1. เช่น ที่พระองค์บอกว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ก็หมายความว่า
ธรรมนั้นเป็นของเห็นได้
คุณช่วยตอบให้ชัดอีกสักหน่อยว่า คุณคิดว่าเห็นด้วยอะไร ?
และเห็นเป็นอย่างไร ? กรุณาอย่าตอบมาเป็นหน่วยโยชน์นะ (ฮา)
ตอบว่า เห็นด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ ซึ่งเป็นญาณที่เกิดขึ้นเมื่อได้ธรรมจักขุแล้ว
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระพุทธองค์ตรัสลำดับของการเห็นภายในไว้ว่า อุทปาทิจักขุง อุทปาทิญาณัง อุทปาทิปัญญา อุทปาทิวิชชา อุทปาทิอาโลโก จะเห็นว่า ญาณังเกิดขึ้นหลังจากที่ธัมมจักขุเกิดขึ้นแล้ว
---------------------------------------------------------
2. ผมจึงทำได้แต่อ้างถึงพระสูตรที่พระองค์พูดถึง
พระนิพพานในลักษณะที่ไม่เป็นอนัตตาด้วย
ผมยังไม่เห็นตรงไหนที่ชี้ให้เห็นตามที่คุณพูดเลย
ตอบว่า ปฐมนิพพานสูตร ว่าด้วยอายตนะ คือ นิพพาน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้น ว่าเป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.
พระสูตรนี้ล่ะครับ ที่ว่าด้วย อายตนะ คือ นิพพาน ซึ่งผมก็อ่านจากหนังสือพุทธธรรม ของท่านเจ้าคุณประยุตนี่แหละ
จากเนื้อหาพระสูตร จริงอยู่ที่พระพุทธองค์ตรัสถึงลักษณะของพระนิพพานในเชิงปฏิเสธ แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ปฏิเสธว่าไม่มีพระนิพพาน นะครับ
การที่ท่านเจ้าของกระทู้ฟันธงว่า พระนิพพานไม่มีแต่แรกแล้ว ผมก็ขอถามกลับว่า แล้วพระสูตรไหนของคุณล่ะที่บอกว่าพระนิพพานเป็นอนัตตา ? ผมเห็นมีแต่บอกว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา ขอให้ท่านช่วยกรุณายกมาอ้างอิงเพื่อเป็นความรู้ด้วยนะครับ
เพราะตัวผมเห็นแต่หลักฐานในพระไตรปิฎกที่พระพุทธองค์ตรัสแต่ว่า ให้ทำที่สุดแห่งทุกข์ ให้ทำพระนิพพานให้แจ้ง ซึ่งมีเยอะแยะเต็มไปหมด
------------------------------------------------------------
3. แล้วคุณจะให้ผมพูดอีกสักกี่ครั้งว่า อนัตตลักขณะสูตร กล่าวถึงขันธ์5
ตอบว่า ใช่ครับ อนัตตลักขณะสูตร พูดเรื่องขันธ์ ๕ แต่เป็นขันธ์ ๕ ที่พิจาณาด้วยถาภูตญาณทัสสนะ ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ที่ตรึกนึกคิดเอาว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็จะหมดกิเลสได้ เพราะแม้แต่พระพุทธองค์เองยังบอกเลยว่า
พระองค์ไม่ได้ตรัสรู้ด้วยนึกคิดไตร่ตรอง (มหาสีหนาทสูตร) แต่พระองค์ตรัสรู้ด้วยการเห็น (มหาสติปัฏฐานสูตร)
-----------------------------------------------------------
4. และผมก็ขอพูดให้ฟังชัดๆอีกครั้งหนึ่งว่า ผมมิได้กล่าวว่า
ผมรู้ว่านิพพานมีลักษณะเช่นไร ?
แต่ผมกล่าวว่า ผมรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่านิพพานเป็นเช่นไรต่างหาก
เพราะฉนั้นเลิกเพ้อเจ้อได้แล้วว่า จะรู้พระนิพพานได้จะต้องสำเร็จมรรคผลเสียก่อน
อะไรทำนองนี้ นี่มันคนละเรื่องกันแล้ว อย่าพยายามมาเบี่ยงเบนประเด็นเลย
ตอบว่า อันนี้ไม่ได้เบี่ยงประเด็นนะครับ ผมไม่ได้บอกว่าท่านรู้นะครับ ผมบอกแค่ว่าการจะรู้พระนิพพานได้นั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำอย่างไร ในเมื่อคุณเองก็อ้างคัมภีร์ ผมเองก็อ้างคัมภีร์ แล้วที่สำคัญ ผมเองก็ยึดมั่นการไม่อนุปวาโทมาตลอด แต่รู้สึกว่าท่านออกจะใครก็แสดงความคิดเห็นต่างจากท่านไม่ได้ ใครเห็นต่างจากท่านจะต้องผิดหมด ก็ขอถามว่าแล้วจะตั้งกระทู้ขึ้นมาทำไมครับ เพราะกระทู้มีไว้เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผมเพียงแต่ชี้ประเด็นว่า กระทู้ของท่านน่ะ หาข้อสรุปไม่ได้หรอก ผลที่ตามมาก็คือจะทำความแตกแยกเสียเปล่าๆ
ผมดูคนก็ดูที่การกระทำครับ ถ้าสร้างบารมีแบบไปเดี่ยวๆ ลำพังนี่ก็ไปเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ถ้าสร้างบารมีแบบเป็นทีม ก็ต้องเลี้ยงพระเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านแบบพระโพธิสัตว์ ถ้าศึกษาจริงๆ จะรู้ว่าพระโพธิสัตว์บริจาคเงินชาติหนึ่งๆ หลายร้อย หลายพันล้านนะครับ ผมว่าถามว่า การบริจาคทรัพย์นับพันล้านของพระโพธิสัตว์เป็นการเอาเงินซื้อสวรรค์ ซื้อนิพพานหรือไม่ ในขณะที่ท่านมองมุมหนึ่ง มันก็มีมุมหนึ่งซ่อนอยู่ ถ้าจะดูแบบเป็นวิชาการ ท่านต้องให้ความสำคัญของทุกนัยเท่ากันครับ ไม่อย่างนั้น ท่านอาจจะติดล๊อคความคิดตัวเองได้ ถ้าใครเห็นไม่เหมือนท่าน นั่นคือความผิดเท่านั้น บางเรื่องสรุปไม่ได้ก็ต้องยอมรับว่าสรุปไม่ได้ แต่การเอาสิ่งที่ยังสรุปไม่ได้ไปตัดสินความถูกผิดคนอื่น มันเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ เพราะผมเองไม่ได้พูดสักคำเดียวว่าความเห็นของท่านผิด แถมยังให้เกียรติท่านด้วย เห็นมีแต่ท่านดูหมิ่นคงวามคิดเห็นของผู้อื่นฝ่ายเดียว ผมฝากเป็นข้อคิดในเรื่องการกระทำด้วยครับ
-----------------------------------------------------------
5. อจินไตย มีระบุใว้ชัดอยู่แล้วว่าหมายถึงอะไรบ้าง
คุณไม่ต้องมาเพิ่มเติมให้หรอก เดี๋ยวข้อความมันจะยาวเกินไปนะ อย่าทำเลย
ตอบว่า อ่อ ผมก็เพิ่งทราบนะครับ ว่าการตั้งกระทู้นี่มีจำกัดข้อความยาวเกินไปด้วย วัตถุประสงค์ของการตั้งกระทู้มิใช่เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรอกหรือ
ผมเพียงแต่ต้องการชี้ประเด็นว่า ธรรมะที่บุคคลพึงปฏิบัติได้นั้น ไม่เป็นอจินไตยของผู้ปฏิบัติได้ แต่เป็นเรื่องอจินไตยของผู้ปฏิบัติยังไม่ได้ นี่ล่ะที่ผมต้องการสื่อออกมา เพื่อแสดงความคิดเห็นว่าผมมองคำว่าอจินไตยอย่างไร ไม่ได้มองว่าอจินไตย คือ เรื่องที่คิดแล้วจะเป็นบ้า แต่มองว่าอจินไตยคือเรื่องที่ไม่สำเร็จด้วยการคิด อย่างเช่นเรื่องพระนิพพานเป็นต้น เถียงกันไปมาก็วนอยู่ในตำรานั่นแหละครับ แต่พระนิพพานไม่ได้อยู่ในตำรานะครับ พระนิพพานเป็นอจินไตยที่สำเร็จด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่สำเร็จด้วยการคิดตีความจากตำราครับ
-------------------------------------------------------
6. คุณไม่รู้ว่า อายตนนิพพาน คืออะไรนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่.....
ก็มันเป็นของที่ไม่เคยมีอยู่แล้ว แล้วคุณจะไปรู้ได้อย่างไร ?
ตอบว่า อ่อ ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าพระนิพพานนี่ไม่มีอยู่แล้วแต่แรก เพราะผมอ่านทีไรก็เจอแต่พระพุทธองค์บอกว่า ให้ทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่เคยเห็นพระพุทธองค์บอกว่าห้ามทำพระนิพพานให้แจ้ง แล้วจะบอกว่าพระนิพพานไม่มีอยู่แต่แรกแล้วได้อย่างไร
แล้วเวลาอ่านพระไตรปิฎกเรื่องการสร้างบุญบารมีของพุทธสาวกครั้งใด ก็จะต้องพบคำอธิษฐานในลักษณะที่ว่า นิพพาน ปัจจโยโหตุ นี่ก็แปลว่าพระนิพพานนั้นมีอยู่
แม้แต่วันที่พระองค์เสด็จดับขันธ์นั้น ก็ยังใช้คำว่าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็ลองคิดดูนะครับ แม้แต่การละสังขารมนุษย์ของพระองค์ ยังมีคำว่านิพพานในนั้นอยู่ แล้วจะบอกว่าพระนิพพานไม่มีอยู่แล้วแต่แรกได้อย่างไร ไม่ทราบว่าท่านเจ้าของกระทู้ไปเอามาจากไหน
ประการสำคัญ คือ ถ้าพระนิพพานไม่มี แล้วในวันที่พระออกบวช คงไม่ต้องกล่าวคำขอบวชว่า สัพพะทุกขะ นิสสะระณะ, นิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ ซึ่งแปลว่า ข้าพเจ้าขอบวช เพื่อสลัดตนออกจากกองทุกข์ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ถ้าบอกว่าพระนิพพานไม่มีตั้งแต่แรก ถ้าอย่างงั้น แก่นสารของพระพุทธศาสนาคืออะไร
แล้วการที่พระพุทธองค์สร้างบารมี ๒๐ อสงไขยหนึ่งแสนมหากัปนี่ ไม่ใช่เพราะต้องการบรรลุที่สุดแห่งทุกข์ ทำพระนิพพานให้แจ้งหรือครับ
ดังนั้น ผมขอให้ช่วยเอาหลักฐานมายืนยันด้วยครับ ตรงไหนครับ ที่พระพุทธองค์บอกว่า พระนิพพานไม่มีอยู่แล้วแต่แรก เพราะผมเห็นว่า พระนิพพานมีมาตั้งแต่ก่อนวันแรกที่พระองค์จะท่านจะตรัสรู้ด้วยซ้ำครับ
หวังว่าคงไม่กล่าวว่าผมเบี่ยงประเด็นอีกนะครับ ขอหลักฐานของท่านด้วยนะครับ
----------------------------------------------------------------
7. ปัญหาก็คือ คุณไปเอาของที่ไม่มีและไม่รู้มาพูดถึงทำไม ?????
ตอบว่า ก็เหมือนกันล่ะครับ ผมเองก็เพียงแต่พูดว่าที่ผมค้นคว้าจากตำรามาว่าพระพุทธเจ้ากล่าวลักษณะพระนิพพานไว้อย่างไร ท่านเองก็อ้างถึงตำราเหมือนกัน
แต่ที่ประเด็นที่ท่านบอกว่าพระนิพพานไม่มีอยู่แต่แรกแล้วนี่ ผมไม่เห็นมีตรงไหนที่พระพุทธองค์ตรัสบอกนะ เพราะพระพุทธองค์เองทรงสอนใคร ก็สอนให้ทำพระนิพพานให้แจ้ง แล้วยังตรัสไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ด้วยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่าพระนิพพานเป็นเยี่ยม
เมื่อเป็นอย่างนี้ แล้วคุณรู้เอามาจากตรงไหนที่พระพุทธองค์บอกว่าพระนิพพานไม่มีแล้วแต่แรก ขอหลักฐานด้วยครับ
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำพระนิพพานให้แจ้ง ผู้ที่แจ้งแล้วเท่านั้นจึงจะรู้ว่าพระนิพพานเป็นอย่างไร
เมื่อเป็นอย่างนี้ คุณเองก็บอกว่าคุณอ้างถึงมา ผมก็บอกว่าผมอ้างถึงมา เป็นอันว่าเราทั้งคู่ต่างอ้างถึงในสิ่งที่ตนเองศึกษามา แต่เราก็ต่างยังทำพระนิพพานไม่แจ้ง แล้วคุณจะสรุปว่า วัดพระธรรมกายสอนคลาดเคลื่อนไปจากหลักพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ก้เท่ากับว่าคุณก็เอาเรื่องที่คุณไม่รู้มาพูดถึงเหมือนกันนั่นแหละ
สรุปว่า ต่างคนต่างอ้างคัมภีร์ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปถึงแก่นแท้ของคัมภีร์สักครั้งเดียว แยกย้ายกันไปปฏิบัติธรรมกันดีกว่า อย่าเอาเรื่องที่ยังไม่สรุปมาตัดสินผิดถูกคนอื่นนะครับ เราทั้งสองทำพระนิพพานให้แจ้งได้เมื่อไหร่ ก็คงถึงที่สุดแห่งทุกข์กันเมื่อนั้นครับ เพราะนั่งเถียงกันอีกร้อยปี ก็ไม่มีทางหลุดพ้นออกจากตำราได้หรอกครับ
ผมขอลาล่ะครับ
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 12:58:41
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 12:56:58
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 12:42:21
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 12:38:11
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 49 12:34:20