CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    พูดไปได้ "นิพพานเป็นดินแดนแห่งหนึ่ง"

    http://members.thai.net/tron2/story/ben/ben-15.htm

    ยกมาให้อ่านเปนบางประโยคเท่านั้นที่เหลืออ่านต่อได้ในเวปดังกล่าวค่ะ

    ลัทธิธรรมกายนั้น  เชื่อและสอนกันว่านิพพานเป็นดินแดนแห่งหนึ่ง   เป็นดินแดนที่มีอยู่แล้ว  ณ  เวลานี้  (หมายความว่า  เป็นสถานที่ซึ่งขณะนี้มีอยู่แล้ว  เปรียบได้กับประเทศอะไรสักประเทศหนึ่ง  ซึ่งมีที่ตั้งอยู่แล้ว  ณ  แห่งใดแห่งหนึ่งบนโลกนี้  ไม่ใช่เป็นสภาพแห่งดวงจิต  หรือคุณภาพของจิตที่ถูกขจัดขัดเกล่ากิเลสอาสวะจนบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้ว  ซึ่งใครทำได้เช่นนั้น  ภาวะแห่งนิพพานก็จะปรากฏแก่ผู้นั้นเป็นคน ๆ ไป)

    ถ้าเชื่ออย่างนี้  และบอกมาตรง ๆ ว่า  เป็นความเชื่อความเห็นของครูบาอาจารย์ของตน  หรือเป็นความเห็นเฉพาะของลัทธิของตน – อย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร  เพราะใครจะมีความเชื่อความเห็นอะไรก็ย่อมได้ – เป็นเสรีภาพทางความเชื่ออย่างสมบูรณ์ แต่นี่ไม่อย่างนั้น  ลัทธิธรรมกายกลับพยายามยืนยันว่า  ความเห็นความเชื่อเช่นว่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอันมีปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาทนี่แหละ  พร้อมกับอ้างหลักฐานให้เกลื่อนไปหมดเพื่อยืนยันว่า  พระสูตรนี้  พระพุทธพจน์ตรงนี้  นี่ยังไงล่ะที่แสดงว่านิพพานเป็นอย่างที่ว่านั้น
    ..................................................
    การที่บอกว่า  นิพพานเป็นภพและสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ได้  ก็ดี  การบอกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนไปชุมนุมกันอยู่ที่นิพพาน  ก็ดี  เป็นความเห็นที่ผิดจากหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท  และการที่ผู้เชื่อเช่นนั้น  เห็นเช่นนั้น  ยกเอาข้อความในพระไตรปิฎกเถรวาทมาอ้างยืนยันความเชื่อความเห็นของตน  ก็เป็นความผิดพลาดซ้ำสอง  เพราะข้อความที่ยกมามิได้ส่อแสดงความหมายใด ๆ ที่จะให้เห็นเป็นไปตามที่อ้างเลย  

    เป็นการอ้างอย่างขาดความรู้โดยแท้  และถ้ารู้ว่าไม่ใช่  ไม่ตรง  ตามที่ตนอ้าง  แต่ก็ยังขืนยกมาอ้าง  ก็เป็นความผิดพลาดซ้ำสามในฐานกล่าวตู่พระพุทธพจน์

    ลัทธิธรรมกายเชื่อว่านิพพานเป็นดินแดนแห่งหนึ่ง  พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย  เมื่อสิ้นชีพจากโลกนี้แล้ว  จะไปสถิตชุมนุมกันอยู่ที่นิพพานนั้น  (นิพพานเป็นภพแห่งหนึ่ง)

    ดร.เบญจ์  ยืนยันด้วยว่า  แม้จะยังไม่สิ้นชีพ  พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปประทับอยู่ในนิพพานนั้นได้

    เฉพาะ  2  ประเด็นนี้  ก็ขัดแย้งกันเองแล้ว  แต่ยังมีประเด็นขัดแย้งกันอยู่อีกมากซึ่งลัทธิธรรมกายยังไม่เคยอธิบายได้  คือจะอธิบายอย่างไรจึงจะไม่ขัดแย้งกัน  เช่น

    1. เมื่อตอนจะปรินิพพาน  พระพุทธองค์ตรัสว่า  ธรรมวินัยที่ทรงแสดงแล้ว  บัญญัติแล้ว  จะเป็นพระศาสดาแทนเมื่อพระองค์ล่วงลับไปแล้ว  -
    >>>>>>>>ก็ถ้าพระองค์ยังประทับอยู่ที่นิพพาน  (และซ้ำยังมีผู้สามารถไปเฝ้าพระองค์ได้)  จะต้องมีพระธรรมวินัยไว้แทนพระองค์ทำไม  เพราะถึงอย่างไร ๆ พระองค์ก็ยังคงอยู่นั่นเอง

    2. พระอานนทเถระ  ถูกคณะสงฆ์ตำหนิว่าไม่ทูลถามเสียให้ชัดเจนว่า  สิกขาบทเล็กน้อยที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้คณะสงฆ์ถอนเสียได้นั้นคือสิกขาบทอะไรบ้าง  ทำให้คณะสงฆ์ไม่กล้าถอนสิกขาบทใด ๆ เลย  -
    >>>>>>>>>>ก็ถ้าพระพุทธองค์ยังประทับอยู่ที่นิพพานจริงดังที่ลัทธิธรรมกายเชื่อ  ทำไมไม่มีใครขึ้นไปทูลถามเสียให้สิ้นสงสัย  ให้ธัมมชโย  หรือแม่ชีจันทร์  ขึ้นไปทูลถามก็ได้  เพราะมีหน้าที่กลั่นอาหารทิพย์นำขึ้นไปถวายทุกเดือนอยู่แล้ว

    3. พระวังคีสเถระ  สมัยยังเป็นพราหมณ์  รู้มนตร์ทำนายคติของผู้ละโลกนี้ไปแล้ว  เมื่อมาทดลองวิชากับพระพุทธองค์  ก็สามารถบอกคติของใคร ๆ ที่ตายไปแล้วถูกต้องหมด  โดยวิธีเคาะกะโหลกศีรษะแล้วร่ายมนตร์  แต่เมื่อพระพุทธองค์ให้นำกะโหลกพระอรหันต์มาให้เคาะ  วังคีสะกลับบอกไม่ได้ว่าเจ้าของกะโหลกนี้ไปเกิดที่ไหน  -
    >>>>>>>>>>ก็ถ้าพะรอรหันต์ไปสถิตอยู่ที่ภพนิพพาน  ทำไมวังคีสะจึงไม่รู้  หรือจะอธิบายว่ายังเรียนไม่ถึง?

    4. ถ้านิพพานเป็นภพภพหนึ่ง  ซึ่งมีไว้รองรับผู้ที่บรรลุธรรมคืออรหัตผลแล้ว สิ้นชีพไปเกิดอยู่ที่นั่น  จริงดังที่ลัทธิธรรมกายสอน  พุทธพจน์ต่อไปนี้ก็ต้องถือว่าผิดหมด  หมายความว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ผิดพลาดทั้งสิ้น

    4.1 ในรัตนสูตร (ขุทกนิกาย  สุตตนิบาต  พระไตรปิฎกเล่ม  25  ข้อ  314  หน้า  370)  มีกล่าวถึงพระอรหันต์ว่า  

    “สมภพเก่าก็สิ้นแล้ว  สมภพใหม่ก็ไม่มี

    ปราชญ์เหล่านั้นมีจิตคลายติดแล้วในภพที่จะมีต่อไป หมดพืช  ไม่มีฉันทะในการงอกขึ้นอีก ย่อมดับเหมือนดังดวงประทีปนี้”

    หมายเหตุ  ดวงประทีป  คือเปลวไฟนั้น  เมื่อดับแล้วก็บอกไม่ได้ว่าไปอยู่ที่ไหน

    4.2  เมื่อคราวที่พระทัพพมัลลบุตรปรินิพพาน  พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทาน  (ขุทกนิกาย  อุทาน  พระไตรปิฎกเล่ม  25  ข้อ  137  หน้า  227)  ว่า “กายก็แตกทำลายแล้ว  สัญญาก็ดับแล้ว  เวทนาก็เย็นหมดแล้ว  สังขขารก็สงบแล้ว  วิญญาณก็อัสดง”

    ทรงเล่าเหตุการณ์นี้แก่ภิกษุทั้งหลาย  และทรงเปล่งอุทานอีกครั้งหนึ่งว่า

    “เมื่อช่างตีโลหะด้วยค้อนเหล็ก  ไฟติดโพลง  ก็ดับหาย wxไม่มีใครรู้ที่ไป  ฉันใด  พระอรหันต์ทั้งหลายผู้หลุดพ้นชอบแล้ว ข้ามห้วงน้ำที่มีกามเป็นเครื่องผูกพันไปได้  บรรลุถึงความสุขอันไม่หวั่นไหว ย่อมไม่มีคติที่จะบัญญัติได้  ฉันนั้น”

    ลัทธิธรรมกายจะอธิบายอย่างไรจึงจะไม่กลายเป็นว่า  เจ้าลัทธิของตนเก่งกว่าพระพุทธเจ้า  คือพระพุทธเจ้าท่านบอกไม่ได้ว่า พระอรหันต์ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน  แต่ลัทธิธรรมกายบอกได้  ซ้ำบอกรายละเอียดยิบด้วยว่า  นิพพานนั้นกว้างยาวเท่าไร มีรัศมีปานไหน พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายไปสถิตอยู่ในอาการอย่างไร

    ผู้ที่เชื่อตามลัทธิธรรมกาย  จึงมีคติเป็น  2  เท่านั้น  คือ  ถ้าไม่โง่ที่สุดก็ต้องบ้าที่สุด

    นั่นไม่ใช่ลักษณะของสาวกสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอกครับ !

    จากคุณ : dcm - [ 25 ก.ย. 49 07:49:45 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com