 |
* * * ไม่มีการบังคับ.....แก่นแท้แห่งสาสน์อิสลาม * * *
เขียนโดย อ. มัสลัน มาหะมะ
มวลการสรรเสริญเป็นอภิสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ผู้ทรงประทานบรรดาศาสนทูตเพื่อทำหน้าที่ปลดปล่อยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากวังวนวัฏจักรแห่งความหวาดกลัว พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ได้รับอิสระจากการถูกบังคับและการยกย่องบูชามนุษย์ด้วยกัน ทั้งนี้เนื่องจากความหายนะและความชั่วร้ายในชีวิตมนุษย์โดยส่วนใหญ่แล้ว ล้วนมีสาเหตุจากการที่มนุษย์พยายามใช้อำนาจบังคับขู่เข็ญเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ตราบใดที่ไม่สามารถยับยั้งสกัดกั้นการบีบบังคับและการยกย่องบูชามนุษย์ด้วยกัน ตลอดจนการนับถือพระเจ้าอันจอมปลอม และตราบใดที่ไม่สามารถปลดปล่อยมนุษย์ให้มีความอิสรเสรีในการเลือกวิถีชีวิตและความต้องการอันแท้จริงของตนเองแล้ว มนุษย์ก็ต้องประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง สังคมก็จะมีแต่ความวุ่นวาย ด้วยเหตุดังกล่าว ภารกิจสำคัญของบรรดา ศาสนทูตก็คือการปลดปล่อยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากพันธนาการการเคารพบูชามนุษย์ด้วยกันสู่การเคารพบูชาอัลลอฮฺผู้ทรงเอกา ทั้งนี้เนื่องจากการศรัทธาและการยอมจำนนในอำนาจแห่งอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว ทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิและหน้าที่อย่างเสมอภาคโดยปราศจากอภิสิทธิ์และกฎกติกาต่าง ๆ ที่กำหนดโดยมนุษย์ด้วยกันเอง
สัญชาตญาณอันดั้งเดิมของมนุษย์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ มนุษย์มีความต้องการศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ผู้ที่ศึกษาอารยธรรมของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยจะพบว่า มนุษย์ในบางสังคมหรือบางช่วงเวลาอาจจะไม่มีโรงงาน สถาบันการศึกษา บริษัท โรงพยาบาลหรือแม้แต่บ้านที่ใช้เป็นที่พักพิง แต่ไม่เคยปรากฏในสังคมมนุษย์ที่ใช้ชีวิตโดยปราศจากหอสวด ศาลเจ้า สถานศักดิ์สิทธิ์หรือสัญลักษณ์ของความเชื่อที่มีการเรียกขานด้วยชื่อต่าง ๆ ตามความศรัทธาของแต่ละสังคม จึงสรุปได้ว่า มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตได้หากปราศจากศาสนาและไม่ศรัทธาในพระเจ้า ผู้ที่ปฏิเสธแนวคิดความเชื่อในพระเจ้า แท้จริงแล้วบุคคลนั้นกำลังสร้างศาสนาใหม่และสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าแทน
พรอันประเสริฐและสันติสุขจนมีแด่ท่านศาสนทูตคนสุดท้ายมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) บุคคลผู้ใดที่ศรัทธาต่อท่าน ย่อมแสดงว่าผู้นั้นได้ศรัทธาเหล่าศาสนทูตยุคก่อนทั้งมวล ดังอัลกุรอาน กล่าวไว้ว่า
ความว่า : มูฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่ของพวกเจ้า แต่เป็นรอซูลของอัลลอฮฺ และคนสุดท้ายแห่งบรรดานบี (33 / 40)
อัลลอฮฺได้ทรงประทานศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เพื่อธำรงไว้ซึ่งความกรุณาปรานีแก่สากลจักรวาล ดังที่อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ว่า
ความว่า : และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่สากลจักรวาล (21 / 107)
และเพื่อยืนยันในสัจธรรมดังกล่าวศาสนทูตมูฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวแก่ตนเองความว่า ฉันคือความเมตตาที่เป็นของขวัญจากพระเจ้าที่มอบให้กับสรรพสิ่งทั้งหลาย (รายงานโดย )
ส่วนหนึ่งของความกรุณาปรานีของอัลลอฮฺที่มีต่อมนุษย์คือ การให้โอกาสแก่มนุษย์มีสิทธิเลือกและกำหนดวิถีชีวิตตามความประสงค์ของตนเอง
มนุษย์โดยสภาวะดั้งเดิม คือ สิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐสุดและมีเกียรติยิ่ง แม้นว่าจะแตกต่างด้านสีผิว ชาติพันธุ์ ภาษาและฐานะทางสังคม อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า
ความว่า : และโดยแน่นอน เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัม และเราได้บรรทุกพวกเขาทั้งทางบกและทางทะเล และได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแก่พวกเขา และเราได้ให้พวกเขาดีเด่นอย่างมีเกียรติเหนือกว่าผู้ที่เราได้ให้บังเกิดมาเป็นส่วนใหญ่ (17/70)
มนุษย์เป็นมัคลูก (สิ่งถูกสร้าง) ที่มีสติปัญญา มีเป้าหมายแห่งชีวิต เป็นมัคลูกที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ถูกกำหนดไว้ มนุษย์มีสถานะและบทบาทอันทรงเกียรติยิ่ง เขาจะต้องถูกสอบสวนในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นในวันอาคีเราะฮฺ(โลกหน้า) มนุษย์มีสิทธิ์เลือกที่จะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์มีความพร้อมที่จะกระทำสิ่งดีและไม่ดี มนุษย์จึงไม่ใช่มะลาอิกะฮฺ (เหล่าเทวทูต) ที่อัลลอฮฺทรงสร้างขึ้นเพื่อให้กระทำแต่เพียงความดี เนื่องจากมะลาอิกะฮฺเป็นมัคลูกที่ไม่มีอารมณ์และปราศจากความต้องการ แต่ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็มิใช่ชัยฏอน (เหล่ามารร้าย) ที่หมกมุ่นปฏิบัติแต่เพียงความชั่วร้ายและสิ่งอบายมุขทั้งมวล
อัลลอฮฺได้ทรงทำให้มนุษย์รู้จักกำหนดวิถีชีวิตด้วยอาศัยการเรียนรู้และการพัฒนา อัลลอฮฺทรงแนะนำและส่งเสริมให้มนุษย์กระทำคุณงามความดี พระองค์ทรงตักเตือน และห้ามปรามมิให้มนุษย์จมปลักในความชั่วร้าย อัลลอฮฺทรงกล่าวไว้ว่า
ความว่า : และเราได้ชี้แนะทางแห่งความดี และความชั่วแก่เขาแล้ว (90 /10)
อัลลอฮฺจึงให้มนุษย์มีความรับผิดชอบต่อผลของการเลือกของเขา ทั้งนี้เพราะความรับผิดชอบเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพ หากปราศจากเสรีภาพ ความรับผิดชอบก็จะไร้ความหมาย
จากคุณ :
Crescent )
- [
23 ก.พ. 50 14:10:29
]
|
|
|
|
|