ความคิดเห็นที่ 1 ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ภาค2 เล่ม1 ความว่า ....... 1) ส่วนหลวงสรศักดิ์ ครั้นเห็นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ สึกเอาภิกษุสามเณร ออกมาทำราชการเป็นอันมาก ให้ร้อนในพระพุทธศาสนาดังนั้น ก็เอาเหตุนั้นขึ้นกราบทูลพระกรุณา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสทรงทราบเหตุดังนั้น ก็มิได้เอาโทษแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ และมิได้ตรัสเป็นประการใด 2) และหลวงสรศักดิ์จึงคิดว่า อ้ายฝรั่งคนนี้มันโปรดปรานยิ่งนัก จะกระทำผิดสักเท่าใดๆ ทรงพระกรุณามิได้เอาโทษ และกูจะทำโทษมันเองสักครั้งหนึ่ง จึงเข้าไปคอยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์อยู่ที่เคยนั่งว่าราชการในพระราชวังนั้น ครั้นเช้า เจ้าพระยาสมุหนายกฝรั่งเข้าไปในพระราชวัง แล้วก็นั่งว่าราชการในที่นั้น และหลวงสรศักดิ์เห็นได้ที ก็เข้าชกเอาปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ฟันหักสองซี่ แล้วหนีออกไปยังบ้าน ............ฯ 3) ส่วนเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เมื่อหลวงสรศักดิ์ชกเอานั้นล้มลงอยู่ ครั้นได้สติแล้วก็ลุกขึ้น และบ้วนฟันออกเสีย แล้วก็เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีโลหิตไหลออกจากปากพลางกราบทูลว่า อาชญาเป็นล้นเกล้า บัดนี้หลวงสรศักดิ์ ชกเอาปากข้าพระพุทธเจ้าฟันหักสองซี่ ข้าพระพุทธเจ้าสิ้นสมปฤาดีล้มสลบลงอยู่ ปิ้มประหนึ่งจะถึงแก่สิ้นชีวิต ข้าพระพุทธเจ้าได้ความเจ็บอายแก่ข้าราชการทั้งหลายเป็นอันมาก ขอทรงพระกรุณาลงพระราชอาชญา แก่หลวงสรศักดิ์จงหนัก แล้วข้าพระพุทธเจ้าจึงจะสิ้นความเจ็บอาย .........ฯ จากคุณ : Ritti Janson - [ 7 มี.ค. 50 18:57:49 ]

ความคิดเห็นที่ 2 4) ฝ่ายหลวงสรศักดิ์ก็ไปเฝ้าเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นมารดาเจ้าพระยาโกศาเหล็กเจ้าพระยาโกศาปาน และเป็นพระนมผู้ใหญ่ของสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวนั้น และถวายบังคม แล้วก็กราบทูลแถลงการณ์ อันเจ้าพระยาวิชาเยนทร์กระทำให้ร้อนในพระพุทธศาสนาเหมือนดังนั้น และได้กราบทูลพระกรุณาแล้วก็มิได้เอาโทษ ข้าพระพุทธเจ้ามีความโทมนัสถึงพระพุทธศาสนา อันเจ้าพระยาวิชาเยนทร์จะกระทำพระพุทธศาสนา ให้พินาศเสื่อมสูญดังนั้น จึงชกเอาปากเจ้าพระยาสมุหนายก แล้วหนีลงมา และบัดนี้สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระพิโรธจะลงพระราชอาชญาแก่ข้าพระพุทธเจ้า ของจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม อัญเชิญเสด็จไปขอพระราชทานโทษข้าพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่งเถิด ............ฯ 5) จึ่งเจ้าแม่ผู้เฒ่าได้ทรงฟังดังนั้นก็เห็นโทษอันเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ทำผิด จึงเสด็จด้วยเรือพระที่นั่งขึ้นไปยัง เมืองลพบุรี และเสด็จถึงพระฉนวนน้ำประจำที่ ก็พาหลวงสรศักดิ์ขึ้นไปยังพระราชวัง และให้ยับยั้อยู่นอกลับแลก่อน แล้วก็เสด็จเข้าข้างใน และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสทอดพระเนตร์เห็นแล้ว ก็กระทำปัจจุคมนาการเชิญเสด็จให้สถิต ร่วมราชาอาสน์ และยกพระหัตถ์อัญชุลีแล้ว ก็ดำรัสถามว่า พระมารดาขึ้นมาด้วยธุระสิ่งใด จึ่งเจ้าแม่ผู้เฒ่ากราบทูลโดย เหตุทั้งปวงนั้นให้ทราบสิ้นทุกประการ สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ตรัสทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มีพระราชโองการให้หาหลวงสรศักดิ์มาเฝ้า แล้วดำรัสบริภาษเป็นอันมาก และเจ้าแม่ผู้เฒ่ากราบทูลขอพระราชทานโทษ ก็ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานให้ ...............ฯลฯ จากคุณ : Ritti Janson - [ 7 มี.ค. 50 19:02:30 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ความทะเยอทะยานผลักฟอนคอนให้คิดกบฏต่อสยาม ด้วยการส่งจดหมายไปยังพระเจ้าหลุยส์ให้ทรงส่งทัพมายึดอยุธยา ทหาร 600 นายจากจำนวน 3,000 ฝ่ามรสุมเข้ากรุงศรี (อ้างจาก ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ) ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ภาค2 เล่ม1 ความว่า ....... 6) ครั้งนั้นพระยาวิชาเยนทร์ฝรั่ง กระทำราชการดีมีความชอบมากขึ้น ทรงพระกรุณาโปรดให้เลื่อนที่เป็นเจ้าพระยา และให้บังคับราชการว่าที่สมุหนายก ......ฯ 7) ส่วนเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ผู้ว่าราชการที่สมุหนายก ให้ก่อตึกสี่เหลี่ยมอันใหญ่ และตึกเวียนมีกำแพงแก้วล้อมรอบเป็นที่อยู่ และให้ก่อตึกปิจูตึกคชสารและตึกฝรั่งอื่นทั้งหลายเป็นอันมากตำบลที่ใกล้วัดปืน และคิดอ่านกระทำการทั้งปวงต่างๆ ปรารถนาจะคิดเอาราชสมบัติ ...........ฯ แต่สุดท้ายแล้ว .......... แต่พระเพทราชาและโกษาปานทราบแผนการร้ายนี้ ในระหว่างที่พระนารายณ์ประชวรหนัก พระเพทราชายึดอำนาจวันที่ 18 พฤษภาคม 2231 ที่เมืองลพบุรี แล้วใช้กำลังทหาร 5,000 ล้อมจับทหารฝรั่งเศส จับตัวฟอลคอนไปประหารชีวิตที่วัดซาก ข้างทะเลชุบศร ลพบุรี วันที่ 5 มิถุนายน 2231 จบชีวิตนักผจญภัยยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกผู้ได้มาเป็นถึงสมุหนายกแห่งสยาม แต่ปิดฉากตนเองตั้งแต่อายุเพียง 41 ถูกประหารชีวิต ริบทรัพย์ ครอบครัวสลาย ( อ้างจาก ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ) จากคุณ : Ritti Janson - [ 7 มี.ค. 50 19:10:46 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อันนี้ถูกต้องค่ะ คอนสแตนติด ฟอนคอน นึกถึงผลประโยชน์ของตนเองค่ะ   เดี๊ยวสแกนให้ดู เพราะพระศาสนจักรทราบว่า ได้มีการแพร่ธรรมที่เห็นแก่ประโยชน์ ส่วนตนเกินไป พระศาสนจักร จึงได้ส่งมิชชันารี ฝรั่งเศส เข้ามา ให้สิทธิบางอย่างแกมิชชันรีฝรั่งเศส จากคุณ : สาวสวนพลู - [ 7 มี.ค. 50 19:26:07 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ประวัติพระศาสนจักรคาทอลิก ในประเทศไทย [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : สาวสวนพลู - [ 7 มี.ค. 50 20:32:07 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รู้จักออกญาวิไชยเยนทร์ป่าว อยู่ในสมัยพระนารายณ์มหาราช เรื่องนี้ผมขอไม่พูดตรง ๆนะครับ ในบันทึกบาทหลวงเดอเบซล่าวว่า... พระนารายณ์เคยเรียกตัวออกญาวิไชยเยนทร์เข้าห้องบรรทม คุยเรื่องงาน บางวันเข้าไปจนถึงเช้าครับ... ตอนที่ออกเสด็จล่าสัตว์กับออกญาวิไชยเยนทร์ มีครั้งหนึ่งถูกฝูงควายป่าล้อม ออกญาวิไชยเยนทร์ขวางไว้ แล้วควายป่าวิ่งชนออกญาวิไชยเยนทร์จนเสื้อขาด แล้วหมดสติ พระนารายณ์สั่งหมอหลวงให้ดูแลอย่างดี มีรับสั่งทั่วอยุธยา ห้ามมีการละเล่น หรือมหรสพใด ๆ หรือจัดงานรื่นเริงเด็ดขาด และมีการให้ปุโรหิตทำนายดวงชะตาของออกญาฯคนนี้ แล้วเข้าไปเยี่ยมเยียน แล้วรำพึงรำพัน ถ้าผ้าผมไม่จำผิด หรือตก ๆ หล่น ๆ ท่านพูดว่า"คราวหลังอย่าทำตัวเป็นอันตรายเช่นนี้อีก..." แล้วพูดประมาณว่า "ไม่มีอะไรทดแทนได้ถ้าสูญเสียท่าน..."พอออกญาวิไชยเยนทร์หายดีแล้ว พระนารายณ์มีรับสั่งให้จัดมหรสพ งานรื่นเริง ทั่วกรุงศรีอยุธยายกใหญ่... พระนารายณ์เคยสั่งประหารขุนนางร้อยกว่าคน และส่วนใหญ่เป็นพวกมีความคิดตรงข้ามกับออกญาฯผู้นี้ครับ ถ้าผมไม่ลืมนะ น่าประมาณ 500 คน ตัวเลขไม่แน่ใจครับ ผมอาจจะจำผิดก็ได้ แต่เกินร้อยคนครับ เคยสั่งประหารพระยาโกษาธิบดี(เหล็ก).......เรื่องนี้ไม่มีในพงศาวดารของไทยครับ แต่มีในบันทึกชาวต่างชาติ พระนารายณ์ต้องการจะสร้างป้อม สร้างกำแพงอะไรนี่แหละ แต่คิดอย่างไรไม่ทราบ ท่านดำริให้สร้างแบบฝรั่ง เพราะออกญาวิไชยเยนทร์ออกความคิดครับ แล้วพระยาโกษาฯค้าน ว่าเมืองเรากับเมืองฝรั่งไม่เหมือนกัน แต่พระนารายณ์ไม่ปลื้มครับ โกรธมาก ๆ สั่งเฆี่ยนพระยาโกษาฯ สาเหตุที่โปรดปรานขนาดนี้ เพราะมีความสามารถหลายอย่าง พูดภาษาไทยชัด ราชาศัพท์ถูกต้อง สามารถทำตามรับสั่งได้ทุกเรื่อง จึงเป็นที่โปรดปรานเป็นพิเศษครับ ออกญาวิไชยเยนทร์ ไม่ถูกกับพระเพทราชาครับ มีปัญหาบ่อยครับ และออกญาวิไชยเยนทร์ถูกพระเพทราชาสั่งเก็บครับ ที่มา : หนังสือ เซ็กซ์ในประวัติศาสตร์ จากคุณ : NgaoMak - [ 7 มี.ค. 50 20:52:37 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ... ฤทธี  เจนเสี้ยม ... สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสทรงทราบเหตุดังนั้น ก็มิได้เอาโทษแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ และมิได้ตรัสเป็นประการใด กระทู้นี้แทนที่จะ ... สื่อ ... ทำนองว่า ... แม้เบื้องพระยุคคลบาทจะทรงร้อนพระทัย ที่พระยาชาวฝรั่งเศสจับภิกษุสามเณรสึก  เหมือนว่าไม่เข้าใจวิถีพุทธ แต่พระองค์ก็มิได้เอาโทษแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ และมิได้ตรัสเป็นประการใด ... ประเด็นนี้แสดงให้เห็นถึงว่าพระองค์ทรงมีพระขันติธรรมสูงมาก ทรงแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาทั้งทางด้านการปกครองและการเข้าถึงหลักพุทธธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งการไม่ได้แสดงความเห็น  ก็ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วยกับฝรั่งคนนั้น   เพราะไม่มีทางที่พระองค์จะเห็นด้วยกับการกระทำขัดกับวิถีพุทธเช่นนั้น คงเพราะยามบ้านเมืองคับขัน  คนต่างชาติเข้ามามีบทบาทในราชการบ้านเมือง คาดว่าพระองค์ทรงแยกแยะการเมืองและการศาสนาออกอย่างชัดแจ้ง เพื่อมิให้ประเด็นศาสนา กลายเป็นปัญหาระดับชาติ ทางด้านหลวงสรศักดิ์ก็ควรจะทูลถามถึงพระวินิจฉัยให้ชัดแจ้ง มิควรด่วนกระทำการเช่นนั้น  อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งระดับสูงในบ้านเมือง แต่ด้วยเพราะฤทธิ์ของความอิจฉาตาร้อน  จึงใช้อารมณ์ตัดสิน  ... ( อะไรทำนองนั้น ) การจะศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์  ก็ควรจะรู้จักวิธีวิเคราะห์ให้เห็นคุณเห็นโทษ เรื่องใดควร  เรื่องใดไม่ควร  จากมุมมองของคนที่มีวุฒิภาวะ โดยเฉพาะการเปิดกระทู้ในที่สาธารณะ  ยิ่งควรชี้นำให้เห็นประเด็นที่สำคัญตามลำดับลงมา ไม่ใช่ประเด็นที่ถูกใจคนเปิดกระทู้คนเดียว  โดยไม่มีความรับผิดชอบต่อสาธารณชนแต่อย่างใด เพราะประวัติศาสตร์เปลี่ยนไม่ได้  ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ แต่มุมมองที่ผิด ๆ สามารถเปลี่ยนกันได้  ถ้ามีปัญญา !!! แต่ ฤทธี เจนเสี้ยม  กลับไป HighLight เรื่องฝรั่งถูกชกฟันหลุดเพราะจับพระภิกษุสึก   ไปเน้นเรื่องคนนั้นมาฟ้องคนนี้   เรื่องคนนี้ไปด่าคนนั้น ประเด็นเพื่อพาดพิงถึงพระพุทธศาสนา ... ทำนองถูกจาบจ้วงโดยคนต่างศาสนา ... บลา บลา บลา ๆๆๆๆๆๆ ...... ก็คือพฤติกรรม " เสี้ยม ... นั่นแหละ " กระทู้ "นาลันทา"  ฤทธี เจนเสี้ยม ก็ไปเน้น HighLight เรื่องอิสลามเผา ทั้ง ๆ ที่ป้ายหน้าซากนาลันทา  ก็ระบุแต่ชื่อคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้ไปพาดพิงศาสนา หรือ เชื้อชาติ แต่อย่างใด อีกทั้งยังมีเหตุปัจจัยจากความเสื่อมในพุทธศาสนาต่างนิกาย และปัญหาภาครัฐในเมืองนั้นด้วย เข้าข่าย " เสี้ยม ... อีกนั่นแหละ " http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5138421/Y5138421.html กระทู้ "พม่าเผา"  ฤทธี เจนเสี้ยม  ก็บอกว่าอย่าไปใส่ร้ายพม่าเลย พม่าไม่ได้เผาวัดวาอารามบ้านเมืองไทย  เจ๊กจีนเผา ก็เข้าข่าย " เสี้ยม ... อีกนั่นแหละ "  ( ดูลิงก์ในกระทู้นาลันทา) เหมือนจะรอให้กระทู้เก่า ๆ ซาไป หรือ หลุดจากผังไปซะก่อน จึงค่อยมาตั้งกระทู้เสี้ยม ๆ ใหม่  !!!!!!!! นี่แหละ  ... ฤทธี  เจนเสี้ยม ... จอมกักขฬะ ----------------------------------------------------------------------- แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 22:50:17 แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 22:38:08 จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 7 มี.ค. 50 22:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล จากคุณ : Nexus - [ 7 มี.ค. 50 23:44:33 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล *************************************************** ผมก็ว่าอย่างนั้นนะ ของแบบนี้ มันก็อยู่ที่ว่า จะรู้สึกตัวหรือเปล่าต่างหาก หรือ คุณ Nexus จะว่าอย่างไร ? ... ผมเป็นพุทธ ฉนั้น การตั้งกระทู้เพื่อกระตุ้นเตือนชาวพุทธด้วยกัน ให้ได้เห็นประพฤติเหตุ อันแสดงถึงเภทภัย ที่อาจเกิดแก่พระพุทธศาสนา อย่างนี้ผิดอันใดหรือ ????????? อ้ายฟอลคอนผู้นี้ กระทำการเลวร้ายต่อพระพุทธศาสนา ถ้าผมจะด่ามัน แล้ว ฟ้าคำนวนเดือดร้อนอะไร ??????? อ้อ ........ เดี๋ยวนี้ ด่าฝรั่งไม่ได้แล้วหรืออย่างไร ?????? คนที่คิดจะผูกโยง และทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะ คงจะเป็นฟ้าคำนวนเสียมากกว่า กระทู้นาลันทา แล้วอย่างไรหรือ กระทู้นั้น ก็เป็นฟ้าคำนวนเองมิใช่หรือ ที่พยายามจะกล่าวโจมตีกระทู้ผิดๆถูกๆ แล้วนี่พยายามที่จะทำอะไรอีกล่ะ ทำตัวเป็นขาประจำล่ะสิ ไม่ว่า !!!!!!! พุทธจะเสื่อมหรือไม่เสื่อม มันเกี่ยวอะไรกับ กองทัพมุสลิมเผานาลันทา ต่อมเหตุผลมันบกพร่องหรืออย่างไร ? ข้อมูลต่างๆในกระทู้นั้น ก็มีมากพออยู่แล้วมิใช่หรือ ทำไมจึงต้องมาถามซ้ำที่นี่อีกเล่า ???????? ประเด็นปัญหาทางการเมืองในปลายสมัย สมเด็จพระนารายณ์ มันซับซ้อน เกินกว่าที่จะพูดชุ่ยๆได้ว่า เกิดจาก ........ แต่ด้วยเพราะฤทธิ์ของความอิจฉาตาร้อน  จึงใช้อารมณ์ตัดสิน (?????) นี่คิดได้เท่านี้หรือ ฟ้าคำนวน ? เพราะถ้าคิดได้เท่านี้ ก็ไม่ต้องเข้ามาโพสต์ก็ได้ ......... กระทู้นี้ มิได้กล่าวถึง ศาสนาใดๆทั้งสิ้น แต่ก็มีอ้ายบ้า มาทำเป็นเดือดร้อน แทนฟอลคอนเสียเหลือเกิน เป็นอะไรนักหนาหรือ ?????? นี่ผมมิได้ตั้งกระทู้ด่าศาสนาคริสต์เสียหน่อย นี่มันกระทู้ด่าฝรั่งฟอลคอน ฟ้าคำนวน หน้ามืดตามัวถึงขนาดนี้เลยหรือ ??????? หรือแค่เพียงคุณนับถือพระเจ้าของฝรั่ง ผมก็เลยด่าฝรั่งไม่ได้ !!!!!! บ้านนี้เมืองนี้ เป็นเมืองพุทธ ปกติก็ไม่เคยจะมีปัญหาอะไรกับคนต่างชาติ ต่างศาสนาอยู่แล้ว เฉพาะอ้ายฟอลคอนผู้นี้ มันได้รับพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม แต่มันกลับคิดเนรคุณ ติดต่อต่างชาติคิดการกบฏ อ้ายฝรั่งผู้นี้ มันเลวร้าย ได้ถึงขนาดจริงๆ อย่างนี้ควรจะเป็นไฮไลท์ได้หรือไม่ ???? ผมควรจะตั้งชื่อกระทู้ใหม่หรือไม่ว่า อ้ายฟอลคอน ฝรั่งเนรคุณ อ้ายฝรั่งชั้นเลว ที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ดินแดนพระพุทธศาสนา !!!!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 01:51:17 ]

ความคิดเห็นที่ 10 กระทู้นี้แทนที่จะ ... สื่อ ... ทำนองว่า ... แม้เบื้องพระยุคคลบาทจะทรงร้อนพระทัย ที่พระยาชาวฝรั่งเศสจับภิกษุสามเณรสึก  เหมือนว่าไม่เข้าใจวิถีพุทธ แต่พระองค์ก็มิได้เอาโทษแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ และมิได้ตรัสเป็นประการใด ... จากคุณ : ฟ้าคำนวณ ************************************************* กระทู้นาลันทา ก็พยายามจะบอกว่า กองทัพมุสลิม ไม่รู้จักพระ ทั้งๆที่ทำสงครามต่อเนื่องยาวนาน หลายร้อยปี ก่อนจะเกิดกรณีบุกทำลายนาลันทา มากระทู้นี้ ฟ้าคำนวน พยายามที่จะบอกว่า ฟอลคอนไม่เข้าใจวิถีพุทธ ฟ้าคำนวนมิได้อ่าน ข้อมูลที่ต้นกระทู้หรืออย่างไร ? คนเฉลียวฉลาดอย่างอ้ายฟอลคอนผู้นี้ มีหรือที่จะไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร ผมเองก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดในประเด็นที่อ้ายฟอลคอนเกี่ยวข้องกับ บาทหลวงฝรั่งเศส ร่วมกันคบคิด ชักจูงคนมาเข้ารีตมากๆ จนบ้านเมืองขาดกำลังคนในการทำงาน แต่ดูเหมือนคุณจะพยายามลากให้ผมต้องมาพูดในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ สรุปว่าต้องการอย่างนั้น ใช่หรือไม่ ????? ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 02:04:07 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ฤทธีอ่านยังไงเหรอ ... ใครปกป้องฟอลคอน ??? ฤทธีอ่านยังไงเหรอ ... ใครปกป้องศาสนาคริสต์ ??? ฤทธีอ่านยังไงเหรอ ... ใครปกป้องฝรั่ง  ??? แต่คำนี้สิ ... " กระทู้นี้ มิได้กล่าวถึง ศาสนาใดๆทั้งสิ้น " ฝากไปถาม จขกท ด้วยว่ามาตั้งกระทู้นี้ในห้องศาสนาทำไมมิทราบ ........ เรื่องพระภิกษุถูกจับสึกมันเป็นเรื่องของบ้านเมือง  ไม่ใช่เรื่องศาสนาล่ะสิ ??? คำว่าพระภิกษุ  หมายถึง ศาสนาโอมชินริเคียว  หรือไง ?? หรือจะเปิดกระทู้เพื่อให้ศึกษาประวัติศาสตร์ ... แต่เพื่ออะไรเหรอ ?? เพื่อให้รู้ว่า  ครั้งหนึ่งมันมีฝรั่งโดนชนฟันหลุดในเมืองไทย ... แค่นี้เหรอ ------------------------------------------------------------------------- ประโยคนี้ ... " ผมเป็นพุทธ ฉนั้น การตั้งกระทู้เพื่อกระตุ้นเตือนชาวพุทธด้วยกัน ให้ได้เห็นประพฤติเหตุ อันแสดงถึงเภทภัย ที่อาจเกิดแก่พระพุทธศาสนา อย่างนี้ผิดอันใดหรือ ????????? อ้ายฟอลคอนผู้นี้ กระทำการเลวร้ายต่อพระพุทธศาสนา ถ้าผมจะด่ามัน แล้ว ฟ้าคำนวนเดือดร้อนอะไร ??????? อ้อ ........ เดี๋ยวนี้ ด่าฝรั่งไม่ได้แล้วหรืออย่างไร ?????? คนที่คิดจะผูกโยง และทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะ คงจะเป็นฟ้าคำนวนเสียมากกว่า " คิดอะไรอยู่เหรอ ........  วุฒิภาวะ ??? ------------------------------------------------------------------------- จะมาคุยเรื่องประวัติศาสตร์  ในห้องศาสนา แต่มาเน้นย้ำเรื่อง โดนชกปาก ฟันหลุด แปลเป็นไทยหน่อยสิ ......  สำเนียงส่อภาษา ?? ------------------------------------------------------------------------ พระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่สมัยนั้น  จวบจนถึงสมัยนี้ ต้องลำบากพระทัยมากแค่ไหน  ในการที่จะแก้ปัญหาบ้านเมือง ตัวอย่างในกระทู้นี้ หลวงสรศักดิ์  หากรักพระเจ้าอยู่หัวจริง ก็ควรจะพยายามเข้าถึงพระหฤทัยของพระเจ้าอยู่หัว ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง  ไม่ใช่ไปสร้างปัญหา หลายต่อหลายกรณีที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กระทำการอันขัดพระทัยเบื้องพระยุคคลบาท ถ้าหลวงสรศักดิ์กล้าทำกล้ารับ  ไม่ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะเข้าใจผิด  ก็จะยอมถูกลงโทษ  เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ครั้นพอจะทรงลงพระอาญา  ข้าราชการชั้นสูงกลับไปวิ่งเต้นหาเกราะกำบังซะงั้น พฤติกรรมของข้าราชการแบบนี้มันน่าละอายยิ่งนัก กระทำการอันเป็นที่ขัดเคืองพระหฤทัยยังไม่พอ ยังไปหลอกใช้บุคคลอันเป็นที่พระองค์ทรงเคารพนับถือ หลอกใช้เพียงเพื่อตนเองจะได้พ้นผิดจากการลงอาญา หากพระเจ้าอยู่หัวยังคงยืนกรานจะลงอาญา ก็จะลำบากพระทัยต่อบุคคลอันเป็นที่เคารพของพระองค์ ซึ่งได้ยอมเสนอหน้ามาเอ่ยปากขอร้องด้วยตนเองแทนคนที่จะถูกลงอาญา ทำให้พระเจ้าอยู่หัวต้องลำบากพระทัยในการปกครองคนใกล้ตัวที่ประพฤตินอกกรอบประเพณี อีกทั้งยังลำบากพระทัยในการปกครองบ้านเมืองด้วย สำหรับคนต่างศาสนาในยุคนั้น  ... มันก็เรื่องประวัติศาสตร์ไปแล้ว จะไปแก้ตัวแทนคนอื่นเพื่ออะไร ...   จริงเท็จอย่างไร  ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้  ก็ต้องเชื่อตำรากันไป ... แต่จะมองมุมไหนล่ะ ? แต่สำหรับคนต่างศาสนาในยุคนี้ ... มันเป็นเรื่องจริงที่เรากำลังเผชิญอยู่ ... จริงเท็จอย่างไร  ยังสามารถตรวจสอบได้   เช่น การถูกใส่ร้ายป้ายสี  การถูกใส่ความ  การโยนความผิด  ฯลฯ  ... แต่จะมีพยาน หลักฐาน ไหมล่ะ ? ถ้านำประวัติศาสตร์มาศึกษา  ปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ เน้นย้ำในเรื่องที่สามารถเป็นสติเตือนใจผู้ที่อยู่ในสถานะเดียวกัน เช่น  ข้าราชการระดับสูง  ...  ไม่ควรตัดสินปัญหาด้วยอารมณ์  เช่นไปปากเสียด่าว่า "โจรกระจอก" ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาในบ้านเมืองตามมาอีกมากมาย ... ยากเกินกว่าจะแก้ไขปัญหาได้ง่าย ๆ เป็นเหตุให้พระเจ้าอยู่หัวและเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ต้องลำบากพระทัยในการดูแลพสกนิกรที่ประสบภัย ข้าราชการชั้นสูง ... ควรสำนึกในการเป็นข้าราชการในพระเจ้าอยู่หัว ควรสำนึกว่ากำลังเป็นตัวแทนของพระเจ้าอยู่หัวในการช่วยเหลือราษฎร การจะทำอะไรก็ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนใต้เบื้องพระบุคคลบาท ช่วยกันเป็นหูเป็นตา  ช่วยกันหาวิธีแก้ไขปัญหาบ้านเมือง  บำบัดทุกข์  บำรุงสุขแก่ราษฎร และหากเมื่อทำผิดกฏหมาย  ผิดจารีตประเพณี  และถูกตัดสินว่าผิด   ก็ไม่ต้องพยายามวิ่งเต้นหาทางให้ตนเองพ้นผิด .... ถ้าผิดจริง ซึ่งไม่ใช่วิถีนักปกครองบ้านเมือง ... ควรลาออกไปซะ ( อะไรทำนองนั้น ..... ) จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 8 มี.ค. 50 09:41:30 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แต่คำนี้สิ ... " กระทู้นี้ มิได้กล่าวถึง ศาสนาใดๆทั้งสิ้น " ฝากไปถาม จขกท ด้วยว่ามาตั้งกระทู้นี้ในห้องศาสนาทำไมมิทราบ ........ เรื่องพระภิกษุถูกจับสึกมันเป็นเรื่องของบ้านเมือง  ไม่ใช่เรื่องศาสนาล่ะสิ ??? คำว่าพระภิกษุ  หมายถึง ศาสนาโอมชินริเคียว  หรือไง ?? หรือจะเปิดกระทู้เพื่อให้ศึกษาประวัติศาสตร์ ... แต่เพื่ออะไรเหรอ ?? เพื่อให้รู้ว่า  ครั้งหนึ่งมันมีฝรั่งโดนชนฟันหลุดในเมืองไทย ... แค่นี้เหรอ ------------------------------------------------- ก็อย่างนี้แหละ เขาถึงได้เรียกว่า วุฒิภาวะ สติปัญญา และวิจารณญาณ การที่ผมพูดว่า มิได้กล่าวถึงศาสนาใดๆนั้น ถ้าคุณพอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง ก็ย่อมรู้ได้เองว่า ผมหมายความว่า มิได้กล่าวพาดพิงถึงศาสนาใดเลย !!!! ทำไมเพียงแค่คำพูดง่ายๆแค่นี้ กลับฟังไม่เข้าใจเสียล่ะ ...... ถ้ากระทู้นี้ ผมกล่าวหาศาสนาคริสต์ ก็มีความชอบธรรมอยู่ ที่คุณจะมาแก้ต่าง หรือแสดงพฤติการณ์ปกป้องต่างๆนาๆ แต่นี่ก็เปล่าเลย ผมมิได้พาดพิงถึงศาสนาของคุณสักนิด ดังนั้นจึงตั้งข้อสงสัยว่า คุณเดือดร้อนแทนอ้ายฝรั่งผู้นั้นหรืออย่างไร ???? เพราะถ้าไม่ใช่ แล้วคุณมาแสดงอาการทุรนทุรายอยู่ทำไม ???? มาทำหน้าที่ ขาประจำ เท่านั้นเองน่ะหรือ ? ฉนั้น มีอะไรก็พูดมาให้ชัดจะดีกว่า ที่มาทำโวยวายพูดจาโยกโย้อย่างนี้ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับกระทู้สักนิด อีกทั้งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเลย จะว่ามาใช้สิทธิ์เพราะถูกพาดพิง ก็ไม่ใช่อีก ........ สรุปว่า คุณมาวุ่นวาย ทุรนทุรายอยู่ในกระทู้นี้ ทำไมมิทราบ !!!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 10:07:21 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สำหรับฟอลคอนนี้ผมคิดว่าเป็นกรณีแย่งชิงมวลชนมากกว่าครับ คุณฤทธี ตอนนั้นสถานการณ์ออกจะคลุมครืออยู่มากว่าใครจะได้ครองราชย์ต่อ ช่วงปลายรัชกาลจึงมีการกระทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อช่วงชิงฐานมวลชนมาสนับสนุน ตอนนั้นพระเพศราชาหาเสียงจากคณะสงฆ์และชาวบ้านได้มากด้วยเงื่อนไขที่ใช้ได้เสมอครับ คือพวกต่างศาสนากำลังจะยึดบ้านครองเมือง ทั้งๆในทางประวัติศาตร์แล้วมีแนวโน้มว่าฟอลคอนจะสนับสนุนพระปีย์(ลูกเลี้ยงพระนารายณ์ นับถือศาสนาพุทธ) ขึ้นครองราช หรืออย่างกรณีที่มี เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา ที่ทุกวันนี้นักประวัติศาตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นฝีมือของหลวงสรศักดิ์(อนาคตพระเจ้าเสือ) และพระเพศราชากระทำเพื่อดิสเครดิตตัวพระนารายณ์เองและพวกฝรั่งทั้งหลายที่รับราชการอยู่ เช่น ด้วยพระมหากษัตรมิได้ทรงทศมิตราชธรรม์         จึงเกิดเข็ญเป็นมหัสจรรย์สิบหกประการ หรือ เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา       จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล สัปบุรุษย์จะแพ้แก่ทระชน           มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก       ก็เป็นปลุกระดมมวลชนอย่างหนึ่ง ท้ายๆรัชกาลพระนารายณ์แทบไม่ได้ประทับอยู่กรุงศรีอยุธยาเลยนะครับ รู้ๆกันอยู่ว่าไปประทับที่ลพบุรี และใช้แต่ทหารต่างชาติเช่น ฝรั่ง แขกมุสลิม ญี่ปุ่น เป็นทหารรักษาพระองค์ จะถูกผิดก็คิดเอาเอง ต่างอย่าลืมว่าราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่พระเพศราชาและพระเจ้าเสือ ล้มพระนารายณ์นั้น แต่ละพระองค์ทำความเสื่อมทรามแก่สังคมไทยและพระพุทธศาสนาแค่ไหน สุดท้ายก็กินกันจนเสียกรุงฯนะครับ จากคุณ : mr.cozy - [ 8 มี.ค. 50 10:37:15 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เรียนถามคุณ mr.cozy ค่ะ "ต่างอย่าลืมว่าราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่พระเพศราชาและพระเจ้าเสือ ล้มพระนารายณ์นั้น แต่ละพระองค์ทำความเสื่อมทรามแก่สังคมไทยและพระพุทธศาสนาแค่ไหน สุดท้ายก็กินกันจนเสียกรุงฯนะครับ" เป็น "ความเห็น-บทสรุปส่วนตัว" ใช่หรือเปล่าคะ?? /ขอบคุณค่ะ จากคุณ : /kd (@mantras) - [ 8 มี.ค. 50 10:53:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พระปีย์ เข้ารีตไปแล้วครับ ......... และนี่ก็นับว่าเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งของการทำรัฐประหารเลยทีเดียว !!!!! จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 10:56:20 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จะถูกผิดก็คิดเอาเอง ต่างอย่าลืมว่าราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่พระเพศราชาและพระเจ้าเสือ ล้มพระนารายณ์นั้น แต่ละพระองค์ทำความเสื่อมทรามแก่สังคมไทยและพระพุทธศาสนาแค่ไหน สุดท้ายก็กินกันจนเสียกรุงฯนะครับ จากคุณ : mr.cozy *********************************************** นี่เป็นการสรุปอย่างขาดมิติทางประวัติศาสตร์ เป็นการสรุปที่ ง่าย เกินไป ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 11:03:08 ]

ความคิดเห็นที่ 17 งั้นคุณทั้ง 2 ลองยกตัวอย่างผลงานที่ดีของ รัฐบาลราชวงศ์บ้านพลูหลวง ให้ผมฟังหน่อยสิ แล้วพระราชกรณียกิจที่น่ายกย่องของพระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์นั้นๆด้วย มาแบ่งปันกันฟังหน่อยสิครับ แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 50 11:16:47 จากคุณ : mr.cozy - [ 8 มี.ค. 50 11:16:05 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เรียนคุณ mr.cozy ค่ะ ดิฉันเห็นว่าคุณตอบไม่ตรงคำถามของดิฉันนะคะ ดิฉันเพียงแต่ถามว่า..   เป็น "ความเห็น-บทสรุปส่วนตัว" ใช่หรือเปล่าคะ?? จากคุณ : /kd (@mantras) - [ 8 มี.ค. 50 11:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 20 กระทู้พาดพิงประวัติศาสตร์ของชาติไทย   ทำไมคนไทยอย่างผมจะเข้ามากระทู้นี้ไม่ได้ แม้แต่จะพาดพิงศาสนาพุทธ  ผมก็ยังมีสิทธิแวะเข้ามาได้ เพราะศาสนาทุกศาสนาก็เกี่ยวข้องกับความถูกต้อง สิ่งใดไม่ถูกต้อง  เราทุกคนก็มีสิทธิเข้ามา "ติเตือน" คุณ Cozy เป็นที่ยอมรับในเรื่องประวัติศาสตร์พอสมควรในห้องศาสนา ก็รู้สึกดีที่มีนักประวัติศาสตร์แวะเข้ามาในกระทู้นี้ครับ เชิญคุณถกมุมมองประวัติศาสตร์กับคุณ Cozy ต่อให้จบ อ้อ ..... แล้วก็อย่ารีบด่วนปิดกระทู้ซะก่อนล่ะ ... หัดยอมรับความจริงซะบ้าง ... ว่ารู้ไม่จริง !!!! แล้วจะได้เข้าใจซะทีว่า  ผมไม่ได้เข้ามาเพราะ "ขาประจำ" แต่เพราะเข้าใจในจิตใจของ จขกท เป็นอย่างดีมานานแล้ว ... เจนเสี้ยม ... กระทู้ของคุณที่ไม่มีอาการเสี้ยมให้ต้องแวะมา "ติเตือน" ผมก็ไม่เคยเข้าไปวุ่นวาย ... มิใช่หรือ ??? ----------------------------------------------------------------------- รักเพื่อนมนุษย์ ... วันนี้ปากเสียอีกแล้ว ....  ยังมีเวลาให้ปากเสียอีกทั้งชาติ ( คิ คิ ) จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 8 มี.ค. 50 12:18:26 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบพระคุณ Mr.cozyที่ให้ความรู้ค่ะ Mr.cozy จบประวัติศาสตร์ ม เชียงใหม่ แกเรียน มองฟอร์ต ด้วย เลยเข้าใจ ศาสนสัมพันธ์ จากคุณ : สาวสวนพลู - [ 8 มี.ค. 50 12:20:00 ]

ความคิดเห็นที่ 22 มนุษย์ที่ดีคงไม่มีใครชื่นชมในบาปหรอกครับ....เพียงแต่ว่าเราจะทำอย่างไรที่เราสามารถอยู่ในกรอบและประเพณีอันดีงามในแผ่นดินนี้...ในตัวเราเองก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมด ก็ยังมีผิด มีพลาดตลอดเวลา อยากให้ดูในพระธรรมยอห์น 8 ซึ่งพูดถีง ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกจับฐานล่วงประเวณี จากคุณ : tommyguy1112 - [ 8 มี.ค. 50 12:29:01 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าหากพี่ฤทธีพูดความจริง จะยอมรับได้รึเปล่าครับ เหมือนกับพวกที่เชื่อว่าโลกแบนอะ แล้วอยู่ ๆ มีคนมาบอกว่าโลกกลม โดยมีเหตุผลต่าง ๆ นานา บางทีคนที่บอกว่าโลกกลมอาจจะโดนข้อหาเป็นพวกนอกรีต และถูกเผาทั้งเป็นก็ได้ครับ กรณีพี่ฤทธี จริงหรือเท็จไม่รู้ แต่ดูจากข้อมูลมันมีมูลจริง ๆ ครับ เรื่องคนจีนลอกทองนั้น อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ การที่มาโวยวาย มันแสดงให้เห็นอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ยอมรับความจริงไม่ได้ เหมือนพวกที่เชื่อว่าจารึกพ่อขุนรามจริง จนกระทั้งมีคนบอกว่าจารึกพ่อขุนรามทำในสมัย ร.4 ชาวสุโขทัยโกรธมากถึงขนาดสาปแช่ง เผาพริกเผาเกลือสาปแช่งเลยครับ ทั้ง ๆ ที่หลักฐานยืนยันมีชัดเจนครับ เหมือนกับคนที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก จนมีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง บอกว่าโลกเป็นบริวารดวงอาทิตย์ หมุนรอบโลก โลกเกิดจากนั่นจากนี้ ฯลฯ แล้วคนที่ได้ยินก็ไม่พอใจ กล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตเช่นกัน แนะนำให้พี่ฤทธีลองลงเรื่องจารึกพ่อขุนรามดูสิครับ แล้วคอยดูปฏิกิริยาคนพวกที่เคยมาด่าพี่เอาไว้นะครับ จากคุณ : NgaoMak - [ 8 มี.ค. 50 12:38:01 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณสาวสวนพลู แก้ข่าว--ผมไม่ได้เรียนเอกประวัติศาสตร์นะครับ แต่เป็นลูกช้างจริง (คราวก่อนก็มีคนบอกว่าเป็นอาจารย์-ไม่ใช่ง่ะ) ส่วน คุณ /kd (@mantras) ก็ขอตอบว่าบางเรื่องมันไม่มีทางเป็น "ความเห็น-บทสรุปส่วนตัว" ไปได้นี่ครับ อย่างคำพูดของผมที่ว่า -ราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่พระเพศราชาและพระเจ้าเสือ ล้มพระนารายณ์นั้น แต่ละพระองค์ทำความเสื่อมทรามแก่สังคมไทยและพระพุทธศาสนาแค่ไหน สุดท้ายก็กินกันจนเสียกรุงฯนะครับ- เอาข้อเท็จจริงก็ชัดเจน ยกตัวอย่าง พระเจ้าเสือ ชอบมีเพศสำพันธ์กับเด็กยังไม่มีประจำเดือน เด็กทนไม่ไหวก็กระทืบตาย ศพขนออกไปทางประตูหลังวังจนชาวบ้านเรียกชื่อว่าประตูผี พระเพทราชาก็ข่มขืนลูกสาวพระนารายณ์เอาเป็นเมีย พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ฆ่าหลานเอาราชสมบัติ รัฐบาลแบบนี้ ถ้าไม่เรียกว่าสร้างความเสื่อมทรามแก่พระศาสนาแล้วจะให้ผมเรียกว่าอะไรกันล่ะครับ จากคุณ : mr.cozy - [ 8 มี.ค. 50 13:08:29 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ความสัมพันธ์ระหว่าง ฟอลคอน กับ รัฐบาลฝรั่งเศส จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 13:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 26 . จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 13:25:41 ]

ความคิดเห็นที่ 27 .. จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 13:26:22 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ความสัมพันธ์ระหว่าง ฟอลคอน กับ เยซูอิต และพระปีย์ จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 13:28:05 ]

ความคิดเห็นที่ 29 นี่เป็นเอกสารที่ฝรั่งนายหนึ่ง จดใว้หลังมรณกรรมของฟอลคอน จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 13:30:51 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มาบอกอีกรอบ คอนสแตนติน ฟอนคอน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มีอำนาจมาก พระศาสนจักรทราบดี เลยแต่งตั้ง คณะมิชชันนารี่ ฝรั่งเศส ขึ้นมา เรียกว่า สิทธิอุปถัมศาสนา พระสันตปาปา ให้สิทธิบางอย่าง ขึ้นมา เดี๊ยวถามอีกว่า เกี่ยวอะไรด้วย โพสเลอะเทอะ ทำไม ก็มาบอกให้เข้าใจ ไม่ใช่คิดว่า ชกปากฟันหลุดแล้ว นี้ คนคริสทำอย่างงี้ พวกแกเป็นแบบนี้   แต่คิดน้อยๆๆ แบบนี้มีเยอะแฮะ และที่สแกนให้ดูรบกวนอ่านด้วย ว่าคอนสแตนติน ฟอนคอน กันท่าแค่ใหน จากคุณ : สาวสวนพลู - [ 8 มี.ค. 50 13:41:38 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เอาข้อเท็จจริงก็ชัดเจน ยกตัวอย่าง พระเจ้าเสือ ชอบมีเพศสำพันธ์กับเด็กยังไม่มีประจำเดือน เด็กทนไม่ไหวก็กระทืบตาย ศพขนออกไปทางประตูหลังวังจนชาวบ้านเรียกชื่อว่าประตูผี พระเพทราชาก็ข่มขืนลูกสาวพระนารายณ์เอาเป็นเมีย พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ฆ่าหลานเอาราชสมบัติ รัฐบาลแบบนี้ ถ้าไม่เรียกว่าสร้างความเสื่อมทรามแก่พระศาสนาแล้วจะให้ผมเรียกว่าอะไรกันล่ะครับ จากคุณ : mr.cozy ************************************************ การที่คุณกล่าวว่า ไม่ได้เรียนเอกประวัติศาสตร์นั้น ต่อให้นี่เป็นการพูดเท็จ ผมก็จะเชื่อว่าจริง !!!!!! 1) คุณกล่าวถึง พฤติกรรมทางเพศของ ขุนหลวงเสือนั้น ว่าเป็นการสร้างความเสื่อมทรามต่อพระพุทธศาสนา นี่คุณพูดผิดแล้ว ..... นี่เป็นความประพฤติส่วนพระองค์ ของขุนหลวงเสือเองต่างหาก !!!! มิได้เกิดจากบทบัญญัติทางพระศาสนา อีกทั้งพุทธศาสนิกชน ก็ตำหนิติเตียน มาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน เห็นดีเห็นงามไปด้วย คุณยังคาดหวังว่า ..... จะได้มีโอกาสพบเห็นเอกสารเหล่านี้อีกหรือ ???? ฉนั้น นี่มิใช่ เป็นการสร้างความเสื่อมทรามต่อพระพุทธศาสนา แต่เป็นการสร้างความเสื่อมทรามต่อขุนหลวงเสือเองต่างหาก ...... 2) พระเพทราชาก็ข่มขืนลูกสาวพระนารายณ์เอาเป็นเมีย นี่คุณพูดของคุณเอาเองหรือเปล่า ธรรมเนียมการตั้งราชวงศ์ใหม่ก็คือ การตั้ง กุลสตรีผู้เป็นเชื้อสายของราชวงศ์เก่าขึ้นเป็นพระมเหสี ฉนั้นการพูดในทำนอง ข่มขื่นใจ ข่มขืนกาย จึงเป็นเรื่องไร้สาระ และนี่ก็มิเห็นว่าจะเกี่ยวข้องกับประเด็นที่คุณอ้างว่า ........ สร้างความเสื่อมทรามแก่พระศาสนา แต่อย่างใดเลย !!!!! 3) พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ฆ่าหลานเอาราชสมบัติ ธรรมเนียมการสืบราชสมบัติของไทยที่มีมาแต่โบราณก็คือ จากเชษฐา(วังหลวง)ไปสู่อนุชา(วังหน้า) ขุนหลวงท้ายสระ เห็นแก่พระโอรส มากกว่าบ้านเมืองและโบราณราชประเพณี แทนที่จะโอนราชสมบัติไปสู่อนุชา กลับโอนไปให้พระโอรส นี่จึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องบานปลาย ....... ขุนหลวงบรมโกศ ตรัสว่า ........ ถ้ามอบให้เจ้าฟ้านเรนท์(พระโอรสของขุนหลวงท้ายสระ)หลานรักของท่าน อย่างนี้ท่านจึงจะยอม แต่เจ้าฟ้านเรนท์ท่านไม่รับ ท่านใฝ่ทางธรรมมากกว่า ไม่ปรารถนาจะสึกออกมารับราชสมบัติ จึงถวายคืนให้เสด็จอา ...... ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องทางโลก และเป็นธรรมเนียมการสืบราชสมบัติ ผมไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าในทางดี หรือในทางเลวก็ตาม ........ ฉนั้น การที่คุณกล่าวว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ฆ่าหลานเอาราชสมบัติ เรียกว่าสร้างความเสื่อมทรามแก่พระศาสนา จึงเป็นการพูดแบบจับแพะชนแกะ เพราะเหตุว่านี่มันเป็นคนละเรื่องกันอย่างชัดเจน !!!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 14:04:10 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ถึงคุณ สาวสวนพลู แต่เดิม ผมก็มิได้มีเจตนา ให้กระทู้นี้ มีเนื้อหาเกินไปกว่า ...... ออกญาวิชาเยนทร์ โดนชกปาก ฟันหลุด เพราะไปสึกเอาภิกษุสามเณร ออกมาทำงานกุลี ซึ่งเป็นหัวข้อกระทู้ ฉนั้น ในการใช้ข้อมูล ผมจึงระมัดระวังมาก ที่จะไม่ให้ไปพาดพึงถึงศาสนาอื่น แต่ดูเหมือนมีใครบางคน ยังไม่พอใจ   !!!!!! สุดท้าย จึงต้องให้หลักฐานเอกสารเป็นผู้พูดแทน คนอ่านเขาก็สามารถใช้ วิจารณญานในการคิดพิจารณาได้เองอยู่แล้วนี่ ... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 14:11:50 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เป็นหลานคือ เจ้าฟ้าอภัย ต่างหาก ที่อยากรบกับ วังหน้า ...... จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 14:16:43 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ใช่ครับคุณฤทธี ...  กระทู้นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับศาสนา ผมเห็นแต่ ความบ้ามุทะลุ ของคนที่ไปต่อยปากคนอื่น อย่างไร้เหตุผล เพราะความบ้ายึดมั่น ถือมั่น อุปาทาน ... แบบผิด ๆ อะครับ... ----------------------------------------------------- จากหลวงสรศักดิ์ และกูจะทำโทษมันเองสักครั้งหนึ่ง จึงเข้าไปคอยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์อยู่ที่เคยนั่งว่าราชการในพระราชวังนั้น ครั้นเช้า เจ้าพระยาสมุหนายกฝรั่งเข้าไปในพระราชวัง แล้วก็นั่งว่าราชการในที่นั้น และหลวงสรศักดิ์เห็นได้ที ก็เข้าชกเอาปากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ฟันหักสองซี่ แล้วหนีออกไปยังบ้าน ............ฯ ------------------------------------------------------- นี่หรือ ลูกผู้ชายแท้  ผมมองเป็นไอ้ขี้ขลาดต่างหาก  ที่ถือโทสะจริต ...  ดักลอบทำร้าย ... พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้คนเต็มด้วยโทสะจริตแบบนี้ครับ  นี่ไม่ใช่วิสัยพุทธศาสนิกชนแท้แน่นอน... เช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ สอนให้ละการยึดมั่นถือมั่นในรูป ในตัวตน แต่พุทธบริษัทหลัง 500 ปี ก็ตีความหมาย สังเวชนียสถานผิดไป จากคุณ : ดีกว่าชีวิต - [ 8 มี.ค. 50 14:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 35 มีพระราชดำรัสตั้งพระมเหสี ...... จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 14:24:28 ]

ความคิดเห็นที่ 36 มีพระราชดำรัสตั้งพระมเหสี(ตามธรรมเนียมโบราณราชประเพณี)ต่ิอ ...... จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 14:25:49 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อาจจะดูเหมือนว่า งมงายไปสักหน่อย แต่ถ้า พระมหาบุรุษ มีพฤติกรรมดังที่คุณกล่าวร้ายว่า ข่มขืนลูกสาวพระนารายณ์เอาเป็นเมีย จริง ก็คงจะไม่ทรงทำ เสน่ห์ ตามที่ปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารกระมัง !!!!! จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 14:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 38 คุณ ฤทธี ที่ผมพยายามจะบอกแต่แรกคือ อย่าได้เอานัยยะทางศาสนามาเกี่ยวกับการเมือง เพราะผมเชื่อว่าผมและหลายๆคนดูออกว่าเจตนาของคุณที่เปิดกระทู้นี้คืออะไร (ส่วนจะชื่นชมหรือสงสัยกระทั่งไม่เห็นด้วยก็แล้ววิจารณญาน) ผมก็แสดงความเห็นว่าฟอลคอนน่ะเป็นกรณีการเมืองหาความชอบธรรมเพื่อจะได้ราชสมบัติ ส่วนข้อเท็จจริงที่ผมบอกเป็นเรื่องที่ปฎิเสธไม่ได้ แล้วที่คุณเอามาจั่วหัวกระทู้ว่า -ออกญาวิชาเยนทร์ โดนชกปาก ฟันหลุด เพราะไปสึกเอาภิกษุสามเณร ออกมาทำงานกุลี โดยอ้างถึงเรื่องอนาคตพระเจ้าเสือเป็นผู้ชก ก็เห็นว่าต่อมาพระองค์กระทำการหยาบช้าแค่ไหน อย่าลืมนะครับว่าพระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่ผมเอ่ยมาเป็นพุทธศาสนนิกชน (อย่างน้อยก็จากการประกาสตัว และเอาพุทธศาสนาเป็นเงื่อนไขในการรัฐประหาร)แล้วการที่ผู้นำประเทศทำพระองค์แบบนั้น ก็ย่อมทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมลงอย่างแน่นอน แล้วผมจะพูดอะไรอย่างอื่นได้ ผิดก็ผิด ถูกก็ถูกนะคุณ ฤทธี ผมไม่ได้บอกว่ามีบทบัญญัติทางพระศาสนาใดใดมารองรับการกระทำ ผมแค่บอกว่าเราอย่าไปดูแค่ที่อ้างว่านับถือพุทธ แต่การกระทำที่ทำผิดหลักการอย่างสิ้นเชิง ไม่ดีหรอกครับ จากคุณ : mr.cozy - [ 8 มี.ค. 50 14:40:08 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ฉนั้น การที่คุณกล่าวว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ฆ่าหลานเอาราชสมบัติ เรียกว่าสร้างความเสื่อมทรามแก่พระศาสนา จึงเป็นการพูดแบบจับแพะชนแกะ เพราะเหตุว่านี่มันเป็นคนละเรื่องกันอย่างชัดเจน !!!!!! จาก .. ฤทธี ..................................................................... ใช่ครับ มันเป็นเรื่องทางโลก ไม่เกี่ยวกับศาสนา เป็นเรื่องบุคคล นี่ครับ จากคุณ : ดีกว่าชีวิต - [ 8 มี.ค. 50 14:40:12 ]

ความคิดเห็นที่ 40 อย่าลืมนะครับว่าพระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์บ้านพลูหลวง ที่ผมเอ่ยมาเป็นพุทธศาสนนิกชน (อย่างน้อยก็จากการประกาสตัว และเอาพุทธศาสนาเป็นเงื่อนไขในการรัฐประหาร)แล้วการที่ ผู้นำประเทศทำพระองค์แบบนั้นก็ย่อมทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมลง อย่างแน่นอน แล้วผมจะพูดอะไรอย่างอื่นได้ จากคุณ : mr.cozy ************************************************ สรุปว่า คุณ mr.cozy อยากจะสรุปว่า ........ พระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์บ้านพลูหลวงทรงทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมลง ให้ได้ว่าอย่างนั้นเถิด !!!!!! ถ้าอย่างนั้น คุณก็ลองอ่านบทความนี้ดูหน่อยก็แล้วกันนะครับ ........ฯ เมื่อลังกาเกิดวิกฤตทางพุทธศาสนา คือไม่มีพระสงฆ์ กษัตริย์ลังการู้จากพ่อค้าชาวฮอลันดาว่ามีพระสงฆ์อยู่ในกรุงศรีอยุธยา ก็แต่งราชทูตเข้ามาทูลขอคณะสงฆ์ออกไปให้อุปสมบทแก่ชาวสิงหล สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ได้ทรงอาราธนาคณะสงฆ์สยาม มีพระราชาคณะคือ พระอุบาลี และพระอริยมุนี เป็นประธาน ออกไปอุปสมบทชาวสิงหลในลังกาทวีป เรื่องตอนนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือ เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีป โดยสรุปว่า "การที่พระอุบาลีออกไปให้อุปสมบทแก่ชาวสิงหลครั้งนั้นเป็นการสำคัญ ทั้งในส่วนสนองคุณที่ชาวลังกาได้มีแก่ไทยเรามาในเรื่องการพระศาสนา และเป็นการสำคัญที่ไทยเราได้รักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้ถาวรอยู่ในโลกนี้ด้วย เมื่อว่าโดยย่อ ที่พระสงฆ์ยังมีอยู่ในลังกาทวีปจนทุกวันนี้ เพราะไทยเราเองเป็นผู้ไปตั้งให้กลับมีขึ้น" ชาวสิงหลในลังกาทวีปก็ตระหนักเรื่องนี้อย่างดี สมเด็จฯ ทรงพระนิพนธ์บอกต่อไปอีกว่า "เมื่อคราวพระอุบาลีออกไปครั้งนั้น คุณของไทยที่ได้อุปถัมภ์บำรุงแก่พระพุทธศาสนาดังกล่าวมานี้ ข้างฝ่ายชาวลังกาเขายกย่องมาก ถึงมีหนังสือแต่งขึ้นไว้เป็นตำนานเรื่อง 1 เรียกว่า "สยามมูปสัมปทวัต" กล่าวเฉพาะเรื่องที่พระสงฆ์สยามออกไปให้อุปสมบทแก่ชาวสิงหล ประดิษฐานพระภิกษุสังฆมณฑลให้กลับคืนมีขึ้นในลังกาทวีป" พระอุบาลี ลงเรือจากกรุงศรีอยุธยาจะไปลังกาครั้งแรก พ.ศ.2294 แต่โดนคลื่นใหญ่กลางทะเลอ่าวไทยจนเสากระโดงหัก เรือไปเกยตื้นที่เมืองนครศรีธรรมราช ผลที่สุดต้องกลับอยุธยา ปีรุ่งขึ้น พ.ศ.2295 พวกฮอลันดาอาสาเอากำปั่นไปส่งพระอุบาลีจนถึงลังกา ออกเดินทางเมื่อเดือนอ้าย ล่วงถึงเขตลังกาทวีปก็เป็นเดือนเจ็ด รวมเวลาเดินทางทางเรือนาน 6 เดือน ก็พอดีเข้าพรรษา ได้อุปสมบทชาวสิงหล แล้วพระอุบาลีได้จำพรรษาอยู่วัดบุปผารามในกรุงศิริวัฒนบุรี (แคนดี) อีก 3 ปีต่อมา สมเด็จพระเจ้าบรมโกศโปรดให้พระสงฆ์ชุดใหม่ไปลังกา เมื่อ พ.ศ.2298 แล้วเปลี่ยนให้พระอุบาลีกลับอยุธยา เพราะอยู่นาน 3 ปีแล้ว พระวิสุทธาจารย์ ไปถึงลังกาทวีปเอาเมื่อพระสงฆ์ที่ไปชุดแรกมรณภาพแล้ว 10 รูป สามเณรตาย 2 องค์ และระหว่างทางที่พระวิสุทธาจารย์เดินทางจากฝั่งลังกาทวีปจะเข้าไป เมืองหลวงกรุงศิริวัฒนบุรี (แคนดี) ซึ่งอยู่ท่ามกลางเกาะ พระอุบาลีก็ป่วยแล้วมรณภาพ พระวิสุทธาจารย์ไม่ทันได้พบและไม่ทันผาศพซ้ำ เพราะไว้พระศพเพียง 2 วัน พระเจ้าแผ่นดินลังกาก็ให้ถวายพระเพลิง ........ฯ อ้างจาก พระอุบาลีกรุงศรีอยุธยา ไปประดิษฐาน สยามวงศ์ แล้วมรณภาพที่ลังกา โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 15:52:57 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ในพระราชพงศาวดารกล่าวถึง พระกมลสันดาน ของ ขุนหลวงบรมโกศ เอาใว้ว่า จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 15:57:01 ]

ความคิดเห็นที่ 42 และยังกล่าวถึง การบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆมากมาย ...... จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 15:59:40 ]

ความคิดเห็นที่ 43 รายละเอียดต่างๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติม ได้จากพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ....... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 16:01:08 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คุณ ฤทธี ผมไม่ได้ต้องการอยากจะสรุปว่า ........ พระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์บ้านพลูหลวงทรงทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมลงให้ได้ว่าอย่างนั้นเถิด !!!!!! ผมแค่ท้วงเจตนาของคุณในกระทู้นี้ เพราะตั้งแต่ต้นกระทู้คุณเอาเรื่อง พระเจ้าเสือไปชกฟอลคอน มาพูด โดยนัยยะชื่นชมว่าปกป้องพระพุทธศาสนา รวมทั้งการรัฐประหารโดยพระเพทราชาและพระเจ้าเสือเป็นการชอบธรรม ผมท้วงเพราะผมไม่เชื่อว่าพระเพทราชาและพระเจ้าเสือเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี และผมไม่เชื่อว่าเจตนาหลักคือการปกป้องพระพุทธศาสนาแต่กระทำไปเพื่อประสงค์ในอำนาจวาสนา เพื่อเมื่อได้อำนาจแล้วก็กระทำย่ำยีต่อประชาชนได้ตามอำเภอใจ ผมไม่อยากให้กลายเป็นว่าเอาเรื่องนี้มาเพื่อรองรับการกระทำอะไรบางอย่าง เพราะก็เห็นๆอยู่ว่าการกระทำของทั้ง 2 พระองค์ในเวลาต่อมาบอกอยู่แล้วว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องที่คุณแย้งมา ก็ไม่มีปัญหา เช่น ที่คุณว่าพระมหาบุรุษ มีพฤติกรรมดังที่ผมกล่าวร้ายว่า ข่มขืนลูกสาวพระนารายณ์เอาเป็นเมีย จริง ก็คงจะไม่ทรงทำ เสน่ห์ ตามที่ปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารกระมัง !!!!! เรื่องนี้นักประวัติศาตร์เขาก็วิเคราะห์กันแล้วว่ามี 2 กรณี ข้อเท็จจริงคือ เจ้าหญิงไม่ยอมเป็นเมียพระเพทราชาง่ายๆอันนี้ไม่มีใครเถียง แต่ผู้รู้ระบุไว้ 2 อย่าง 1. พระเพทราชาใช้กำลังขืนใจพอเสียตัวไปแล้วก็เลยจำยอมเพราะไม่ใครคุ้มครอง พ่อก็สวรรคตแล้ว 2. ใช้ทำเสน่ห์ อย่างที่คุณว่า พอดีผมเป็นพุทธที่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาตร์ ก็เลือกเชื่อตามแบบที่ 1 แต่ข้อจริงๆคือเจ้าหญิงไม่เต็มพระทัยอันนี้เถียงไม่ได้ และพระเพทราชาทรงใช้วิธีไหนก็ตาม ก็ไม่ถูกตามพุทธแท้ทั้งคู่ เรื่องสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พระราชกรณียกิจนั้นหลังจากสังหารหลานขึ้นครองราชแล้ว ซึ่งผมไม่ศรัทธาในตัวพระองค์ตรงข้อนี้ ขอให้เข้าใจด้วย นี่เป็นจุดยืนของผมต่อสังคมพุทธในไทย คือจะไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรงในแง่มุมใดใดก็ตาม ยิ่งเอาข้ออ้างทางประวัติศาตร์ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวงมารองรับยิ่งขอคัดค้าน ผมไม่ยอมรับทรราชย์มาครองเมืองเพื่อแค่สะใจว่าเขาไปชกฝรั่งต่างศาสนากับผมหรอกครับ จากคุณ : mr.cozy - [ 8 มี.ค. 50 17:26:30 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ถึงคุณ mr.cozy คุณจะมีจุดยืนอะไรของคุณ อันนี้ผมบอกตามตรงว่า ผมไม่สนใจ แต่การที่คุณจะเที่ยวมาตีความประวัติศาสตร์ตามใจชอบนั้น ผมเห็นว่าไม่เข้าท่า ผมขี้เกียจที่จะมาอธิบายความในประวัติศาสตร์อย่างละเอียดยืดยาว คุณรู้และเข้าใจได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้นเถิด เอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในประเทศนี้ก็ไม่ถึงกับขาดแคลน ขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณีต่างๆ ก็คงพอหาได้ ถ้าเป็นคนใฝ่รู้ อีกทั้งความเข้าใจในรัฐประศาสนศาสตร์ รัฐศาสตร์ ก็คงจะไม่เกินกำลังในการศึกษา หากว่าต้องการรู้จริงๆ ....... ตามเวรตามกรรมเถิดนะ ผมขี้เกียจจริงๆ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 18:37:12 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เอาข้อเท็จจริงก็ชัดเจน ยกตัวอย่าง พระเจ้าเสือ ชอบมีเพศสำพันธ์กับเด็กยังไม่มีประจำเดือน เด็กทนไม่ไหวก็กระทืบตาย .................. เอ่อ...เอาขวานผ่าอกไม่ใช่เหรอครับ จากคุณ : NgaoMak - [ 8 มี.ค. 50 18:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เรื่องนี้นักประวัติศาตร์เขาก็วิเคราะห์กันแล้วว่ามี 2 กรณี ข้อเท็จจริงคือ เจ้าหญิงไม่ยอมเป็นเมียพระเพทราชาง่ายๆอันนี้ไม่มีใครเถียง แต่ผู้รู้ระบุไว้ 2 อย่าง 1. พระเพทราชาใช้กำลังขืนใจพอเสียตัวไปแล้วก็เลยจำยอม เพราะไม่ใครคุ้มครอง พ่อก็สวรรคตแล้ว 2. ใช้ทำเสน่ห์ อย่างที่คุณว่า พอดีผมเป็นพุทธที่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาตร์ ก็เลือกเชื่อตามแบบที่ 1 แต่ข้อจริงๆคือเจ้าหญิงไม่เต็มพระทัยอันนี้เถียงไม่ได้ และพระเพทราชาทรงใช้วิธีไหนก็ตาม ก็ไม่ถูกตามพุทธแท้ทั้งคู่ ************************************************* ผมขอหลักฐานหน่อยได้หรือไม่ว่า นักประวัติศาสตร์สำนักไหนกันหรือ ที่ตีความอย่างที่คุณระบุมา ??????? ถ้าเป็นนักประวัติศาสตร์จริงดังอ้าง สิ่งแรกที่ต้องคิดก็คือ ....... หลักฐานเอกสารนั้นว่าอย่างไร ? ในเมื่อเอกสาร ระบุว่า กรมหลวงโยธาเทพไม่ยอม ตรัสตัดพ้อต่างๆ แล้วทรงพระแสงดาบพาดพระเพลาอยู่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จกลับ..ฯ หลังจากนี้ จึงทรงพระกรุณาใ้หาหมอทำเสน่ห์ .....ฯ จากข้อความทั้งหมดนี้ มิได้มีเงื่อนงำพอที่จะให้คิดได้เลยว่า มีการข่มขืน และเรื่องแบบนี้ มีแต่การรอมชอมอย่างละมุนละม่อม แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จะไปเที่ยวใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืนอย่างที่คุณว่านั้นไม่ได้ เพราะความปลอดภัย ของพระเจ้าอยู่หัวนั้น ขึ้นอยู่กับเจ้านายฝ่ายในแต่เพียงอย่างเดียว ..... พระไชยราชาสวรรคตด้วยเหตุอะไร คุณมองออกหรือไม่ ??? จนแม้แต่พระศรีสุธรรมราชา เสด็จอาของพระนารายณ์ ตกบัลลังค์ด้วยเหตุใด ฉนั้น ในฐานะนักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ ย่อมที่จะทราบเงื่อนไข ในบริบทต่างๆของพระราชวงศ์เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้จึงควรสรุปได้ว่า ..... 1) ขุนหลวงทรงทำเสน่ห์จริง อันนี้เอกสารยืนยันชัดเจน 2) กรมหลวงโยธาเทพ ยอมรับขุนหลวง ด้วยเหตุจำกัดของสังคมศักดินา ถ้าคุณ(หรือนักประวัติศาสตร์ที่อ้าง)ไม่มีอคติ ย่อมไม่มีเหตุอันสมควรใดๆเลย ที่จะไปกล่าวหาว่า ขุนหลวง ข่มขืนกุลสตรีผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ก่อน !!!! การพูดหรือสรุปดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของความรู้สติปัญญา อีกทั้งยังบ่งบอกได้ว่า เป็นการคิดพิจารณาอย่างคนที่มีอคติ และขาดวิจารณญานที่รอบคอบเพียงพอ ......... อธิบายมาพอสมควรดังนี้แล้ว หวังว่าคุณจะเข้าใจได้ตามสมควร แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็ตัวใครตัวมันเถิดนะ ผมเมื่อยมือแล้ว ........ !!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 19:04:11 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถึงคุณ NgaoMak ความป่าเถื่อนโหดร้าย ของขุนหลวงเสือนั้น ถูกตำหนิติเตียนมาโดยตลอด ไม่มีใครกล่าวว่า นั่นเป็นสิ่งดีงาม แต่นี่ก็ไม่เกี่ยวกับการที่ นายเดื่อไปชกเอาปาก ของอ้ายฟอลคอน ชาวพุทธย่อมเข้าใจดีว่า ไม่มีผู้ใดที่ดีพร้อม หรือดีอยู่ตลอด และก็ไม่มีผู้ใดผิดอยู่ตลอดเวลาและทุกๆเรื่องเช่นกัน !!!!!! จะมีก็แต่พระอรหันต์เท่านั้น ที่จะบริสุทธิ์ดีพร้อม ......... ผมบอกได้เลยว่า ถ้าผมเป็นนายเดื่อ แล้วเห็นว่าอ้ายฟอลคอนสึกพระสึกเณร ผมก็จะไปชกปากมันผู้นั้นเช่นกัน แล้วคุณๆล่ะ ตำหนินายเดื่อกันมามากแล้ว ถ้าคุณเป็นนายเดื่อ คุณจะทำอย่างไร กับเคราะห์กรรมที่พระศาสนาประสบอยู่ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 มี.ค. 50 19:11:39 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ผมก็ยืนยันตามที่ผมบอกนั่นแหละครับ "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" เรื่องอย่างนี้วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตนครับ จากคุณ : Nexus - [ 8 มี.ค. 50 23:13:05 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อ้าว ... กำลังคุยเรื่องประวัติศาสตร์หรือเปล่าเนี่ย ... คุยกะคุณ Cozy ไม่ทันข้ามวัน ... ก็ด่าเช็ดซะแล้ว ออกอาการจอมกักขฬะ ... ซะงั้น ใครไม่เห็นด้วย  ... ก็ด่าเช็ดซะงั้น ใครเห็นด้วย ... ก็ชวนคุยหาเสียงซะงั้น ยังมีบ่นอีกตะหาก  "ขี้เกียจ" ...  "เมื่อย"   เดี๋ยวอีกสักพักก็จะ "รำคาญญญญญญญ " เห็นเถียงกับคุณพรหมยาน  คุณ Tuenum ข้ามเดือนข้ามปี ยังไม่เคยออกอาการเลยนะนั่น ........ บอกกี่ครั้งแล้วว่า ... " ตัดแปะ ไม่ใช่ภูมิรู้ " พอแสดงความคิดออกมาเมื่อไหร่  ก็ถึงจะรู้ว่าคิดอะไรอยู่ การ HighLight ก็แสดงถึงประเด็นที่จะสื่อ แต่ก็รวมไปถึง "เจตนาแท้" ของประเด็นด้วย ถ้าเจตนาแท้มันดูแปลก ๆ  ... ก็ทักท้วงกันไป  ติเตือนกันไป ประวัติศาสตร์ ... มีมุมให้มองหลากหลาย เห็นเหมือนหรือเห็นต่าง  ... ก็ค่อย ๆ คุยกันไปคนละมุม เอาหลาย ๆ มุมมาต่อกัน ... ก็จะเห็นภาพรวมในมุมกว้าง แล้วก็สรุปแบ่งกันดูให้เห็นภาพรวม  ยอมรับกันและกันจากทุกฝ่าย นั่นแหละคือการศึกษาประวัติศาสตร์ .... เชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่มาด่าอีกฝ่ายหนึ่ง  เพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับว่า "กรูรู้จริงโว้ยยยยย" ก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะเรื่อง "พม่าเผา" ... อ่านประวัติศาสตร์แล้วตีความเพี๊ยน ๆ แบบนี้นี่เอง ----------------------------------------------------------------------- "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสทรงทราบเหตุดังนั้น ก็มิได้เอาโทษแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ และมิได้ตรัสเป็นประการใด" ประโยคนี้แปลเป็นภาษาไทยว่ายังไงดีนะ ... (ทำไมไม่ HighLight ก็ไม่รู้) ฤทธีดันไปชื่นชมคนที่ทำให้เป็นที่เคืองพระทัยพระเจ้าอยู่หัว ... ซึ่งคนนั้นยังหลอกใช้พระนมผู้ใหญ่ของสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวซะด้วย ไอ้คนแบบนี้ในยุคนี้ ... มันไม่มีแผ่นดินจะอยู่หลายคนแล้วนะนั่น ฤทธีกำลังศึกษาประวัติศาสตร์  เพื่อปกป้องใครเหรอ ?? แล้วตกลงนี่กำลังคุยเรื่องประวัติศาสตร์ หรือ เรื่องศาสนา เอายังไงกันแน่ล่ะเนี่ย ...... ----------------------------------------------------------------------- จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 8 มี.ค. 50 23:40:40 ]

ความคิดเห็นที่ 51 "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสทรงทราบเหตุดังนั้น ก็มิได้เอาโทษแก่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ และมิได้ตรัสเป็นประการใด" ประโยคนี้แปลเป็นภาษาไทยว่ายังไงดีนะ ... (ทำไมไม่ HighLight ก็ไม่รู้) จากคุณ : ฟ้าคำนวณ ************************************************* ก็เพราะคนโง่อวดฉลาด อย่างฟ้าคำนวน มันมีอยู่มาก ผมจึงว่า น่ารำคาญ ก่อนที่ฟ้าคำนวนจะแสดงความคิดเห็นออกมานั้น ผมถามจริงๆเถอะ คุณได้เคยเปิดอ่านพระราชพงศาวดารกรุงเก่า บ้างหรือไม่ ผมเดาเอาว่าไม่เคยเลย !!!!! แต่ก็คนสันดานแบบนี้นี่เองที่อวดฉลาดสู่รู้ต่างๆนาๆ วิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยเปื่อย ทั้งๆที่ตนเองนั้น มิได้มีข้อมูลสิ่งใดอยู่เลย !!!!!! เมื่อผมแสดงความคิดเห็น คุณก็พูดในทำนองว่า เป็นความเห็นส่วนตัวที่แฝงอคติ แต่เมื่อผมโพสต์หลักฐานปฐมภูมิ คุณก็เสียดสีว่าตัดแปะ (??????) ตกลงว่า ฟ้าคำนวนต้องการอะไรจากกระทู้ของผมหรือ ???? ที่กระทู้นาลันทา ฟ้าคำนวนยังโชว์โง่ไม่พออีกหรือ ? ใจคอจะโชว์มันทุกกระทู้เลยหรืออย่างไร ? กับข้อความที่อ้างถึงนั้น ถ้าฟ้าคำนวนสงสัย แล้วทำไมจึงไม่ไปดูพงศาวดารล่ะ ก็ไหนเคยพูดใว้ใน คห.7 ว่า ......... ประเด็นนี้แสดงให้เห็นถึงว่าพระองค์ทรงมีพระขันติธรรมสูงมาก ทรงแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาทั้งทางด้านการปกครอง และการเข้าถึงหลักพุทธธรรมอย่างแท้จริง แต่นี่จะไม่ใช่ประเด็นปัญหาเลย ถ้าคุณฟ้าคำนวนจะมีความรู้ความเข้าใจ ในพงศาวดารอีกสักเพียงเล็กน้อย ถ้าคุณได้มีโอกาสตรวจดูพงศาวดาร คุณก็จะทราบว่า หลังจากนี้ พระเจ้าอยู่หัวทรงดำริถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร ????? กล่าวโดยสรุปก็คือ ก็ฟ้าคำนวนรู้น้อยเอง ซึ่งเมื่อตนเป็นคนรู้น้อยดังนี้ แทนที่จะอาศัยไต่ถามเอากับผู้รู้ แต่กลับแสดงอาการจองหองพองขน อวดเก่งอวดวิเศษ เที่ยวมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างคนเขลาขาดสติ !!!!!! กับคนสันดานอย่างนี้ ฟ้าคำนวนยังคิดว่า ไม่น่ารำคาญอีกหรือ ????? เอาหลักฐานมาให้ดูแล้ว ก็เบิ่งตาดูเสียให้ดีด้วยล่ะ !!!!! จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 มี.ค. 50 01:43:59 ]

ความคิดเห็นที่ 52 แหม ......... บ่นว่า พิมพ์หนังสือจนเมื่อยมือก็ไม่ได้ !!!!!!! แล้วยังมีข้อสงสัยอะไรกันอีกหรือไม่ ??????? ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 มี.ค. 50 01:59:06 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ผมบอกได้เลยว่า ถ้าผมเป็นนายเดื่อ แล้วเห็นว่าอ้ายฟอลคอนสึกพระสึกเณร ผมก็จะไปชกปากมันผู้นั้นเช่นกัน แล้วคุณๆล่ะ ตำหนินายเดื่อกันมามากแล้ว ถ้าคุณเป็นนายเดื่อ คุณจะทำอย่างไร กับเคราะห์กรรมที่พระศาสนาประสบอยู่ ฤทธี ------------------------------------------------------------ อย่าลืมไปต่อยปาก ชาวกรีก ที่มันบังอาจสร้างรูปจำลองพระพุทธเจ้า ขึ้นมาด้วยนะครับ ทำให้วัตรฮินดูเข้าแทรก  .....  กล้าดีทำรูปจำลองแทนองค์แบบพวกนอกรีตถือเทพเจ้า ชาวกรีกนั่นมันบังอาจกล้าดีทำเกินที่พระพุทธเจ้าสอนครับ... จนพุทธเสื่อมลงจากอินเดีย เพราะคนแยกวัตรพุทธ กับฮินดูไม่ออก จากคุณ : ดีกว่าชีวิต - [ 9 มี.ค. 50 10:42:27 ]

ความคิดเห็นที่ 54 สวัสดียามเช้าคุณ ฤทธี ที่คุณสงสัยในเรื่องพระเพทราชากับพระธิดาพระนารายณ์ว่า ขอหลักฐานหน่อยได้หรือไม่ว่า นักประวัติศาสตร์สำนักไหนกันหรือ ที่ตีความอย่างที่ผมระบุมา ??????? ที่แน่ๆก็มี 2 ท่าน คือ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ (การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์) และ นพ.วิบูล วิจิตรวาทการ (หนังสือราชวงศ์บ้านพลูหลวง) -แตผมก็บอกก่อนนะว่าคุณจะเชื่อแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าผิด ผมแค่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาตร์ และจะเป็นในทางไหนก็ตาม ก็เป็นเรื่องไม่ควรทำทั้งคู่ ผู้หญิงเขาไม่ยอมก็อย่าไปบังคับเขาสิครับ คือถ้ากระทู้นี้ไปอยู่ในห้องสมุดผมคงเฉยๆแต่คุณเอามาใส่ในห้องศาสนา และนัยยะที่คุณเสนอมันน่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะที่คุณบอกว่า ผมบอกได้เลยว่า ถ้าผมเป็นนายเดื่อ แล้วเห็นว่าอ้ายฟอลคอนสึกพระสึกเณร ผมก็จะไปชกปากมันผู้นั้นเช่นกัน แล้วคุณๆล่ะ ตำหนินายเดื่อกันมามากแล้ว ถ้าคุณเป็นนายเดื่อ คุณจะทำอย่างไร กับเคราะห์กรรมที่พระศาสนาประสบอยู่ มันเป็นการใช้ความรุนแรงตอบแทนกันอย่างชัดเจน ประเด็นอยู่ที่ว่า นายเดื่อไม่ได้ทำเพราะปกป้องพระศาสนาแต่ทำเพื่อหาเสียงจากประชาชน (เพราะการกระทำต่อๆมาก็เห็นแล้วว่าไม่ใช่พุทธศาสนิกชนที่ดีสักนิด) เป็นการปลุกระดมมวลชน สร้างกระแสคลั่งศาสนาเพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง ทางแก้มีมากมายกว่าวิ่งไปชกกันแน่นอน อาจจะไปกราบทูลซ้ำอีก หรือเข้าไปดูแลประชาชนให้ใกล้ชิดกว่าเดิม กระทั้งไปสืบดูสาเหตุที่สึก (อยู่ดีๆสึกไม่ได้นะครับ เขาให้ค่าแรงดีหรือจึงสึกมาทำราชการด้วย-ถ้าบังคับสึกก็ฟ้องร้องได้ ตรงประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ชัดเจน ) อย่าลืมประวัติศาตร์ตอนนี้สอนว่าเราไปสนับสนุนใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ผลก็คืออยุธยาก็ได้ความรุนแรงมาปกครองเหมือนกัน ขอยืนยันอีกครั้งว่าพระเจ้าแผ่นดินในราชวงศ์บ้านพลูหลวงทุกพระองค์ยกเว้นขุนหลวงหาวัดมีความไม่น่านับถือทั้งสิ้น ปล.คุณ NgaoMak พระเจ้าเสือใช้พระบาทกระทืบหน้าอกจนตายครับ ไม่ใช้ขวาน จากคุณ : mr.cozy - [ 9 มี.ค. 50 11:04:40 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อย่าลืมไปต่อยปาก ชาวกรีก ที่มันบังอาจสร้างรูปจำลองพระพุทธเจ้า ขึ้นมาด้วยนะครับ ทำให้วัตรฮินดูเข้าแทรก  .....  กล้าดีทำรูปจำลองแทนองค์แบบพวกนอกรีตถือเทพเจ้า ชาวกรีกนั่นมันบังอาจกล้าดีทำเกินที่พระพุทธเจ้าสอนครับ... จนพุทธเสื่อมลงจากอินเดีย เพราะคนแยกวัตรพุทธ กับฮินดูไม่ออก จากคุณ : ดีกว่าชีวิต ************************************************* ชาวกรีกที่สร้างพระพุทธรูปเป็นครั้งแรกนั้น คือ พญามิลินท์ ซึ่งท่านเป็น พุทธมามกะ หาใช่อัญญดิรถีร์อย่างคุณไม่ !!!!!!!! ฉนั้นอย่ามาสะเออะพูดจาเลอะเทอะซ้ำซากอยู่เลย ...... คนที่ไม่สามารถแยก พุทธกับฮินดูได้นั้น ก็คือคุณต่างหาก และก็เพราะแยกไม่ออก ทุกวันนี้ จึงต้องไปยอมศิโรราบให้กับพระเจ้าฝรั่ง คนที่สติปัญญามืดบอด หมดบุญหมดวาสนากับพระพุทธศาสนา เพียงเพราะไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างคุณ ยังจะมีหน้ามาพูดอะไรได้อีก คุณเป็นคริสต์ ที่ไม่รู้เรื่องคริสตธรรมเท่าใดนัก หนำซ้ำก็รู้พุทธแบบงูๆปลาๆ ถ้าคิดว่าดีจริง แน่จริง อย่างนั้นคุณกับผม มาถกปรมัตถธรรมกันดีหรือไม่? คุณพูดด้วยคริสตธรรมของคุณโดยอ้างพันธสัญญา ผมจะโต้คุณด้วยพุทธธรรมโดยอ้างพระบาลี โดยแต่ละฝ่ายเมื่อพูดสิ่งใดออกมา ก็ต้องอ้างอิงที่มาจากพระคัมถีร์ทุกครั้ง ฝ่ายพุทธก็จะเป็นการยืนยันว่า เป็นพุทธพจน์ สาวกพจน์ มิได้โมเมพูดเอาเอง ฝ่ายคริสต์ก็จะเป็นการยืนยันว่า อ้างอิงมาจากพระวัจจนะของพระเจ้า ..... ใครจนด้วยเหตุผลและหลักฐานก่อน ให้ถือว่าแพ้ไป เมื่อฝ่ายใดแพ้ ก็ให้ลบล็อกอินของตนเองไป และไม่ต้องกลับเข้ามาอีก คุณจะรับคำท้านี้หรือไม่ ?????? ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 มี.ค. 50 11:11:41 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ผมก็ไม่เคยว่า มิเลนเดอร์ ไม่ใช่พุทธที่ครับ  ตอนไหน ผมยังรู้เลยว่ามิเลนเดอร์ สนธนาธรรมกับ พระนาคเสน แต่มิเลนเดอร์เคยฉุกคิดบ้างไหมว่า ทำไม ก่อนหน้านั้นพุทธบริษัท ไม่มีใครกล้าดี ทำรูปจำลองของพระพุทธเจ้า ...  คุณหาหลักฐานมาเลยว่า ก่อนหน้านั้น ก่อนอโศกมหาราช  ใครกล้าทำ ดังนั้น  มิเลนเดอร์  ทำเกินไปครับ ....  แต่ว่าเขาตั้งใจดีก็ได้ แล้ว พุทธตันตระ ที่ทำไป เขาก็คงตั้งใจ แต่ทำผิดปาง แล้วคุณจะว่า พระธรรมกาย ตีความเอง เกินไป ว่าผิดได้ไง ดังนั้น หากคุณหามาได้ว่า ก่อนหน้านั้น มีการกล้าทำพระพุทธรูปจำลอง... ก็หามาสิครับ  แล้วมาว่าผม  เพราะก่อนหน้านั้น มีการทำรูปพระเทพ ของพวกนอกรีตดาษดื่น พุทธบริษัท จึงไม่มีใครหาญกล้าทำ จากคุณ : ดีกว่าชีวิต - [ 9 มี.ค. 50 11:47:32 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ค.ห.54 ลองไปอ่านในหนังสือ"สตรีไทยในอตีตสิครับ(จำชื่อหนังสือไม่ได้ เล่มแดง ๆ อะ)บอกเอาไว้ครับ" หญิงคนไหนทนไม่ได้ ให้เขาขวานผ่าอกซะ ถ้าทนได้ ก็ได้เป็นมเหสีครับ แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 50 11:51:39 จากคุณ : NgaoMak - [ 9 มี.ค. 50 11:50:46 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ถึงคุณ mr.cozy บังเอิญเหลือเกินที่บุคคลที่คุณอ้างถึงนั้น ผมมีเอกสารของเขาอยู่มากพอสมควร รวมถึงที่คุณอ้างมานี่ด้วย ผมยังไม่เห็นว่า บุคคลทั้งสองจะกล่าวร้ายขุนหลวง อย่างที่คุณอ้างมาเลย พูดผิดก็พูดเสียอีกครั้งก็ได้ ผมให้โอกาสแก้ตัว .... ความคิดเห็นของคุณน่ะ พูดก็พูดได้อยู่ แต่มันจะเป็นจริงไม่ได้เลย และไม่สามารถปฏิบัติได้เลยในสังคมโบราณ ........ คุณพูดอย่างคนที่ไม่เข้าใจบริบททางสังคมในสมัยกาลของประวัติศาสตร์ ฉนั้น การพูดหรืออธิบายให้เกิดความเข้าใจ จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใน กระทู้นี้เพียงกระทู้เดียว ...... คุณลองเบิ่งตาดูให้ชัดสิ !!!!!!! ในกระทู้นี้ มีใครบ้างที่พูดโดยอ้างอิงเอกสารหลักฐานอย่างชัดเจนบ้าง ???? แต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่พูดโดยใช้ ความรู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นหลักทั้งนั้น หนำซ้ำยังเป็นการพูดเอาเอง โดยมิได้มีพยานหลักฐานใดรองรับอยู่เลย การกระทำอย่างนี้ ควรนับได้หรือว่าเป็นการพูดด้วยเหตุผล กรณีของพระมหาบุรุษนั้น คุณก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี !!!!!! สิ่งที่ผมอธิบายให้คุณฟังก็คือ จากเอกสารเราต้องยอมรับก่อนว่า ระบุเอาใว้ชัดเจนว่าขุนหลวงทำเสน่ห์ เพียงแค่นี้เราก็สรุปได้แล้วว่า การที่คุณไปกล่าวหาว่าท่านกระทำการข่มขืนนั้น ก็ย่อมไม่จริง และการที่คุณเชื่อว่า การทำเสน่ห์จะไม่เกิดผลใดๆได้เลยตามที่พงศาวดารอ้าง อย่างนี้ก็นับว่าคิดถูกต้องแล้วนี่ ฉนั้นสิ่งที่เราจะต้องคิดต่อไปว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ กรมหลวงโยธาเทพ ยอมรับขุนหลวง ตรงนี้ผมก็อธิบายเอาใว้แล้วว่า นี่มันเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งทางชนชั้นของ สมัยศักดินา คุณควรจะทราบเอาใว้ด้วยว่า ไม่มีเจ้านายศักดินาคนไหนหรอก ที่อยากจะถูกถอดลงไปเป็นไพร่ เพราะเจ้ากับไพร่นั้น สถานะแตกต่างกันมาก ฉนั้น สิ่งที่เจ้าหญิงจะต้องเลือกก็คือ อยากจะอยู่สุขสบายเป็นมเหสีของขุนหลวง หรือว่าจะยอมถูกถอดลงไปเป็นไพร่ สุดท้ายแล้ว คุณก็ทราบดีว่า เจ้าหญิง เลือกอะไร ??????? อุปมาเหมือนกับ คุณไปซื้อคฤหาสถ์หลังหนึ่งมา แล้วคุณก็บอกเงื่อนไข กับคนที่อาศัยอยู่เดิมว่า สามารถอยู่ต่อได้แต่ก็ต้องในฐานะภรรยาเจ้าของบ้าน ซึ่งก็คือคุณเท่านั้น นั่นก็แปลว่า บุคคลผู้นั้น มีทางเลือกอยู่สองทาง คือ 1)ยอมเป็นเมียของคุณซะ เพื่อที่จะได้เสวยสุขอยู่ในคฤหาสถ์ต่อไป หรือ 2)ยอมออกไปอดตายอยู่ข้างนอก !!!!! แต่คุณคงจะไม่บอกผมว่า คุณจะรับเลี้ยงดู ผู้อาศัยอยู่เดิมเหล่านี้เปล่าๆปลี้ๆ หรอกนะ ???? อีกประเด็นที่ผมอธิบายก็คือว่า การข่มขืนเจ้านายฝ่ายใน จะไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะนั่นจะหมายถึง อันตรายของขุนหลวงเอง !!!!!! ผมยกตัวอย่างของพระไชยราชาขึ้นมา ก็น่าจะทำให้คุรเกิดความเข้าใจได้นี่ คุณก็ลองศึกษารายละเอียดของประวัติศาสตร์ช่วงนั้นดูเถิดว่า ขุนหลวงตาย เพราะเจ้านายฝ่ายในไปกี่พระองค์ ????? สรุปให้ง่ายก็คือ ขุนหลวงทำเสน่ห์จริง แต่ที่กรมหลวงโยธาเทพ ยอมรับขุนหลวง เกิดจากข้อจำกัดทางสังคมชนชั้น มิได้เกิดจาก การทำเสน่ห์ และย่อมไม่เหตุอันใดเลยที่จะกล่าวว่า ขุนหลวงข่มขืนกรมหลวงโยธาเทพ !! ในประเด็นของนายเดื่อนั้น ผมเห็นว่า สิ่งที่พวกคุณหลายๆคนพูดกันอยู่นั้น เป็นเรื่องที่น่าขำ และต้องขอโทษที่จะบอกว่า เป็นการพูดอย่างดัดจริต !!!! สิ่งที่เราพูดกันอยู่นี้ เป็นเรื่องของปุถุชน แต่พวกคุณพูดจนเหมือนกับว่า จะให้พุทธศาสนิกชนทุกคนต้องเป็นอริยบุคคล ไปเสียหมด !!!!! เข้าใจไหมว่านี่เป็นการพูดในฐานะปุถุชน ที่เห็นความเดือดร้อนเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา ...... ฉนั้น เมื่อเป็นปุถุชน ก็ควรจะพูดในฐานะที่เป็นปุถุชนเถิด อย่าได้ดัดจริตกันนักเลย ..... กระทู้นี้ เป็นเพียงแต่บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ส่วนใครที่อ่านแล้วจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด นั่นก็แล้วแต่วิจารณญานของแต่ละบุคคล ส่วนตัวผมนั้น เป็นปุถุชน ผมก็พูดอย่างชาวบ้านที่เจ็บแค้นแทนพระศาสนาว่า ถ้าผมเป็นนายเดื่อ ผมก็จะชกปากมันสักที ส่วนอะไรๆที่คุณพูดมานั่นน่ะ มันทำไม่ได้จริงหรอกคุณเอ๋ย ........ ไปเซ้าซี้กับขุนหลวงมากๆ คอหลุดไม่รู้ตัวนะ ที่คุณพูดถึงน่ะ คือขุนหลวง มิใช่เด็กอนุบาล ที่จะไปฟ้องคุณครูอยู่ได้เรื่อยๆทุกเมื่อเชื่อวัน ...... จะพูดอะไร ผมก็ขอว่า ให้อ้างอิงเอกสารหลักฐาน และก็พูดโดยอยู่ในโลก แห่งความเป็นจริงกันบ้าง คือพูดในสิ่งที่เป็นไปได้จริง ไม่ใช่เป็นแค่วาจาหรูหรา แต่หาสาระแห่งความจริงในโลกไม่ได้เอาเสียเลย !!!!! พูดจามายืดยาวขนาดนี้ ก็หวังว่า คงจะเข้าใจอะไรๆได้พอสมควร ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 มี.ค. 50 12:12:52 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ถึงคุณ ดีกว่าชีวิต 1) การสร้างพระพุทธรูป เป็นเรื่องของธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมทางสังคม ไม่ใช่เรื่องของปรัชญาศาสนา 2) การสร้างพระพุทธรูปก็คือ อุทเทสิกเจดีย์ พระพุทธเจ้ามิได้ห้าม ไม่ผิดธรรม ไม่ผิดวินัย คุณเป็นใครจึงพยายามพูดเกินพระพุทธเจ้า 3) ในฐานะที่คุณเป็นคริสตศาสนิกชน คุณกล้ารับคำท้าหรือไม่ ? ถ้าไม่กล้า ก็ไปให้พ้นๆหน้าผมเดี๋ยวนี้ อย่ามาสะเออะ บิดเบือนใส่ร้ายศาสนาพุทธอีก เพราะเมื่ออธิบายแล้ว ก็ยังไม่ยอมฟัง แต่ยังดื้อรั้นที่จะบิดเบือนพุทธด้วยความคิดเห็นของตัวเองอยู่อย่างนี้ ผมคงจะต้องแจ้งให้เว็บมาสเตอร์เอาใจใส่ดูแลคุณให้มากขึ้นสักหน่อย ...... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 มี.ค. 50 12:24:09 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เข้ามาช่วยยืนยัน การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์ ของ อ.นิธิ ไม่มีประโยคใดอย่างที่ #54 อ้าง คำถามส่วนตัว ผ่านพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องแล้วเรียกว่า ข่มขืนได้เหรอ? จากคุณ : analog modem - [ 9 มี.ค. 50 12:40:20 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ขออนุญาตตอบคุณ analog modem โดยทั่วไปแล้ว ..ได้ค่ะ.. กรณีที่ถูกบังคับแต่ง ประมาณว่านิตินัยกับพฤตินัย   และตราบใดที่ไม่มีการยินยอมพร้อมใจ ก็น่าจะเรียกว่าเป็นการข่มขืนเหมือนกันน่ะค่ะ     [ความเห็นส่วนตัว] จากคุณ : /kd (@mantras) - [ 9 มี.ค. 50 14:48:14 ]

ความคิดเห็นที่ 62 บังเอิญเหลือเกินที่บุคคลที่คุณอ้างถึงนั้น ผมมีเอกสารของเขาอยู่มากพอสมควร รวมถึงที่คุณอ้างมานี่ด้วย ผมยังไม่เห็นว่า บุคคลทั้งสองจะกล่าวร้ายขุนหลวง อย่างที่คุณอ้างมาเลย พูดผิดก็พูดเสียอีกครั้งก็ได้ ผมให้โอกาสแก้ตัว ....        ก็มันมีนะคุณ ลองไปอ่านดูดีๆเถอะ หนังสือเรื่อง ราชวงศ์บ้านพลูหลวงของ นพ. วิบูล น่ะลองไปอ่านดู ผู้เขียนระบุไว้ด้วยซ้ำว่าเชื่อเหมือนผมว่าน่าจะเป็นการใช้กำลังบังคับเป็นเมีย (อันนี้เพิ่งเปิดดูมีแน่ๆ) ส่วนคุณ  analog modem ผมอาจจำชื่อหนังสือผิดไปก้ได้(เพราะหนังสือเล่มนี้ผมหายไปแล้ว) แต่ขอตอบรวมกันในเรื่อง ผ่านพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องแล้วเรียกว่า ข่มขืนได้เหรอ? กับ 1)ยอมเป็นเมียของคุณซะ เพื่อที่จะได้เสวยสุขอยู่ในคฤหาสถ์ต่อไป หรือ 2)ยอมออกไปอดตายอยู่ข้างนอก !!!!! แต่คุณคงจะไม่บอกผมว่า คุณจะรับเลี้ยงดู ผู้อาศัยอยู่เดิมเหล่านี้เปล่าๆปลี้ๆ หรอกนะ ???? ตอบง่ายๆคือประเด็นว่าเจ้าเต็มพระทัยหรือไม่ ถ้าผู้หญิงเขาไม่เต็มใจ จัดพิธีอะไรก็ไม่น่านับถือครับ และถ้าเขาไม่เอาด้วย ทำไมจะเลี้ยงดูเขาเฉยๆไม่ได้ล่ะครับถ้ามีจิตใจเมตตา กรุณา จริงๆ ก็เลี้ยงไว้ในฐานะของราชธิดาของพระเจ้าอยู่หัวในบรมโกศก็ย่อมได้มิใช่หรือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เลี้ยงคนไว้สัก 20 คนไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคงไม่วิวาทะอะไรต่อละนะ เอาเป็นว่าคงเห็นแนวคิดการปกป้องศาสนา และทัศนคติทางสังคมในเรื่องเพศและการปกครอง ของคุณและผมกันพอสมควรแล้ว คราวหน้าคงได้สนทนากันอีก จากคุณ : mr.cozy - [ 9 มี.ค. 50 14:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ตอบง่ายๆคือประเด็นว่าเจ้าเต็มพระทัยหรือไม่ ถ้าผู้หญิงเขาไม่เต็มใจ จัดพิธีอะไรก็ไม่น่านับถือครับ และถ้าเขาไม่เอาด้วย ทำไมจะเลี้ยงดูเขาเฉยๆไม่ได้ล่ะครับถ้ามีจิตใจเมตตา กรุณา จริงๆ ก็เลี้ยงไว้ในฐานะของราชธิดาของพระเจ้าอยู่หัวในบรมโกศก็ย่อมได้มิใช่หรือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เลี้ยงคนไว้สัก 20 คนไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคงไม่วิวาทะอะไรต่อละนะ เอาเป็นว่าคงเห็นแนวคิดการปกป้องศาสนา และทัศนคติทางสังคมในเรื่องเพศและการปกครอง ของคุณและผมกันพอสมควรแล้ว คราวหน้าคงได้สนทนากันอีก จากคุณ : mr.cozy ************************************************ 1) คนที่ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง อย่างนี้เรียกว่าอคติหรือเปล่า !!!!! การที่พระมหาบุรุษต้องแต่งตั้งเจ้านายในราชวงศ์ก่อนขึ้นเป็นพระมเหสีนั้น มันเป็นเหตุผลทางการเมือง คือเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ใหม่ และเพื่อความปลอดภัยของขุนหลวงเอง ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเน้นว่า มีแต่การประนีประนอม ไม่มีการข่มขืนดังที่คุณว่ามาหรอก การพูดอย่างนั้นเป็นการพูดเลอะเทอะ !!!!!! ฉนั้น นี่จึงเป็นการสมยอมประนีประนอมของทั้งสองฝ่ายเพื่อสานประโยชน์ ซึ่งกันและกัน และผลสุดท้าย พระมหาบุรุษก็มีพระโอรสกับกรมหลวงโยธาทิพ คือเจ้าพระขวัญ ซึ่งต่อมา เจ้าพระขวัญนี่เองที่มีอิทธพลสามารถทำให้นายเดื่อ หวาดหวั่นใจในความมั่นคงทางการเมืองของตนเป็นอย่างมาก ........ 2) คุณกล่าวว่า จะให้เลี้ยงไว้ในฐานะของราชธิดาของ พระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ ก็แล้วถ้าทำแบบนี้จะเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ กับราชวงศ์เก่าได้อย่างไร ? บอกตามตรงว่า คุณพูดจาเหมือนเด็กๆ นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้น และสภาพสังคมมันก็เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่า เราคิดว่าอย่างไร แต่มันต้องหมายถึงเราเข้าใจว่าอย่างไรต่างหาก !!!!! คุณกำลังพิจารณาสังคมในอดีต ด้วยมาตรฐานของปัจจุบัน แล้วคุณก็บอกว่า ทำอย่างนั้นไม่ถูก ทำอย่างนี้ไม่ดี ......... เฮ้ออออ ผมอยากจะเตือนคุณว่า เราคิดอย่างนั้นไม่ได้ สังคมสมัยอยุธยาก็แบบหนึ่ง สมัยรัตนโกสินทร์ก็แบบหนึ่ง สมัยประชาธิปไตยนี่ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง คุณจะเอากรอบมาตรฐานในปัจจุบันไปวัดสังคมในอดีตแล้วตัดสินออกมา อย่างนี้ทำไม่ได้ คุณจะต้องตัดสินอดีต ด้วยมาตรฐานของสังคมในอดีต ตรงช่วงสมัยนั้นๆ มิฉนั้น การพินิจพิเคราะห์ของคุณ มันก็จะบิดเบี้ยวไขว้เขวไปเสียทั้งหมด ซึ่งก็จะเท่ากับคุณไม่ได้อะไรเลยจากการศึกษาประวัติศาสตร์ ผมขออธิบายให้คุณฟังอย่างนี้ ถ้อยคำอาจจะดุเดือดรุนแรงบ้าง ก็หวังว่า คุณคงจะใจกว้างพอที่จะไม่ถือสาหาความ ...... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 มี.ค. 50 16:48:17 ]

ความคิดเห็นที่ 64 มีประโยชน์มาก ๆ จากคุณ : tommyguy1112 - [ 9 มี.ค. 50 22:41:22 ]

ความคิดเห็นที่ 65 สาระเพียบ!! จากคุณ : tommyguy1112 - [ 9 มี.ค. 50 22:41:50 ]

ความคิดเห็นที่ 66 " ... แล้วทำไมจึงไม่ไปดูพงศาวดารล่ะ ... " กับประโยคนี้ ... " คุณลองเบิ่งตาดูให้ชัดสิ !!!!!!! ในกระทู้นี้ มีใครบ้างที่พูดโดยอ้างอิงเอกสารหลักฐานอย่างชัดเจนบ้าง ???? " อุเหม่ ......  กร่างซะเหลือเกิน +++++ ฤทธีออกแนวสับสนในตรรกะอีกแล้วนะเนี่ย ?? กระทู้นี้นี่นะหรือ  คือ"ความเข้าใจ" จากการศึกษาประวัติศาสตร์ ... ใช่ไหม ?? คงจะเป็นแนวการศึกษาประวัติศาสตร์แบบใหม่หรือไงเนี่ย ??? ---------------------------------------------------------------------- ลองแหกตาดูสิว่า ... นี่มันห้องอะไร ????????? ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระเพทราชา  พระเจ้าเสือ คงจะมีให้อ่านตามบ้านล่ะมั๊ง .....  ถึงได้เรียกร้องหลักฐานซะเหลือเกิน สมัยนี้หาอ่านจากเวบไซด์ไม่ได้หรือไง .... หรือจะบอกว่าเป็น "ข้อมูลเชิงลึก"  ในเวบไซด์หาไม่ได้ ??? อยากคุยเรื่องประวัติศาสตร์แบบถึงลูกถึงคน ก็ควรใช้สมองให้ครบถ้วน  เพื่อจะได้เปิดกระทู้ให้ถูกสถานที่ ?? หรือว่าโลกภายนอกห้องศาสนา  ไม่มีใครรู้จัก ... ฤทธี เจนเสี้ยม จึงเลือกมาเปิดกระทู้ประวัติศาสตร์ในห้องศาสนา ???? ---------------------------------------------------------------------- อ้างถึงความเห็น 7 ... แล้วมันยังไงเหรอ  ??? อ่านความเห็นนั้นแล้ว ... ฤทธีคิดว่านั่นเป็นการกลั่นกรอง จากการศึกษาประวัติศาสตร์มาอย่างถ้วนถี่อย่างนั้นเหรอ อ่านภาษาไทยไม่เข้าใจหรือว่า  ... " อะไรทำนองนั้น " คำนี้มันบ่งบอกถึงความชัดเจนแจ่มแจ้งหรือไง ???????? แล้วนึกยังไงไปเอามาเป็น " ประเด็นปัญหา " ซะได้ ... ---------------------------------------------------------------------- ระหว่าง 1.)  ฝรั่งที่พระนารายณ์ทรงชื่นชมอย่างมากเป็นพิเศษ กับ 2.) คนไทยที่รับใช้ใต้เบื้องพระยุคคลบาท  แต่ไปรวมหัวกับทรราชย์ยึดประเทศ สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์  จากนั้นก็เนรคุณทรราชย์อีกทอดหนึ่ง  ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ฤทธี เจนเสี้ยม  เชิดชูพวกทรราชย์อย่างออกนอกหน้า เพียงเพราะมีหนังสืออยู่ในมือ .... กระนั้นหรือ ???  ( กี่เล่มละเนี่ย ) ขอย้อนนิดนึง .... ที่คุณ Cozy พูดถึงต้นกำเนิดราชวงศ์บ้านพลูหลวง   เขาหมายถึงพระเพทราชา กับ หลวงสรศักดิ์  เท่านั้นมิใช่หรือ (ในกระทู้นี้) ไฉนเลย .. ฤทธี  เจนเสี้ยม ... ถึงได้ออกไปไกลถึงพระบรมโกศ ซะงั้น ---------------------------------------------------------------------- เอ ... แต่ก็ไม่รู้ว่าฝรั่งคนนั้นมันเลวยังไงนะ   ฤทธีถึงอยากจะชกซะเหลือเกินนนนนน แต่ในเมืองไทยจะมีป้อมสักกี่ป้อม  ที่พระมหากษัตริย์ถึงกับใช้ชื่อฝรั่งให้เป็นชื่อป้อม และในสมัยพระเจ้าตากสิน  ก็ยังเห็นว่าป้อมนี้มีความสำคัญอีกด้วย   ถึงกับโปรดให้สร้างพระราชวัง(เดิม) ไว้ใกล้ ๆ ป้อมนี้   ... มันน่าถูกชกมากเลยหรือไงนะ ?????  ( ฤทธีคิดออกได้ไงเนี่ย ) ---------------------------------------------------------------------- "ป้อมวิไชยเยนทร์ " หรือ "ป้อมบางกอก" สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  โดยเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ กราบบังคมทูลแนะนำให้สร้างขึ้น  พร้อมป้อมทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี  ได้ทรงสร้างพระราชวังในบริเวณป้อมแห่งนี้ พร้อมกับปรับปรุงป้อม  และพระราชทานนามใหม่ว่า "ป้อมวิไชยประสิทธิ์" ปัจจุบันป้อมวิไชยประสิทธิ์  ใช้เป็นที่ยิงสลุตในพิธีสำคัญต่าง ๆ และติดตั้งเสาธง  เพื่อประดับธงราชนาวีและธงผู้บัญชาการทหารเรือ ----------------------------------------------------------------------------- ช่วยไปเปิดพงศาวดารในมือหน่อยสิ ... ว่าเขาเขียนถึงป้อมนี้ยังไงบ้าง ? เผื่อว่าจะเป็นวิทยาทานนนนนนนนนนนนนนน ... สำหรับปุถุชนคนธรรมดา  ที่ไม่มีพงศาวดาร"ติดบ้าน" จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 9 มี.ค. 50 23:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ไปดูแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์แบบเวบนี้จะดีมั๊ย ... ไปค้นเอาเองนะว่ามาจากเวบไหน ... หาง่ายเจง ๆ แค่ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเพราะอาการสับสนในตรรกะของฤทธี ( คัดมาบางส่วน ...  ยังไม่ได้ไปขออนุญาตเจ้าของเวบนั้นเขาเลย ) ... เมื่อเปรียบเทียบกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศกับประเทศเพื่อนบ้าน อันได้แก่ พม่า มอญ เขมร และลาวแล้ว ก็กล่าวได้ว่า เมืองไทยมีความมั่นคงทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจตลอดมา ในขณะที่บ้านเมืองด้งกล่าวอยู่ในภาวะยุ่งเหยิงและไม่ปกติสุข โดยเฉพาะพม่าซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยามักประสบปัญหาเกี่ยวกับการขัดแย้งในเรื่องเชื้อชาติ บางครั้งก็รวมกันติด บางครั้งบ้านเมืองก็แตกแยก อยู่ในสภาพลุ่ม ๆ ดอน ๆ จนไม่มีกำลังและความคิดต่อเนื่องที่จะมารุกรานเมืองไทยได้ การที่ไม่มีศึกสงครามจากภายนอกเข้ามารบกวน ทำให้กรุงศรีอยุธยามีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและร่ำรวยจากการค้ากับต่างประเทศมาตลอด ถึงแม้ว่าหลังรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ลงมา การค้าขายกับนานาชาติโดยเฉพาะชาวยุโรปจะน้อยลงก็ตาม แต่เมืองไทยก็ไม่ได้อยู่ในลักษณะปิดประเทศ ยังทำการค้าขายกับประเทศอื่นเรื่อยมาโดยเฉพาะกับจีน ทำให้รายได้ที่เข้าประเทศไม่แตกต่างไปจากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ขึ้นไปจนถึงสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางของการค้าของป่าที่ได้มาจากภูมิภาคต่าง ๆ ของบ้านเมือง และในขณะเดียวกัน ก็เป็นศูนย์การแลกเปลี่ยนสินค้านานาชาติ ทำให้ได้รายได้เข้ามาหลาย ๆ ทาง ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชาลงมา การค้าขายกับชาวยุโรปการเป็นศูนย์การแลกเปลี่ยนสินค้านานาชาติ และการค้าของป่าก็ลดน้อยลง แต่กลับไปเพื่มความสำคัญกับสินค้าออกบางชนิดที่เป็นที่ต้องการของภายนอก ได้แก่ ข้าว หนังโค หนังกวาง และดีบุก พวกของป่าอันได้แก่หนังสัตว์และดีบุกที่กล่าวมานี้ เป็นสินค้าผูกขายที่ขายให้กับฮอลันดา ส่วนข้าวนั้นขายให้กับจีนเป็นส่วนใหญ่ และมีความสม่ำเสมอเรื่อยมา ทำให้มีการขยายตัวในการปลูกข้าวเพิ่มขึ้น มีการขยายตัวของชุมชนในระดับบ้านและเมืองตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการขุดคลองเพื่อการคมนาคมเชื่อมระหว่างท้องถิ่นต่าง ๆ กับเมืองและเมืองหลวงเพิ่มขึ้น ทำให้กรุงศรีอยุธยาเข้าสู่การเป็นเมืองเวนิสตะวันออกอย่างสมบูรณ์ การที่บ้านเมืองมั่งคั่งและปราศจากศัตรูภายนอกมารบกวน ทำให้คนไทยตั้งอยู่ในความประมาท เพราะขาดสิ่งที่จะมากระตุ้นให้มีการรวมตัวกันเพื่อความปลอดภัยและมั่นคง ในขณะเดียวกันก็เกิดการแข่งแย่งชิงกันภายใน โดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นปกครองในระดับสูงก็เป็นการมุ่งที่จะก่อการรัฐประหารชิงราชมบัติ ส่วนในระดับต่ำก็แสวงหาอำนาจด้วยการเข้าเป็นพรรคพวกของเจ้านายหรือขุนนางคนสำคัญของแผ่นดิน มีการสะสมบรรดาไพร่ทาสไว้เป็นบริวาร เป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกเป็นหลายกลุ่มเหล่าทั้งภายในราชธานีและตามหัวเมือง กล่าวคือ การขัดแย้งและแย่งชิงกันภายในราชธานีนั้น เปิดโอกาสให้เจ้านายหรือขุนนางผู้ใหญ่ตามหัวเมืองมีโอกาสสะสมกำลังเพื่อความมั่นคงและเพื่อความมั่งคั่งของตน และขณะเดียวกันก็คอยดูจังหวะว่าจะเข้ากับกลุ่มภายในราชธานีกลุ่มไหน โดยเหตุนี้ ในการก่อรัฐประหารและชิงราชย์กันแต่ละครั้ง เมื่อสิ้นสุดลงจะมีการฆ่าฟันเพื่อกำจัดเสี้ยนหนามกันคราวละมาก ๆ ส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกฆ่าและถูกกำจัดก็คือบรรดาเจ้านาย หรือขุนนาง ข้าราชการ ซึ่งเป็นชนชั้นปกครองนั่นเอง พวกไพร่ฟ้าข้าทาสไม่ค่อยได้รับผลกระทบกระเทือนเท่าใด เพราะเป็นเหมือนกับทรัพย์สมบัติสิ่งของในครอบครอง อาจเปลี่ยนเจ้าของได้ และปล่อยไว้เพื่อรับใช้ทำงานต่อไป จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 9 มี.ค. 50 23:09:49 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ความขัดแย้งทำให้สภาพสังคมปละวัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์เปลี่ยนแปลงไปนั้น มาจากความหวาดกลัวและระแวงพวกชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะพวกฝรั่งจะเข้ามาครอบครองบ้านเมืองและล้มเลิกพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คือพระเพทราชาและหลวงสุรศักดิ์คบคิดกันแย่งอำนาจจากฝ่ายที่นิยมพวกฝรั่งในขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ประชวรใกล้สวรรคต เมื่อสำเร็จแล้วก็เลยตั้งตนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน สมเด็จพระเพทราชาได้เสวยราชย์ ส่วนหลวงสุรศักดิ์ได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าวังหน้า มีที่ประทับอยู่ ณ พระราชวังจันทร์เกษมนอกเขตพระราชวังหลวง แต่เดิมพระราชวังนี้ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชโปรดให้สร้างขึ้นเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร มาในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชานั้น หลวงสุรศักดิ์เป็นทั้งบุตรชายและผู้ร่วมก่อการรัฐประหารที่สำคัญ มีอำนาจทัดเทียมกับพระมหากษัตริย์จึงต้องยกย่องเป็นพิเศษเหตุนี้จึงเกิดตำแหน่งที่สองรองจากพระมหากษัตริย์ขึ้น จะเป็นรัชทายาทหรือพระมหาอุปราชก็ไม่เชิง เพราะมีอำนาจ มีกำลังคน และมีสิทธิพิเศษมาก นอกจากนั้นยังมีการปูนบำเหน็จเจ้านายขุนนางอื่น ๆ ที่ร่วมก่อการด้วย ให้เป็นเจ้าทรงกรมนอกเหนือไปจากการมีหน่วยราชการที่เป็นกรมกองตามระบบการบริหารราชการแผ่นดินโดยทั่วไป นับเป็นการให้ความสำคัญแก่เจ้านายให้มีกำลังคนไว้ในบังคับบัญชาแต่ต่างไปจากสมัยก่อน ๆ และนับเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งในระบบศักดินาอีกด้วย ในมุมกลับ การที่เจ้านายได้ทรงกรม มีกำลังคนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชานั้น เป็นการเปิดโอกาสให้มีความทะเยอทะยานต้องการอำนาจ อาจรวมกำลังกันก่อการไม่สงบขึ้นได้ ดังเห็นจากเหตุการณ์บ้านเมืองตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชาลงมา ความวุ่นวายในกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชาเป็นเรื่องภายในโดยตรง อาจวิเคราะห์ได้เป็น 2 อย่างด้วยกัน จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 9 มี.ค. 50 23:11:21 ]

ความคิดเห็นที่ 69 อย่างแรก เป็นเรื่องที่เกิดจากบรรดาเจ้านายและขุนนางที่ยังจงรักภักดีในสมเด็จพระนารายณ์ พวกนี้ที่ถูกทำลายล้างไปก็มาก แต่ที่เหลืออยู่ก็มีไม่น้อย พวกที่อยู่ภายในราชธานีมักไม่ใคร่แสดงออก การแข็งข้อต่อต้านสมเด็จพระเพทราชาจึงไปเกิดขึ้นตามหัวเมืองสำคัญ โดยเฉพาะเมืองนครราชสีมาและนครศรีธรรมราช ถึงแม้ว่าทางกรุงศรีอยุธยาจะทำการปราบปรามลงได้ แต่ก็หาได้ทำลายระบบการที่เจ้าเมืองมีอำนาจในการสะสมกำลังคนไม่ จึงเป็นแบบอย่างและต้นเค้าที่ทำให้เจ้าเมืองสำคัญมีอำนาจและสะสมกำลังคนเพื่อความยิ่งใหญ่ของตนเองและแสดงความเฉยเมยต่อการเป็นสูนย์กลางของกรุงศรีอยุธยาในสมัยหลัง ๆ อย่างที่สองก็คือ ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นจากบรรดาเจ้านายและขุนนางในกลุ่มของสมเด็จพระเพทราชาเอง เริ่มด้วยหลวงสุรศักดิ์ซึ่งดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวร ดำเนินการกำจัดนายจบคชประสิทธิ์ศิลปทรงบาศขวาในกรมช้าง ซึ่งได้รับตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขหรือวังหลังของเจ้าพระยาสุรสงคราม บุคคลเหล่านี้คือผู้ที่ร่วมก่อการกันทำประหารทั้งสิ้น ตลอดรัชกาลสมเด็จพระเพทราชานั้น ผู้มีอำนาจทางการเมืองที่แท้จริงคือกรมพระราชวังบวร เพราะเป็นบุคคลที่ทุกๆ คนเกรงกลัวจึงมักทรงกระทำการบางอย่างเกินหน้าสมเด็จพระเพทราชาอยู่เนืองๆ อย่างเช่นเมื่อครั้งกษัตริย์ลาวจากเวียงจันทน์ส่งพระราชธิดามาถวายสมเด็จพระเพทราชา กรมพระราชวังบวรก็ให้รับเอานางมาไว้เป็นพระสนมโดยพลการ แล้วไปกราบทูลขออนุญาตจากสมเด็จพระเพทราชาในตอนหลัง ในตอนปลายรัชกาล ความขัดแย้งทวีคูณขึ้นระหว่างวังหลวงและวังหน้า เพราะมีแนวโน้มว่าสมเด็จพระเพทราชาอาจทรงให้ราชสมบัติกับเจ้าฟ้าพระขวัญ ราชโอรสอันเกิดแต่กรมหลวงโยธาทิพย์ซึ่งเป็นพระราชภคินีของสมเด็จพระนารายณ์ ด้วยเจ้าฟ้าพระขวัญทรงนับได้ว่าเป็นเชื้อสายของสมเด็จพระนารายณ์ ประชาชนทั่วไปนิยมรักใคร่ อีกทั้งจะเป็นการเชื่อมรอยร้าวแต่ครั้งก่อนด้วย กรมพระราชวังบวรจึงทรงทำอุบายให้เจ้าฟ้าพระขวัญเสด็จออกนอกพระราชฐานแล้วจับสำเร็จโทษเสียทั้งๆ ที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ ทำให้สมเด็จพระเพทราชาซึ่งขณะนั้นทรงพระประชวรใกล้สวรรคตพิโรธ เลยมอบสมบัติให้กับเจ้าพระพิชัยสุรินทร์ซึ่งเป็นพระราชนัดดา แต่เมื่อสมเด็จพระเพทราชาสวรรคตแล้ว เจ้าพระพิชัยสุรินทร์ไม่มีกำลังพอและอำนาจพอ ทรงเกรงกลัวกรมพระราชวังบวรจึงรีบไปเฝ้าแล้วถวายราชสมบัติให้ กรมพระราชวังบวรขึ้นครองราชย์ ณ พระนครศรีอยุธยาทรงพระนามว่าสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 คนทั่วไปเรียกว่าพระองค์ว่าพระเจ้าเสือ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็งและเฉียบขาดเป็นที่เกรงกลัวของเจ้านายและขุนนางข้าราชการทั้งหลาย ตลอดรัชกาลไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวายอันเกิดจากการรุกรานจากภายนอก และการกบฏจะถูกทำลายและลงโทษทันทีไม่มีละเว้นแม้แต่พระโอรส ดังเห็นได้จากครั้งเมื่อเสด็จไปล้อมช้างเถื่อนที่นครสวรรค์ เผอิญมีบึงใหญ่ขวางทางเสด็จพระราชดำเนิน จึงโปรดให้พระราชโอรสที่ตามเสด็จมาด้วย 2 พระองค์คือ กรมพระราชวังบวร และพระบัณฑูรน้อย ทำหน้าที่เป็นแม่กองถมถนนข้ามบึง พอถมเสร็จก็เสด็จข้าม แต่เผอิญตรงกลางบึงยังมีหล่มเพราะถมไม่แน่พอ ช้างพระที่นั่งถลำจมลงไปแล้วกลับขึ้นมาได้ ต้องค่อยๆ ย่างไป ก็ทรงพิโรธหาว่าคิดกบฏโดยทำถนนให้เป็นหล่มไว้หวังจะให้ช้างติดหล่มแล้วรุมฆ่าพระองค์เสีย พอเสด็จพ้นบึงได้ก็จะเอาพระแสงของ้าวฟันกรมพระราชวังบวร แต่เผอิญสมเด็จพระบัณฑูรน้อยซึ่งเป็นพระอนุชายกของ้าวรับพระแสงไว้ได้จึงไม่ถูก แล้วพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ก็รีบขับช้างหนีไป สมเด็จพระเจ้าเสือทรงขับพระคชาธารตามไล่แต่ไม่ทัน เลยทรงประกาศให้ตามจับพระราชโอรสในฐานะกบฏเป็นเหตุให้พระราชโอรสทั้งสองต้องเสด็จหนีไปพึ่งกรมพระเทพามาตย์ซึ่งเป็นพระราชมารดาเลี้ยงของพระเจ้าเสือมาทูลขอพระราชทานอภัยโทษ ตลอดรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือถึงแม้ว่าบ้านเมืองจะสงบแต่ทุกคนก็อยู่ด้วยความระมัดระวัง เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง และลงโทษบุคคลที่ทรงคิดว่ากระทำผิดถึงแก่ชีวิตเป็นจำนวนมาก เมื่อสิ้นรัชกาลแล้ว กรมพระราชวังบวรได้เสวยราชย์ในพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ก็ทรงมีพระทัยและทรงประพฤติเช่นเดียวกับพระราชบิดา กล่าวคือ นอกจากทรงหวาดระแวงว่าจะมีผู้คิดก่อการกบฏแล้ว ยังโปรดการเสด็จประพาสตามท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น การล่าสัตว์ ตกปลา และคล้องช้าง ไม่เป็นที่ชื่นชอบของไพร่ฟ้าประชาชน และสมณชีพราหมณ์แต่อย่างใด ดังเห็นได้จากผู้บันทึกพงศาวดารเองก็เขียนไว้ตอนท้ายรัชกาลว่า "ได้เสวยราชสมบัติอยู่ 26 ปีเศษพระชมมายุได้ 54 ปีเศษ กระทำกาลกิริยา ผู้ใดมีเมตตา ไม่ฆ่าสัตว์ อายุยืน ไม่มีเมตตา ฆ่าสัตว์ อายุสั้น" ในตอนปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าท้ายสระก็มีสิ่งที่คล้าย ๆ กันกับรัชกาลสมเด็จพรเพทราชา เกิดการขัดแย้งกันระหว่างวังหลวงและวังหน้า พระเจ้าท้ายสระคงไม่อยากให้ราชสมบัติแก่กรมพระราชวังบวรซึ่งเป็นพระอนุชา ทรงอยากจะให้พระราชโอรสคือเจ้าฟ้านเรนทร์ซึ่งทรงเป็นที่รักใคร่ของกรมพระราชวังบวรเหมือนกัน แต่เจ้าฟ้านเรนทร์ไม่สนพระทัยในราชสมบัติจึงเสด็จออกผนวชเสียและไม่สึก เมื่อตอนใกล้จะสวรรคต สมเด็จพระเจ้าท้ายสระจึงทรงยกราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัยแทน ทำให้กรมพระราชวังบวรไม่พอพระทัยจึงเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างวังหน้าและวังหลวงขึ้นทันที่ที่พระเจ้าท้ายสระสวรรคต เป็นการรบพุ่งที่นองเลือดขนานใหญ่ภายในพระนครศรีอยุธยา ในที่สุดกรมพระราชวังบวรได้ชัยชนะขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ชัยชนะของพระองค์คั้งนี้ทำให้มีการฆ่าฟันเจ้านายและขุนนางข้างราชการทางฝ่ายวังหลวงเกือบหมด แม้แต่บางคนหนีไปบวชเป็นพระก็ยังถูกตามสึกมาประหารชีวิตเสียก็มาก นับเป็นการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ตอนต้นรัชกาลจะเต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ แต่ระยะหลังมา สมเด็จพระเจ้าบรมโกศก็ทรงประพฤติธรรมราชา เอาพระทัยใส่ในการบำรุงพระพุทธศาสนา สร้างวัดวาอารามตลอดจนปฏิสังขรณ์ศาสนสถานเก่า ๆ ทั่วราชอาณาจักร อาจกล่าวได้ว่าทรงทำการก่อสร้างสิ่งสำคัญในทางศาสนามากกว่าที่เคยทำมาในสมัยรัชกาลก่อน ๆ ก็ว่าได้ ทั้งนี้ เพราะกรุงศรีอยุธยาในระยะนี้มีความมั่งคั่งเป็นที่สุดอีกทั้งบรรดาบ้านเมืองอื่น ๆ โดยเฉพาะพม่าอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด สมเด็จพระเจ้าบรมโกศได้รับการยกย่องจากประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อยู่ในราชอาณาจักรว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่เต็มไปด้วยคุณธรรม และบ้านเมืองก็มีความสงบสุขอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสงบสุขและความรุ่งเรืองทางศิลปวัฒรธรรมในยุคนี้ ก็แฝงไว้ซึ่งความขัดแย้งที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น เพราะเป็นยุคที่ใครก็อยากมีอำนาจ เริ่มจากราชสำนักภายในกรุงศรีอยุธยาก่อน เจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าบรมโกส และได้รับสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงระแวงว่าเจ้าฟ้านเรนทร์หรือเจ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ พระราชโอรสพระเจ้าท้ายสระซึ่งทรงผนวชอยู่นั้น ทรงเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศมากอาจจะได้ราชสมบัติ จึงทรงลอบฟันเอาขณะที่เจ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์เสด็จเข้าพระราชฐานมาเฝ้าพระเจ้าบรมโกศแต่ไม่เป็นอันตราย สมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงพระพิโรธ โปรดให้ค้นหากรมพระราชวังบวรและผู้ร่วมก่อการมาลงโทษ กรมพระราชวังบวรหนีไปบวช จับได้แต่พระเจ้าลูกเธอทั้งสองมาสำเร็จโทษ ต่อมาความขัดแย้งก็กระจายอยู่ตามกลุ่มพระราชโอรสที่ทรงกรมของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศเอง โดยเฉพาะพระราชโอรสที่ต่างพระมารดากัน เริ่มด้วยการคอยจ้องหาความผิดซึ่งกันและกันและใส่ร้ายกัน จนในที่สุดกรมพระราชวังบวรก็ถูกลงโทษจนสิ้นพระชนม์ ในข้อหาที่ลักลอบกระทำชู้กับพระสนมของพระเจ้าบรมโกศ ความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นว่าท่ามกลางความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและศิลปวัฒนธรรมนั้นเต็มไปด้วยความละโมบในอำนาจและการขาดศีลธรรมในกลุ่มชนชั้นผู้ปกครองบ้านเมือง การที่กรมพระราชวังบวรทำร้ายพระสงฆ์ก็ดี หรือลอบกระทำชู้กับพระสนมของพระราชบิดาก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดี ในที่สุดความแตกแยกที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้กลุ่มคนดีมีศีลธรรมเกิดความเบื่อหน่ายหันไปหาความสงบทางศาสนาเป็นที่พึ่ง อย่างเช่นเจ้าพระกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ เป็นต้น สมเด็จพระเจ้าบรมโกศเองก็ทรงตระหนักถึงความแตกแยกกันในบรรดาพระราชโอรส เจ้านายและขุนนาง เมื่อมีการเสนอให้ตั้งกรมพระราชวังบวรใหม่นั้น ทรงเลือกเจ้าฟ้าอุทุมพรหรือกรมขุนพรพินิต ให้ดำรงตำแหน่งเป็นการข้ามหน้าเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีซึ่งเป็นพระเชษฐา ทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่าเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีเป็นผู้ "โฉดเขลา หาสติปัญญาและความเพียรไม่ได้ ถ้าจะให้ดำรงถานาศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชกิจสิ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย" จึงทรงบังคับให้เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีไปผนวชเสีย เมื่อใกล้จะเสด็จสวรรคตทรงมอบราชสมบัติให้กรมพระราชวังบวร และให้หาพระเจ้าลูกเธอที่ทรงกรมมาถวายสัตย์ยอมเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทต่อหน้าพระที่นั่ง จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 9 มี.ค. 50 23:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 70 กระนั้นก็ดี ก็หาได้ยุติความขัดแย้งไม่ เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศเสด็จสวรรคตแล้ว บรรดาพระราชโอรสที่ทรงกรมทั้งหลายก็ก่อความวุ่นวายขึ้น เป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรต้องใช้กำลังจับกุมมาสำเร็จโทษเสียหลายพระองค์ พอปราบเสร็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีพระเชษฐาทรงแสดงเจตจำนงให้เห็นว่าต้องการราชสมบัติ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเลยถวายราชสมบัติให้แล้วเสด็จออกผนวช ณ วัดประดู่ทรงธรรม การขึ้นครองราชย์ของเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีหรือสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์นั้น เป็นเหตุให้บรรดาเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการที่ดีมีความรักบ้านเมือง ลาออกจากราชการไปบวช หรือย้ายไปอยู่ตามชนบทเป็นจำนวนมาก ปล่อยให้ราชสำนักเต็มไปด้วยเจ้านายที่อ่อนแอและขุนนางที่ประจบสอพลอ ถึงแม้ว่าจะมีผู้คบคิดกันถอดถอนพระเจ้าเอกทัศน์ออกจากราชสมบัติ แล้วจะเชิญสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรกลับเข้ามาครองราชย์ดังเดิมอีกก็ไม่สำเร็จ เพราะสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรไม่ทรงร่วมมือด้วย ในที่สุดพระนครศรีอยุธยาก็อยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมและอ่อนแอ ไม่อาจเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจเช่นในสมัยก่อน ๆ ได้ บรรดาเจ้านายและขุนนางที่เป็นเจ้าหัวเมืองใหญ่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ก็เริ่มไม่เห็นความสำคัญของกรุงศรีอยุธยา หันไปสะสมความมั่งคั่งข้าทาสบริวารและอำนาจเพื่อตนเองยิ่งขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่าขึ้นอยู่กับกรุงศรีอยุธยาแต่เพียงในนามเท่านั้น สภาพการณ์เช่นนี้คือความแตกแยกภายในราชอาณาจักร ตราบใดที่ยังไม่มีการรุกรานจากภายนอกก็สงบดี ความครึกครื้นรื่นเริงที่ควบคู่ไปกับการแสวงหาอำนาจ และการสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองของพวกเจ้านายและขุนนางก็ยังดำเนินอยู่ได้ แต่เมื่อมีการรุกรานจากภายนอกขึ้นแล้ว ความอ่อนแอต่าง ๆ ก็ปรากฏอย่างเด่นชัด ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์พม่าตั้งตัวได้ เกิดมีผู้นำที่เข้มแข็งที่กรุงอังวะ พระเจ้าอลองพญาสามารถปราบปรามมอญและบรรดาบ้านเมืองที่แข็งข้อไว้ในพระราชอำนาจได้ ก็ต้องการที่จะแสดงแสนยานุภาพมาตีกรุงศรีอยุธยาเช่นกษัตริย์พม่าในสมัยก่อน จึงยกกองทัพเข้ามาทางเมืองกุยเมืองปราณทางเพชรบุรี ตีบ้านเล็กเมืองน้อยแต่อย่างสบายจนเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทางพระนครได้แต่ปิดประตูพระนครสู้ ส่งกองทับออกมาโจมตีพม่าทีใดก็แพ้ทุกที ในระยะนี้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงลาผนวชมาช่วยรักษาบ้านเมือง ความมั่นคงของป้อมปราการแลการที่มีแม่น้ำล้อมรอบเป็นสิ่งที่กีดกั้นการรุกล้ำของข้าศึกโดยแท้ ที่ทำให้พม่าไม่อาจตีหักเข้าโดยง่าย ได้แต่ระดมยิงปืนใหญ่เข้ามา ทำให้ปราสาทเสียหาย แต่คราวนี้เคราะห์ดีของพระนครยังมีอยู่บ้างที่พม่าล้อมอยู่ได้ไม่นานก็ต้องยกทัพกลับไป เหตุเพราะพระเจ้าอลองพญาทรงได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดปืนใหญ่ที่แตกขณะทรงบัญชาการยิงพระนครอยู่ ได้สิ้นพระชนม์ระหว่างทางเสด็จกลับ ทำให้เมืองพม่าว่างกษัตริย์และเกิดความวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง หลังจากที่พม่ากลับไปแล้ว ทางกรุงศรีอยุธยาก็ไม่มีการคาดคะเนเตรียมการอันใดที่จะป้องกันบ้านเมืองในอนาคตเมื่อพม่าหวนกลับมาอีก สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์กลับทรงครองราชย์ดังเดิม ส่วนสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็เสด็จออกผนวชดังเดิม บ้านเมืองอยู่ในสภาพที่เหลวแหลกเช่นเดิม บรรดาเจ้านายและขุนนางในพระนครก็มัวแต่เสวยสุขในการรื่นเริง มัวเมาด้วยลาภยศ กอบโกยแต่ความมั่งคั่งโดยไม่คำนึงถึงไพร่บ้านพลเมือง ส่วนที่อยู่ตามหัวเมืองนอกพระนครก็ถือโอกาสกอบโกยความมั่งคั่ง สะสมกำลังผู้คนไว้เพื่อความมั่นคงของตนเอง ในระยะนี้ดูเหมือนหลายคนตระหนักดีแล้วว่ากรุงศรีอยุธยาไม่มีอำนาจ และขณะเดียวกันก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อต้านพม่าได้เมื่อมีการรุกรานเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นกรุงศรีอยุธยาจึงอยู่ในสภาพที่ถูกปล่อยเกาะให้ช่วยตัวเอง ดังนั้นเมื่อพม่าจัดการความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองได้แล้ว พระเจ้ามังระซึ่งเป็นกษัตริย์ในสมัยนั้นก็คิดการมาตีเมืองไทยอีก กองทัพพม่าบุกเข้ามาทั้งทางใต้และทางเหนือ ตีบ้านเล็กเมืองน้อยเข้ามาอย่างสบาย จะมีการต่อต้านอย่างเข้มแข็งก็แต่เพียงการรวมกำลังกันของชาวบ้านประชาชนที่ไม่รอพึ่งกำลังทางราชการ อย่างเช่นบ้านบางระจันในเขตจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งต่อต้านและทำความลำบากใจให้แก่พม่าเป็นเวลานานก่อนที่จะพ่ายแพ้แก่พม่าในที่สุด เมื่อพม่าเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยานั้น ทางกรุงศรีอยุธยาสู้รบอย่างตามมีตามเกิด โดยหวังธรรมชาติช่วยในเวลาน้ำมาท่วมรอบๆ พระนคร จะทำให้พม่าลำบากและถอยกลับไปเอง แต่นับว่าเป็นการคาดการณ์ผิดเมื่อไม่มีกองทัพจากในกรุงออกมารบกวนสร้างความยากลำบากให้ อีกทั้งไม่มีกองทัพจากหัวเมืองมาช่วยตีขนาบ ทำให้พม่าอยู่อย่างสบาย สามารถสร้างค่ายและที่พักหนีน้ำได้ อีกทั้งหาเรือมาใช้ในการศึกอย่างเพียงพอ จึงได้เปรียบทางกรุงเพราะสามารถหาเสบียงอาหารได้สะดวก ส่วนในกรุงนั้น ยิ่งนานวันเข้าความขัดสนอดอยากก็เพิ่มขึ้น มีการปล้นสะดมทำให้ผู้คนเสียขวัญและในบางครั้งก็มีไฟไหม้เกิดขึ้น จึงอยู่ในสภาวะที่ระส่ำระสายตลอดเวลา รอบ ๆ พระนคร บรรดาพ่อค้าและชาวต่างประเทศก็หมดกำลังใจที่จะช่วยสู้รบกับพม่า ต่างอพยพโยกย้ายไป แต่บางพวกก็ปล้นสะดมวัดวาอารามขนทรัพย์สมบัติมาเป็นของตัวเอง อย่างเช่นพวกจีนที่บ้านสวนพลูเข้าปล้นสะดมพระพุทธบาทเป็นตัวอย่าง โดยเหตุนี้ เมื่อทางกรุงหมดกำลังลง พม่าก็สามารถทำลายป้อมกำแพงเมืองและตีเข้าพระนครได้อย่างสบาย เผาผลาญบ้านเรือน วัดว่า ปราสาทราชวัง กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สมบัติที่มีค่าต่าง ๆ กลับไปพม่า ทำให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพไม่มีกฎหมาย ไม่มีศูนย์กลางการปกครอง ทุกหนแห่งอยู่ในสภาพตัวใครตัวมัน เกิดการปล้นสะดมและระส่ำระสายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ยกเว้นแต่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ที่พม่าไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือมีกำลังพอจะรักษาตัวเองก็มีคนเข้ามาพึ่งพาอาศัยมากขึ้น ในที่สุดก็ตั้งตัวเป็นก๊กอิสระต่าง ๆ ขึ้นหลายก๊กหลายเหล่า การเสียพระนครศรีอยุธยาครั้งสุดท้ายนี้แลเห็นได้ชัดเจนว่า ทางหัวเมืองสำคัญ ๆ ไม่ให้ความร่วมมือ ดูเหมือนมีเจตจำนงปล่อยให้กรุงแตกไปเอง ในขณะเดียวกันก็คิดที่จะตั้งตัวเป็นใหญ่เมื่อมีโอกาสมาถึงเพราะฉะนั้น หลังกรุงศรีอยุธยาแตกแล้วจึงเกิดก๊กอิสระขึ้นอย่างเป็นดอกเห็ด แสดงว่ากำลังคนส่วนใหญ่นั้นกระจายอยู่ภายนอกมาก บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเป็นผู้นำได้ก็มีมาก ถ้าร่วมมือป้องกันบ้านเมืองอย่างจริงจังแล้ว พม่าก็คงไม่อาจเข้าพระนครได้อย่างแน่นอน พม่าเองก็ตระหนักในสภาพการณ์เช่นนี้ ไม่ได้มุ่งหวังที่จะเอาเมืองไทยเป็นเมืองขึ้นอย่างแต่ก่อน จึงมุ่งที่จะทำลายบ้านเมือง ปล้นเอาทรัพย์สมบัติและกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย เมื่อเลิกทัพกลับไปแล้ว ก็เป็นแต่เพียงแต่งตั้งสุกี้พระนายกองซึ่งเป็นชาวมอญสวามิภักดิ์ให้เป็นแม่กองอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น คอยกวาดต้อนผู้คนและรวบรวมทรัพย์สมบัติส่งไปทางเมืองพม่า จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 9 มี.ค. 50 23:13:46 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ถ้ามองในมุมกลับ การเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งนี้ ก็คือการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของบ้านเมืองขนานใหญ่นั้นเอง ความขัดแย้งทางสังคมที่มีมาตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ได้เพิ่มพูนขึ้นจนสังคมไม่สามารถรักษาดุลยภาพไว้ได้ ถึงจุดของการเปลี่ยนแปลงเอาในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้นำอ่อนแอไม่สามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นภายในได้ ในขณะเดียวกันก็มีการรุกรานจากภายนอกเข้ามาเร่งรัด แต่ภายหลังการเสียกรุงแล้ว ความเดือดร้อนและความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้คนไทยรู้ตัว มีการรวมกำลังกันขจัดข้าศึกศัตรูออกไป หาได้ปล่อยให้บ้านเมืองล่มจมไปตามยถากรรมไม่ การเกิดตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่าขึ้นมากมายภายหลังกรุงแตกนั้นเป็นประจักษ์พยานสำหรับความรู้สึกดังกล่าว สมดังที่มีคำกล่าวเสมอว่า "กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี" ผู้นำแต่ละก๊กนั้นมีความรู้สึกและมีความมุ่งหมายเช่นเดียวกันในการที่จะกู้กรุงศรีอยุธยาให้กลับคนมา ความรู้สึกเสียดายราชธานีนั้นมีอยู่ทุกผู้ทุกนาม แต่ที่แสดงออกอย่างซาบซึ้งและกินใจคงไม่มีใครเกินสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 1 ทรงเป็นขุนนางในราชสำนักก่อนการเสียกรุง ได้แลเห็นทั้งความรุ่งเรืองของพระนคร และความอ่อนแอเหลวแหลกภายในที่มีผลให้เสียพระนครในที่สุด ดังมีแสดงบรรยายในพระราชนิพนธ์เพลงยาวรบพม่าตอนหนึ่งว่า ..... ไม่ปรากฏเหตุเสียหายเหมือนดังนี้   มีแต่บรมสุขา ครั้งนี้มีแต่พื้นพสุธา           อนิจจาสังเวทนาใจ ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ      จะอาเพศกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ มิได้พิจารณาข้าไท           เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ   ประพฤติการที่ผิดด้วยอิจฉา สุภาษิตทานกล่าวเป็นราวมา  จะตั้งแต่งเสนาธิบดี ไม่ควรอย่าให้อรรคฐาน        จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี    จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา เสียยศเสียศักดิ์นัคเรศ             เสียทั้งพระนิเวศวงศา เสียทั้งตระกูลนานา                เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร สารพัดจะเสียสิ้นสุด               ทั้งการยุทธก็ไม่เตรียมฝึกสอน จึงไม่รู้ก็แก้พระนคร               เหมือนหนอนเบียฬให้ประจำกรรม อันจะเป็นเสนาธิบดี                 ควรที่จะพิทักษ์อุปถัมภ์ ประกอบการหว่านปรายไว้หลายชั้น    ป้องกันปัจจาอย่าให้มี ที่ทำหาเป็นเช่นนั้นไม่              เหมือนไพร่ชาติชั่าช้ากระลาสี เหตุภัยใกล้กลายร้ายดี             ไม่มีที่จะรู้สึกประการ . ............................ ....................................    ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา     ครั้นทัพเขากลับยกมา            จงองอาจอาสาก็ไม่มี         แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ     จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่     ฉิบหายตายลมไม่สมประดี       เมืองยับอัปรีจนทุกวัน         พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวไว้ในพระราชวิจารณ์ว่า  ... " ข้อความตามในพระราชนิพนธ์นี้ ถ้าผู้อ่านพิจารณาด้วยญาณอันหยั่งลงว่าเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่อ่านเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ จะรู้สึกน้ำใจท่านผุ้เป็นต้นตระกูลของเราว่ามีความอัปยศทุกข์ร้อนลำบากยากเข็ญแค้นสักเพียงใด ความคิดเช่นนี้ใช่ว่าจะมีแต่กรมพระราชวัง ย่อมมีทั่วไปในบรรดาผู้มีบรรดาศักดิ์และผู้มีปัญญาในเวลานั้น " แต่ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้วกรุงศรีอยุธยาไม่ได้เสียไปอย่างสูญเปล่าและกระทบกระเทือนต่อเอกราชของบ้านเมืองแต่อย่างใด หากเป็นการเสียที่ทำให้คนไทยเกิดความสามัคคีกันในการที่จะจรรโลงสังคมไทยให้ดำรงสืบเนื่อง ในขณะเดียวกันก็เป็นพลังกระตุ้นให้เกิดความเข้มแข็งที่จะขยายอำนาจของบ้านเมืองและสร้างราชธานีให้กลับมาคงเดิม ดังเห็นได้จากพระราชนิพนธ์เพลงยาวรบพม่าของกรมพระราชวังบวรในรัชกาลที่ 1 อีกตอนหนึ่งว่า อันกรุงรัตนะอังวะครั้งนี้หรือ    จักพ้นเอื้อมมืออย่าสงสัย พม่าจะมาเป็นข้าไทย            จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา แม้นสมดังจิตไม่ผิดหมาย       สมดังปรารถนาทุกสิ่งอัน ถ้าเสร็จการอังวะลงตราบใด    จะพาใจเป็นสุขเกษมสันต์ ไอ้ชาติพม่ามันอาธรรม์          เที่ยวล้างขอบขัณธ์ทุกพารา แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข        รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา     ยับเยิบเป็นป่าทุกตำบล มันไม่คิดบาปกรรมอ้ายลำบาก   แต่พลัดพรากจากกันทุกแห่งหน มันเล่าอาสัตย์ทรชน               ครั้งนี้จะป่นเป็นธุลี เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตีกรุงศรีอยุธยาคืนมาได้ และทำสงครามขับไล่พม่าออกไปจากราชอาณาจักรนั้น ต้องใช้เวลาเกือบตลอดรัชกาลในการปราบปรามบรรดาก๊กต่าง ๆ และการจัดระเบียบภายในบ้านเมืองให้เรียบร้อย กรุงธนบุรีจึงมีสภาพเป็นเมืองหลวงชั่วคราว ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 1 บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะความมั่นคงทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ จึงเป็นเวลาที่สมควรให้แก่การสร้างพระนครขึ้นใหม่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพพระมหานครฯ ที่อุบัติขึ้นนั้น แท้จริงแล้วก็คือการสร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นใหม่นั้นเอง รัชกาลที่ 1 และสมเด็จกรมพระราชวังบวรทรงสร้างทุกอย่างที่เคยมีในพระนครศรีอยุธยาไว้ในกรุงเทพฯ นับแต่พระมหาปราสาทราชวังก็เป็นการเลียนแบบกรุงศรีอยุธยามาสร้างทั้งสิ้น บรรดาย่านตำบลที่อยู่อาศัยและการค้าขายตลอดจนสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม เช่นวัดวาอารามก็ล้วนมีชื่ออย่างที่เคยมีอยู่ในกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาในสมัยรัตนโกสินทร์มีความรุ่งเรืองสุขสำราญยิ่งกว่าเก่า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตอันเป็นที่สักการะของประชาชนทั่วประเทศ และเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองทางพระศาสนาของราชอาณาจักร พระนครเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการค้าขายที่พ่อค้าวาณิชนานาชาติหลั่งไหลเข้ามา แม่น้ำลำคลองแออัดไปด้วยเรือค้าขายใหญ่หน้อยที่มาจากภายนอกและจากหัวเมืองภายใน ทำให้พระนครคือเมืองเวนิสตะวันออกเช่นเดิม ในด้านประเพณีพิธีกรรมและงานรื่นเริงนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ก็ได้รับการฟื้นฟูและปรุงแต่งให้เอิกเกริกยิ่งกว่าเก่า จนเป็นที่กล่าวขวัญถึงทั่วไปในบรรดานานาประเทศ ในขณะเดียวกัน กรุงศรีอยุธยาใหม่นี้ก็มีอำนาจทางการเมืองยิ่งใหญ่ การสงครามรบพม่าที่ลาดหญ้าและท่าดินแดงในเขตเมืองกาญจนบุรีเป็นประจักษ์พยานที่แสดงว่ากองทัพไทยได้ทำลายพม่าอย่างยับเยินทั้งในด้านยุทธวิธีและกำลังฝีมือ แต่นั้นมาบ้านเมืองพม่าก็ระส่ำระสายและเสื่อมโทรมลงจนตกเป็นประเทศราชของอังกฤาในที่สุด ความย่อยยับของพม่าหลังสงครามกับไทยนั้น ก็เป็นเช่นเดียวกันกับเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก พม่าได้ชัยชนะในตอนแรกแต่ตอนหลังก็เข้าสู่ความเสื่อมโทรมจนบ้านแตกสาแหรกขาด ในขณะที่ทางไทยประสบความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม จนเป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองนั้น เป็นเพียงการเสียไปในสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่ในด้านนามธรรมยังคงดำรงอยู่เสมือนเป็นสัญลักษณ์ของความสืบเนื่องในทางสังคมของประเทศ และความรุ่งโรจน์ในทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชาติในส่วนรวมจนปัจจุบัน ********************************************************************** แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 50 21:12:41 แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 50 21:12:09 แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 50 21:11:37 จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 9 มี.ค. 50 23:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 72 คนเขียนเป็นกลางดีนะ ... ( รู้สึกไหม ) มองหลายมุมอีกตะหาก อ่านแล้วไม่รู้สึกยินดียินร้าย เหมือนเป็นแหล่งความรู้อีกแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ .... ก็แค่นั้น ....... จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 9 มี.ค. 50 23:16:28 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ฟ้าคำนวน พล่ามมาทำไมเสียมากมาย ผมยังไม่เห็นว่าจะเป็นประเด็นอะไรเลย เลอะเทอะไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ ............ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 10 มี.ค. 50 00:27:32 ]

ความคิดเห็นที่ 74 พูดน้อยผิดปกติหรือเปล่า  ... ฤทธี  เจนเสี้ยม อ่านบ้างหรือเปล่าเนี่ย ??????????? --------------------------------------------------------------------- ไม่คิดจะเปิดพงศาวดารเรื่อง "ป้อมวิไชยประสิทธิ์" มาเผยแพร่ให้เป็นวิทยาทานบ้างหรือไง ??? --------------------------------------------------------------------- อ้างถึง คห.9  ของฤทธี แต่ด้วยเพราะฤทธิ์ของความอิจฉาตาร้อน  จึงใช้อารมณ์ตัดสิน (?????) นี่คิดได้เท่านี้หรือ ฟ้าคำนวน ? เพราะถ้าคิดได้เท่านี้ ก็ไม่ต้องเข้ามาโพสต์ก็ได้ ......... ---------------------------------- แวะไปดูพระราชนิพนธ์ใน คห.71 ซะหน่อยสิ ... ทำ HighLight ให้แล้ว ปัญหาความ"อิจฉา" ในการบ้านการเมืองจนถึงกับเสียกรุงศรีฯ คงคิดกันได้เท่านี้จริง ๆ ด้วยแฮะ ......... แล้วก็เรื่องพม่า .... ซึ่งฤทธีถึงกับเปิดกระทู้วิงวอนร้องขอ "กรุณาอย่าใส่ร้ายพม่า" ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีพระราชนิพนธ์ถึงพม่าทำนองนี้ไว้ด้วย ... ไอ้ชาติพม่ามันอาธรรม์          เที่ยวล้างขอบขัณธ์ทุกพารา แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข        รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา     ยับเยิบเป็นป่าทุกตำบล มันไม่คิดบาปกรรมอ้ายลำบาก   แต่พลัดพรากจากกันทุกแห่งหน มันเล่าอาสัตย์ทรชน               ครั้งนี้จะป่นเป็นธุลี --------------------------------------------------------------------- เรื่องวังหน้าวังหลัง  เขาก็บรรยายไว้เห็นภาพพอสมควร เรื่องพระเพทราชา  เรื่องพระเจ้าเสือ  เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิง เขาก็บรรยายไว้พอเห็นภาพเช่นกัน เขาเขียนบรรยายตั้งแต่ก่อนและหลัง  จนกระทั่งสิ้นกรุงศรีฯ   ไม่เห็นวี่แววนักประวัติศาสตร์คนไหนอยากจะไปชกปากฝรั่งซักกะนิ๊ดดดดดดด อ่านบ้างหรือเปล่าเนี่ย ??????????? --------------------------------------------------------------------- หรือว่าเนื้อหาที่ยกมานั้น   ไม่มีประเด็น "ชกฝรั่ง ฟันหลุด"   ฤทธี ก็เลยมองไม่เห็นประเด็นใด ๆ หรือจะให้ช่วย "ปิดกระทู้" .... ก็บอกมาตามตรง ????? จากคุณ : ฟ้าคำนวณ - [ 10 มี.ค. 50 21:28:14 ]