ความคิดเห็นที่ 1 พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์ ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาธรรมเท่าไรในตน แล้วโจทผู้อื่น พระผู้มีพระภาคตรัสว่าภิกษุผู้โจทก์ ปรารถนาจะโจทผู้อื่นพึงพิจารณาธรรม ๕ ประการในตนว่า ๑. เรามีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์หรือหนอ เราประกอบด้วยความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ ไม่มีช่อง ไม่มีตำหนิธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ๒. เรามีความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์หรือหนอ เราประกอบด้วยความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์ ไม่มีช่อง ไม่มีตำหนิ ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ๓. จิตของเรามีเมตตาปรากฏ ไม่อาฆาตในสพรหมจารีทั้งหลายหรือหนอ ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ๔. เราเป็นพหูสูต ทรงสุตะ เป็นที่สั่งสมสุตะหรือหนอ ธรรมเหล่านั้นใด ไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง ในที่สุด ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ๕. เราจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดี โดยพิสดาร สวดไพเราะ คล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้องโดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะหรือหนอ ธรรมนี้มีแก่เราหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ เธอถูกถามจะตอบไม่ได้ เธอย่อมจะมีผู้กล่าวว่า เชิญท่านเล่าเรียนความประพฤติทางกาย.... ความประพฤติทางวาจา.... เชิญท่านเข้าไปตั้งเมตตาจิต... เชิญท่านจงเล่าเรียนปริยัติเสียก่อน... เชิญท่านเล่าเรียนวินัยเสียก่อนวินัยเสียก่อน .............................................. พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงตั้งธรรมเท่าไรไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่นพึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น คือ ๑. เราจักกล่าวโดยกาลอันควร จักไม่กล่าวโดยกาลอันไม่ควร ๒. จักกล่าวด้วยคำจริง จักไม่กล่าวด้วยคำอันไม่เป็นจริง ๓. จักกล่าวด้วยคำสุภาพ จักไม่กล่าวด้วยคำหยาบ ๔. จักกล่าวด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่กล่าวด้วยคำไร้ประโยชน์ ๕. จักมีเมตตาจิตกล่าว จักไม่มุ่งร้ายกล่าว จากคุณ : ebusiness - [ 6 ก.ย. 49 01:29:21 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรมต้องเดือดร้อน พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ คือ:- ๑. ท่านโจทโดยกาลไม่ควร ไม่โจทโดยกาลอันควร ท่านต้องเดือดร้อน ๒. ท่านโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่โจทด้วยเรื่องจริง ท่านต้องเดือดร้อน ๓. ท่านโจทด้วยคำหยาบ ไม่โจทด้วยคำสุภาพ ท่านต้องเดือดร้อน ๔. ท่านโจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่โจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ท่านต้องเดือดร้อน ๕. ท่านมุ่งร้ายโจท มิใช่มีเมตตาจิตโจท ท่านต้องเดือดร้อน ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุแม้อื่น ไม่พึงสำคัญเรื่องที่โจทด้วยคำเท็จ ฯ .............................................. ผู้โจทก์โดยเป็นธรรมไม่ต้องเดือดร้อน พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรม พึงถึงความไม่เดือดร้อน ด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรม พึงถึงความไม่เดือดร้อน ด้วยอาการ ๕ คือ:- ๑. ท่านโจทโดยกาลอันควร ไม่ใช่โจทโดยกาลอันไม่ควร ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๒. ท่านโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ใช่โจทด้วยเรื่องไม่เป็นจริง ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๓. ท่านโจทด้วยคำสุภาพ ไม่ใช่โจทด้วยคำหยาบ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๔. ท่านโจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่โจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๕. ท่านมีเมตตาจิตโจท ไม่ใช่มุ่งร้ายโจท ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรม พึงถึงความไม่เดือดร้อนด้วยอาการ ๕ นี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุแม้อื่นก็พึงสำคัญว่าควรโจทด้วยเรื่องจริง ฯ .............................................. โจทก์พึงมนสิการธรรม ๕ ประการ พระอุบาลีทูลถามว่า ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงมนสิการธรรมเท่าไรไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่นพึงมนสิการธรรม ๕ อย่างไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น คือ:- ๑. ความการุญ ๒. ความหวังประโยชน์ ๓. ความเอ็นดู ๔. ความออกจากอาบัติ ๕. ความทำวินัยเป็นเบื้องหน้า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทผู้อื่น พึงมนสิการธรรม ๕ อย่างนี้ไว้ในตน แล้วโจทผู้อื่น ฯ จากคุณ : ebusiness - [ 6 ก.ย. 49 01:30:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ในส่วนผู้ถูกโจทกันบ้างครับ ... ผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรมไม่ต้องเดือดร้อน พระอุบาลีทูลถามว่า ก็ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือดร้อน ด้วยอาการ ๕ คือ:- ๑. ท่านถูกโจทโดยกาลไม่ควร ไม่ถูกโจทโดยกาลอันควร ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๒. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องไม่จริง ไม่ได้ถูกโจทด้วยเรื่องจริง ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๓. ท่านถูกโจทด้วยคำหยาบ ไม่ถูกโจทด้วยคำสุภาพ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๔. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ได้ถูกโจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ๕. ท่านถูกโจทด้วยมุ่งร้าย ไม่ถูกโจทด้วยเมตตาจิต ท่านไม่ต้องเดือดร้อน ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยอาการทั้ง ๕ นี้ ฯ .............................................. ผู้ถูกโจทโดยธรรมต้องเดือดร้อน พระอุบาลีทูลถามว่า ก็ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการเท่าไร พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ คือ:- ๑. ท่านถูกโจทโดยกาลอันควร ไม่ใช่ถูกโจทโดยกาลอันไม่ควร ท่านต้องเดือดร้อน ๒. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องจริง ไม่ใช่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่เป็นจริง ท่านต้องเดือดร้อน ๓. ท่านถูกโจทด้วยคำสุภาพ ไม่ใช่ถูกโจทด้วยคำหยาบ ท่านต้องเดือดร้อน ๔. ท่านถูกโจทด้วยเรื่องประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ถูกโจทด้วยเรื่องไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านต้องเดือดร้อน ๕. ท่านถูกโจทด้วยเมตตาจิต ไม่ใช่ถูกโจทด้วยมุ่งร้าย ท่านต้องเดือดร้อน ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทโดยธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ นี้แล ฯ ผู้ถูกโจทก์พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ พระอุบาลีทูลถามว่า ก็ภิกษุผู้ถูกโจทก์ พึงตั้งอยู่ในธรรมเท่าไรพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถูกโจทก์ พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ความจริง ๑ ความไม่ขุ่นเคือง ๑ ฯ จากคุณ : ebusiness - [ 6 ก.ย. 49 01:30:26 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบพระคุณที่มีจิตกุศลติดตามอ่านครับ ข้อมูลจากพระวินัยในพระไตรปิฏก ทุกข์ทั้งหลายเกิดจากการยึดมั่น   ยึดเขา  ยึดเรา  ยึดคณะ  ยึดพวก เมื่อใดเกิดความยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ แม้เพียงสิ่งเดียว เมื่อนั้นย่อมเกิดความทุกข์ ภาพประกอบจากสมาชิก  ขอกราบอนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ ในห้องศาสนามีผู้โจท และผู้เคารพนับถือผู้ถูกโจทก์ ถ้านำไปปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้ ก็จะทำให้เราคุมสติได้ จะไม่เดือนร้อนแน่นอนครับ จากคุณ : ebusiness - [ 6 ก.ย. 49 01:32:51 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สาธุๆๆ จากคุณ : วรกร - [ 6 ก.ย. 49 05:06:10 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ก็พระสมัยโบราณ ไม่เก้อยาก เหมือนพระสมัยนี้........ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ แหม..............การกล่าว  สาธุ  บ่อยๆจนติดปากนี่ สามารถทำให้ดูดีขึ้นจริงๆด้วย... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 6 ก.ย. 49 05:52:30 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สาธุ.....ขอบคุณครับ จากคุณ : คุณดี. ซี. - [ 6 ก.ย. 49 06:40:51 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สาธุค่ะ น่าจะเป็นประโยชน์กับหลายคนเลยค่ะ จากคุณ : Omena - [ 6 ก.ย. 49 08:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ธรรมของพระพุทธเจ้า แจ่มแจ้งดีแท้ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พร้อมด้วยพระธรรม และพระสงฆ์ อนุโมทนาบุญกับคุณebusinessครับ...สาธุ จากคุณ : Ichitarou - [ 6 ก.ย. 49 11:50:54 ]

ความคิดเห็นที่ 10 บัณฑิตและคนพาล ต่างกันตรงนี้นี่เอง ต่อไปขอสนทนาแต่บัณฑิต ไม่ขอยุ่งกับคนพาล อีกเด็ดขาด จากคุณ : Ichitarou - [ 6 ก.ย. 49 11:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอโหวตกระทู้นี้ครับ จากคุณ : Ichitarou - [ 6 ก.ย. 49 12:44:22 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมขอโหวตให้ด้วยครับ บัณฑิตย่อมนำพาไปหาผล จากคุณ : หัดฝัน - [ 6 ก.ย. 49 12:49:25 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ดีแล้วครับ เหมาะกับเหตุการตอนนี้ดีครับ จากคุณ : อภิมหานวบรมคุณทิคัมพร (sueki) - [ 6 ก.ย. 49 13:19:22 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบพระคุณที่โหวตให้ครับ จากคุณ : ebusiness - [ 6 ก.ย. 49 19:43:56 ]

ความคิดเห็นที่ 15 มีประโยชน์ต่อการปฏิบัติในชีวิตจริงผมอย่างมากครับ จะขอตั้งใจสดับรับฟัง  และไม่ลืมเลือนในข้อความทั้งหมดตลอดชีวิตครับ ขอบคุณคุณ  ebusiness  สำหรับธรรมข้อนี้ที่หาฟังได้ยากครับ _/\_ จากคุณ : SpiritWithin - [ 7 ก.ย. 49 17:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตา  มักเห็นความผิดผู้อื่น หู  ก็ชอบฟัง สิ่งผิดผู้อื่น มาใช้  ตาใน  มองตน   โอ     ทำผิดอีกและ                               โอ   ทำผิด เอาอีกและ จากคุณ : นะยะ - [ 7 ก.ย. 49 21:09:58 ]

ความคิดเห็นที่ 17 นานๆ จะมีกระทู้แนะนำที่มีประโยชน์และสร้างสรรค์ซะที... โมทนาสาธุการกับคุณ  ebusiness ที่นำธรรมะดีๆ มาฝากกันด้วยครับ _/\_ จากคุณ : XLmen - [ 7 ก.ย. 49 21:35:56 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบพระคุณครับ __/\__ ิพยายามใช้หลักนี้อยู่ครับ : ) แต่บางทีก็มีหลุดบ้าง  แหะๆ จากคุณ : เหรียญ - [ 7 ก.ย. 49 22:58:10 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ธรรมะที่พระอุบาลีทูลถามข้างบนนี้ ถ้าได้นำไปพิจารณไตร่ตรอง แล้วนำเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน ย่อมจะทำประโยชน์อย่างแท้จริง ให้แก่ทุกๆคนครับ การกล่าวตักเตือนกันทำได้ ชี้แนะกันได้ เมื่อได้เห็นข้อผิดพลาด เมื่อได้ยินข้อบกพร่อง หรือสงสัยในพฤติกรรมอันไม่เหมาะ ไม่ควร โดยอาศัยความปรารถนาดี ความเมตตาอนุเคราะห์เกื้อกูลต่อกัน ผู้ถูกตักเตือนก็นำธรรมะไปปฏิบัติ ต่างพร้อมที่จะให้อภัย มิได้หวังร้าย แต่หวังความเจริญในธรรมเป็นสำคัญ เมื่อทำได้แบบนี้ความขัดข้องหมองใจจะไม่มี จะมีแต่ความเข้าใจ จะมีแต่ความเห็นใจ เป็นผลให้เกิดความสงบสุขในห้องศาสนาแน่นอนครับ ขอบพระคุณทุกท่านครับ _/|\_ จากคุณ : ebusiness - [ 8 ก.ย. 49 00:36:29 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ได้มาอ่านแล้ว ดีจริงๆด้วย อนุโมทนานะครับ จากคุณ : จักรแก้ว - [ 8 ก.ย. 49 06:37:58 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ครับ ดีใจที่กระทู้นี้ได้เป็นกระทู้แนะนำ ผมก็จะนำหลักในกระทู้นี้ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน ไว้ปรับปรุงตัวให้ดียิ่งๆขึ้นไป สาธุอีกครั้งครับ จากคุณ : หัดฝัน - [ 8 ก.ย. 49 11:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เป็นกระทู้ที่มีประโยชน์มาก จะเห็นว่าผู้โจทก์จะต้องมีธรรมะในตนถึง 5 ประการ แต่ผู้ถูกโจทก์ต้องมีธรรมะเพียง 2 ประการ ดังนั้นหากในสังคมของเรานำธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติ ก็จะทำให้มีแต่ความสุข ความสงบและสันติ สาธุ! จากคุณ : นรานัง (นรานัง) - [ 8 ก.ย. 49 11:54:16 ]

ความคิดเห็นที่ 23 โอ้ ขอบพระคุณมากๆค่ะพี่ จากคุณ : what for ^.~ - [ 8 ก.ย. 49 20:21:22 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะ เหมาะกับสถานะการณ์ร้อน ๆ ในห้องนี้ค่ะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : faisara - [ 8 ก.ย. 49 23:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ้างจาก http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4694928/Y4694928.html#24 1)ภิกษุผู้โจทก์ ปรารถนาจะโจทก์ผู้อื่นพึงพิจารณาธรรม ๕ ประการในตน 2)ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทก์ผู้อื่นพึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ในตน แล้วโจทก์ผู้อื่น 3)ภิกษุผู้โจทก์โดยไม่เป็นธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ 4)ภิกษุผู้โจทก์โดยเป็นธรรม พึงถึงความไม่เดือดร้อน ด้วยอาการ ๕ 5)ภิกษุผู้โจทก์ปรารถนาจะโจทก์ผู้อื่นพึงมนสิการธรรม ๕ อย่าง 6)ภิกษุผู้ถูกโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ไม่ต้องเดือดร้อน ด้วยอาการ ๕ 7)ภิกษุผู้ถูกโจทก์โดยธรรม พึงถึงความเดือดร้อนด้วยอาการ ๕ 8)ภิกษุผู้ถูกโจทก์ พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ความจริง ๑ ความไม่ขุ่นเคือง ๑ ฯ จากข้อความโดยย่อทั้งหมดเป็นเรื่องของ ภิกษุผู้โจทก์ และ   ภิกษุผู้ถูกโจทก์ ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับ อุบาสกอุบาสิกา ชาวบ้านชาวช่องทั่วไปแต่อย่างใดเลย............. ใครที่เคร่งครัดในศีลในธรรมก็ควรอนุโลมตามบทบัญญัตินี้ แต่ใครคิดเห็นว่าตนเป็นชาวบ้านก็โจทก์เอาตามสะดวก ผิดถูกอย่างไร ก็สอบสวนสะสางกัน เพื่อความสบายใจของชาวบ้าน เรื่องบางเรื่องแม้ไม่ได้ผิดธรรมวินัยร้ายแรง แต่เป็นโลกวัชชะ โลกติเตียน สังคม ชาวบ้านเขาไม่ยอมรับ ก็ยังต้องสึกหาลาเพศกันไป ความสงสัยความแคลงใจของชาวบ้านนั้น คงไม่ถึงขนาดจะลากกันลงนรกในทันทีทันใดหรอก ถ้าจะคิดหรือพูดอย่างนั้นก็นับว่าเกินพอดีไปหน่อย ชาวบ้านเขามีสิทธิ์ที่จะสงสัย เป็นหน้าที่ของภิกษุที่ถูกโจทก์จะต้องแก้ต่าง ให้ชาวบ้านเขาคลายความสงสัยให้ได้........ทั้งหมดก็เท่านี้ คิดเห็นอย่างไรก็บอกกล่าวกันมาก็แล้วกัน ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 10 ก.ย. 49 00:09:59 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ควรใช้ปัญญาพิจารณาว่า หากเราปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น  เป็นกุศลหรืออกุศล มีคุณหรือมีโทษ ผู้รู้พิจารณาแล้วสรรเสริญหรือติเตียน? ถ้าหากเราไม่ปฏิบัติตาม นี่เป็นกุศลหรืออกุศล นี่มีคุณหรือมีโทษ ผู้รู้พิจารณาแล้วสรรเสริญหรือติเตียน? ใช้ปัญญาพิจารณาแล้วว่า อันไหนไม่เป็นโทษ เป็นคุณ และผู้รู้สรรเสริญ ก็ทำออกไป เพราะทุกๆคนต้องรับผิดชอบความเชื่อ และการกระทำของตนเอง มีสติ เฉลียวใจ ระวังใจไว้ได้ ก็จะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของกิเลสครับ จากคุณ : ebusiness - [ 10 ก.ย. 49 19:35:51 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อนุโมทนาบุญกับคุณ ebusiness อีกครั้ง และก็ขอบอกอีกครั้งว่า คนพาลกับบัณฑิตต่างกันตรงนี้นี่เอง ทั้งที่เป็นพุทธพจน์แท้ๆ กลับอ้างว่า พระพุทธเจ้าตรัสกับพระเท่านั้น เพราะฉะนั้น ฆราวาสไม่ต้องทำตาม เออหนอ คิดไปได้ มัวแต่ไปด่าคนอื่นว่าเป็นมิจฉาทิฐิ โดยไม่เคยดูตัวเอง อนาถใจ แสดงความโง่และมิจฉาทิฐิออกมาเต็มๆ ใครอยากเชื่อตาม ก็เชื่อไปแล้วกัน แต่ผมขอเชื่อคุณebusiness ดีกว่า ขอเอามาย้ำอีกครั้ง ----------------------------------------------------------- ควรใช้ปัญญาพิจารณาว่า หากเราปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น  เป็นกุศลหรืออกุศล มีคุณหรือมีโทษ ผู้รู้พิจารณาแล้วสรรเสริญหรือติเตียน? ถ้าหากเราไม่ปฏิบัติตาม นี่เป็นกุศลหรืออกุศล นี่มีคุณหรือมีโทษ ผู้รู้พิจารณาแล้วสรรเสริญหรือติเตียน? ใช้ปัญญาพิจารณาแล้วว่า อันไหนไม่เป็นโทษ เป็นคุณ และผู้รู้สรรเสริญ ก็ทำออกไป เพราะทุกๆคนต้องรับผิดชอบความเชื่อ และการกระทำของตนเอง มีสติ เฉลียวใจ ระวังใจไว้ได้ ก็จะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของกิเลสครับ ----------------------------------------------------------- จากคุณ : Ichitarou - [ 10 ก.ย. 49 19:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 28 แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 49 07:57:36 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 49 23:12:38 จากคุณ : บานทะโรค - [ 10 ก.ย. 49 20:40:27 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 49 07:57:17 แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 49 23:10:28 จากคุณ : บานทะโรค - [ 10 ก.ย. 49 23:08:58 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ธรรมะเป็นของดี แต่คนบางคน ไม่รู้ว่าธรรมะมันดียังไง เหมือนทัพพีที่อยู่ในหม้อแกง แต่ไม่เคยรู้รสแกง จากคุณ : อภิอัครมหายาน - [ 11 ก.ย. 49 14:58:54 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เรียนคุณ บานทะโรค ครับ ผมแวะเวียนมาอ่านเรื่องราวต่างๆ ในห้องศาสนานี้บ่อยครับ ได้ความรู้ไปมากทีเดียวครับ ไม่ค่อยได้ออกความเห็นอะไรกะเขาหรอกครับ เพราะว่าผมยังรู้ไม่มากครับ กระทู้นี้ก็ได้ความรู้ครับ แต่การแสดงออกของคุณ มันไม่งามจริงๆ ครับ อยากว่าเขา อยากด่าเขา ก็ไปด่าที่กระทู้ที่เขาจั่วหัวเอาไว้สิครับ ไม่มีใครว่าอะไรเลย แต่กระทู้นี้ จขกท. เขานำเสนอธรรมะของพระพุทธองค์ครับ ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่คุณกำลังพูดอยู่เลยครับ ผมไม่อยากเข้าไปแจ้งลบความเห็นของคุณหรอกครับ เพราะไม่อยากถูกดูหมิ่นว่าเป็นสาวกอะไรของใคร แต่ขอบอกความในใจเอาไว้ตรงนี้นะครับ ว่าผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ คุณบานทะโรค แม้แต่น้อย ผมอยากแจ้งลบความคิดเห็นที่ 28 และ 29 ผ่านทางนี้ครับ ไม่อยากเข้าไปแจ้งลบ เพราะผมไม่อยากถูกดูหมิ่น ตามที่กล่าวมาแล้วครับ ด้วยความนับถือครับ จากคุณ : เบคู กะ อูเว - [ 12 ก.ย. 49 00:30:05 ]

ความคิดเห็นที่ 32 "ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นสภาพถึงก่อน มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วด้วยใจ ผู้ที่ใจชั่ว ย่อมคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว อันจะมีแต่โทษเกิดตามมา ประดุจล้อเกวียน ที่หมุนตามรอยเท้าโค ที่ลากแอกอยู่ ฉันนั้น" พุทธพจน์ จากคุณ : Ichitarou - [ 12 ก.ย. 49 02:55:53 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณคุณ เบคู กะ อูเว ยินดีรับฟังขอติติงครับ มีเหตุมีผลมากครับ ขอลบคห.ตัวเองตามคำชี้แนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : บานทะโรค - [ 12 ก.ย. 49 07:56:50 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ดีใจมากครับที่มีการนำเสนอข้อมูลดีดีอย่างนี้ เห็นแล้วนึกย้อนถึงครั้งที่สื่อมารระดมเสนอข่าวสร้างกระแสทำลายวัดธรรมกายปี ๔๒ ซึ่งนำเสนอสวนทางกับนิตยสาร 'TIME' ซึ่งเป็นนิตยสารระดับโลก http://www.time.com/time/asia/asia/magazine/1999/990628/monks1.html ไทม์ นิตยสารชั้นำของโลกเสนอข้อมูลหลากมุมมองพร้อมชี้ชัดให้คนไทยใช้วิจารณญาณว่า "หากพระธัมมชโยมีอันเป็นไปหรือการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสมัยใหม่ของธรรมกายถูกทำลายไปแล้ว  สังคมไทยจะได้อะไรมาทดแทน" จากคุณ : Dusitb - [ 17 ต.ค. 49 02:55:34 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอกราบหลวงพ่อผู้ค้นพบวิชชา จากคุณ : กร ทัพพรังสี (ไม่อยากแก่) - [ 21 ต.ค. 49 01:37:51 ]