใครจะถูกดิฉันไม่สนใจเรื่องนั้น ใครจะขว้างงูพ้นคอหรือไม่พ้นคอก็ใช่เรื่องของดิฉัน...ถึงมีผู้ที่ตอบด้วยข้อมูลที่แท้จริงมาอธิบายให้คุณฟัง คุณก็ไม่มีวันฟัง...คุณจะมาบอกดิฉันทำไมเรื่องหลวงพ่อ ดิฉันมองเห็นความดี สิ่งดี ๆ ที่หลวงพ่อทำมากมาย และที่สำคัญหลวงพ่อไม่เคยสอนยักยอกเงินวัด แต่หลวงพ่อสอนไม่ให้เป็นหนี้ใคร เป็นหนี้ต้องชดใช้ ทำไมคุณถึงมองว่าข้อความเหล่านั้นเป็นการสอนล่ะค่ะ คุณคิดไปเองหรือปล่าว สิ่งดี ๆ เรามอบให้กัน คุณไม่รับก็ไม่เป็นไรนี่ค่ะ อ่านแล้วใช้ปัญญาพิจารณา มองเห็นว่าข้อความเหล่านั้นมันผิด มันทุเรศ มันดี มันชั่ว ฯลฯ ก็นั่นคือปัญญาของแต่ละคน การที่จะฝากถามหลวงพ่อท่าน...ถ้าคุณอยากรู้มาก ๆ ใช้วิธีอื่นก็มีนี่คะ...คนที่ชี้แจงที่ถูกต้องแล้วก็มี ตราบใดที่ใจคุณยังมองว่ามันไม่ถูกต้อง ไม่ตรงใจคุณ ... ก็ไม่มีวันจบ นอกเสียจากว่า "คุณต้องแบกคำถามเน่า ๆ สิ่งที่คุณมองว่าเป็นความสกปรก ความเหม็นนั้น ไปจนวันตาย ก็เท่านั้นเอง" จากคุณ : บุญโต - [ 1 ก.ย. 49 13:05:42 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เอาลิงค์กระทู้เก่ามาฝากครับ นี่คือตัวอย่างความเห็นหนึ่งของคนสำนักธรรมกาย ช่วงนั้นคุณหัดฝันก็อยู่ ลองหาดูคคห.ได้ครับ (ขออภัยอย่างยิ่งที่พาดพิง) ลองอ่านดูครับเผื่อจะเข้าใจอะไรดีขึ้น ______________________________________________________________ ความคิดเห็นที่ 79 พญามารร้ายแค่ไหนเอาง่ายๆนะครับ วัฏฏะสงสารนี้มีมานานมากขนาดไหนแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เกิดขึ้นก็ยากมาก แต่ก็เกิดขึ้นมามากกว่าเม็ดทราบในทะเล คิดดูละกันว่าขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมามากมายขนาดนั้น ยังปราบมารตัวใหญ่สุดๆๆๆสุดของสุดไม่ได้เลย เพราะถ้าปราบได้แล้วแสดงว่าต้องไม่มีกิเลสเหลือเพราะกิเลสนี่พญามารเค้าส่งมา คิดดูละกัน พญามารแน่ขนาดไหน สู้กันมาตั้งแต่ต้นกัปล์ ต้นกัลป์แล้ว่ยังไม่แพ้ไม่ชนะเลย อีกตัวอย่างนึง  ถ้านายเคยอ่านคำทำนายเกี่ยวกับพระสมณโคดม ที่พระทีปังกรพุทธเจ้าทำนายไว้ นั่นก็เกิดโดยพญามารเหมือนกัน ที่พระทีปังกรทำนายว่าสุเมธดาบส จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอีก....กัปล์ มีพระสาวกชื่อ... แล้วท่านบอกท่านจะมีพระชนมายุ100ปี แต่พอมาเอาเข้าจริง ทอนลงเหลือ 80 ปีได้อย่างไร นี่แสดงว่าเค้าทำได้แม้กระทั่งบิดเบือน พุทธพยากรณ์เลย เค้าทำได้ขนาดนี้ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 48 14:52:23 จากคุณ : อาศรมวิทยาธร (affords) - [ 30 ก.ย. 48 14:48:21 ] http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3762276/Y3762276.html&Query=%CD%D2%C8%C3%C1%C7%D4%B7%C2%D2%B8%C3 ______________________________________________________________ ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ มีอีกเยอะนะครับ แจ้งไว้ แล้วว่างๆ ผมจะไปขุดมาให้อีก  อิอิอิ จากคุณ : Sea Ghost Man - [ 1 ก.ย. 49 13:53:15 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ถ้าคร้านจะอ่านทั้งกระทู้ ค้นชื่อ อาศรมวิทยาธร กับ หัดฝัน ดูก็ได้ครับ  สะดวกดี แถมให้อีกกระทู้... ความคิดเห็นที่ 140 ถึง nameonics ถูกครับท่านไม่ได้โสดาบัน และท่านก็ไม่หวังว่าจะได้ในชาตินี้ด้วย มโณปณิธานของท่านใหญ่กว่านั้นครับ ใหญ่กว่ามากจนการแค่ได้รับพุทธพยากรน่ะ.......ครับ พูดได้แค่นี้นะ นับว่าอธิบายลึกมากแล้วนะลึกกว่านี้ไม่สมควรพูดครับ จากคุณ : อาศรมวิทยาธร (affords) - [ 21 พ.ค. 48 18:35:26 ] http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3467437/Y3467437.html&Query=%CD%D2%C8%C3%C1%C7%D4%B7%C2%D2%B8%C3 จากคุณ : Sea Ghost Man - [ 1 ก.ย. 49 14:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ^ คุณSea Ghost Man...สรุปสั้น ๆ หน่อยซิ ว่าคุณกำลังพยายามทำอะไร สื่อให้เห็นถึงอะไร พูดเรื่องอะไร เข้าไปอ่านก็วนไปวนมา โต้ไปโต้มา จากคุณ : บุญโต - [ 1 ก.ย. 49 16:26:22 ]

ความคิดเห็นที่ 89 คุณบุญโต คงจะเข้าใจผิดอะไรบางประการ 1. ที่ผมพูดเรื่อง "กิเลส...ที่มันครอบงำจิตใจเรา"  ก็เป็นแค่การหยิบประเด็นที่คุณทิ้งไว้ กลับมาถามคุณบุญโต ตรงตามหัวข้อในกระทู้นี้ ที่คุยกันเรื่อง ปาราชิก ก็เท่านั้น ส่วนเรื่อง "เจ็บช้ำน้ำใจ" นี่ ผมไม่รู้สึกเช่นนั้นหรอกครับ เพราะไม่ได้มีอะไรบาดหมางกับคุณธัมมชโยเป็นการส่วนตัว แต่ที่เขียนถึงเพราะกรณีนี้ผมเห็นว่า คุณธัมมชโย ทำไม่ถูก ก็ว่าไปตามความจริง ส่วนที่คุณว่า -ถึงมีผู้ที่ตอบด้วยข้อมูลที่แท้จริงมาอธิบายให้คุณฟัง - ผมก็ฟังครับ แต่ส่วนใหญ่ที่ชาวธรรมกายเข้ามาตอบ มันเป็นความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียวบ้าง ไม่จริงบ้าง... ซึ่งเห็นแล้ว ผมก็ต้องพูดต่อสิครับ ว่า มันไม่จริงบ้าง จริงเพียงแค่ครึ่งเดียวบ้าง...... ตัวอย่างเช่น ที่คุณบุญโตกล่าวว่า * สำคัญหลวงพ่อไม่เคยสอนยักยอกเงินวัด แต่หลวงพ่อสอนไม่ให้เป็นหนี้ใคร เป็นหนี้ต้องชดใช้ * แบบนี้ ผมว่าคุณธัมมชโย ก็คงไม่เคยสอนให้ใครไปยักยอกเงินวัดหรอกครับ แต่ความเป็นจริงก็คือ - สมเด็จพระสังฆราชท่านก็ทรงเห็นว่า ท้ายที่สุดคุณธัมมชโยได้มีพฤติกรรมยักยอกของสงฆ์เป็นของส่วนตนจริง - อัยการก็เห็นตรงกันว่า คุณธัมมชโยยักยอกเงินวัดไปจริง จนต้องทำให้ คุณธัมมชโยต้องเอาเงินที่ยักยอกวัดไป มาคืน ถึงจะยอมถอนฟ้องให้ ตามความเป็นจริงทั้งนั้น แบบนี้ผมก็เห็นว่า คุณบุญโต พูดมาผิดๆจากความจริง ผมก็แค่นำข้อมูลที่เป็นจริงมาให้คุณได้อ่าน คุณเองเสียอีก ที่ไม่เคยศึกษาความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น ได้แต่ปกป้องคุณธัมมชโย หรือเชื่อแบบผิดๆว่า ธัมมชโย นั้นสอนว่าไม่ให้ยักยอก แต่ดันลืมดูว่า พฤติกรรมจริงๆน่ะ เค้าได้ยักยอกไปแล้ว เข้าข่าย ปากอย่างใจอย่าง จริงๆ ส่วนที่ว่า * การที่จะฝากถามหลวงพ่อท่าน...ถ้าคุณอยากรู้มาก ๆ ใช้วิธีอื่นก็มีนี่คะ...* ก็ผมก็แค่ฝากคุณบุญโต ไปถาม เพราะมันเป็นประเด็นที่ต่อมาจากสิ่งที่คุณพูด ในเรื่อง "กิเลส...ที่มันครอบงำจิตใจเรา" ไง.... แล้วผมจะถามทางไหน มันผิดตรงไหนหรือครับ? รับฝากไปถามก็ช่วยถามให้หน่อย ถ้าไม่รับฝากผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ แต่ที่คุณบุญโต คิดว่า คำถามแบบนี้มันเป็นคำถามเน่าๆ ผมกลับเห็นว่า ที่เน่าๆนั้น จริงๆแล้วคือ พฤติกรรมของคนที่ ยักยอกเงินวัด แล้ว ยังกระทำตนราวกับยังเป็นเสมือน พระ เฝ้าพร่ำสอนให้คนอื่นทำดี ถือศีล ทั้งๆที่ตนเองก็ทำไม่ได้ต่างหากล่ะครับ ที่มันเน่า หาใช่เป็นคำถาม(ของผมที่มันจะเข้าไปสะกิดใจ เตือนให้พวกอลัชชีแบบนี้ให้ได้หัดรู้จักมีสำนึกบ้าง..เสียเมื่อไหร่) จริงไหมครับ ?? จากคุณ : nameonics - [ 1 ก.ย. 49 16:46:11 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ^ ก็ถึงบอกงัยข้อมูลที่ว่าถูกทำไมไม่เอามาลงบ้าง จากคุณ : บุญโต - [ 1 ก.ย. 49 17:36:48 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ^ สงสัยคุณบุญโตจะอ่านไม่เข้าใจภาษาไทย หรือ ไม่ก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจอ่านที่ผมเขียนไว้สักเท่าไร.... ข้อมูลที่ว่าถูกก็เอามาลงอยู่แล้วไงครับ 1. พระลิขิตระบุว่า คุณธัมมชโยมีเจตนายึดเอาของสงฆ์ เป็นของส่วนตน จึงต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็น สงฆ์โดยทันทีที่ได้กระทำการยักยอกเงินดังกล่าว 2. อัยการสรุปว่า คุณธัมมชโยได้นำเงินที่ยักยอกวัดทั้งหมด 900กว่าล้านมาคืน จึงยอมถอนฟ้องคุณธัมมชโย ตรงไหนที่ผมยกมาแล้วไม่ถูก บ้างครับ? เอาแบบที่ "ไม่ถูกตามความเป็นจริง" นะครับ "ไม่เอาแบบที่ไม่ถูกใจคุณบุญโต" :-) จากคุณ : nameonics - [ 1 ก.ย. 49 18:25:16 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ตอบคห.82(ที่ถามผม)      กับ 86(ที่ถามคุณ Sea Ghost Man)      คุณบุญโตอ่านคห.61, 69, 70 ดูนะครับ  จะได้ไม่ถามเหมือนไม่ทราบที่มาที่ไป  -__-a       บอกตรงๆ ผมแปลกใจนะเนี่ย อีกคำถามในคห.82       คำว่า "เสิร์ชมั่วๆ"  ผมพูดล้อเลียนตัวเองเรื่องใช้ Google  ผมไม่ได้ตำหนิว่า "ข้อมูลของเวบนั้น" เป็นข้อมูลที่เสิร์ชมามั่วๆ(ไม่เช่นนั้นผมจะก้อปข้อความมาอ้างอิงทำอะไร???)       ช่วงนี้คุณบุญโตตอบหลายกระทู้จนเหนื่อยตาลายแน่ๆ เลยครับ  ค่อยๆอ่าน ค่อยๆตอบเถอะครับ  อย่ารีบร้อนเอาเป็นเอาตายเลย   ตอบคห.81        คุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ  อย่างน้อยผมก็ดีใจอย่างหนึ่งว่า  คุณไม่มีทิฏฐิประหลาดๆ พวกนั้น          แต่ผมก็ยังเชื่อของผมอยู่ดีครับ : )  เพราะได้อ่านได้เห็นมาอย่างนั้น   และสักวันหนึ่ง  ถ้าคุณอยู่เป็นศิษย์ชั้นในๆ ของวัดนั้นแล้ว(ตอนนี้เป็นหรือยังผมก็หาทราบไม่)  คุณอาจจะพบว่าผมพูดถูก(หรือไม่ถูก)ก็เป็นได้ครับ จากคุณ : เหรียญ - [ 1 ก.ย. 49 19:17:03 ]

ความคิดเห็นที่ 94 รู้สึกเอะใจคห.81 นิดหน่อย คุณปฏิเสธคห.73 ทั้งหมด   หรือ ปฏิเสธแค่บางส่วนครับ? จากคุณ : เหรียญ - [ 1 ก.ย. 49 21:58:26 ]

ความคิดเห็นที่ 95 เพิ่งรู้ว่า  โพสต์ลิงค์เวบวัดคุณไม่ได้   งั้นเอาใหม่ จากกระทู้ "พระ Vs พญามาร" ในลิงค์เวบวัดคุณ  หรือ จากลิงค์ google  หัวข้อแรก http://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B3&sourceid=mozilla-search&start=0&start=0&ie=utf-8&oe=utf-8&client=firefox&rls=org.mozilla:en-US:unofficial (คห.25)ขอตอบเรื่องนี้เท่าที่ควรนะครับ 1.ผู้ที่จะตอบและรู้เรื่องนี้ได้ต้องเป็นวิชาธรรมกายขั้นสูงเท่านั้น 2.เป็นเรื่องละเอียด ยาก และโพสต์ในบอร์ด ไม่เหมาะสม 3.หากต้องโพสต์กันจริงๆ ก็ต้องตอบกันแบบย่อซึ่งผู้อ่านต้องมีความรู้มากมาก่อน เช่น ต้องรู้เรื่องอายาตนะนิพพาน, ธาตุธรรม, ผู้ปกครองใหญ่, ผู้ปกครองย่อย, พระพุทธเจ้าภาคโปรด, พระพุทธเจ้าภาคปราบ ฯลฯ ผมเองไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบเรื่องนี้ได้โดยกระจ่าง แต่จะแจ้งแหล่งสืบค้นและรายชื่อตำราให้ โดยผ่านทาง email เท่านั้นครับ เพื่อศึกษา เรื่องมาร พญามาร ก็เห็นมีการตั้งใจปราบกันก็ยุคหลวงพ่อสด (พระมงคลเทพมุณี หลวงพ่อวัดปากน้ำ)นี้ครับ ท้ายนี้ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้น้อยมากครับ ส่วนที่คุณบอกว่า ทางวัดฯไม่เชื่อเรื่องนี้  อาจจะเพราะ... (คห.2)ผมก็อยากตอบคำถามคุณเหมือนกันครับ ถ้ากระทู้คุณไม่ถูกลบไปซะก่อนคงได้ทราบคำตอบนั้นครับ (คห.3)คำถามนี้เป็นคำถามที่ละเอียดอ่อนและเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งครับ ไม่เหมาะสมที่จะโพสกันในที่สาธารณะเช่นเวปบอร์ดครับ เพราะอาจจะเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณนะครับ แต่อย่างไรก็ดี อันดับแรก ควรจะนั่งธรรมะจนเข้าถึงพระธรรมกายจนได้ก่อนแหละครับ น่าจะดีที่สุดนะครับ จากคุณ : เหรียญ - [ 1 ก.ย. 49 22:08:28 ]

ความคิดเห็นที่ 96 ตอบ ทุกๆท่านในนี้ครับ หลวงพ่อ ไม่เคยสอนอะไรที่ผิดไปจากพระไตรปิฏกเลยครับ ส่วนที่ท่านสอนเกินมานั้นเป็นความรู้ภายในซึ่งได้ถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อสด เป็นต้นมา จนมาถึงท่าน ซึ่งคุณจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ แต่ไม่ควรพูดกล่าวหาท่านแบบนี้ครับ แล้วที่คุณเอาลิ้งอะไรต่อมิอะไรมานั้น มีทั้งผิดบ้างถูกบ้าง มีทั้งหลวงสอนบ้าง ไม่ใช่หลวงพ่อสอนบ้าง ซึ่งผมไม่สามารถจะอธิบายได้หมดครับ เพราะเล่นถามกันทุกตัวอักษรแบบนี้ ผมว่าอย่ามัวจับผิดในเรื่องเหล่านี้เลยครับ น่าจะมา ทำใจหยุดนิ่งเพื่อให้เกิดสมาธิ กันน่าจะมีประโยชน์กว่าจริงไหมครับ "หยุดเป็นตัวสำเร็จ" ขอบคุณครับ จากคุณ : กรรไกรรัตนะ (กรรไกรรัตนะ) - [ 1 ก.ย. 49 23:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 97 แล้วสอนเรื่อง อายตนนิพพาน อันนี้อยู่ตรงส่วนไหนของพระไตรปิฎกหรือ? ความรู้ภายใน......พูดไปได้.......เก้อยากจริงๆ..... ตั้งลัทธิใหม่ไปซะ....จะมาเป็นอีแอบ บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาอยู่ทำไม? นิพพานเป็นอัตตา พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอน พระไตรปิฎกก็ไม่มีเรื่องนี้ เอามาพูดมาสอนกันอยู่ได้อย่างไร? ความรู้ภายในอีกละสิ............... ทำเหมือนกับว่า ผู้รู้ท่านอื่นๆทั้งบ้านทั้งเมือง ดีแต่พูด ไม่ได้ปฏิบัติ..... คนพวกนี้ช่างคิดพูดกันไปได้...... จากคุณ : Ritti Janson - [ 2 ก.ย. 49 10:18:38 ]

ความคิดเห็นที่ 98 มาอัพเดตข้อมูลครับ   ตอนนี้ "กระทู้นั้น"  ได้ถูกมือดีลบทิ้ง เป็นที่เรียบร้อย   ว่องไวดีจริงๆ : ) สรุปว่า  เป็นข้อมูลที่คนทั่วไปไม่ควรทราบจริงๆ สินะ -__-a นึกถึงแต่ก่อน  เหล่าท่านๆ โพสต์อย่างเปิดเผย ภูมิใจในวิชาตน   ตอนนี้เปลี่ยนนโยบายเสียแล้ว  : ) จากคุณ : เหรียญ - [ 2 ก.ย. 49 10:41:15 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เผื่อกระทู้นั้นกลับมา...   เก็บหลักฐานไว้ก่อน ---------------------------------------------------- ตอบคห.96        ไม่ได้คิดจะถามซักอะไรเลยครับ  เพราะเคยถามกัมาจนเหนื่อยมาแล้ว  ขี้เกียจแล้ว         เพียงแต่ที่ยกลิงค์โน้นลิงค์นี้มา  เพราะน้องเขาไม่เชื่อ(ผมชักไม่แน่ใจ?) ว่าวัดคุณมีทิฏฐิอย่างนี้   ว่างๆ ผมก็หาๆ หลักฐานมายืนยันเท่านั้นเองครับ         ขออภัยที่ทำให้ขุ่นใจด้วยครับ จากคุณ : เหรียญ - [ 2 ก.ย. 49 10:58:13 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ตรงไหนที่ผมยกมาแล้วไม่ถูก บ้างครับ? เอาแบบที่ "ไม่ถูกตามความเป็นจริง" นะครับ "ไม่เอาแบบที่ไม่ถูกใจคุณบุญโต" :-) จากคุณ : nameonics .............................................. ถูกใจบุญโตก็ไม่ถูกใจคุณอยู่ดีแหล๊ะ สรุปก็คือลองเอาข้อความที่เขาเขียนดี ๆ มาลงบ้างซิ จะได้ไม่ต้องขออภัยที่ทำให้ใจใครเขาขุ่น ใครก็ตามที่บุญโตเคยกล่าววาจาไม่ดีด้วย บุญโตขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน...ตอนแรกบุญโตคิดว่าที่แห่งนี้ตั้งกระทู้มาเพื่อต้องการคำตอบ ต้องการความจริงที่ถูกต้อง...แต่เมื่อไม่ใช่...ตั้งแต่นี้บุญโตก็จะไม่เข้ามาคุยให้เสียเวลา นึกถึงคำที่หลวงพ่อพูดว่า...หลวงพ่อโดนด่ามานาน โดนทั้งวัน โดนทั้งคืน โดนทั้งปี โดยไม่โต้ตอบ หลวงพ่อไม่เคยว่าหรือกล่าวร้ายใคร ใครจะทำให้ใครเกลียดหลวงพ่อ "ไม่เป็นไร" หลวงพ่อรักพวกเค้าข้างเดียวก็พอ หลวงพ่อไม่แสวงหา ไม่โต้ตอบ ไมหนี ไม่ประทุษร้ายใคร... จากคุณ : บุญโต - [ 2 ก.ย. 49 12:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 101 สรุปก็คือลองเอาข้อความที่เขาเขียนดี ๆ มาลงบ้างซิ ^ ^ แสดงว่า คุณบุญโต ไม่เข้าใจ ในเมื่อผมเห็นว่า ตัวต้นเรื่องคือ คุณธัมมชโย ทำไม่ดี -ยักยอกเงินวัดเป็นเรื่องผิดพระธรรมวินัย -สอนผิดไปจากพระไตรปิฎก แล้วจะให้ผมเขียนแต่สิ่งดีๆ ของใครล่ะครับ? * ถ้าเป็นของคุณธัมมชโย ก็มีแต่จะต้องเขียนเตือนสติ ให้ละชั่วทำดี * ถ้าเป็นเรื่องภายในธรรมกาย ก็มีแต่จะต้องเขียนเตือนสติ ให้รู้จักแยกแยะว่า สิ่งใดเป็นธรรมะของพระพุทธองค์ สิ่งใดเป็นเรื่อง ที่สำนักคุณเสริมแต่งกันขึ้นมาเอง จะว่าไปที่ผมเขียน มันก็เป็นเรื่องดีๆ อยู่แล้ว (ให้ละชั่วทำดี ให้เชื่อพระธรรมวินัยขององค์ศาสดา - ไม่ใช่ให้เชียร์คนทำผิดศีล ทำสัทธรรมปฏิรูป) แต่เขียนแล้วคงไม่ถูกใจคุณบุญโต ก็แค่นั้นเอง ใช่ไหมครับ? คุณบุญโตถึงขุ่นใจ....เมื่อได้อ่านที่ผมเขียน ซึ่ง แน่นอนว่า ผมไม่คิดขออภัยที่ทำให้ขุ่นใจหรอกนะครับ เพราะที่เขียนน่ะ เรื่องจริงที่คุณธัมมชโยและธรรมกายทำทั้งนั้น..... จะว่าไปก็แปลกดี ที่คนธรรมกายหลายคนเป็นแบบนี้นะ - ที่ยักยอกเงินวัดไปจริง ก็ฟังกันไม่ได้ - ที่สอนกันแปลกออกไปจากพระไตรปิฎกจริง ก็ฟังแล้วขัดใจ ทั้งๆที่ก็รู้กันอยู่แก่ใจแท้ๆ ว่า ได้ทำกันจริงๆ แล้วไหงถึงต้องมาทำเป็นขุ่นใจ เมื่อได้ฟังสิ่งที่ตัวเองก็ทำกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกันหนอ..... น่าขำดีนะครับ...... ถ้าทำดีจริง คนพูดถึง คุณบุญโตจะต้องไปขุ่นใจทำไมเล่าครับ? ----------- ส่วนที่คุณธัมมชโย มักจะคอยสอนลูกศิษย์ไม่ให้ตอบโต้ ไม่ให้ไม่ว่าใครเขานั้น ผมว่าก็เป็นส่วนดีของคุณธัมมชโยนะครับ ที่พอจะรู้ตนอยู่บ้างว่า ตนเป็นต้นเหตุ ให้คนอื่นเค้าตำหนิได้ ก็ไม่ควรไปตอบโต้ผู้อื่น (แต่ก็ยังดีไม่สุด เพราะ คุณธัมมชโยดีแต่สอนเท่านี้เท่านั้น แต่ไม่ได้ปรับปรุงตัวเองให้หมดข้อตำหนิไป) ลูกศิษย์บางคน ที่ได้แต่ฟัง เลยกลายเป็นยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ ทึกทักเอาว่า เจ้าสำนักเราดี ภูมิใจที่เราไม่เคยตำหนิใคร เห็นได้จากการที่ คนกลุ่มนี้มักนำเอาเรื่องโอวาทปาฏิโมกข์มาโพสเสมอๆ ถ้าใครพูดถึงความผิด ของธรรมกายหรือธัมมชโย ซึ่งโพสมาก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่คนโพสก็ควรดูด้วยว่า ก่อนที่จะโพสเรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์มานี้ สำนักตัวหรือคุณธัมมชโยเองได้กระทำดีครบตาม หลักโอวาทปาฏิโมกข์แล้วหรือยัง ไม่ใช่ดีแต่ยกคำสอนของศาสดามาเตือนผู้อื่น แต่ดันไม่รู้จักดูที่ความผิดของตน แบบที่คนธรรมกายหลายคนชอบทำ เห็นแล้วทึ่งครับ สอนกันได้ amazing แปลกๆไปจริงๆ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 49 13:54:11 จากคุณ : nameonics - [ 2 ก.ย. 49 13:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เมื่อเดือน มิ.ย. 49 ยังค้นหากระทู้ "... Y3561147 นานาทัศนะ 'ธรรมกาย'{แตกประเด็นจาก Y3554882} [].htm ..." ค้นได้  จาก Google นะครับ   แต่ค้นในคลังกระทู้เก่าของ pantip เองไม่พบครับ แต่เดือนนี้ไปค้นใน Google กลับค้นหาไม่พบ เกิดอะไรขึ้น  ? ? http://72.14.203.104/search?q=cache:bijcw7-nMmgJ:www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y3561147/Y3561147.html+&hl=th&gl=th&ct=clnk&cd=1 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ทวนทอง - [ 8 ก.ย. 49 01:06:56 ]

ความคิดเห็นที่ 103 เอาใหม่ จากคุณ : ทวนทอง - [ 8 ก.ย. 49 01:07:48 ]

ความคิดเห็นที่ 104 เอ้าไหงรูปไม่ขึ้น [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ทวนทอง - [ 8 ก.ย. 49 01:10:49 ]

ความคิดเห็นที่ 105 อีก [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : ทวนทอง - [ 8 ก.ย. 49 01:11:48 ]

ความคิดเห็นที่ 106 ...นี่หรือ พุทธศาสนา...จบ... จากคุณ : NudeGooRoo - [ 28 ก.ย. 49 14:05:38 ]

ความคิดเห็นที่ 108 "นายถวิล"ผอ.พศ.คดีอธิกรณ์"หลวงพ่อธัมมชโย"ยุติจบทั้งทางโลก ทั้งทางธรรมแล้ว สำนักข่าวพระสงฆ์ไทยรายงานว่าจากกรณีที่ศาลสั่งจำหน่ายคำคดีหลวงพ่อพระธัมมชโย ออกจากสารระบบความของศาลอาญา มีผลให้คดีทุกคดียุติสิ้นสุดลงไปเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2549 ที่ศาลอาญา รัชดา กรุงเทพฯ โดยมีเรืออากาศโทวิญญู วิญญกุล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล ซึ่งหลังอัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว มีความเห็นให้ถอนฟ้อง ทั้งนี้ เป็นไปตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 78 และ 128 โดยเมื่อยุติการสั่งคดีก็ต้องถือว่าคดีนี้สิ้นสุดลงตามกระบวนการทางกฎหมายทันที นั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม สื่อมวลชนไทยทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ที่เคยกลั่นแกล้งหลวงพ่อพระธัมมชโยในสมัยตกเป็นข่าวปี2543 สื่อมวลไทยได้รับเงินต่างชาติ เสนอข่าวโจมตี ทำลายพุทธศาสนาและทำลายหลวงพ่อพระธัมมชโย มาโดยตลอดนั้น ยังไม่พอใจในคำพิพากษาของศาล ได้พากันวิ่งสัมภาษณ์พระมหาเถระผู้ใหญ่ ไม่มีพระมหาเถระรูปใดให้สัมภาษณ์เพราะทราบดีว่า เรื่องทั้งหมดเป็นการกลั่นแกล้งกัน เพราะเรื่องมันจบสมัยพระพรหมโมลี อดีตเจ้าคณะภาค 1 ยุติเรื่องเพราะคุณสมบัติผู้ร้องกล่าวหา ขาดคุณสมบัติไป ทำให้เรื่องอธิกรณ์ยุติจบลงตามพระธรรมวินัย นอกจากสื่อมวลชนวิ่งสัมภาษณ์พระมหาเถระผู้ใหญ่แล้ว ล่าสุดวิ่งไปสัมภาษณ์นายถวิล สมัครรัฐกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ซึ่งนายถวิล สมัครรัฐกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้กล่าวถึงว่า การตั้งคณะกรรมการสอบวินัยสงฆ์ธัมมชโยนั้น เดิมมีพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 เป็นประธานสอบ แต่ปัจจุบันได้มรณภาพไปแล้ว อีกทั้งเมื่ออัยการได้ยื่นถอนฟ้องคดีนี้ คงจะไม่มีตั้งคณะกรรมการสอบวินัยทางสงฆ์อีก เพราะถือว่าเรื่องจบแล้ว จึงขอร้องให้สื่อมวลชนอย่านำเรื่องดังกล่าวเสนอข่าวอีก เพราะเรื่องอธิกรณ์พระธัมมชโย วัดพระธรรมกาย ยุติลงไปตามศาลพิพากษาสั่งจำหน่ายคดี ทำให้คดีทุกคดีสิ้นสุดลงและเรื่องพระวินัย ก็ต้องยุติไปด้วยตามกฎหมายและตามพระธรรมวินัย นายถวิลกล่าว http://www.yuwasong.com/yuwasong-news02549/yuwasong-newstoday238.html จากคุณ : Dusitb - [ 17 ต.ค. 49 17:45:22 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ธรรมกายของพระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ต่อไปนี้ ๑. สอนว่านิพพานเป็นอัตตา ๒. สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกาย ที่เป็นตัวตนเป็นอัตตา   ของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์ ไปรวมกันอยู่ในอายตนนิพพาน ๓. สอนเรื่องอายตนนิพพาน ให้เข้าใจผิดต่อนิพพาน เหมือนเป็นดินแดนที่จะ   เข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ ที่จะนำข้าวบูชาไป   ถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้น คำสอนเหล่านี้ ทางสำนักสายวัดพระธรรมกายคิดขึ้นใหม่ เป็นของนอกธรรมนอกวินัยของพระพุทธเจ้า แต่แทนที่จะสอนไปตามตรงว่าเป็นลัทธิของครูอาจารย์ ทางวัดพระธรรมกายกลับพยายามนำเอาคำสอนใหม่ของ ตนเข้าใส่แทนที่หลักคำสอนเดิมที่แท้ของพระพุทธศาสนา ยิ่งกว่านั้นเพื่อหาทางให้ลัทธิของตนเข้าแทนที่พระธรรมวินัยได้สำเร็จสำนักวัดพระธรรมกายยังได้เผย แพร่เอกสาร ที่จ้วงจาบพระธรรมวินัย ชักจูงให้คนเข้าใจผิด สับสน หรือแม้แต่ลบหลู่พระไตรปิฎกบาลี ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น        ๑. ให้เข้าใจว่าพระไตรปิฎกบาลี บันทึกคำสอนไว้ตกหล่น หรือมีฐานะเป็นเพียง            ความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เชื่อถือหรือใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้        ๒. ให้นำเอาพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ เช่น พระไตรปิฎกภาษาจีน และคำสอนอื่นๆ            ภายนอกมาร่วมวินิจฉัย พระพุทธศาสนาเถรวาท        ๓. ให้เข้าใจเขวไปว่าหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องอภิปรัชญา ขึ้นต่อการตี            ความ และความคิดเห็น ตลอดจนการถกเถียงทางวิชาการ        ๔. อ้างนักวิชาการต่างประเทศ และการปฏิบัติของตน ดังว่าจะใช้วินิจฉัยหลักพระ             พุทธศาสนาได้ ฯลฯ        อีกทั้งสิ่งที่ยกมาอ้าง เช่น คัมภีร์ของมหายาน และทัศนะของนักวิชาการตะวันตก ก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง หรือไม่ก็เลื่อนลอย นอกจากนั้นยังนำคำว่า "บุญ" มาใช้ใน ลักษณะที่ชักจูงประชาชนให้วนเวียนจมอยู่กับการบริจาคทรัพย์ เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ชนิดที่ส่งเสริมความยึดติดถือมั่นในตัวตนและในตัวบุคคล อันอาจกลายเป็นแนวโน้มที่บั่นทอนสังคมไทยในระยะยาว พร้อมทั้งทำพระธรรมวินัยให้ลางเลือนไปด้วย พฤติการณ์ของสำนักวัดพระธรรมกายอย่างนี้ เป็นการจาบจ้วง ลบหลู่ ย่ำยีพระธรรมวินัย สร้างความ สับสนไขว้เขวและความหลงผิดแก่ประชาชน นอกจากนี้มติของคณะผู้ดูแลลานธรรมเสวนายังได้ยึดแนวทางการดำเนินงานตามพระวรธรรมคติซึ่งเป็นพระบรมราชวินิจฉัยของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชทั้ง ๕ ฉบับต่อกรณีวัดพระธรรมกายดังต่อไปนี้ ฉบับที่ ๑ "ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที ฉบับที่ ๒ การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ยังไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา " ฉบับที่ ๓ "การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง เป็นพระปลอม ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน" ฉบับที่ ๔ " ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม " ฉบับที่ ๕ " ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่าในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งฟัง รับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 "       เอกสารอ้างอิง กรณีธรรมกาย และ พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช http://dhammakaya.exteen.com/20050418/entry-48 จากคุณ : what for ^.~ - [ 29 ต.ค. 49 19:02:59 ]

ความคิดเห็นที่ 110 พออ่านเข้าไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกจะเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ ถ้าเป็นชาวพุทธอยากให้นำคำสอนหรือพระไตรปิฎกก่อนที่จะมีวัดพระธรรมกายมาดูว่าหลักธรรมคำสั่งสอนของธรรมกายได้เปลี่ยนหรือเพี้ยนไปหรือเปล่า ถ้าเปลี่ยนหรือเพี้ยนก็น่าจะตั้งนิกายใหม่ ที่ไม่ใช่เถรวาทหรือหินยาน จะได้ไม่มีใครว่าได้ เพราะเท่าที่ผมดูฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็จะอ้างคำสอนที่มีมาแต่ดั้งเดิม ส่วนของธรรมกายก็จะเชื่อของใหม่ที่แต่งขึ้น(ต้องขอโทษถ้าเข้าใจผิด)       และถ้าเป็นนิกายใหม่จริงๆที่เข้าถึงอายตนะนิพพานได้ง่าย ตามความเชื่อ ตามปัญญาหรือตามศรัทธาที่เกิด ก็ไม่น่าจะว่าได้เพราะตรงนี้เป็นปัจเจกความคิด        ก็อาจจะดีสำหรับผู้ที่ปฏิบัติเก่าๆแล้วยังไม่เข้าถึงนิพพาน แต่กระนั้นเลยก็คงเปลี่ยนไม่ได้กับสิ่งที่ได้รับรู้มาเช่นเดียวกับผม จากคุณ : buraveep - [ 12 พ.ย. 49 22:00:02 ]

ความคิดเห็นที่ 111 อยากเขียนสิ่งที่ฉันรู้สึกไว้บนฟ้า อยากบอกว่ารักทุกเวลาข้างๆหู อยากเก็บลมหายใจเราไว้ทุกอณู อยากให้รู้ มารักกัน ดีกว่าเอย กราบนมัสการพระคุณเจ้า  สวัสดีเพื่อนชาวพันทิพย์ทุกคน ตั้งแต่จำความได้ผมแต่อะไรทำนองนี้ ไม่รู้เรียกว่ากลอนได้หรือเปล่า ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สาม ครั้งล่าสุดแต่งให้สาวเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมรู้สึกตามที่ผมเขียนไปนั่นแหละครับ จริงๆนะครับผมว่าท่านผู้อ่าน ได้รับข้อมูลแล้ว ขอให้พิจารณาให้ดีนะครับ สิ่งที่ผ่านมาให้ระบบสมองการรับรู้ของเราบ่อยๆ มันก็จะกลายเป็นของเราโดยไม่รู้ตัว ขอให้เลือกแต่สิ่งที่ทำให้ใจ ใสๆ เถิดนะครับ ส่วนผู้ที่พบกับความขุ่นหมองมาบ้างก็ขอให้ถือว่าเป็นการฝึกตนให้ดีขึ้นนะครับ สุดท้าย สิ่งที่บางทีอาจดูแล้วไม่เข้าท่า ไม่ดี ไร้สาระ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นไปในการลบ  เราจงหาสิ่งดีในสิ่งนั้นให้ได้ ชีวิตเราจะเป็นสุข และความสามารถใน(การจับดี)นี้เป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ และเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรฝึก ด้วยนะครับ จากคุณ : กวีหัดเดิน (ดาวธรรม) - [ 14 พ.ย. 49 16:16:45 ]

ความคิดเห็นที่ 112 คุณ คห.61  "ไม่ขอออกความเห็น   แต่อยากบอกว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ....... " ขอถามว่าใครเป็นคนบอกคุณครับว่าท่านไม่ใช่พระอรหันต์  และเขารู้ได้อย่างไรครับ ? ขอความสุขสวัสดี  จงมีแด่ผู้ประพฤติธรรมจริง ๆ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 49 07:36:41 จากคุณ : Learn and Live - [ 15 พ.ย. 49 07:34:41 ]

ความคิดเห็นที่ 113 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4876029/Y4876029.html#11 จากคุณ : วรกร - [ 15 พ.ย. 49 08:59:51 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ความคิดเห็นที่ 49   จากคุณ : ฮวยฮ้วยห่วย   - [ 29 ส.ค. 49 15:37:52 ] ความคิดเห็น 38 ถ้าผมไม่เคยไปวัดคุณผมจะรู้ได้ไงว่าสร้างศูนย์การค้า *** แล้วรู้หรือเปล่าว่าเขตวัดสิ้นสุดตรงไหน -หมอดูประจำตระกูลผม ศิษย์ก้นกุฏิหลวงพ่อสด เป็นคนวางฤกษ์ปฏิวัติให้จอมพลสฤษดิ์ เป็นเพื่อนสนิทครูเทพย์ สาริกบุตร *** เกี่ยวกันด้วยหรือ -พี่ที่ออฟฟิซเก่าผมเป็นคนวัด ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพวกคุณรับคำสอนอะไรมา *** ถ้าถามว่าคนพุทธทุกคนไม่งมงาย จะตอบได้ไหมว่าใช่ เพราะมันต้องมีสักคนล่ะ ที่นับถือไว้ประดับแต่ไม่ศึกษาจริง   มันไม่ใช่คณิตศาสตร์ที่เมื่อ 1 คำตอบออกมาผิด ที่เหลือก็ต้องผิดด้วย -คนที่ออฟฟิซผม 2 คน เคยเป็นคนวัด เลิกแล้ว เพราะเสื่อมหลวงพ่อของคุณ *** ข้างบน -คุณสมถะ สายตรงหลวงพ่อสดในเว็บนี้ เขายังไม่เอากับพวกคุณเลย *** เขาเชื่อว่าเป็นฆราวาสดีกว่า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าในพระนิพพานถูกมารจับไปขัง แล้วคนที่เขาบูชาซึ่งไม่ใช่พระไปช่วยพระพุทธเจ้า เก่งกว่าพระพุทธเจ้า   อย่างนี้คุณนับถือเหรอคะ   วัดนั้นก็เป็นวัดแตกออกมา คนที่เขานับถือก็มีครอบครัว ยังมีด้วยค่ะ   แล้วพระพุทธเจ้าสอนแบบนั้นหรือคะ คนบางกลุ่มดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีหลักยึดทางใจ เมื่อลังเลสงสัยว่าคนที่เขาบูชาดีหรือเลวกันแน่ แต่ก็ต้องตะบี้ตะบันเชื่อกันต่อไป เพราะกลัวว่าถ้ารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้นผิด ก็จะไม่เหลือหลักยึดในชีวิตอีกเลย *** คนบางกลุ่มนั้นก็ต้องรู้จักคิดบ้าง ใครเชื่อแบบนั้นควรจะไปพบจิตแพทย์แล้วล่ะค่ะ ถามข้อเดียวพอ ที่สมเด็จพระสังฆราชวินิจฉัยว่าปราชิกนั้น ยอมรับหรือไม่ หรือสมเด็จฯท่านก็โกหกหน้าด้านๆ ...... ตอบสิ *** ไม่ขอออกความเห็น   แต่อยากบอกว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่าน"วินิจฉัย" ผิด จากคุณ : Omena   - [ 30 ส.ค. 49 03:46:39 ] ถามข้อเดียวพอ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 49 13:20:44 จากคุณ : Chuck - [ 15 พ.ย. 49 13:09:53 ]

ความคิดเห็นที่ 116 คนพวกนี้ ไม่อยากให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าสำนักของตัว อ้างนรกสวรรค์สารพัด แต่เขาสามารถวิจารย์ สมเด็จพระสังฆราชได้หน้าตาเฉย อ้างจาก คห.61 ไม่ขอออกความเห็น   แต่อยากบอกว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่าน"วินิจฉัย" ผิด ช่วยอธิบายข้อความนี้สักหน่อย พูดให้ชัดๆนะ คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? ถึงบังอาจวินิจฉัยภูมิธรรมของสมเด็จฯท่านได้ขนาดนี้ ..... เลวร้ายอย่างที่สุด คุณจะต้องพูดมาให้ชัดว่าคุณใช้กฏเกณท์อะไรในการตัดสิน และพิจารณาอย่างไร? เพราะเหตุว่า...ถ้าคุณอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ ผมก็จะถือว่าคุณมันเป็นพวกนรกส่งมาเกิดโดยแท้.... สมเด็จฯท่านได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วตลอดพระชนม์ชีพจนถึงบัดนี้....... คุณมันแค่ศิษย์อลัชชีที่ไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้เท่านั้น......... คุณตั้งอาจารย์ของคุณสูงส่งอยู่ในระดับไหนกัน? ถึงพยายามปกป้องไม่ให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์......... แล้วคุณคิดว่าพระสถานะของสมเด็จฯท่านอยู่ในระดับไหนหรือ? คุณถึงได้บังอาจวินิจฉัยภูมิธรรมของท่านได้อย่างไม่รู้สึกกลัวบาปกลัวกรรมเยี่ยงนี้............... สรุปว่าตอบมาให้ชัดในประเด็นที่ถาม ไม่ต้องมาทำเฉไฉหรือตะแบงอะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้ตีความอะไรทั้งนั้น นี่มันข้อความคำพูดของพวกคุณเอง ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson  - [ 30 ส.ค. 49 11:56:49 ] จากคุณ : Chuck - [ 15 พ.ย. 49 13:12:58 ]

ความคิดเห็นที่ 117 เอ่อฝ่ายที่ชอบมาว่าปรามาสพระลงอบายน่ะครับ พึงสังวรไว้ด้วยว่าสนับสนุนอลัชชี ให้ทำลายพระพุทธศาสนาก็บาปเหมือนกันนะครับ แถมด้วยการยึดติดตัวบุคคล ช่วยอลัชชีเผยแผ่อสัทธรรม ทำผู้อื่นเข้าใจในธรรมผิดไป ทำให้ผู้อื่นหลงไปกับตนด้วยนั้น มีผลให้กลายเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิได้นะครับ นิยตมิจฉาทิฏฐินี่เลวร้ายกว่าอเวจีมหานรกอีกนะครับ ตรงที่ว่าผู้ที่ตกอเวจีมหานรกอย่างพระเทวทัต เป็นต้น แต่กลับใจกลับทิฏฐิตนได้ หลังชดใช้กรรมแล้วยังสามารถบรรลุนิพพานได้ แต่นิยตมิจฉาทิฏฐิเป็นแล้ว เกิดมาชาติใดภพใด แม้จะได้อัตภาพเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ก็จะบรรดาลให้พบแต่อลัชชีสอนแต่เรื่องผิดๆ เชื่อแต่เรื่องผิดๆ ไม่มีวันจะดับทุกข์ได้เลย จากคุณ : หลังเขา   - [ 28 ส.ค. 49 22:19:33 ] จากคุณ : Chuck - [ 15 พ.ย. 49 13:26:15 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ถ้าแยกลัทธิไปก็จบ ไม่ต้องมีเรื่องกันยืดเยื้อขนาดนี้ ยอมรับความจริงเสียเถอะ ท่านสาวก....ทั้งหลาย จากคุณ : dcm - [ 15 พ.ย. 49 15:06:46 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ถ้าเราจะไม่เพ่งโทษผู้อื่น เรามาแก้ไขตัวเราเองเพราะ เห็นมีเด็กหนุ่มสาววัยรุ่นไปวัดธรรมกายกันมากมายน่าอนุโมทนา ใครนะว่าวัยรุ่นสมัยนี้ไม่เข้าวัด เรามาปรับปรุงวัดเราบ้างดีกว่า ท่านใดอยู่ใกล้วัดไหน ช่วยกันสนับสนุนนิมนต์แนะนำท่านเจ้าอาวาส ตั้งแต่วัดบวร วัดโสมลงมาเลย เด็กๆจะได้เข้าแต่วัดเรา ไม่ไปวัดธรรมกาย และรอบๆวัดธรรมกาย รอบที่ 1 2 3 4 5 จนถึงวัดกลางใจเมืองทั้งหลาย เป็นการสกัดเด็กของเราไว้ก่อน ไม่ให้เขาต้องไปไกลจนถึงวัดธรรมกาย แล้วออกโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เขารู้ ว่าวัดไหนมีอะไร สื่อทั้งหลายคงร่วมมือ โหมประโคมสักพักเด็กคงไม่ไปไกลแล้วและคงได้เด็กใหม่เพิ่มขึ้นด้วย อาหารบิณฑบาตได้มาอย่าขาย ตั้งโต๊ะแจกเด็กๆลูกหลานไทย แบ่งมาองค์ละ 2 3 4 5 ถุง ลูกหลานไทยเราจะลดความอดอยากหิวโหย ศธ.บอกมีเป็นล้าน นึกว่าช่วยสมเด็จพระเทพฯท่านด้วย อย่าถือพานเรี่ยไรคนมาฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม และขออนุญาตที่จะนำคห.นี้ไปต่อท้ายกระทู้วัดธรรมกายทุกกระทู้สัก 1 ปี เพื่อเป็นแรงให้วัดต่างๆพัฒนาขึ้นมารองรับบุคลากรผู้ใฝ่ธรรมเหล่านั้นให้มากขึ้น เมืองล้อมป่า จากคุณ : surasc - [ 15 พ.ย. 49 15:26:31 ]

ความคิดเห็นที่ 120 มีบางคนกล่าวว่าอึดได้ถึงสิบปียังด่าธรรมกึยได้ก็เก่ง... คุยทับว่าส่วนใหญ่เห็นบาปนรกอเวจีหายไปหมดแล้วเพราะสำนึก? สำนึกในคุณพระรัตนตรัยจึงติดตามเสมอมา เว้นนานก็คอยจิ้งเหลนโผล่... โถ อลัชชี...ศิษย์Buffaloes จากคุณ : Chuck - [ 15 พ.ย. 49 15:38:40 ]

ความคิดเห็นที่ 121 คคห.ที่ 120 อย่าไปดูหมิ่นผู้อื่นขนาดนั้น คนฉลาดจริง เขาไม่เขียนที่มีวจีทุจริตแบบนั้นครับ ผมได้เขียน คคห. ในกระทู้ข้างล่างก็ลองอ่านดู เป็นอีกมุมหนึ่งครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4879635/Y4879635.html จากคุณ : วรกร - [ 15 พ.ย. 49 20:15:02 ]

ความคิดเห็นที่ 122 อีกนาน หลายปี ไม่มีจบ กระทู้ ธรรมกาย              กลอนแคนโต้ แต่งเองมั่วๆ จากคุณ : in_my_metal - [ 15 พ.ย. 49 21:24:34 ]

ความคิดเห็นที่ 123 # 21 เฒ่าไอที เอาครูบาเจ้าไปเปรียบเทียบกับไอ้อลัชชีได้ไงว่ะ...ชั่วไปเปรียบดี ทำเหมือนว่าไอ้อลัชชีมันทำดีเท่า...อย่ามาเชียร์ลัทธิเอี้ย ๆ นี่ได้ไหม จากคุณ : ...วนา... - [ 16 พ.ย. 49 02:00:07 ]

ความคิดเห็นที่ 124 --------------------------                      กรรมมุนา วัตตะตีโลโก                     -------------------------- --------------------------------------   สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม -------------------------------------- ความจริง อย่างไร ก็คือความจริง สักวันโลกย่อมต้องรับรู้ ไม่มีใครเอามือปิดแผ่นฝ้าได้ฉันใด  คุณงามความดีที่บุคคล ทำไว้ ย่อมคงอยู่แบ่งบานในในผู้พบเห็น ทั้งมนุษย์และเทวา ความลับไม่มีในโลก  ทำดีเพื่อความดี กับคำด่าที่ไม่สร้างสรรคงเข้ากันไม่ได้และไปคนทาง ผู้ที่อยู่ในห้องศาสนาผู้มีปัญญา เป็นบัญฑิต ย่อมรู้ดีว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรไม่ควร อะไรจริง อะไรเท็จ ใครที่พยายามสร้างกระแสทำลาย ล้างผลาญ ผู้ไม่เบียดเบียน ผู้ไม่มีโทษ ขอให้เลิกเหอะ  มาสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับห้องศาสนา  ให้มีแต่บรรยากาศของการสร้างบุญ สร้างบารมี  สร้างความดีให้ยิ่งขึ้นไป เราอยู่ในโลกนี้อีกไม่นานหรอก  เดียวก็ตายแล้ว แต่ตายแล้วเราจะไปไหน  ถึงตอนนั้นเราคงเลือกไม่ได้แล้ว  เพราะขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำไว้เมื่อตอนเป็นมนุษย์  ตอนนี้เราเป็นมนุษย์ ก่อนไปปรโลกเราออกแบบ  วางแผนใช้ชีวิตในปรโลกไว้อย่างไร บุญ บาปเราเลือกทำอะไร สิ่งใดเป็นบุญ  สิ่งใดเป็นบาปเราเห็น เราเข้าใจกันแล้วหรือยัง จากคุณ : Dusitb - [ 16 พ.ย. 49 11:57:24 ]

ความคิดเห็นที่ 125 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ๔. นันทโกวาทสูตร (๑๔๖) [๗๗๒] น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนประทีปน้ำมันกำลัง ติดไฟอยู่ มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวน ไปเป็นธรรมดา เปลวไฟก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แสงสว่างก็ไม่ เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า ประทีปน้ำมันที่กำลังติดไฟอยู่โน้น มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เปลวไฟก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็น ธรรมดา แต่ว่าแสงสว่างของประทีปนั้นแล เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มี ความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ผู้ที่กล่าวนั้นชื่อว่าพึงกล่าวชอบหรือหนอแล ฯ ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า ฯ น. นั่นเพราะเหตุไร ฯ ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะประทีปน้ำมันที่กำลังติดไฟอยู่โน้น มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็น ธรรมดา เปลวไฟก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แสงสว่างของประทีปนั้น ก็ต้องไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เช่นกัน ฯ [๗๗๓] น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลใด พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อายตนะภายใน ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แต่เราอาศัยอายตนะ ภายในเสวยเวทนาใด เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม เวทนานั้น เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา บุคคลผู้กล่าวอย่างนั้น ชื่อว่ากล่าวชอบหรือหนอแล ฯ ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า ฯ น. นั่นเพราะเหตุไร ฯ ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ อาศัยปัจจัยที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ แล้ว จึงเกิดขึ้นได้ เพราะปัจจัยที่เกิดแต่ อายตนะภายในนั้นๆ ดับ เวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ จึงดับไป ฯ ........................................................................ หลวงพ่อสด กับ ความตาย ....ฯขั้นสมถะนี่ กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด นี่มันขั้นสมถะ แต่รูปฌานเท่านั้น เลยไปไม่ได้ พอถึงธรรมกาย มันขึ้นวิปัสสนา ตาพระพุทธเจ้า ท่านก็เห็นเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แท้ๆ เห็นจริงๆ จังๆ อย่างนั้นละ เห็นแท้ทีเดียว เห็นชัดๆ ไม่ได้เห็นด้วยตากายในภพ เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกาย เห็นอย่างนี้แหละ เห็นด้วยตาของพระตถาคตเจ้า รู้ด้วยญาณของพระตถาคตเจ้า ธรรมกายนั่นเป็นตัวของ พระตถาคตเจ้าทีเดียว ไม่ใช่อื่นเห็นชัดอย่างนี้นี่แหละ เห็นอย่างนี้แหละ เขาเรียกวิปัสสนา เห็นเบญจขันธ์ ๕ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นเป็นอนิจจังน่ะ เห็นอย่างไร เห็นตั้งแต่กายมนุษย์เถิด กายมนุษย์เกิด ไม่อยู่ที่เกิด ไปเรื่อยๆ เกิดริบๆ เหมือนไปจุดอยู่ มีไส้ มีน้ำมัน มีตะเกียง จุดมันก็ลุกโพลง เราเข้าใจว่าไปดวงนั้น เป็นอย่างนั้นแหละ ไอ้กายมนุษย์มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ตาธรรมกายไม่เห็นอย่างนั้น เห็นไปเก่าหมดไป ไฟใหม่เดินเรื่อยขึ้นมา ไฟเก่าหมดไป ไฟใหม่เดินเรื่อยขึ้นมา แล้วก็เอามือคลำดูข้างบนก็รู้ ร้อนวูบๆ ๆ ๆ ไป อ้อไฟใหม่เกิดเรื่อย กายมนุษย์นี้ก็เช่นเดียวกัน ไอ้เก่าตายไป ไอ้ใหม่เกิดเรื่อยหนุนไม่ได้ หยุดเหมือนไฟ เหมือนดวงไฟ อย่างนั้นแหละ ไม่ขาดสายมันเกิด หนุนอย่างนั้น นั่นเห็นขนาดนั้น เห็นเกิดเห็นตายเรื่อย เกิดแล้วก็ตายไป เกิดแล้วก็ตายไป ไม่มีหยุดละ เหมือนกันหมดทั้งโลก เห็นทีเดียว ว่ามีแต่เกิดกับดับ ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งทั้งปวงมีความเกิดเป็นธรรมดา ย่อมมีความเกิดเสมอ สิ่งทั้งปวงมีเกิดเสมอ มีความดับเสมอ มีเกิดกับดับสอง อย่างเท่านั้น หมดทั้งสากลโลก เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกายจริงๆ อย่างนี้ นี้ทำเป็นวิปัสสนา เห็นจริงเห็นจังอย่างนี้ฯ อ้างจาก ความตาย หลวงพ่อพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จันทสโร) จากคุณ :........- [ 13 พ.ย. 49 17:01:52 ] ...................................................................... เปรียบเทียบสิครับ ตรงกันแน่นอน สาธุหลวงพ่อวัดปากน้ำ อย่างคุณวรกรแยกแล้วเทียบคงทราบไม่ยากว่าตรงกันที่ใด เมื่อขยายออกคงทราบไม่ยากว่าที่สำนักธรรมกึยไม่ตรงที่ใด ไม่ต้องห่วงวจีผมหรอก คุณรู้เจตนาผมใหมครับ จากคุณ : Chuck - [ 16 พ.ย. 49 12:05:23 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ยกนิมิตอสุภเป็นวิปัสสนา         ธรรมดาของนิมิตที่เกิดจากอารมณ์ของสมาธิ  จะเป็นนิมิตของอุปจารฌานหรือที่เรียกว่า อุคคหนิมิต หรือขั้นอัปปนาสมาธิ ที่เป็นอารมณ์ปฐมฌานก็ตาม จะเกิดยืนสภาพตลอดกาลตลอดสมัย นั้นไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วชั่วครู่ชั่วพักก็หายไป ทั้งนี้ก็เพราะจิตไม่สามารถจะทรงสมาธิไว้ได้นานมากนัก จิตก็จะเคลื่อนจากฌาน  ตอนที่จิตเคลื่อนจากฌานนี่แหละภาพนิมิตก็จะเลือนหายไป ถ้าต้องการเห็น ภาพใหม่  ก็ต้องตั้งต้นสมาธิกันใหม่ ถ้าประสงค์จะเอานิมิตเป็นวิปัสสนา เมื่อเพ่งพินิจอยู่ พอนิมิต หายไปก็ยกอารมณ์เข้าสู่ระดับวิปัสสนาโดยพิจารณาว่า นิมิตนี้ เราพยายามรักษาด้วยอารมณ์ใจ โดย ควบคุมสมาธิจนเต็มกำลังอย่างนี้ แต่นิมิตนี้จะได้เห็นใจเรา จะอยู่กับเราโดยที่เราหรืออุตสาห์ประคับ ประคองจนอย่างยิ่งอย่างนี้  นิมิตนี้จะเห็นอกเห็นใจเราก็หาไม่ กลับมาอันตรธานหายไปเสียทั้ง ๆ ที่ เรายังต้องการ ยังมีความปรารถนา นิมิตนี้มีสภาพที่จะต้องเคลื่อนหายไปตามกฎของธรรมดาฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายที่มีความเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีอันตรธานไปในที่สุด ฉะนั้น ความไม่เที่ยงของ ชีวิตที่มีความเกิดขึ้นนี้  มีความตายเป็นที่สุด เช่นเดียวกับนิมิตนี้ ขึ้นชื่อว่าความเกิด ไม่ว่าจะเกิด เป็นอะไร เป็นสัตว์ มนุษย์ เทวดา พรหม  ต่างก็มีความไม่เที่ยงเสมอเหมือนกันหมดเมื่อเกิดแล้ว ก็มีอันที่จะต้องตายเหมือนกันหมด เอาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย เมื่อความไม่เที่ยงมีอยู่ ความทุกข์ก็ต้องมี เพราะการต้องการให้คงอยู่ยังมีตราบใด ความทุกข์ก็มีอยู่ตราบนั้น เพราะ ความปรารถนาให้คงอยู่โดยไม่ต้องการให้เสื่อมสิ้นนั้น เป็นอารมณ์ที่ฝืนต่อกฎของความเป็นจริง การทรงชีวิตนั้น ไม่ว่าจะทรงอยู่ในสภาพใด ๆ ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น..... บัดนี้เราผู้เป็นพุทธสาวกก็กำลังทรงอารมณ์อย่างนั้นเราเห็นความไม่เที่ยงของสังขารแล้ว เพราะมีอสุภเป็นพยาน   เราเห็นความทุกข์เพราะการเกิดแล้ว เพราะมี อสุภเป็นพยาน  เราเห็นอนัตตาแล้ว เพราะมีอสุภเป็นพยาน เราจะพยายามตัดความไม่พอใจ ในโลกามีสทั้งหมดเพื่อได้ถึงพระนิพพานเป็นที่สุด.... ...................................................................... จุดเปลี่ยนเป็นโสดาฯ อาจไม่ถูกจริตอานาปาฯ เอานี่ไปนะครับ ไม่ได้ขออนุญาตจากคุณRitti หรอก ก็ขอตรงนี้ละกันนะครับเป็นธรรมทาน จากhttp://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4782286/Y4782286.html แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 49 12:41:02 จากคุณ : Kopy (Chuck) - [ 16 พ.ย. 49 12:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 127 เคยบังเอิญนั่งฟังในแท็กซี่ DMC บอกได้ว่าคำ "เทศน์" ของพระรูปนั้น ไม่มีทางทำให้ดิฉันมีศรัทธาได้เลย แม้ว่าดิฉันจะพยายามทำใจเป็นกลางแล้วก็ตาม เช่น ผู้เทศน์พยายาม ตะล่อม ให้ผู้ฟังเห็นดีด้วยกับผู้เทศน์ หลังจากลงจากแท็กซี่ ดิฉันปวดหัวมากๆ ไม่มีความเป็นธรรมชาติ ไม่มีความธรรมดา ไม่มีความชุ่มเย็นเหมือนอย่างธรรมมะล้วนๆที่ดิฉันได้เคยสัมผัส เลย จากคุณ : จะไม่นั่งแท็กซี่ DMC (Suomi) - [ 16 พ.ย. 49 20:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 130 โดยนำถวายทุกเดือน ไม่เคยขาด ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มาจะผู้ใจบุญทุกท่าน จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 16 พ.ย. 49 22:50:19 ]

ความคิดเห็นที่ 136 ขอทำตัวเป็น cd เล่นซ้ำ ซะหน่อย ในฐานะชาวพุทธ ต่างทราบกันดี พระธรรม วินัย เป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด ที่เราต้องดำรงและรักษาไว้ ให้คงอยู่ ให้ถูกต้อง ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดา ของพุทธศาสนา ความดีที่พยายามกระทำ คุ้มหรือไม่ ถ้าต้องแลกกับพระธรรมวินัย ที่ถูกบิดเบือน เรารู้กันดีว่า ธรรมของพระพุทธองค์ที่นำมาสอน คือใบไม้ในกำมือ คุ้มหรือไม่ ที่ต้องเอามาแลก กับใบไม้นอกกำมือ ที่พระพุทธองค์ไม่ได้สอน??? เรารู้กันดีว่า พระพุทะองค์ เป็นผู้ทรงเมตตาธรรม ละสิ้นต่อกิเลสทั้งมวล เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความสงบอย่างแท้จริง คุ้มหรือไม่ ที่ต้องเอาพระพุทธองค์มาแลก กับ พุทธภาคโปรด ภาคปราบ??? โปรดพิจารณา จากคุณ : promp888 - [ 19 พ.ย. 49 14:48:52 ]

ความคิดเห็นที่ 138 พี่ที่พุทธเกษตรเคยบอกเราว่าที่ท่านมีทรัพย์เยอะเพราะคนเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก   จึงต้องการถวายทรัพย์  (ที่ดิน  เงิน  ปัจจัยอื่นๆ)  แก่ท่านเพื่อเป็นการทำบุญเหมือนกับการตักบาตรก็อยากตักบาตรให้กับพระที่บริสุทธิ์มากๆ  ดีกว่าตักบาตรกับพระที่ทำตัวไม่เหมาะสมอะไรประมาณนั้น ตอนนั้นเราก็ถามว่าทำไมได้ปัจจัยต่างๆมาไม่ให้ที่วัด  ทำไมถือครองเป็นชื่อตัวเอง   พี่เขาก็บอกว่า  เพราะคนที่ถวายให้ต้องการให้ท่าน  ต้องการถวายให้จริงๆเพื่อให้ท่านทำประโยชน์  และ  ถ้าปัจจัยเหล่านั้นไปตกที่คนอื่น คนถวายจะไม่สบายใจ เนื่องจากต้องการถวายให้ท่านไม่ใช่ถวายให้วัด อะไรประมาณนั้น งงไหม  อธิบายไม่ถูก  ตอนเราฟังพี่อธิบายก็งงๆ  ตอนนั้นอยู่ปี 1 ก็ตอนที่คดีกำลังดังมั้ง  (อ่า  ความคิดเห็นเช็คอายุ) จากคุณ : bubblebaba - [ 19 พ.ย. 49 23:41:22 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ใช้สมอง แล้วอ่านดีๆครับ ผมไม่ได้ด่า ผมตั้งคำถามครับ ให้คนใช้ปัญญาเป็นตัวตอบคำถาม ไม่ใช่แค่ศรัทธา จากคุณ : promp888 - [ 20 พ.ย. 49 01:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 140 ดีส่วนดี ชมเชยกันไป ชี้ให้ทุกคนเห็นว่าดี นี่ควรทำ ชั่วส่วนชั่ว ก็ต้องลงโทษ ชี้ให้ทุกคนเห็นว่านี่คือชั่ว ไม่ควรทำ ทำดี ลบชั่วไม่ได้หรอก ชีวิตคนหนึ่งคน มีทั้งทำถูกและทำผิด ถึงจะทำดีมาแค่ไหน แต่ส่วนที่ผิดก็ต้องรับโทษทัณฑ์ตามกฎเกณฑ์สังคม ตามกฎแห่งกรรม ทำดี ลบชั่วไม่ได้หรอก จากคุณ : ฮวงซี่เนี้ย (ฮวงซี่เนี้ย) - [ 20 พ.ย. 49 17:35:13 ]

ความคิดเห็นที่ 149 คุณไม่สูบจะโพสต์มันให้มากมายไปทำไมทุกกระทู้ บอกตรงๆว่าชักจะรำคาญแล้วนะ เจตนาทำให้คนอื่นรำคาญ เป็นบาปนะขอบอก จากคุณ : dcm - [ 21 พ.ย. 49 19:39:35 ]

ความคิดเห็นที่ 151 ขอบใจไม่สูบไม่ดื่มในเจตนาที่ดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ โปรดพิจารณาหัวข้อกระทู้และหัวใจของผู้อ่านคนอื่นด้วย ตอบไม่ตรงคำถาม โพสต์ไม่ตรงหัวข้อกระทู้ อาจถูกมองเป็นคนเฉไฉตะแบง ไม่รู้กาละเทศะ โพสต์เรื่องเดิมๆ มากไปจะกลายเป็นยัดเยียด ด้วยความปรารถนาดี จากคุณ : ฮวงซี่เนี้ย (ฮวงซี่เนี้ย) - [ 23 พ.ย. 49 10:41:18 ]

ความคิดเห็นที่ 152 จริงๆชาวพุทธเราทุกวันนี้มักใช้ศัทรานำหน้า ปัญญา ถึงได้มีการ บูชาผิดๆ งมงายกันผิดๆอยู่ทุกวันนี้ ผมไม่กระดากปากเลยว่า1 ในสิ่งงมงายนั้นคือ ธรรมกาย ถ้าลองหันมาใช้ปัญญาและเหตุผล นำหน้าความเชื่อความศัทรา หลายๆคนจะได้คำตอบที่ดีๆให้ชีวิตมากขึ้นแยอะ ความสุขอยู่ที่ใจ บุญบาปอยู่ที่ใจ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 49 10:14:03 จากคุณ : ~STEP-PANDA~ - [ 24 พ.ย. 49 02:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 153 ได้เงินมากมายมหาศาล เจียดไปให้วัดที่ลำบากซักเศษเสี้ยว  แล้วลงข่าว นสพ. แล้วปลื้มกันใหญ่ โถ .... แล้วเงินที่เหลือเอาไปทำอะไรครับ จากคุณ : oscilated - [ 24 พ.ย. 49 08:51:35 ]

ความคิดเห็นที่ 154 อ่านไม่ไหวครับ จากคุณ : lotojohn - [ 24 พ.ย. 49 20:13:27 ]

ความคิดเห็นที่ 155 กมฺมุนา วตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จากคุณ : [Mr.ทุกขํ] - [ 25 พ.ย. 49 10:28:46 ]

ความคิดเห็นที่ 156 เพราะควรทราบดีถึงโทษภัย เข้าใจหลักกรรมและหลักธรรมดีพอควรแล้วในระดับหนึ่ง อ่านตรงนี้แล้วอึ้ง หุ หุ จากคุณ : หุ่นกระป๋อง1 - [ 25 พ.ย. 49 21:53:30 ]

ความคิดเห็นที่ 158 ทำให้ดู ดีกว่าพูดให้ฟังครับ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ร้อนรุ่มตามกระแส ยังช่วยเหลือสังคมคนรอบข้างให้เป็นสุขได้จุนเจือกันตามอัตตาภาพ อยู่เย็นเป็นสุขครับ  เรื่อง การสร้างภาพมันจะจีรังยั่งยืนได้สักแค่ใหนเชียว หากภาพที่ออกมาเกิดจากความบริสุทธิ์ใจ และประจักษ์แก่ตัวเราเองได้ มีตัวชี้วัดคือผลของงาน ผมว่ามันก็เกินพอแล้ว เอาแค่รอบ ๆ ตัวครอบครัวมีความสุขไม่เดือดร้อน หน้าที่การงานแน่นแปรี้ยเพราะผลแห่งมงคลชีวิต 38 ประการที่พระอาจารย์พร่ำสอน  ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องหน้าใหญ่หรือโพธนาให้มากความ โถ โรบิ้น ผู้หลักผู้ใหญ่จะเป็นตอไม้ที่แข็งแกร่งให้ลูกหลานยึดถือได้ สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากปลักไม้ทั่ว ๆ ไป คือความยุติธรรมไงครับ ไม่ต่างกันเลยกับการอ้างกล่าวโทษคนอื่น โดยขาดหลักกาลามสูตรที่พระพุทธองค์ตัรสไว้เป็นแนวทางแก่พุทธศาสนิกชน หากเกิดกับตัวท่านเองจะเรียกร้องความยุติธรรมทำซากอะไรครับ ที่อ้างว่าเป็นชาวพุทธ ทำความแตกต่างให้เกิดสิครับ ว่าผู้ใหญ่ที่ให้คนนับถือควรมีคุณธรรมอันใดเป็นแบบอย่าง ไม่ต้องยิ่งใหญ่คับฟ้าหรอกครับ แค่คนเขาเชื่อถือโดยบริสุทธิ์ใจและคุณยิ้มได้นั่นล่ะใช่เลย จากคุณ : บุญผ่องแพ้ว (บุญผ่องแพ้ว) - [ 27 พ.ย. 49 05:11:35 ]

ความคิดเห็นที่ 159 ผมกะจะไม่ตอบแล้วนะ เพราะห้องนี้ผมชอบเข้ามาอ่านเงียบๆ แต่ขอสักหน่อยเถอะในฐานะชาวพุทธว่า ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว สัจจะเป็นนิรันดร์ครับ ไม่ช้าก็เร็ว ความจริงจักปรากฏต่อเบื้องหน้าทุกผู้เอง ทุกวันนี้สังคมประเทศไทยเราก็เป็นสังคมมัวเมากันมากอยู่แล้ว ไหนจะมีพริตตี้ไปเต้นในวัด ไหนจะมีการโกงบ้านหลงยศฐาอำนาจมากมาย แต่ผมเศร้าใจมากที่ในแวดวงพระพุทธศาสนา ยังมีหลายคนที่หลงมัวเมาในหลักคำสอนอย่างผิดๆ ยัดเยียด และหลงไปกับรูปรสที่พระบางรูปบรรจงสร้างขึ้นมาโดยใช้คำสอนในพระพุทธศาสนาล่อหลอกอย่างผิดๆ เป็นอุบายที่แยบยลนัก ผมเคยสงสัยในวัดนี้มานานมากแล้ว แต่อย่างว่า 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น ผมจึงบุกเข้าไปในวัดไปลองนั่งสมาธิดู และได้ฟังคำเทศของเจ้าอาวาสท่านนี้แล้ว บอกตามตรง หากใครที่จิตอ่อน หรือหัวเบา (หัวเบานะครับไม่ใช่หู) อาจจะโดนกล่อมโอนเอนไปได้ง่ายๆ เพราะท่านมีวาทะศีลนุ่มนวล วาจาสุภาพ น้ำเสียงเย็นสะกดผู้คนได้ง่ายๆ ไม่แปลกเลยที่จะมีคน "ยึดติด" กับวัดนี้มากหลายและหลายๆ คำสอนที่ผมนึกแย้งในใจจนเกือบๆ จะเป็นอกุศลจิตอยู่แล้วในวันนั้น สุดท้ายขอให้ชาวพุทธทั้งหลายจงมีสติ พอสติเกิด "ปัญญา" จะตามมา จากคุณ : ประมุขพรรคมาร - [ 28 พ.ย. 49 07:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 160 เมื่อเข้าไปในวัด เมื่อติดจานดาวธรรม เมื่อเริ่มต้นตั้งใจปฏิบัติตามคำสอน ให้เราทำทาน รักษาศิล และเจริญภาวนา มองด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แปลกใจจริง เราเปลี่ยนไป เราไม่วิ่งตามกระแสโลก เราไม่วิ่งตามผู้คนในสังคม เราวางใจกลางๆ ได้ เราอยู่ในสังคมเป็นสุขมากขึ้น เรารักผู้คนมากขึ้น ไม่ใช่การใส่หน้ากากลอกลวง แต่มันออกมาจากจิตใจที่จริงใจ รักและแบ่งปัน อยากให้เขาพ้นทุกข์ อยากให้สันติภาพเกิดขึ้นในโลก และหยุดการทำร้ายกัน อยากให้ชาวโลกทุกคนรู้ความเป็นจริงของชีวิต และที่นี่ทำได้ หลวงพ่อทำได้ ญาติโยมเต็มใจ..... ที่จะแบ่งปันปัจจัยในการเผยแผ่พระศาสนา ที่จะแบ่งปันปัจจัยช่วยเหลือผู้เป็นทุกข์จากภัยพิบัติ ที่จะปกป้องพระศาสนาทางใต้ ที่จะสอนให้ลูกหลานของเราห้างไกลจากอบายมุข เมื่อนั้นสังคมจะอยู่กันอย่างสงบสุข และขอให้ทุกคนมีสันติสุขในใจค่ะ จากคุณ : สงบสุข (สงบสุข) - [ 28 พ.ย. 49 12:29:39 ]

ความคิดเห็นที่ 161 ขำคห 160  ถูกล้างสมองเรียบโร้ย บลา ...บลา...บลา... จากคุณ : dcm - [ 29 พ.ย. 49 03:42:41 ]

ความคิดเห็นที่ 162 บุญรักษาค่ะทุกท่าน  มาโหวตจ้า จากคุณ : bubblebaba - [ 29 พ.ย. 49 13:12:50 ]

ความคิดเห็นที่ 163 ....ผมขอให้ คนที่กล่าวๆในนี้ เรีบยเรียงคำพูดให้คนธรรมดาเข้าใจง่ายๆหน่อยก็ดีครับ เพราะพวกผม ไม่ใช่ฝีปากกล้าอย่างท่านๆ จากคุณ : bootsarin (bootsarin) - [ 29 พ.ย. 49 21:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 164 แล้วที่พุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า นรก สวรรค์ มีจริง ชาติหน้ามีจริง ก็ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่  งงอ่ะ จากคุณ : catty (cattym) - [ 1 ธ.ค. 49 16:27:18 ]

ความคิดเห็นที่ 165 ผมเพิ่งเปิดมาอ่านเจอที่นี่นะครับเนียะว่ามีการกล่าวถึงวัดพระธรรมกายแบบท๊อปฮิตติดอันดับลมบนกันที่นี่ด้วย ผมก็เป็นคนนึงครับที่เรียกได้ว่าคลุกคลีอยู่กับวัดพระธรรมกายมานานแล้วครับ ผมมาวัดนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ปีหนึ่งที่ ม.ธรรมศาสต์น่ะครับ พอดีวัดพระธรรมกายอยู่ติดกับกับมหาวิทยาลัยผมน่ะครับ ปกติเดิมทีผมไม่ใช่คนธรรมะธรรมโมอะไรเลยนะครับ ยังไม่คิดเลยว่าชีวิตจะผันมาเป็นคนธรรมะธรรมโมไปได้ จนถึงทุกวันนี้ผมจบการศึกษาแล้วก็ยังรู้สึกรักและผูกพันกับที่นี่อยู่เลยครับ ผมบวชมาแล้วถึง 2 ครั้งครับ เอาบุญบวชนี้มาฝากทุก ๆ ท่านในเว็บบอร์ดด้วยนะครับ แล้วจะแวะเวียนมาพูดคุยบ่อย ๆ พร้อมกับข่าวบุญนะครับ จากคุณ : theerapatto - [ 1 ธ.ค. 49 17:32:33 ]

ความคิดเห็นที่ 167 แหม...... 165นี่ เล่นก๊อบวางเลยนะ จากคุณ : อย่าถามว่าผมเป็นใคร - [ 1 ธ.ค. 49 19:27:41 ]

ความคิดเห็นที่ 168 "กาลามสูคร" 1.ต้องไม่เชื่อโดยฟังตามกันมา 2.ต้องไม่เชื่อโดยนำสืบกันมา 3.ต้องไม่เชื่อโดยตื่นข่าวลือ 4.ต้องไม่เชื่อโดยอ้างตำรา 5.ต้องไม่เชื่อโดยคาดคะเน 6.ต้องไม่เชื่อโดยนึกเดงเอง 7.ต้องไม่เชื่อโดยตรึกตามอาการ 8.ต้องไม่เชื่อโดยพอใจว่าชอบโดบความเห็นตน 9.ต้องไม่เชื่อโดยเห็นว่าพอเชื่อได้ 10.ต้องไม่เชื่อโดยเห็นว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา         ไม่ใช่เหรอ!!!!!! จากคุณ : catty (cattym) - [ 2 ธ.ค. 49 09:08:29 ]

ความคิดเห็นที่ 173 ทำไมผมโพสต์ให้ลิงค์ไปเว็บอื่นไม่ได้ล่ะครับ หรือเขาห้ามโพสต์ให้ลิงค์ไปเว็บอื่นครับ อันนี้ผมไม่ทราบจริง ๆ ครับ คนที่เล่นอยู่บ่อย ๆ ช่วยบอกด้วยครับ จากคุณ : theerapatto - [ 2 ธ.ค. 49 10:36:48 ]

ความคิดเห็นที่ 174 http://www.dmc.ทีวี/programs/unwholesome_speech.html แบบนี้ได้มั้ยครับ ลองไปดูกันนะครับ ผมแนะนำตอนที่สามนะครับ เป็นมินิซีรีน์เกี่ยวกับพระที่ทำออกมาน่าดู ดูง่ายเอาไว้ใช่เผยแผ่ธรรมะได้ครับ จากคุณ : theerapatto - [ 2 ธ.ค. 49 10:41:30 ]

ความคิดเห็นที่ 175 อย่าลืมเปลี่ยน ทีวี เป็น tv ด้วยนะครับ ชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้เลยครับ จะหาตอนใหม่ ๆ มาให้ดูกันอีกครับ จากคุณ : theerapatto - [ 2 ธ.ค. 49 10:45:50 ]

ความคิดเห็นที่ 176 จากคห. 15 นะครับ ...ทำทานกับผู้ทุศีล อานิสงส์พันชาติ ถ้ามีศีล แสนชาติ ถ้าทรงศีล นับชาติไม่ถ้วน... ...ขอให้คุณนึกอนุโมทนาบุญในบุญที่ผมทำนี้ นอกเหนือจากบุญของคุณเองนะครับ จะมีส่วนช่วยตัดรอนวิบากกรรมให้คุณได้บ้าง ไม่มากก็น้อย... ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดีนะครับ เพราะผมไม่ค่อยได้ทำบุญ   คาดว่าบุญน้อยมาก ซ้ำยังกิเลศหนาอีกต่างหาก บาปหนาด้วย ตายไปคงตกนรกหมกไหม้พัน หมื่น แสนปี หรืออาจจะชั่วกัปชั่วกัลป์ หากได้มาเวียนไหว้ตายเกิดอีกครั้ง ก็คงจะได้เกิดเป็นตัวประหลาดที่คนเขาไม่อยากเป็นกัน ที่สำคัญ วันครูทุกปีผมต้องร้องเพลงนี้เพื่อรำลึกถึงพระคุณท่าน และมีท่อนที่ว่า... "บุญเคยทำมาแต่ปางใดๆ เรายกให้ท่าน" บุญผมคงบ๋อแบ๋ทุกปี และถ้าหากนึกอนุโมทนาบุญแล้วตัดรอนวิบากกรรมได้ยิ่งเยี่ยมเลยครับ ผมเข้าใจมาตลอดว่า บาปส่วนบาป บุญส่วนบุญ ไม่ได้ปะปนกัน ปล. ถึงแม้ว่าผมจะนับถือจารวากผมก็ต้องตกนรกใช่ไหมครับ? ---------------------------------------------------------------------- **แก้คำผิด+แก้วรรคตอน แต่ความหมายเนื้อหาไม่เปลี่ยนครับ** แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 49 11:43:47 แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 49 11:40:18 จากคุณ : Seraphyros DeCameron - [ 2 ธ.ค. 49 11:38:45 ]

ความคิดเห็นที่ 177 วัดสอนดีก็หาว่ากล่อมเก่ง เอาเถอะค่ะ อยากเชื่ออะไรก็เชิญ เพราะพวกคุณมีแต่เรื่องล้างผลาญอยู่ในหัว จากคุณ : Omena - [ 2 ธ.ค. 49 12:28:37 ]

ความคิดเห็นที่ 179 คุณ คห.61  "ไม่ขอออกความเห็น   แต่อยากบอกว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ....... " ขอถามว่าใครเป็นคนบอกคุณครับว่าท่านไม่ใช่พระอรหันต์  และเขารู้ได้อย่างไรครับ ? คุณ คห. 177 ไม่รู้ว่าคนเดียวกับ คห. 61  หรือไม่  แต่คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะครับ  ยังรอคำตอบอยู่นะครับ  ควรตอบนะครับคนอื่น ๆ จะได้รู้ด้วยนะครับ ขอความสุขสวัสดี  จงมีแด่ผู้ประพฤติธรรมจริง ๆ จากคุณ : Learn and Live - [ 6 ธ.ค. 49 20:43:10 ]

ความคิดเห็นที่ 180 สะหวัดดีครับ ขอเข้ามาพักแป๋บเดี๋ยวนะครับ พระมงคลเทพมุนี “เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำอะไร สิ่งที่อยากก็หลอก สิ่งที่หยอกเขาก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงใย เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้” "...ไม่เข้าไปค้นตัวให้ถึงที่สุด เป็นมนุษย์กับเขาทั้งที เพราะเชื่อ กิเลสเหลวไหลเหล่านี้ล่ะ ทำให้เลอะเลือน จะครองเรือนไปซักกี่ร้อยปี ก็ครองไปเถิด งานเรื่องของคนอื่นเขาทั้งนั้น เรื่องของพญามารทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของตัว ไม่ใช่งานของตัว ไปทำงานให้พญามารเค้าทั้งวันทั้งคืน เอาเรื่องอะไรไม่ได้ อะไรล่ะ เพราะไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เกิดมาพบยังไงก็ไปอย่างนั้นแหละ เพราะไม่ได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ไม่ได้ฝึกใจของพระอรหันต์ ไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกใจของสัตบุรุษ ความเห็นก็พิรุษไปอย่างนี้..." เราเตือนท่านแล้ว บุญรักษาสะหวัดดี จากคุณ : ต้อ กล้าตะวัน - [ 7 ธ.ค. 49 01:43:54 ]

ความคิดเห็นที่ 181 อ่า ..ไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรกินอ่า... -------------- เพิ่ม : ทำงานกับพญามารแล้วได้เงินไว้จุนเจือครอบครัวก็ยังดีนะครับ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 49 05:33:34 จากคุณ : Seraphyros DeCameron - [ 8 ธ.ค. 49 05:26:27 ]

ความคิดเห็นที่ 182 ผมเชื่อเหลือเกินครับว่า พื้นฐานจิตใจของทุกคนที่นี่เป็นคนดีกันทุก ๆ คนเลยครับ ไม่งั้นจะเข้ามาสนทนากันในหัวข้อธรรมะธรรมโมอย่างนี้ทำไมกันจริงไหมครับ เป็นผมเมื่อก่อนละก็ เมินเสียเถอะบอร์ดศาสนานี่ แค่ชื่อก็ไม่อยากร่วมวงแล้ว แต่ปัจจุบันผมได้รับรู้รับทราบอะไรมากขึ้น ทำให้รู้ครับว่าเราจริง ๆ แล้วควรทำอะไร ชีวิตเราควรดำเนินอย่างไร อะไรคือความจริงของชีวิต และอะไรที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนั้น ใครเป็นคนกำหนด ฯลฯ หากทุกคนทราบเรื่องราวความจริงทั้งหมดทั้งมวลนั้น ผมเชื่อเหลือเกินอีกเหมือนกันครับว่าความขัดแย้งบนโลกนี้จะหมดไปอย่างแน่นอน เพราะจะไม่มีใครเลยที่ใช้ชีวิตอย่างประมาท ทุกคนต่างจะขวนขวายสั่งสมบุญกันทั้งสิ้น จะไม่มีนักวิชาการที่เก่งเพียงหัวข้อวิชาการ ที่เอาไว้ใช้เป็นอาวุธยิงใส่คู่ต่อสู้เพื่อความสะใจส่วนตัวเมื่อชนะ และโกรธเคืองเคียดแค้นแทบเป็นแทบตายเมื่อเหตุผลของตนฟังไม่ขึ้น แต่จะมีแต่นักปฏิบัติที่ไม่ใช่เพียงแค่คิด แต่ต่างคนต่างปฏิบัติให้ประจักษ์ให้เห็นกันทุกคน การผฏิบัตินั้นก็หมายถึงการสั่งสมบุญบารมีไงครับ อย่างต่ำเลยก็รักษาศีล 5 ครับ ง่ายมาก ๆเลย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมย ไม่ผิดลูกผิดเมีย ไม่พูกปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดกระทบกระเทียบใคร ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่ดื่มน้ำเมาและสิ่งเสพติดทั้งหลาย แค่นี้เองครับ พร้อมทั้งสร้างบุญบารมี คือ อย่างตำ ๆ ทุกวันต้อง ทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิ ครับ แหะๆๆๆ วันนี้พร่ามซะมากมายเลย ไว้โอกาสหน้าจะแวะเวียนเข้ามาพูดคุยกับทุก ๆ ท่านใหม่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุก ๆ ท่านเลยครับ วันนี้ก็มีบทความน่าอ่านมาให้ลองอ่านเล่น ๆ กันครับ สำหรับคนที่กำลังหมดกำลังใจ ท้อถอยแล้ว ผมว่าเป็นยาชูกำลังที่ดีมาก ๆ เลยล่ะครับ คนสามคน ณ วัดแห่งหนึ่ง หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า "ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ" หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า "เจ้ารู้ไหมในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ " ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา "คนเราล้วนมีความฝัน ความทะเยอทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ " "มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ " "อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร " คนที่ชอบนินทานั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาน ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล " "แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ " ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา "เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม " "เข้าใจครับหลวงตา" เด็กน้อยยิ้มมี ความสุขอีกครั้ง จากคุณ : theerapatto - [ 8 ธ.ค. 49 14:48:39 ]

ความคิดเห็นที่ 183 theerapatto คุณจะโพสต์ข้อความเดิมๆอย่างนี้ไปอีกกี่กระทู้จ๊ะ เบื่อจังเลย จากคุณ : dcm - [ 8 ธ.ค. 49 16:14:21 ]

ความคิดเห็นที่ 184 อ้าว เจอคุณ dcm อีกแล้ว ครับ ๆ จะไม่โพสต์แบบซ้ำ ๆ แล้วครับ ขอโทษจริง ๆ ครับ ไม่มีเจตนาสร้างความรำคาญจริง ๆ ครับ อาจเป็นเพราะผมขี้เกียจพิมพ์หลายข้อความน่ะครับ เลยโพสต์ซ้ำกัน ใจจริงก็อยากโพสต์ในทุกกระทู้เลย เลยต้องโพสต์ซ้ำน่ะครับ คราวหน้าจะโพสต์ให้หลากหลายกันไปครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ผมเพิ่งเข้ามาโพสต์น่ะครับ ไม่ทราบจริง ๆ จากคุณ : theerapatto - [ 8 ธ.ค. 49 18:41:35 ]

ความคิดเห็นที่ 185 เอางี้แล้วกันครับ ถ้างั้นวันนี้ผมมีอะไรน่าสนใจมาฝากให้ทุกท่านได้ชมกันครับ เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซากอย่างที่คุณ dcm ว่า(ซึ่งผมว่าก็จริงนั้นแหละ) เป็นอนิเมชั่น 3 มิติ เรื่องเกี่ยวกับนรกน่ะครับ โดยเป็นการจำลองจากของจริงมาให้ดูกันครับ ผู้ที่ไปดูได้ท่านเมตตาทำออกมาให้ดูน่ะครับ อ๊ะๆๆ ผมไม่ได้ให้ทุกท่านเชื่อน่ะครับ เดี๋ยวหาว่าผมยัดเยียดอะไรแปลก ๆ มาให้ดู เอาเป็นว่าดูกันเล่น ๆ ติดแข้งติดขากันไปดีกว่าครับ หากท่านใดเชื่อก็ให้เร่งสร้างบุญละบาปทำใจให้ใส ๆ กันนะครับ จะได้ไม่ต้องไปนรก แต่หากท่านใดไม่เชื่อ ก็ดูเป็นการ์ตูนสนุก ๆ กันไปละกันครับ โอกาสหน้าจะหาอะไรดี ๆ มาให้ชมกันอีกครับ http://www.dmc.ทีวี/programs/hell_animation.html (อย่าลืมเปลี่ยน ทีวี เป็น tv นะครับ) จากคุณ : theerapatto - [ 8 ธ.ค. 49 18:51:05 ]

ความคิดเห็นที่ 186 คห 185 ซ้ำอีกแล้วนะจ๊ะ รู้ตัวรึเปล่า จากคุณ : dcm - [ 9 ธ.ค. 49 14:53:33 ]

ความคิดเห็นที่ 187 เออ...ในฐานะที่ผมก็ไม่ค่อยได้คลุกคลีอยู่กับวงการพวกนี้อยู่แล้วนะครับสิ่งที่ผมยึดถือคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะพระสงฆ์ ทุกท่านก็ต้องยึดถือคำสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน  ดังนั้นผมขอพูดในฐานะคนกลางนะครับ  ผมมาอ่านแล้วคิดว่า คนในที่นี้ไม่กลัวบาปกรรมกันเหรอครับ ทำไมถึงไม่มองโลกในแง่ดีไว้ดีกว่า ผมเคยได้ยินข่าววัดธรรมกายมาหลายครั้งแล้ว เห็นเขาว่าไม่ดี ผมก็วางเฉยไว้คิดว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะดีหรือชั่วในเมื่อตัวเรายังมองไม่เห็นชั่วในตัวเราเลย   การที่วัดพูดให้คนทำบุญเยอะ ๆ ผมก็มองว่าเพื่อให้คนยึดติดกับบุญเหมือนคนเราทำอะไรซ้ำ ๆ กันทุกวันก็จะเกิดความเคยชิน ดังนั้นคนที่ติดกับบุญมาก ๆ ก็เป็นผลดีกับเขาถ้าเขาใกล้ตาย สิ่งที่เขาจะนึกออกอย่างแรกคือบุญที่เขาทำไว้ก็เป็นผลดีคือให้เขาได้ไปในภพภูมิที่ดี   ส่วนหลวงพ่อที่มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับเงิน เราไม่รู้จริงอย่าไปว่าท่านดีกว่าครับ เดี๋ยวจะบาป สมมติว่าถ้าท่านไม่ดีจริงเออเราว่าไปถือว่าเสมอตัว แต่สมมติว่าท่านเจตนาดี สิ่งที่เราว่าท่านไปจะเข้าตัวป่าว ๆ   ส่วนคนของธรรมกายก็เหมือนกันที่จริงแล้วคนมีธรรมมะก็ไม่น่าออกมาโต้แย้งเขา ถ้าเรามีดีจริงก็ควรวางเฉยไว้ดีกว่าเหมือนการตบมือข้างเดียวไม่ดังนั้นแหละ เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้เขาหาเรื่องมาว่าเราได้เรื่อย ๆ   ส่วนที่ผมขอตำหนินิดนึงนะครับ ที่มีคนกล่าวว่า พระสังฆราชไม่ใช่พระอรหันต์ ถามหน่อยครับคุณรู้ได้อย่างไรในเมื่อคุณก็ไม่ใช่พระอรหันต์เหมือนกัน และอย่างน้อยพระสังฆราชท่านก็เป็นคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ถ้าท่านไม่ดีจริงไม่ได้เป็นหรอกครับ   ท้ายนี้ผมอย่างบอกทุกคนว่าอะไรที่รู้ไม่จริงอย่าไปทักหรือกล่าวร้ายมันจะบาปกรรมกับท่าน เรื่องทั้งหมดนี้ถ้าคุณวางเฉยก็ไม่เกิดปัญหาอะไรกับพวกคุณใช่ไหม ไม่ใช่ว่าเขามาบังคับให้พวกคุณเชื่อ หรือ อีกฝ่ายมาบังคับให้คุณเลิกเชื่อ จากคุณ : ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว (ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ) - [ 9 ธ.ค. 49 16:48:11 ]

ความคิดเห็นที่ 188 ครับคุณ dcm หากคุณ dcm ตั้งใจจะให้คำแนะนำผมจริง ๆ ผมจะรับไว้ครับ แต่ผมคิดว่าผมคงไม่โพสต์ที่นี่แล้วล่ะครับ พอดีเจอที่ดี ๆ กว่านี้แล้วครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ จากคุณ : theerapatto - [ วันรัฐธรรมนูญ 09:52:35 ]

ความคิดเห็นที่ 189 ไม่ค่อยเข้าห้องนี้บ่อยนะคะ พอดีผ่านมา (อ่านทุกความเห็นด้วย) ไม่เข้าใจว่าทำไม ทำดีต้องหวังได้บุญ หนูอาจจะอายุยังน้อยไปมั้งแต่ทุกครั้งที่ทำอะไรดีๆ หรือเรื่องๆดี สิ่งที่หวังคือความสุข ทำแล้วสบายใจ แต่ทำไมมาอ่านแล้วเหมือนไม่ได้อยู่ในศาสนาเดียวกันเลย เอะอะๆก็บาป นรก บุญ พระพุทธเจ้าทรงเคยตรัสไว้นี่คะว่าทำดีอย่าหวังผล ถ้าชีวิตนี่ก่อนจะทำอะไรต้องมากลัวว่าจะบาป จะได้บุญน้อย จะตกนรก ชีวิตคงไม่มีความสุขและต้องการหลุดพ้นแบบนี้ไปจนตายแน่ๆเลย โอ้ยพูดไม่ถูกค่ะ แต่ไม่เข้าใจหลายๆคน เข้าขั้นงมงายเลยนะคะเนี่ย เฮ้อ  ไม่ต้องมาแช่งให้หนูตกนรกหรอกนะคะ ชีวิตหนูคงเคยทำบาปมาไว้อยู่แล้ว ยังไงก็คงต้องตกอยู่ดีไม่เคยกลัวการชดใช้การกระทำของตัวเอง   และการที่จะได้เกิดมาวนเวียนอยู่บนโลกใบนี้ไม่รู้จักจบสิ้น ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลยสำหรับหนู อีกอย่างไม่ต้องแบ่งบุญมาให้หนูด้วยเพราะหนูเชื่อว่าบุญใครบุญมัน บาปใครบาปมันใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับกรรมค่ะ สาธุ~~~~~~~~* จากคุณ : เจ้าหญิงของเฟิร์ส - [ 11 ธ.ค. 49 08:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 190 ... เข้ามาจอบ เพื่อลงชื่อว่าได้เข้ามาอ่านครับ จากคุณ : เข้ามาจอบ - [ 11 ธ.ค. 49 20:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 191 อ้าวคุณ theerapatto จะไปแล้วหรือครับ เพิ่งสมาชิกได้ไม่นานเอง จากคุณ : Freedom and Justice - [ 13 ธ.ค. 49 04:27:56 ]

ความคิดเห็นที่ 192 ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายครับ พระพุทธเจ้าท่านให้เราหมั่นตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบครับ อย่าเอาเรื่องบาปบุญ กล่าวว่าพระ มาเบี่ยงประเด็น ในอดีตก็มีคนมากล่าวหาพระพุทธเจ้าเช่นกัน แต่ท่านก็สามารถพิสูจน์ว่าท่านไม่ผิด และให้อภัยเพราะพวกเขาหล่าวนั้นเป็นคนที่ยังงมงายยึดติดเท่านั้น จนคนที่กล่าวโทษท่านบรรลุโสดาบัน ไม่ใช่ตกนรก หมกไหม้ ถ้าท่านไปสาปให้เขาตกนรกแสดงว่าท่านไม่บริสุทธิ์ใจแล้ว เพราะถ้าท่านบริสุทธิ์จริงย่อมพิสูจน์ได้ ศาลท่านเห็นมีมูลจึงฟ้อง ถ้าเห็นว่าไม่ผิดศาลจะฟ้องทำไม หมิ่นศาลเหมือนหมิ่นพระเจ้าอยู่หัวของเรานะครับ จากคุณ : นายสายฟ้า - [ 14 ธ.ค. 49 11:21:17 ]

ความคิดเห็นที่ 193 ผมถามจริงๆเถอะ  พวกที่โจมตีวัดพระธรรมกาย  คุณเคยเข้าไปศึกษาให้ชัดแจ้งแค่ไหน  ถึงมาสรุปด้วยความคิดของตัวเอง  บาปมันมีจริงนะครับ   ไม่รู้อะไรจริงแล้วอย่ามาอวดดี  หาเรื่องโจมตีวัดไปได้ซะทุกเรื่อง  ทุเรศจริงๆ จากคุณ : เด็กข้างหนามบิน - [ 15 ธ.ค. 49 14:14:53 ]

ความคิดเห็นที่ 194 ผิดถูกอย่างไรเป้นเรืองของสงฆ์ที่จะตัดสิน ถ้าไม่ยอมรับเราเป็นฆราวาสเข้าไปยุ่งด้วย บาปก็จะตกอยู่กับเรา ปล่อยเขาไปเถอะ ใจเราจะพ้นทุกข์เอง......... จากคุณ : หลวงตาชัย - [ 16 ธ.ค. 49 10:44:44 ]

ความคิดเห็นที่ 195 อย่ายุแหย่ให้ยากเลยไอ้พวกนอกศาสนา กูไม่เชื่อเอ็งหลอก จากคุณ : วัช (watd) - [ 18 ธ.ค. 49 22:03:55 ]

ความคิดเห็นที่ 197 อยู่ใกล้วัดธรรมกาย ได้ไปวัดธรรมกาย ก็จะไม่ไปอีก ไม่ได้มีความคิดด้านลบกับธรรมกาย แต่คิดว่าเงินที่ทำบุญไม่จำเป็นต้องทำที่วัดธรรมกายก็ได้ มีสติพอสมควรที่ดูแลชีวิตตัวเองได้ ดีกว่าศิษย์ธรรมกายบางคน ปากว่าตาขยิบนะ จากคุณ : ร้อยไม้ - [ 19 ธ.ค. 49 08:21:11 ]

ความคิดเห็นที่ 204 ศาสนาคริสต์   ศาสนาแห่งรัก ศาสนา อิสลาม ศาสนาแห่งสันติ ศาสนาพุทธ  ศาสนาแห่งปัญญา  ท่านที่เป็นพุทธ อย่าใช้ ศรัทธา มากกว่าปัญญาครับ มันจะหลงได้ จากคุณ : แม็กซิโอ - [ 21 ธ.ค. 49 17:16:48 ]

ความคิดเห็นที่ 205 โหวตไห้ เจ้าของกระทู้ค่ะ ไม่รู้จะตกนรกกะเค้าด้วยรึเปล่า แต่ไม่เป็นไรนะค่ะ ถึงแม้จะตกนรกเราก็คิดว่าเราคงจะได้ อยู่กับคนที่มีความคิดเห็นเดียวกันและอยู่ในสังคมที่ ไม่เห็นเงินคือพระเจ้า แม้แต่การทำบุญก็สอนกันว่า ทานเงินมากๆบุญก็จะได้มากๆ ใครใส่ซองหนาๆ ก็จะได้ถวายไกล้พระอาจารย์ แย่งกันก้มกราบขอส่วนบุญ (เหมือนเปรต) คนที่มี 100 200 ก็หยอดตามตู้ไป อนุโมทนาสาธุ สาธุ จากคุณ : คนนอกวัด (AKAWE) - [ 23 ธ.ค. 49 10:43:12 ]

ความคิดเห็นที่ 206 "สนแต่ชาตินี้จะต้องหลุดพ้นจากความทุกข์ " ตามความคิดของผมศาสนาพุทธสอนคนให้รู้จักทุกข์ ใช่หรือเปล่า แล้วทำไมชาวพุทธถึงอยากพ้นทุกข์ล่ะ พ้นทุกข์ก็คือตายใช่หรือเปล่า  อยากทราบจริงๆครับ จากคุณ : สี่แสง - [ 23 ธ.ค. 49 14:54:09 ]

ความคิดเห็นที่ 207 เคยเข้าวัดธรรมกายตั้งแต่แรกที่เป็นโบส์สีขาวเลียนแบบฝรั่ง  สมัยเมื่อปี 2527-2528  หลังจากนั้น  ก็เคยไปอีกเพราะเพื่อนขับรถมารับที่บ้านนานมากแล้ว  รู้สึกว่าจะเป็นตอนที่จะสร้างจานดาวเทียมปฎิบัติธรรมวันนั้นคนไปเยอะมากช่วยกันยกถังตักดิน  ฝนตกหนักมาก  แต่เพื่อนบอกว่าบุญเยอะเทวดาให้นำมนต์  พระที่อยู่ในบริเวณงานก็บอกทำนองเดียวกัน  จากที่เข้าไปแต่เราเข้ากับธรรมกายไม่ได้สาเหตุหลักมาจาก 1.ถ้าเราจะทำบุญเราก็จะทำด้วยใจ  ไม่เคยคิดว่าต้องทำกับใครได้บุญมากน้อยแค่ไหน  แต่ธรรมกายต้องทำกับธรรมกายเท่านั้นจึงจะได้บุญเยอะ 2.การทำบุญในความคิดของเราไม่สามารถประเมินได้จากทรัพย์ที่ทำ  เงิน1 บาทที่จากจิตที่บริสุทธิ์  ดีกว่าเงินเป็นล้านที่จิตต้องการผลบุญคือทำบุญเพื่อเอาหน้าหรือหวังผล 3.คนธรรมกายที่เรารู้จักหลายคน  ทุกคนก็จินตนาการว่าที่ทำไปตอนนี้อยู่วิมานชั้นไหนกัน  ทำบุญเยอะกับธรรมกายเพื่อสร้างวิมานเตรียมไว้ก่อน 4. สมัยแรกที่เราเข้าไป  ก็มีศิษย์ที่เข้าไปก่อนหน้าและสนิทกับหลวงพ่อมาเล่าเรื่องให้ฟังเช่น  ข้าวโพดสวีทที่พวกเราทานกันนั้นหลวงพ่อไปเอาพันธุ์มาจากสวรรค์  เราถึงมีโอกาสได้ทานข้าวโพดที่หวานและอร่อย  เราฟังที่เขาเล่าแล้วก็ได้แต่อึ้ง  อีกเรื่องก็เล่าอภินิหารของหลวงพ่อว่าสามารถฝึกสมาธิขั้นสูงจนสามารถแปลงเป็นอะตอมเข้าไปตรวจร่างกายและรักษาโรคมะเร็งได้  เราฟังแล้วยิ่งอึ้งไปใหญ่  เพราะเราเป็นคนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆๆ   เรารู้สึกว่าเป็นการโอ้อวดอภินิหารซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง  และตอนหลังเพื่อนก็พยายามมาชวนเพื่อให้เราไปที่วัดและทุกครั้งมาบอกบุญก็ต้องทำบุญสร้างองค์พระประจำตัว  องค์ละเป็นหมื่น  ยิ่งสร้างเยอะยิ่งได้บุญมาก  เพื่อนเรากับที่บ้านเขาสร้างรวมกันจ่ายเงินไปเกือบ 3 แสน  พวกเขาเลยได้สนิทใกล้ชิดหลวงพ่อ  เพื่อนเราเข้าธรรมกายมา 20 กว่าปีแล้ว  แต่เราก็ไม่เห็นว่าเพื่อนเราบรรลุอะไร  ทุกวันนี้ที่เจอกัน  ก็ยังเป็นคนเครียดตลอดเวลา  และยังหลงกับตำแหน่งโดยไม่รู้จักปล่อยวาง  มองคนรอบข้างอย่างอคติ  เจอหน้าทุกครั้งก็ไม่เห็นจะมีความสุขเลย ที่เล่ามาก็แค่เป็นแนวทางว่าแต่ละคนมีสิทธิ์จะตัดสินใจในความเชื่อของตนเอง  ว่าจะเลือกแบบไหน  อย่างเราก็เลือกแบบหนึ่ง  เพื่อนก็เลือกแบบหนึ่ง  แต่เราก็ไม่เคยนำเรื่องที่เราประสบไปเล่าให้เขาฟัง  เพราะเล่าไปก็คงเปล่าประโยชน์  อาจจะทะเลาะกัน  และคงไม่สามารถคบหากันได้จนถึงปัจจุบันนี้ สำหรบเราเราเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม   กรรมดี  กรรมชั่ว  ทั้งกาย วาจา และใจ แก้ไขเมื่อ 23 ธ.ค. 49 22:52:38 จากคุณ : คนห่างไกล (เพียวเสดจัง) - [ 23 ธ.ค. 49 22:48:45 ]

ความคิดเห็นที่ 208 เห็นมีเด็กหนุ่มสาววัยรุ่นไปวัดธรรมกายกันมากมายน่าอนุโมทนา ใครนะว่าวัยรุ่นสมัยนี้ไม่เข้าวัด เรามาปรับปรุงวัดเราบ้างดีกว่า ท่านใดอยู่ใกล้วัดไหน เป็นศิษย์วัดไหน ช่วยกันสนับสนุนนิมนต์แนะนำท่านเจ้าอาวาส ตั้งแต่วัดบวร วัดโสม วัดเบญจ  วัดชนะสงคราม วัดพระศรีมหาธาตุ ฯลฯ ลงมาเลย เด็กๆพี่ป้าน้าอาจะได้เข้าแต่วัดเรา ไม่ไปวัดธรรมกาย และรอบๆวัดธรรมกาย รอบที่ 1 2 3 4 5 จนถึงวัดกลางใจเมืองทั้งหลาย เป็นการสกัดเด็กของเราไว้ก่อน อาหารบิณฑบาตได้มาอย่าขาย ตั้งโต๊ะแจกเด็กๆลูกหลานไทย แบ่งมาองค์ละ 2 3 4 5 ถุง ลูกหลานไทยเราจะลดความอดอยากหิวโหย ศธ.บอกมีเป็นล้าน นึกว่าช่วยสมเด็จพระเทพฯท่านด้วย อย่าถือพานเรี่ยไรคนมาฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม และขออนุญาตที่จะนำคห.นี้ไปต่อท้ายกระทู้วัดธรรมกายทุกกระทู้สัก 1 ปี เพื่อเป็นแรงให้วัดต่างๆพัฒนาขึ้นมารองรับบุคลากรผู้ใฝ่ธรรมเหล่านั้นให้มากขึ้น จากคุณ : surasc - [ 26 ธ.ค. 49 16:44:36 ]

ความคิดเห็นที่ 209 อ่านแล้วเวียนหัวครับ สรุปว่า 1.เจ้าอาวาสวัดธรรมกายผิดหรือไม่ 2.คำสอนของวัดธรรมกายขัดแย้งกับพระตรัยปิฎกหรือไม่ งงครับ เคยได้ยินแต่เพื่อนเล่าให้ฟังไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร เคยไปวัดธรรมกายประมาณ 5-6 ปีที่แล้วทางวัดชอบให้บริจาค บอกว่าใส่เงินเยอะก็ได้บุญมาก มีพระให้เช่าด้วย บอกว่าเป็นแร่ล้านปีที่เทวดารักษาไว้ให้มาทำพระ ตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยเข้า แต่ก็ไม่ต่อต้านหรือเห็นด้วยอะไร จากคุณ : zencha2547 - [ 26 ธ.ค. 49 18:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 210 สร้างภาพ จากคุณ : Suomi - [ 26 ธ.ค. 49 20:47:10 ]

ความคิดเห็นที่ 211 คุณเคยอ่านพระไตรปิฏกหรือเปล่า? ปาราชิกมีแค่ 4 ข้อ เจ้าสำนักนี้ปาราชิกเพราะเข้าข้อไหน? อย่าเอาวิธีการตัดสินแบบศาลมาคิด เพราะอนุบัญญัติก็มีให้อ่าน ให้ศึกษา ให้เทียบเคียง พระพุทธเจ้าเน้นเจตนาเป็นหลัก ถ้าไม่มีเจตนาแล้ว ภิกษุจี้ (จั๊กจี๋) มนุษย์ แล้วบังเอิญมนุษย์ตาย ก็ยังไม่ปาราชิกนะคุณ อนึ่ง มีครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนกะสาวกว่า "ถ้าภิกษุปฏิบัติชั่ว ประพฤติลามก แต่ยังไม่อาบัติปาราชิก ก็อย่าด่าว่าเขา แต่ให้เตือนเขาว่าสิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ถูก เพราะเขายังถือเป็นภิกษุอยู่" จากคุณ : oiooo - [ 28 ธ.ค. 49 10:49:24 ]

ความคิดเห็นที่ 212 ตอบให้ #209 สำหรับข้อ 2 คำสอนผิดหรือไม่? การสั่งสอนให้ลูกศิษย์ทั้งหลายเพ่งลูกแก้ว แล้วอ้างว่าเป็นวิชาธรรมกายที่พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนนั้น ผิดแน่นอน - ไม่มีคำสอนถึงการเพ่งลูกแก้วแล้วจะหมดกิเลสในพระไตรปิฏก กรรมฐาน หรือทางเดินเพื่อหมดกิเลส พระพุทธเจ้าให้ไว้หลายแนวทาง หลายแนวปฏิบัติ เรียกแนวทางทั้งหมดรวมๆว่า "โพธิปักขิยธรรม" อันได้แก่ สติปัฏฐาน 4, สัมมัปปธาน 4, อิทธิบาท 4, อินทรีย์ 5, พละ 5, โพชฌงค์ 7, มรรคมีองค์ 8 พูดง่ายๆ ในโพธิปักขิยธรรม ปฏิบัติเข้าไปเถิด ตรงแท้แน่นอน อะไรก็ได้ ชอบแบบไหนก็ปฏิบัติไป ในสติปัฏฐาน 4 ของโพธิปักขิยธรรม ยังมี การเจริญอาณาปานสติ, การเจริญสติ, สัมปชัญญะ, และ... "ไม่มีวิชาธรรมกายอยู่ในโพธิปักขิยธรรม ไม่มีวิชาการเพ่งดวงแก้วใดๆทั้งสิ้น" "วิชชาธรรมกายเป็นวิชชาของคุณสด ที่มาบวชในพุทธศาสนา แล้วฝึกจนสำเร็จ คุณสดมาบวชในพุทธศาสนา ไม่ผิดวินัยข้อปาราชิก จึงเป็นหลวงพ่อสด แห่งวัดปากน้ำ และเอาวิชชาที่ตัวเองคิดเองขึ้นมา มาเผยแพร่ ข้อนี้ผมไม่ติดใจ แต่มาติดใจเอาตรงท่านพยายามพาให้พุทธศาสนิกชน ภิกษุ สามเณรในพุทธศาสนาเข้าใจผิดว่า "วิชชาธรรมกาย คือวิชชาของศาสนาพุทธ" โดยไม่สนใจคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่สั่งสอนไว้ในพระไตรปิฎก ผมยิ่งสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็น "พระไตรปิฎกฉบับธรรมกาย" ที่เขียนเองขึ้นมาใหม่ บรรจุข้อธรรม คำสั่งสอนที่มีวิชชาธรรมกาย ย่ำยีพระไตรปิฎกฉบับเดิม ให้คนหลงผิด ยังไง หลวงพ่อสด ไม่ได้ปาราชิก ท่านก็เป็นหลวงพ่อสด จะชักชวนให้คนทำบุญด้วยเงินทองเข้าวัดเยอะๆ หรืออะไร ก็ไม่ได้เข้าข่ายปาราชิก ท่านก็ยังเป็นหลวงพ่อสด ส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ได้ตำหนิท่าน ตำหนิไปท่านก็ไม่ได้ยิน แต่ถึงท่านจะมีชีวิตอยู่ ผมก็จะไม่ขอตำหนิท่าน แต่จะไปเตือนสติท่านว่า... พาคนปฏิบัติธรรมผิดทาง หลงภพ หลงชาติ ปิดทางนิพพาน... บาปหนักนะหลวงพ่อ www.84000.org ศึกษาพระไตรปิฏกด้วยตัวท่านเองได้ที่นี่ครับ จากคุณ : นายโหลว โขว่วโว่ว (oiooo) - [ 28 ธ.ค. 49 15:40:19 ]

ความคิดเห็นที่ 214 ขอบคุณ ความเห็นที่ 212 ครับ จากคุณ : zencha2547 - [ 29 ธ.ค. 49 14:04:06 ]

ความคิดเห็นที่ 215 เห็นด้วยกับ 211 อย่างอื่นไม่มีความเห็นครับ รู้แต่ว่า ทุกคนล้วนมีกิเลส คนมีกิเลสไม่ควรตัดสินเรื่องของพระ จากคุณ : อภิอัครมหายาน - [ 29 ธ.ค. 49 16:39:38 ]

ความคิดเห็นที่ 216 ความคิดเห็นที่ 109   ธรรมกายของพระพรหมคุณากรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ต่อไปนี้ ๑. สอนว่านิพพานเป็นอัตตา ...... ๓. สอนเรื่องอายตนนิพพาน ให้เข้าใจผิดต่อนิพพาน เหมือนเป็นดินแดนที่จะ  เข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ ที่จะนำข้าวบูชาไป  ถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้น ----------------------------------------------------------- ขอออกความเห็นเฉพาะข้อ 3 นะคะ ดิฉันเคยเห็นวัดแถวบ้านที่แม่ดิฉันไปบ่อยๆ (เป็นวัดป่า ฝึกสมาธิแบบพุทโธ และไม่นิยมวัดพระธรรมกายค่ะ) ก็เห็นมีถวายข้าวพระพุทธนะคะ มีบทสวดถวายข้าวพระพุทธด้วยค่ะ แต่จำไม่ได้ ส่วนอีกที่หนึ่ง ของยุวพุทธิกสมาคมค่ะ ดิฉันก็เคยไปปฏิบัติวิปัสนาในหลักสูตรคุณแม่สิริ กรินชัย ตอนรับประทานอาหารเช้า ก็มีการถวายข้าวพระพุทธเหมือนกันค่ะ (แต่ทั้งสองแห่ง ไม่ใช้คำว่า อายตนะนิพพาน) จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่า ทางวัดพระธรรมกายคิดวิธีนี้ขึ้นมาเอง ส่วนข้อ 1 ที่ว่า นิพพาน เป็นอัตตา ดิฉันก็ไม่ค่อยเห็นด้วย กับตรงนี้นะคะ แต่ก็ไม่อยากออกความเห็นมากกว่านี้ (เพราะไม่ได้ปฏิบัติธรรมจนรู้ลึกซึ้ง เลยไม่กล้าให้ความเห็น) จากคุณ : พจมารร้าย - [ 30 ธ.ค. 49 15:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 217 ตอบเบอร์ #216 คุณพจมารครับ ถวายข้าวพระพุทธเจ้าเพื่อแสดงความเคารพ สักการะครับ เทพเทวดาไม่ลงมากินอาหารของเราหรอกครับ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านลงมาฉัน หรือมารับอาหารจริง คนถวายทั้งประเทศไทยเป็นล้านๆคน ท่านคงเหนื่อยน่าดู อิมัง สูปะพยัญชนะสำปันนัง สารีนัง โภชนานัง อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมะ (มิ) ดินแดนนิพพาน ใครคิดนี่ผมไม่ทราบเหมือนกัน แต่ผู้ไม่รู้สอนเรื่องนี้กันเยอะเหมือนกัน จากคุณ : นายโหลว โขว่วโว่ว (oiooo) - [ 30 ธ.ค. 49 20:55:07 ]

ความคิดเห็นที่ 218 เป็นเรื่องของการจัดการผู้ให้ก็ให้กับศาสนาพุทธแนววิชชาธรรมกายเท่านั้น ไม่ได้ให้กับกรมศาสนา ก็เท่านั้นเพื่อประโยชน์ของชาวพุทธและสะดวกต่อการจัดการสมัยนั้น ซึ่งขั้นตอนของรัฐล่าช้า และยากต่อการดำเนินการแต่เจตนาท่านบริสุทธิ์ ไม่ได้เอามาบริโภคเพื่อประโยชน์ของตน แต่เพื่อพระศาสนาเท่านั้นคำว่ายักยอกจึงไม่สามารถนำมาใช้กับท่านได้และ ปัจจุบันท่านก็โอนเป็นชื่อวัดเพื่อตัดปัญหาทั้งปวง ลองบวชไม่สึกดูแล้วตั้งใจปฎบัติแล้วจะเข้าคำว่าเจตนามากกว่าเงือ่นไขทางโลก จากคุณ : sakkrit (sakkrit99k) - [ วันสิ้นปี 17:29:04 ]

ความคิดเห็นที่ 219 นักปฎบัติไม่ควรว่า ใครสอนผิดสอนถูก แต่ควรเลือกทางที่ตนถนัด หรือถ้าไม่เชื่อก็เข้าไปปฎิบัติ เพื่อพิสูจน์ดูสิ ผมเชื่อว่าวิชชาธรรมกายสามารถเข้าถึงนิพพานได้ ถ้าไม่เน้นปราบมาร ก็ไปนิพพานได้เลย โดยพิจารณาตามพระไตรปิฎก จากคุณ : sakkrit99k - [ วันสิ้นปี 17:45:41 ]

ความคิดเห็นที่ 221 เต็งชุนชิว จากคุณ : jek ae - [ 2 ม.ค. 50 15:55:59 ]