ความคิดเห็นที่ 1 รู้สึกจะมีคนนึงนะ เดี๋ยวคงมา จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 12 พ.ย. 49 09:18:19 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เว็บของกลุ่มพยานฯ ครับ http://www.watchtower.org/languages/si/index.html แต่เท่าที่รู้ คือ ทางคาทอลิก เขาถือว่าเป็นพวกนอกรีต นี่ครับ  นึกไงอยากศึกษาละครับ? จากคุณ : Devil in baggy pants - [ 12 พ.ย. 49 11:03:32 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คือว่าน้าไปแต่งงานที่เดนมาร์คค่ะ แล้วคนที่นั่นอ่ะถ้าเค้าจะไม่เป็นพยานฯก้อไม่มีศาสนาไปเลย (ส่วนใหญ่นะคะ)จะหาคาธอลิก คริสเตียนมีน้อยมากคนพุทธก้อจะมีแต่เอเอเชียเท่านั้น ทั้งบ้านมีนู๋กะน้าเป็นคาธอลิกค่ะ แล้วน้านู๋ก็รักแม่พระมากๆ แต่พอเค้าคบกับแฟนของเค้าแล้วแฟนเค้าบอกให้ลองศึกษาความจริงดู น้านู๋ก้อเลยลอง แล้วพอเค้าเริ่มศึกษาเนี่ยเค้าก็ได้คำตอบจากหลายสิ่งหลายอย่างที่ตอนที่เค้าเป็นคาธอลิกเค้าไม่ได้คำตอบ พอไปอยู่ที่นู่นได้สองปีเค้าจากคนที่อยู่ที่เมืองไทย ไปโบสถ์บ้างไม่ไปบ้างกลายเป็นคนที่ไปประชุมทุกครั้ง (มีอาทิตย์ละ 3 ครั้ง) แล้วอุปนิสัยก็เปลี่ยนจากคนขั้โมโห พูดหยาบบ้าง นิสัยห้าวๆ หายไปหมด แล้วพอเค้ากลับมาก้อเลยพาพวกนู๋กับพี่สาวไปเข้าประชุมภาคเมื่อสามสัปดาห์ก่อน แล้วก็เหมือนกับทุกคนที่นั่นยินดีมากที่เราได้เข้าไปอยู่ในครอบครัวของเค้า ได้รู้จักกับพระเจ้าอย่างแท้จริง ทั้งๆที่นู๋ขอพูดเลยว่าชั่วโมงนั้นนู๋เกือบๆจะเรียกได้เลยว่าแอนตี้เลย กับพี่สาวเนี่ยเดินนินทาเลยก้อว่าได้ แล้วไปประชุมประจำสัปดาห์พอเค้ารู้ว่าจะมีนักศึกษาใหม่ไปร่วมกับเค้า เค้าก้อยินดีต้อนรับเรามากๆ เราไปสายเค้าก้อนั่งรอไม่เริ่มไปก่อน ตอนเค้าเริ่มศึกษากันข้อไหนที่ฟังแล้วค่อนข้างที่จะดูไม่น่าพอใจหรือไม่ตรงตามที่คาธอลิกสอนนู๋ก้อนั่งทำหน้าเย๋ๆ พอตอนเลิกนู๋เลยพูดไปตรงๆเลยว่า ท่าตอนนี้ที่นู๋มาศึกษานู่ไม่ได้มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อย แต่นู๋กำลังอยู่ในขั้นที่เรียกว่าลองดีนู๋จะผิดมั้ย ท่าเป็นในนิกายอื่นเค้าคงจะมีคนที่ไม่พอใจเดินมาซัดหน้านู๋แล้ว หรือไม่ก้อมาด่าเลย แต่ที่นี่ไม่มีซักคนที่แม้แต่ทำสีหน้า แต่ว่ากลายเป็นว่ามีแต่รอยยิ้ม แล้วซิสเตอร์คนนึงก้อบอกนู๋ว่า นู๋คิดว่าพระเจ้ารักมนุษย์มั้ย แล้วนู๋คิดว่าคนที่กำลังจะพยายามเดินกลับมาหาพระองค์ถึงแม้ว่า ยังมีความผิดพลาดไปบ้างนู๋คิดว่าพระองค์จะไม่ให้อภัยเลยหรือ โอ้โห!! นู๋งี้อึงไปเลย เพราะกลัวว่าจะโดนว่าอยู่ด้วยซ้ำ ก้อเลยคิดว่าจะลองดูท่าเป็นความจริงที่นู๋พิสูจน์ได้นู๋ก้ออาจจะเดินมาทางนี้ เพราะยังงัยนู๋กูเชื่อว่าพระเจ้าที่เรารักเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน แล้วท่าเราเดินมาถูกทางล่ะ หนทางเเห่งความรอดของวันสิ้นโลกเราก้อสามารถจะบอกต่อกับคนอื่นได้นะคะ เเต่เรื่องคำว่านอกรีตเนี่ย นู๋ว่าพวกพยานเองก้อรู้นะคะว่าคนอื่นคิดกับเค้าเเบบนั้น พวกเค้าก้อจะพูดเสมอว่า ขอพระเจ้าให้อภัยคนที่หลงผิดด้วย จากคุณ : คาธอลิกตัวน้อย (denizci_girl) - [ 12 พ.ย. 49 13:33:31 ]

ความคิดเห็นที่ 4 โอ้ เรื่องเป็นอย่างนี้นี่เอง อย่างนี้ ก็ต้องเปลี่ยนความเชื่อสิครับ  เพราะพยานฯเขานับถือ พระเยซู ในฐานะบุตรหัวปี ของพระเจ้า  ไม่ใช่พระเยซูเป็นพระเจ้า แบบคาทอลิก หรือ โปรแตสแตนท์ ยินดีด้วยครับ คุณน่าจะมาถูกทางแล้วล่ะ  ลองศึกษาดูครับ  แล้วจะเห็นว่า คาทอลิก กับโปรแตสแตนท์มีคำถามมากมายที่ แม้แต่พวกเขาเองยังตอบไม่ได้  เพราะเขาดันไปยกพระเยซูเป็นพระเจ้า ปล. ผมไม่ได้เป็นคริสต์นะครับ   ไม่ได้รับจ้างพยานฯมาโฆษณาด้วย   แต่จากการที่ได้ศึกษามา ผมว่า พยานฯ มีช่องโหว่ในเรื่องพระเจ้า และพระคัมภีร์ ในบางเรื่อง น้อยกว่า โปรแตสแตนท์ หรือคาทอลิกครับ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 49 13:58:06 จากคุณ : Devil in baggy pants - [ 12 พ.ย. 49 13:56:52 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พระเจ้าสอนว่า อย่าตัดสินผู้อื่นครับ ผมเองก็ไม่เคยศึกษา กลุ่มพยานฯเหมือนกัน __________ เรียนคุณDevil in baggy pants ทูตสวรรค์กล่าวแก่นักบุญออกัสตินว่า "จะเป็นไปได้อย่างไร ที่ จะเขียนบรรยาย ถึงพระองค์ พระเจ้าผู้สูงสุด อย่างครบถ้วน ด้วยปัญญาอันจำกัดของมนุษย์" ก็อุปมา เหมือน จะเอา ฝาหอย มาตักน้ำ ทั้งมหาสมุทร มาไว้ในบ่อทรายนั่นละครับ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 49 15:06:04 จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี - [ 12 พ.ย. 49 15:04:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 โอ้ ความเห้นที่ 4 ถึงกะขึ้นไฟแดงเลยหรือครับ ผิดกฎข้อไหนเหรอครับ ถึงแจ้งลบ #4 อะคับ ใจแคบไปรึเปล่าครับ  หรือผมไปพูดแทงใจดำเหรอครับ คุณ โยชูวาฯ ครับ ที่นักบุญออกัสติน กล่าวอย่างนั้น เพราะท่านเป็นคนแรกที่บัญญัติ คำว่า ตรีเอกานุภาพ ไม่ใช่เหรอครับ  และที่ท่านกล่าวอย่างนั้น เพราะตัวท่านเองไม่สามารถอธิบายได้ ...เพราะไม่มีคำนี้ในคัมภีร์ รวมทั้งไม่มีข้อความใดในคัมภีร์ที่มีน้ำหนักมากพอจะไปสนับสนุน  คำที่ท่านเลือกขึ้นมาใช้ด้วย จริงมั้ยล่ะครับ  ดังนั้น ผมจึงบอกไงครับว่า  เพราะ คาทอลิก และโปแตสแตนท์เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ดังนั้น จึงมีช่องโหว่อยู่มาก  และไม่สามารถตอบคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้กระจ่าง เพราะคนที่บัญญัติเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย  ที่เหลือก็สักแต่เชื่อตามกันมา  และเมื่อเจอกับมรสุมปัญหาในเรื่องตรีเอกานุภาพ  มันจึงเกิดการแตกแยกนิกายที่เห็นชัด ๆ อยู่ 2 แนวทางคือ 1.เชื่อว่า ความจริง พระเยซูไม่ใช่พระเจ้า  อย่างกลุ่มพยานฯ 2.เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าอีกองค์ อย่างกลุ่มมอรมอน ซึ่งแน่นอนว่า  การเชื่ออย่าง 2 กลุ่มที่กล่าวมาข้างต้น  ทำให้หาทางออกในการอธิบายเรื่องตรีเอกานุภาพไปได้เปลาะนึง  หรือแม้แต่ในกลุ่มสายหลักเองก็ตาม มีการอธิบายตรีเอกานุภาพในรูปแบบที่ให้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้น  เช่น กรณีของ เบิร์คเล่ย์ เป็นต้น ออกัสติน พยายามสกัดกั้น การทำความเข้าใจในเรื่องตรีเอกานุภาพ  ด้วยการอ้างว่า พระคุณลักษณะของพระเจ้าไม่อาจเข้าใจได้  แต่ความจริงคือ เขากำลังตีความพระคัมภีร์ ให้เข้ากับสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าครับ ลองไปศึกษาดูสิครับว่า  การเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้ามีมาแต่ยุคแรกตั้งแต่สมัยของอัครสาวก หรือ มาเชื่อกันเอาภายหลังกันแน่   ศาสนาคริสต์ของพระเยซู กับศาสนาคริสต์ของเปาโล และออกัสติน  ใครที่ถูกต้องและสมเหตุสมผลมากกว่า จากคุณ : Devil in baggy pants - [ 12 พ.ย. 49 18:27:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 การเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้ามีมาตั้งแต่สมัยอัครสาวกแล้วหล่ะครับ >>> เพราะ คาทอลิก และโปแตสแตนท์เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ดังนั้น จึงมีช่องโหว่อยู่มาก  และไม่สามารถตอบคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้กระจ่าง เพราะคนที่บัญญัติเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย  ที่เหลือก็สักแต่เชื่อตามกันมา <<< มีตรงไหนครับที่ตอบไม่ได้ เราตอบไม่ได้หรือคุณไม่ยอมรับในคำตอบกันแน่ พิจารณาตัวเองครับ จากคุณ : ผู้อารักขา - [ 12 พ.ย. 49 20:53:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ ผู้อารักขา กล่าวผิดแล้วล่ะครับ มีตรงไหนครับที่ตอบไม่ได้ เราตอบไม่ได้หรือคุณไม่ยอมรับในคำตอบกันแน่ พิจารณาตัวเองครับ ประโยคนี้ ถ้าจะให้ถูกต้องตามหลักความจริง  ที่เห็นกันอยู่ ต้องเปลี่ยนเป็น "มีตรงไหนที่ตอบได้บ้าง  ผมไม่ยอมรับคำตอบ หรือ คุณไม่ยอมรับว่าอธิบายไม่ได้กันแน่  พิจารณาตนเองครับ" ส่วนหลักฐานก็ตามไปดูกระทู้เก่า ๆ ได้ครับ  หรือจะดูคำถามล่าสุดก็ได้ครับ อยู่บน ๆ หนะ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 49 21:03:36 จากคุณ : Devil in baggy pants - [ 12 พ.ย. 49 21:02:27 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เสริมคห. 6 นอกจาก 2 แนวทางข้างต้น (พยานฯ และ มอรมอน) แล้ว ยังมีอีกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากหลักตรีเอกานุภาพครับ นั่นคือความเชื่อแบบ Modalism ในความเชื่อดังกล่าว พระเจ้ามีองค์เดียว แต่หลาย mode บางครั้งก็"มีบทบาท"เป็นพ่อ บางครั้งก็"มีบทบาท"เป็นลูก เป็นต้น (บางครั้งใช้เทียบกับสถานะของน้ำ ว่าบางครั้งเป็นน้ำแข็ง บางครั้งเป็นน้ำ บางครั้งเป็นไอน้ำ แต่ยังไงก็เป็นน้ำ) ซึ่งยังไม่ตรงกับหลักตรีเอกานุภาพอยู่ดี แต่ผมยังเห็นหลายๆท่านที่อยู่ในกลุ่มเชื่อหลักตรีเอกานุภาพ (ไม่ว่าจะเป็นคาทอลิก หรือโปรแตสแตนต์"คณะที่ไม่ใช่ลัทธิเทียมเท็จ") ในเว็บบอร์ดต่างๆ นำความเชื่อแบบนี้มาอธิบายหลักตรีเอกานุภาพ ทั้งๆที่ไม่ใช่หลักตรีเอกานุภาพ แต่เป็นหลัก modalism ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเพิ่งเป็นผู้เชื่อใหม่ ยังเรียนไม่ถึง หรือยังไม่เข้าใจอย่างถูกต้องก็แล้วแต่ หรือแม้แต่คนคาทอลิกบางคน เคยพูดว่า จริงๆแล้วเวลาเขาคิดถึงพระเจ้า"โดยส่วนตัว" หรือ "ในใจ" เขาคิดในลักษณะว่าเป็นพระเจ้าแยกกันสามองค์ (แบบมอรมอน) แม้ว่าในการ"อธิบายให้คนอื่นฟัง" เขาจะบอกว่า พระเจ้าไม่ใช่แบบมอรมอน หรือแบบ modalism แต่ว่าเวลาคิดถึงในใจแล้ว ยากที่จะไม่คิดแบบมอรมอนหรือแบบ modalism ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความจำกัดของความสามารถของมนุษย์หรืออะไรก็แล้วแต่ สรุปก็คือ มีกลุ่มความเชื่อบางกลุ่มที่ประกาศความเชื่อว่าเป็นแบบนี้ และมีคนบางคนในกลุ่มความเชื่อของตรีเอกานุภาพ ที่เข้าใจว่าตรีเอกานุภาพเป็นแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นคนละหลักการกันครับ :) จากคุณ : Urim - [ 12 พ.ย. 49 21:03:21 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เอ้อ  ใช่ครับ คุณ Urim กล่าวถูกแล้วล่ะ หรือแม้แต่คนคาทอลิกบางคน เคยพูดว่า จริงๆแล้วเวลาเขาคิดถึงพระเจ้า"โดยส่วนตัว" หรือ "ในใจ" เขาคิดในลักษณะว่าเป็นพระเจ้าแยกกันสามองค์ (แบบมอรมอน) แม้ว่าในการ"อธิบายให้คนอื่นฟัง" เขาจะบอกว่า พระเจ้าไม่ใช่แบบมอรมอน หรือแบบ modalism แต่ว่าเวลาคิดถึงในใจแล้ว ยากที่จะไม่คิดแบบมอรมอนหรือแบบ modalism ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความจำกัดของความสามารถของมนุษย์หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อนผม ที่เป็นโปรแตสแตนท์ ก็คิดอย่างนั้นแหละครับ จากคุณ : Devil in baggy pants - [ 12 พ.ย. 49 21:07:10 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ศาสนาคริสต์ของพระเยซู กับศาสนาคริสต์ของเปาโล และออกัสติน .... เฮ่อ เห็นทิฎฐิของคุณแล้ว ละเหี่ยใจจริง ถ้างั้นคุณลองตีความข้อพระคัมภีร์ บ้างละกันนะครับ __________________ ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าวิงวอนท่านในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ขอให้ท่านปรองดองกันอย่าถือพวกถือคณะแต่ขอให้ท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าคนของนางคะโลเอได้เล่าเรื่องของท่านให้ข้าพเจ้าฟัง ว่าเกิดมีการทุ่มเถียงกันในระหว่างพวกท่าน "ข้าพเจ้าหมายความว่าพวกท่านต่างก็กล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นศิษย์เปาโ ลหรือ""ข้าพเจ้าเป็นศิษย์อปอลโล""หรือ""ข้าพเจ้าเป็นศิษย์เคฟาส"" หรือ""ข้าพเจ้าเป็นศิษย์พระคริสต์"" พระคริสต์แบ่งออกเป็นหลายองค์แล้วหรือเขา ได้ตรึงเปาโลเพื่อท่านทั้งหลายหรือท่านได้รับบัพติศมาในนามของเปาโลหรือ __________________ 1โครินทร์1 :10-13 จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี - [ 12 พ.ย. 49 21:19:37 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ยอห์น 13:12-15 เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าพวกเขาเสร็จแล้ว  ก็ทรงสวมเสื้อยาวเสียใหม่  กลับมานั่งโต๊ะ  ตรัสว่า  “พวกท่านเข้าใจในสิ่งที่เราเพิ่งกระทำไหม?  ท่านเรียกเราว่าพระอาจารย์และพระเจ้า  ก็ถูกต้องแล้ว  เพราะเราเป็นเช่นนั้น  ก็ถ้าแลว่า  เราผู้เป็นอาจารย์และพระเจ้า  ยังได้ล้างเท้า  ท่านก็เช่นกัน  จงล้างเท้าของกันและกัน  เรามอบแบบฉบับแก่ท่าน  เพื่อจะได้กระทำตาม” จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 12 พ.ย. 49 21:29:05 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตามความเชื่อของนู๋พระเยซูไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็นพระบุตรของพระเจ้า แล้วคุณ Devil in baggy pants ก้อกล่าวถูกแล้วที่ว่าบางครั้งทางครูสอนคำสอนของคาธอลิกเองก้อให้คำตอบไม่ได้ แต่ OoO โห พี่ๆคะนู๋ได้อ่านมาทั้งหมดนี้พวกพี่ๆสร้างคำถามให้นู๋เพียบเลยค่ะ คือถ้าพี่คนไม่รำคาญช่วยตอบนู๋หน่อยได้มั้ยคะ 1.พระตรีเอกานุภาพ สรุปได้ว่าพระเจ้าเราแยกเป็นสาม หรือรวมเป็นหนึ่งกันแน่ เพราะพระบิดา พระบุตร และพระจิต จะเป็นคนๆเดียวกันได้อย่างไร 2.ศาสนาคริสต์ของเปาโลและออกัสติน คืออะไรมาจากไหนคะ ท่านเป็นเเค่นักบุญทำไมถึงตั้งเป็นศาสดาได้ล่ะคะ 3.ท่าทางคาธอลิกปฏิบัติตามกฏของพระบัญญัติว่า "จงนมัสการพระเป็นเจ้าผู้เดียวของเจ้า" เท่ากับว่าเราต้อง ไม่นับถือรูปเคารพใช่มั้ยคะ แต่ตามโบสถ์หรือสถานที่ต่างๆของศาสนา ทำไมเราถึงมีรูปปั้นของพระเยซู แม่พระ หรือนักบุญอยู่ ด้วยล่ะคะ (ข้อนี้คาใจมานานมากแล้วค่ะ) 4.แล้วทำไม ยอห์น 13:12-15 บอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วทำไมพยานฯบอกว่าเป็นคนละคนกัน แฮะๆๆ วันนี้ถามแค่นี้ก่อนนะคะ แต่หากใครอ้างอิงมาจาก ไบเบิ้ลฉบับยกตัวอย่างมาให้ดูไว้ด้วยจะเป็นพระคุณมาก เลยค่ะ ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองทุกคนนะคะ จากคุณ : คาธอลิกตัวน้อย (denizci_girl) - [ 13 พ.ย. 49 00:49:52 ]

ความคิดเห็นที่ 14 พระเยซู ไม่ใช่พระเจ้านี่แหละเป็นประเด็นสำคัญ ที่แตกต่างกับนิกายหลัก  พอข้อเชื่อต่างกัน ก็ไม่ยอมรับ พยานฯให้พระเยซู เป็นบุตรหัวปี อยู่กับพระเจ้าตอนสร้างโลก อีกข้อเชื่อหนึ่งที่พยานฯ เชื่อ...นอกจากเรื่องตรีเอกา ฯ ไม่เคารพธงชาติ ไม่เป็นทหาร ไม่รับการถ่ายเลือด จากคุณ : Stuff_shirt - [ 13 พ.ย. 49 09:11:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พยานฯ มีความเป็นบัณฑิตสูงมาก หากได้อ่านบทความวิจัยของฝ่ายพยานฯจะทึ่งมากทีเดียวในความใฝ่รู้ ความมุ่งมั่นในการหาความจริง และความ"แน่น"ในวิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น ประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันนี้ผมยอมรับว่าผมนับถือในด้านนี้ของเขาครับ :) จากคุณ : Urim - [ 13 พ.ย. 49 09:32:53 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เวบพยานพระยะโฮวาห์ ที่โจมตี ศาสนา  อิสลาม http://www.geocities.com/nearlyx2/th_16/th_16_1/th_16_1.htm จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 13 พ.ย. 49 11:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พระเยซูก็เป็นทั้งพระเจ้า  และบุตรหัวปี  ก็ได้เช่นกันครับ แต่ความหมายของบุตรหัวปี ของพระเจ้า หมายถึงสภาพเป็นพิมพ์เดียวกับพระเจ้า จริงแล้วตรีเอกานุภาพอยู่ในความเชื่อ มาตั้งแต่ คนยิวแล้ว แต่ไม่ ได้เป็นคำนี้ตรง ๆ    เราจะเห็นได้ว่า ทำไมคนยิว จึงรอคอย พระเมสสิยาห์ และ  พระเมสสิยาห์ ที่คนยิวรอคอย  เทียบเสมอ พระเจ้า ผู้ ที่จะมาปกครองเขา ................................................................................. ปรากฏเป็นสามนั้น  คือ พระเจ้าองค์เดียว....  ครับ  ผมเอามาจากเพลง Holy Holy Holy จากคุณ : Elshaddai - [ 13 พ.ย. 49 15:16:26 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ้าว คุณเอวจะได๋ยังอยู่หรือครับ เห็นหายจ้อยไปเลย จากคุณ : เชษฐา - [ 13 พ.ย. 49 17:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตอบ คาธอลิกตัวน้อย 1. คงต้องอุปมาหน่อยนะครับ น้ำในมหาสมุทร น้ำในแม่น้ำ  และน้ำในแก้ว ทั้งสิ้นเป้นน้ำด้วยกันหรือไม่ หากใช่ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ก็คือ พระตรีเอกภาพหนึ่งเดียวครับ 2.ศาสนาคริสต์ คือศาสนาคริสต์ ครับ การแบ่งแบบนั้น ถือว่าผิดจาก พระคัมภีร์พันธะสัญญาใหม่นะครับ " อปอลโลคือผู้ใด เปาโลคือผู้ใด คือผู้รับใช้ซึ่งได้สอนพวกท่านให้เชื่อ เราแต่ละคนได้รับใช้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้" 1 โครินธ์ 3:5 3. รูปต่างๆของคาทอลิค ทั้งนูน และ2มิติ (ภาพวาด เป็นต้นของออธอดอกซ์) ถือเป็น รูป "รำลึกถึง" ครับ ประวัติการสร้าง รูปรำลึกถึงนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโมเสสแล้วครับ ความต่าง รูปเคารพ กับ รูปรำลึกนั้น ก็เหมือน วัวทองคำ ที่ เป็น เทพอุปโลกน์ เทพเจ้าเทียมเท็จ ขณะที่ งูทองคำ ถูกยกขึ้น เพื่อ ให้ผู้ที่เชื่อในพระยาเวห์ หายจากโรค ครับ เช่นเดียวกัน รูป พระเยซู พระแม่ และนักบุญเทวาทั้งหลาย ก็มีเพื่อรำลึกถึง คุณความดี ที่ท่านช่วยเหลือเรา และเป็น แบบอย่าง ครับ จากคุณ : โยชูวาแห่งอัสซีซี - [ 14 พ.ย. 49 06:50:53 ]

ความคิดเห็นที่ 20 มันก้อถูกนะคะข้อ 4 อ่ะ ที่เรามีรูปปั้นไว้เพื่อรำลึก แต่ทำไมนิกายอื่นเค้าไม่คิดเหมือนเราบ้าง แล้วเค้าก้อยังเอาพระคัมภีรย์มาอ้างอยู่อีกล่ะคะว่า ไม่ควรมีรูปปั้นของพระองค์ ครัยที่ศึกษาพยานฯอยู่บอกนู๋หน่อยได้มั้ยคะ ยกตัวอย่างในไบเบิ้ลมาได้ยิ่งดีเลยค่ะ จากคุณ : คาธอลิกตัวน้อย (denizci_girl) - [ 15 พ.ย. 49 01:18:02 ]

ความคิดเห็นที่ 21 รูปเคารพ  ในมุมมองของคาทอลิก ภาษาชาวบ้านนะครับ  จะได้เข้าใจง่าย 1.  ที่มา จงนมัสการพระเจ้าแต่ผู้เดียวของเจ้า  (บัญญัติประการแรก  ในบัญญัติสิบประการ) ในสมัยโมเสส  ทั้งๆ ที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์  แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ  ไม่รู้จักพระองค์  เพราะไม่เคยเห็น  กลับไปปั้นรูปอะไรต่างๆ ขึ้นมา  แล้วบอกว่านั่นแหละคือพระเจ้าของพวกเขา  พร้อมกับกราบไหว้นมัสการ โดยพระบัญชาของพระเจ้า  โมเสสจึงสั่งห้าม พระเจ้าเที่ยงแท้หรือองค์พระผู้สร้างมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น  แม้จะไม่เคยเห็น  แต่ก็ตระหนักได้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ 2.  เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมา  ก็ชัดเจนว่าไม่อาจเห็นพระเจ้าได้ด้วยตาเนื้อ ยอห์น 1:18 องค์พระเจ้านั้นไม่มีใครเคยเห็นได้  แต่พระเอกบุตรผู้สถิตในพระอุระของพระบิดา  เป็นผู้ทรงไขแสดงให้เรารู้จักพระองค์ (รู้จักนะครับ  ไม่ใช่ “เห็น”) ทำไมจึงไม่สามารถเห็นได้? ก็เพราะพระองค์ทรงเป็น “จิต”  นัยตามนุษย์จะเห็นได้อย่างไร ยอห์น 4:24  พระเจ้าทรงเป็นจิต  และผู้ที่นมัสการพระองค์  จะต้องนมัสการด้วยจิตและด้วยความสัตย์จริง เมื่อพระองค์เป็นจิต  ภาพของพระเจ้าที่มนุษย์เห็นได้ด้วยตาเนื้อ  จึงไม่มี  ซึ่งเราก็ทราบแล้วว่าไม่เคยมีภาพของพระเจ้าเลย แต่ ... โดยวิสัยมนุษย์  ต้องอาศัยบางอย่างที่เห็นได้เป็นรูปธรรม  พระเจ้าจึงเสด็จมาในสภาพมนุษย์  เป็นพระเจ้าแท้  และมนุษย์แท้ ยอห์น 1:14 และพระวจนาตถ์ทรงรับเอากาย  และประทับอยู่ท่ามกลางเรา  เราได้เห็นสิริมงคลของพระองค์  ซึ่งเป็นดังสิริมงคลของพระเอกบุตรของพระบิดา  เราได้เห็นพระองค์  เพียบพร้อมด้วยพระหรรษทานและความจริง อีกตัวอย่างหนึ่งของรูปธรรม ยอห์น 3 : 14-15 โมเสสได้ยกรูปงูขึ้นในถิ่นกันดารฉันใด  บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น  เพื่อให้บรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้บรรลุถึงชีวิตนิรันดร นี่ก็อีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ยอห์น 11 : 1-44  (ไปอ่านเองก็แล้วกันนะครับ  เพราะยาวมาก) อ่านดูก็จะรู้ว่าพระเยซูเจ้าทรง “จงใจ” ถ่วงเวลา  เพื่อจะทำอัศจรรย์สุดท้ายนี้ให้เห็นกับตา  เพื่อผู้ที่ล้อมรอบพระองค์อยู่นั้น จะได้เชื่อ สุดท้าย  คือตัวอย่างที่ว่ามนุษย์ต้องอาศัยการสื่อผ่านประสาทสัมผัสทางตา มัทธิว 17 : 1-3  หกวันต่อมา  พระเยซูเจ้าทรงเลือกเปโตรและยากอบกับยอห์นผู้น้อง  พาขึ้นไปบนภูเขาสูงแห่งหนึ่ง  แล้วทรงเนรมิตพระวรกายปรากฏแก่เขา  พระพักตร์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์  ฉลองพระองค์ก็ขาวดุจแสงสว่าง  ขณะเดียวกัน  โมเสสและเอลียาห์ปรากฏมาสนทนากับพระองค์ 3.  เข้าประเด็น รูปเคารพ ที่ห้ามนั้น  เป็นการห้ามตาม ข้อ 1.  มีคำอธิบายชัดเจนใน ปชญ. 13-19  ซึ่งยาวหลายหน้ากระดาษ  ยกมาเป็นตัวอย่างก็แล้วกันนะครับ ตัวอย่าง  ปชญ. 13 : 10 แต่ผู้ที่ไปไว้ใจสิ่งไร้ชีวิต  ช่างน่าอนาถเสียนี่กระไร  เขาไปยกย่องสิ่งที่สร้างข้นมาด้วยมือมนุษย์ว่าเป็นพระเจ้า แต่อย่างอื่นไม่ได้ห้าม  ในทางตรงกันข้าม  เป็นบัญญัติให้ทำเสียด้วยซ้ำไป เรามาดูบัญญัติสิบประการ  ก็จะเห็นได้ชัด บัญญัติประการแรก  :  จงนมัสการพระเจ้าแต่ผู้เดียวของเจ้า บัญญัติประการที่สี่  :  จงนับถือบิดามารดา จะเห็นได้ว่าใช้ถ้อยคำที่แตกต่าง  คือ  “นมัสการ”  กับ  “นับถือ” สื่อความหมายถึง “ระดับ” การให้ความเคารพ  ไม่ใช่ห้ามไปเสียหมดทุกอย่างโดยไม่แยกแยะ  นั่นมันปัญญาอ่อนแล้วครับ ส่วนเรื่อง “กิริยาอาการ” ในการแสดงความเคารพ  ต่างชาติต่างภาษาก็มีวิธีแสดงออกที่แตกต่างกันไป  คงไม่ต้องอธิบายนะครับ คาทอลิกจึงมีรูปเคารพโดยนัยของ “ตามองเห็น ใจระลึกถึง” ไม่ว่าจะเป็นพระรูปพระเยซูเจ้า  แม่พระ  และบรรดานักบุญ เราไม่ได้เก่งเลอเลิศถึงขนาดไม่ต้องอาศัยอะไรเป็นสื่อผ่านระบบประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ 15 พ.ย. 49 09:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ........... มีคนเขาบอกว่า เวลาเราเรียกคนอื่น คนนั้นมักจะเป็นอย่างนั้น เช่น พวกคนไฮโซ เรียกคนอื่นว่า โลโซพูดจาเหยียดหยาม เหม็นสาปคนจน จริงๆ การกระทำของพวกเขานั่นแหละเป็นสิ่งที่เขาพูด เมื่อคนอื่นพูดว่านอกรีต คนที่พูดนั่นแหละนอกรีต เมื่อมีคนออกมาโจมตี แสดงว่าคนนั้นไม่ได้รักเพื่อนบ้านที่แท้จริง คำสอนไม่ได้ขัดเกลาจิตใจของเขาได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างมันออกมาจากคำพูดและการกระทำ พระองค์บอกว่าเขาจะรู้จักเราด้วยผลของเจ้า ศาสนาคริสต์มีมากกว่า 700 นิกายทุกๆ ที่ต่างก็ออกมาอ้างว่าเชือในพระคริสต์ทั้งนั้น ขอใ้ห้ค้นหาความจริงต่อไปครับ มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่มีความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณของพระองค์ ค่อยๆ ศึกษาไปครับ เปรียบเทียบหลายๆ แห่งแล้วคุณจะเห็นสิ่งที่แตกต่างมากมายในคำสอน ว่าคำสอนนั้นมาจากพระองค์หรือมาจากคำสอนของมนุษย์ที่ลอกเลียนแบบคำสอนของพระองค์ เพื่อยกตนขึ้นเหนือผู้อื่น ........ จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeReT) - [ 15 พ.ย. 49 09:54:16 ]

ความคิดเห็นที่ 23 .......... บางครั้งคำสอนมันก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนครับต้องค่อยๆ คุยกัน คุยกันด้วยเหตุและด้วยผล คำสอนที่ตกทอดมาเรื่อยๆ  บางครั้งถ้าเขาพูดผิด ก็พูดต่อกันมาเรื่อยๆ จากรุ่นสู่รุ่น หลายรุ่นต่อมา จากเรื่องที่ผิด หรือคนแรกที่ได้กล่าวเอาไว้เพียงแค่เป็นข้อคิดเห็น แต่พอมารุ่นสาม รุ่นที่สี่ กลับกลายเป็นว่ายึดเป็นหลักคำสอนไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่คนแรกอาจจะไม่เข้าใจ แต่ได้แสดงความเห็นนั้นเอาไว้ เลยเอามาพูดต่อ กันมา บางครั้งคุณอย่าได้คิดว่าคุณถูกต้องทั้งหมด เป็นเพียงเพราะคำสอนตกทอดมา หรือสืบทอดมากลับกลายเป็นการบิดเบือนคำสอนโดยไม่รู้ตัว พอมีคนคนมาทักว่าคุณกำลังพูดผิด กลับกลายเป็นว่า คนอื่นผิดเพราะตัวเราถูกสอนมาอย่างนั้น ยึดในคำสอนผิดมันก็ผิด โดยไม่ฟังความเห็นที่ถูกต้อง ถ้าคำสอนนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า มันจะเป็นคำสอนที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่คลุมเครือ เพราะพระองค์เป็นพระองค์แห่งความจริง พระองค์แห่งความแจ้งชัด ไม่ใช่พระองค์แห่งความสับสน! คำสอนที่บริสุทธิ์จะนำความจริง และความหวังที่ยิ่งใหญ่มาสู่คุณ ........... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeReT) - [ 15 พ.ย. 49 10:06:14 ]