นับแต่ท่านศาสดาพร้อมสาวกของท่านได้ตกลงใจที่จะประกอบพิธีฮัจย์ และเดินทางจากมะดีนะฮฺ เพื่อมุ่งสู่มักกะฮฺ ข่าวการเดินทางนี้ได้มาถึงชาวมักกะฮฺ พวกเขาไม่ยอมเชื่อว่ามุฮัมมัดและสาวกทั้งหลายที่ยกมานั้นต้องการทำฮัจย์เพียงอย่างเดียว พวกเขามั่นใจว่า การมาของผู้คนอันมากมายมาเพื่อจุดประสงค์มากกว่าที่มุสลิมบอก แม้ว่ามุสลิมจะแต่งตัวแบบอิหฺรอม มิได้มีอาวุธก็ไม่วายทำให้พวกเขาหวาดหวั่น พวกเขารีบจัดทัพยกไปต่อต้าน ท่านได้ทราบข่าวจึงได้พยายามหาวิธีการที่ดีสุดเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามท้ายที่สุดท่านได้เลี่ยงไปพัก ณ ตำบลฮุดัยบียะฮฺ ซึ่งอยู่ทางใต้ของมักกะฮฺ เมื่อพวกกุเรชทราบข่าว ก็ตัดสินใจที่จะกลับไปป้องกันเมือง และยืนยันที่จะไม่ไห้มุสลิมทำพิธีในมักกะฮฺ ต่อมาท่านศาสดาได้ส่งท่านอุษมานเข้าไปในมักกะฮิเพื่อเจรจาต่อรองกับพวกมักกะฮิ ในขณะที่อุษมานยังไม่ออกมา ก็สร้างความกระวนกระวายต่อความปลอดภัยของอุษมาน แต่อย่างไรก็ตามอุษมานก็ปลอดภัยกลับมา พร้อมทั้งนำคำตอยของพวกมักกะฮิมาด้วย นั้นคือพวกนั้นทราบความบริสุทธ์ใจของคณะท่านศาสดาในการประกอบพิธีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่อนุญาตไห้มุสลิมเข้าไปในเมืองได้ เนืองจากพวกเขาได้เตรียมการรบไว้เรียบร้อยแล้วดังนั้น ถ้าไห้มุสลิมเข้าไป เกรงจะเป็นที่เย้ยหยันต่อไปภายหน้าได้ จึงขอให้มุฮัมมัดช่วยคิดด้วยว่า จะทำอย่างไรจึงจะเป็นการดีแก่ทั้งสองฝ่าย
ต่อมาได้มีการเจรจากันอีรอบโดยฝ่ายกุเรช ได้ส่ง สุฮัยลฺ อิบนุอัมร์ มาเจรจากับศาสดามุฮัมมัด โดยขอไห้กลับไปแล้วค่อยกลับมาทำฮัจย์ในปีหน้า การเจรจาดำเนินไปด้วยความเผ็ดร้อน เนื่องจากฝ่ายกุเรชไม่อ่อนข้อไห้กับมุสลิม จนมีหลายคนไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้ก็มิได้ทำไห้ศาสดาพรั่นพรึง ท่านพยายามอดทนถ฿งที่สุด จนกระทั้งตกลงกันได้ โดยมี สุฮัยลฺ อิบนุอัมร์ เซ็นในนามมักกะฮฺ สัญญานี้ชื่อว่า สัญญาฮุดัยบียะฮฺ ในสัญญามีข้อความดังนี้
ในนามแห่งพระเจ้า ข้อความต่อไปนี้เป็นสัญญาที่ได้ตกลงกัน และเห็นชอบยินยอมพร้อมใจกันที่จะปฏิบัติทั้งสองฝ่าย เพื่อแสวงหาสันติภาพ โดยมุฮัมมัด อิบนุ อับดุลลอฮฺ และสุฮัยลฺ อิบนุอัมร์ เป็นผู้ลงนามในสัญญาโยสัญญานี้มีผลบังคับใช้ภายในกำหนดระยะเวลาดังนี้
1. ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ยุติการสู้รบและการรุกรานด้วยกำลังมีกำหนด 10 ปี
2. ผู้ใดก็ตามที่เป็นกุเรชหากเดินทางมายังมุฮัมมัดโดยมิได้มีหนังสือรับรองจากหัวหน้าฝ่ายนั้น จะต้องถูกส่งตัวกลับทันที
3. มุสลิมคนใดที่เดินทางมาในเรื่องธุรกิจ เพื่อติดต่อกับชามมักกะฮฺจะต้องไม่ถูกกักกันหรือแกล้งยึดตัวไว้
4. ประชาชนกลุ่มใดที่ปรารถนาจะเข้าเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้พึงถือว่ามีเสรีภาพที่จะทำได้โดยไม่มีเงื่อไข
5. เมื่อชาวมุสลิมปฏิบัติพิธีฮัจย์เสร็จสิ้นลงแล้ว จะต้องรีบเดินทางกลับทันที จะรีรออยู่ไม่ได้
6. ชาวมุสลิมที่จะได้รับอนุญาตให้เข้ามาประกอบพิธีฮัจน์ในมักกะฮฺ และจะพักได้ไม่เกิน 3 วัน และจะต้องไม่มีอาวุธอื่นติดตัวมานอกจากมีดสั้นเพียงเล่มเดียว
สัญญานี้สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากแก่สาวกของท่านศาสดาแต่ด้วยสายตาเล็งเห็นการไกลขอลท่านศาสดาทำไห้พวกเขาต้องยอมจำนน ไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไปว่าสัญญานี้เป็นชัยชนะของมุสลิม และผลสรุบของมันคือ
1. นับเป็นครั้งแรกที่คนกุเรชยอมรับว่า มุฮัมมัดเป็นคนเท่าเทียมกับพวกเขา หลังจากที่ไม่เคยยอมรับมานานหลายสิบปี และศาสดาถูกกล่าวหาต่างๆนาน จนกระทั่งอยู่มักกะฮิไม่ได้ และได้อพยพสูมะดีนะฮฺ ดั่งที่เห็นกัน
2. เป็นครั้งแรกที่ชาวมักกะฮฺยอมรับว่าได้มีรัฐอิสลามเกิดขึ้นในอารเบียและกำลังมีความสำคํยยิ่งขึ้น รัฐอิสลามแห่งนี้เริ่มมีบทบาทในการเมืองมากขึ้น และได้ทำสนธิสัญญากับรัฐอื่นจนเป็นที่ยอมรับโยทั่วไป
3. ชาวมักกะฮฺยอมรับสิทธิของมุสลิมให้มาทำฮัจยฺและอุมเราะฮฺ ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าอิสลามได้ปรากฎขึ้นแล้ว และเป็นที่ยอมรับกันในคาบสมุทรอาหรับ หลังจากที่พวกเขาได้ปฏิเสธมาเป็นเวลานาน
4. การมีสันติภาพนานถึง 10 ปี ทำให้มุสลิมปลอดภัย สงบสุข ไม่ต้องกังวลหรือกลัวที่จะถูกบุกรุกอีกต่อไป สามารถใช้เวลาในช่วงนี้ทำนุบำรุงบ้านเมือง เศรษฐกิจได้อย่างสบาย
5. การมีสันติภาพยังทำไห้อิสลามแผ่หลายบไปอย่างรวดเร็ซและได้ผลมากขึ้นในบรรดารัฐใกล้เคียงแม้กระทั้งพวกกุเรชที่มักกะฮฺ
ซึ่งในช่วงนี้ท่านศาสดาได้ทำการเผยแผ่มากขึ้นรวมทั้งได้ส่งทูตไปยังเพื่อนบ้านด้วยกัน โยคณะแรกส่งไปยังจักรพรรดิคุสโร แห่งเปอร์เซีย ซึ่งในครั้งนี้ จักรพรรดิทรงเดือดดาล ฉีกสาส์น และบริภาษด้วยคำหยาบคาย และขับทูตออกไป (ท้ายที่สุดอัลลอฮฺทรงฉีกอาณาจักรของเขาออกจนไม่สามารถรวมกลับได้ไหม นับแต่ลูกของเค้าที่กบฏ จนท้ายที่สุดต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของอิสลามหลังจากนั้นไม่กี่ปี) อีกคณะหนึ่งส่งไปยัง เฮราคลีอุส แห่งโรมตะวันออกซึ่งถึงแม้พระองค์มิได้ตอบรับ แต่ก็ทรงไห้เกียรติเป็นอย่างดี อีกคณะหนึ่งส่งไปยัง กษัตริย์ ฮาริษ เผ่าฆอสสาน แต่กลับถูกฆ่าอย่างทารุณ และคณะสุดท้ายส่งไปยังเนกุส แห่งอบิสสิเนีย และอาร์คบิชอบ แห่งอเล็กซานเดรีย รวมทั้งซาลรอฟ กษัตริย์แห่งยะมัน อีกด้วย
สิ่งที่น่าแปลกใจมากก็คือภายใน 20 ปี หลังจากท่านได้ส่งสาส์นไป ชาวมุสลิมก็เข้าครอบครองอาณาจักรเหล่านั้นทั้งหมด ประชาชนส่วนใหญรับอิสลาม ภายในอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ทั้งโรมตะวันออก และเปอร์เซีย ที่พวกขุนนาง นักบวช เริ่มเอาเปรียบประชาชน ในขณะที่การเรียกร้องของมุฮัมมัดเป็นไปเพื่อจิตวิญญาณโดยแท้ กล่าวคือได้ยกระดับมนุษย์ไห้ขึ้นมาระดับสูงสุด ยกเลิกวัฒนธรรมที่เก่าแก่ และป่าเถื่อนออกไป โรม เปอร์เซียได้สูญเสียพลังแห่งความริเริ่มในการสร้างวัฒนธรรมไปแล้ว และตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ส่วนคำเชิญชวนของมุฮัมมัดเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างแข็งขัน และได้ปลุกประชาชาติให้ตื่นขึ้นมาจากความหลับใหล จากการบูชามนุษย์ที่อ้างตัวเป็นกษัตริย์ เป็นเชื้อสายดวงอาทิตย์ เป็นตัวแทนอันมีอำนาจเต็มแต่ผู้เดียวจากพระเจ้า เป็นที่พึ่งของสามโลก หรือเป็นกษัตริย์แห่งกษัตริย์ หรืออะไรในทำนองเดียวกัน ทั้งที่แผ่นดินของเขาเป็นเพียงติ่งหนึ่งของแผ่นดินโลกเท่านั้น ตามแต่ความโง่เขลาของกษัตริย์ กลับเหล่าขุนนาง ปุโรหิตจะเรียกขานตัวเอง ทั้งๆที่ตัวเองเคยเป็นเด็กทารกที่ไม่รู้เรื่อง เล่นฉี่ เล่นอึ ตัวเอง ร้องไห้เพื่อขออาหาร หกล้ม เป็นสารพัดโรค (ถ้าเพื่อนชาวคริสต์เคยอ่านผ่านประโยคนี้ใน ไบเบิล หรืออะไรในทำนองนี้ ก็ช่วยบอกแหล่งที่มาด้วยคับ พอดีผมจำได้แต่คร่าวๆๆเท่านั้น จะขอบคุนยิ่งคับ)นี่คือความหลงผิดของพวกเขา และเรียกร้องไห้ประชาชนกราบไหว้ สักการะ บูชา ดึงผู้ที่มีศักดิ์ศรีเท่าตัวเองมาเป็นทาสของตัวเอง การเรียกร้องของมุฮัมมัด มิใช่ชื่อเสียง มิใช่เพื่อทรัพย์สิน มิใช่อาณาจักรอันยิ่งใหญ่ มิใช่บ้าอำนาจ หรือกระหายสงคราม แต่เพื่อสิ่งเดียวคือ เตาฮีด
จากคุณ :
dhean
- [
8 ธ.ค. 49 04:05:12
]