ความคิดเห็นที่ 1 .... จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:32:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ............. จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:32:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 นรกของมหายานมี 10 ขุม ใหญ่ ๆ นะครับ ถ้าใครดูไซอิ๋ว แล้วได้ยินชื่อพระรูปหนึ่งประทับที่นรก คือพระมู่เหลียน ท่านไม่ใช่พระกษิติครรภ์นะครับ แต่เป็นพระโมคัลลานะ ท่านแค่ลงไปช่วยแม่ในนรกอะครับ หลายคนจำสับสน จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:38:24 ]

ความคิดเห็นที่ 4 พระกษิติครรภ์แบบเกาหลี [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:42:17 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พ จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:43:28 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ............. [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 7 บางทีก็ว่า"นรกไม่ว่าง ไม่บรรลุพุทธะ" แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 18:50:28 จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:47:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 .... [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:56:02 ]

ความคิดเห็นที่ 9 วลีด้านซ้าย แปลได้ว่า นรกไม่ว่าง วลีด้านขวา แปลได้ว่า ไม่บรรลุพุทธะ แปลตรง ๆ นะครับ จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:57:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ชื่อ เหงามาก ครับ แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 20:04:06 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : NgaoMak - [ 12 มี.ค. 50 18:58:47 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณคุณ เงามรรค มากครับ รูปสวยมาก ท่านกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มีลูกแก้ว เอาไว้เพื่ออะไรครับ (ฝึกสมาธิ ฯลฯ ?) ผมเห็นองค์ใหญ่มากๆองค์หนึ่งใกล้ๆ โลตัส หาดใหญ่ หน้า มอ. จากคุณ : collocalia - [ 12 มี.ค. 50 19:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แนวคิดทางมหายานอะครับ พระโพธิสัตว์ ของทางมหายาน บางครั้งก็เทียบว่าเป็นพระอรหันต์แล้วครับ  แต่ไม่ยอมเข้าอนุปาทิเสสนิพพาน   (คือนิพพานและดับขันธ์ไปด้วย) ดังนั้นทางสายมหายาน  พระโพธิสัตว์ จะมาบังเกิดเพื่อนำสัตว์ ไปยังแดนสุขาวดี (พุทธเกษตร) เพื่อพักไว้ที่นั่น แล้วจะสอนธรรมะ ให้คนที่นั่นบรรลุธรรมครับ แต่เถรวาท จะมองพระโพธิสัตว์ ว่ายังไม่บรรลุอรหันต์ แต่เตรียมเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าครับ สำหรับ พระอรหันต์บางองค์เองก็ ไม่อนุปาทิเสสนิพพาน   แต่เจริญนิโรธสมาบัติ  แล้วเอาขันธ์ไปวางที่ต่าง ๆ ในภพอืน ๆ ได้ครับ พอถึงเวลาก็กลับมาคืนกายขันธ์เดิม หลังจากออกนิโรธแล้ว... คล้ายแบบที่พระโมคคัลลานะ  ต่อขันธ์ขึ้นใหม่ได้ อะครับโดย ย้ายหลบโดยทางฌาน... แล้วกลับมาใหม่ .................................................................. มุมมองทีแตกต่างกันเล็กน้อยครับ .. เพราะมหายาน มีหลายจักรวาล  ก็เลยมีพระโพธิสัตว์แบ่งการปกครองไปแต่ละที่ ดังนั้น พระไวโรจน์  เจ้าแม่กวนอิม  ... การเป็นโพธิสัตว์ในแบบมหายาน นั่นหมายถึงเป็นอรหันต์แล้วครับ  แต่ไม่รีบดับขันธ์นิพพาน แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 19:50:02 จากคุณ : ดีกว่าชีวิต - [ 12 มี.ค. 50 19:46:15 ]

ความคิดเห็นที่ 13 พระกษิติครรภโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ครับ โดยมากผู้ที่นับถือ จะวาดหรือปั้นพระองค์เป็นพระภิกษุถือคทาธุดงค์ และลูกแก้ว แต่้ผมคิดว่าในศิลปะมหายา่นอื่นๆ เช่น ศรีวิชัย หรือ ขอม ก็อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง พระกษิติครรภโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ฝ่ายมหายานนับถือมากพอๆกับพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเลยทีเดียว กล่าวว่า พระอวโลกิเตศวรโปรดคนเป็น พระกษิติครรภะโปรดคนตาย อันนี้ผมหาเจอ คล้ายๆว่าน่าจะเป็นพระสุตรของมหายานเกี่ยวกับพระกษิติครรภโพธิสัตว์ครับ ลองอ่านดูครับ http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=116 จากคุณ : ธัมมนันทิ - [ 12 มี.ค. 50 19:53:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ซึ่งแนวคิดส่งผลต่อ วัดใหญ่วัดนึงที่โดนโจมตีอย่างมากในเวปนี้จาก กลุ่มคนที่ใจแคบ เพราะท่านเจ้าสำนักวัดนี้  ท่านปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย... เพื่อปรารถนาจะขนรื้อ วฏฏสงสาร  คือ จะพาบรรดาเวไนยสัตว์ อย่างพวกเรา ข้ามบ่วงวฏฏ  ไปให้หมด ซึ่งหากมองแค่ความตั้งใจ  ... ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ .. ที่ท่านมีเจตนาที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าเรื่องทำได้หรือไม่ได้นั่นอีกเรื่องหนึ่ง  แต่บางคนที่บ้าตำราปฏิรูป ต้องรีบลุกขึ้นปรามาสท่านไปซะงั้นว่าสอนผิด แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 21:49:58 จากคุณ : ดีกว่าชีวิต - [ 12 มี.ค. 50 19:54:09 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถาม.... ดีกว่าชีวิต  มีหลักฐานมาแสดงหน่อยได้ไหม? ที่ว่าพระโพธิสัตว์คือพระอรหันต์ ?   อย่ามั่วให้มากนัก เดี่ยวจะทำให้รู้สึกได้ว่า คริสต์ นิสัยแย่เหมือนกันหมดทุกคน จากคุณ : agam - [ 12 มี.ค. 50 20:01:14 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คุณดีกว่าชีวิต ถ้าคุณมีเจตนาบริสุทธิ์ใจจริงตามคำพูดของคุณล่ะก็ ผมก็ขออนุโมทนาสาธุ และก็ขอให้คุณมีความสุขความเจริญครับ แต่ถ้าคุณมีเจตแอบแฝง ผมก็ไม่มีอะไรจะว่าคุณ ก็ไำด้แต่ขอให้คุณมีความสุขความเจริญครับ จากคุณ : ธัมมนันทิ - [ 12 มี.ค. 50 20:10:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พุทธศาสนามหายานได้จำแนกพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท อันได้แก่ พระมนุษิโพธิสัตว์ และ พระธยานิโพธิสัตว์     1 พระมนุษิโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ในสภาวะมนุษย์หรือเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ ที่กำลังบำเพ็ญสั่งสมบารมีอันยิ่งใหญ่เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐ ถ้าตามมติของฝ่ายเถรวาทก็คือผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเพื่อบำเพ็ญ ทศบารมี ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ทรงกระทำมาในอดีต โดยที่ทรงเสวยพระชาติเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์จนได้ตรัสรู้ สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีดังกล่าวนี้เป็นความยากลำบากแสนสาหัส สำเร็จได้ด้วยโพธิจิต อีกทั้งวิริยะและความกรุณาอันหาที่เปรียบมิได้ ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานนับด้วยกัปอสงไขย สิ้นภพสิ้นชาติสุดจะประมาณได้     2 พระธยานิโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ประเภทนี้มิใช่พระโพธิสัตว์ผู้กำลังบำเพ็ญบารมี เพื่อแสวงหาดวงปัญญาอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเหมือนประเภทแรก แต่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และสำเร็จเป็นพระธยานิโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ในสมาธิ *โดยยับยั้งไว้ยังไม่เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ เพื่อจะโปรดสรรพสัตว์ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด พระธยานิโพธิสัตว์นี้เป็นทิพยบุคคลที่มีลักษณะดังหนึ่งเทพยดา มีคุณชาติทางจิตเข้าสู่ภูมิธรรมขั้นสูงสุดและทรงไว้ซึ่งพระโพธิญาณอย่างมั่นคง จึงมีสภาวะที่สูงกว่าพระโพธิสัตว์ทั่วไป พระธยานิโพธิสัตว์มักจะมีภูมิหลังที่ยาวนาน เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าที่สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์มาเนิ่นนาน นับแต่สมัยพระอดีตพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สุดจะคณานับเป็นกาลเวลาได้ พระธยานิโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานรู้จักดี อาทิ พระมัญชุศรี พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระสมันตภัทร พระกษิติครรภ์ เป็นต้น ************************************************* *โดยยับยั้งไว้ยังไม่เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ ตรงนี้หมายความว่า ท่านยังไม่ได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า เพียงแต่ว่า ท่านบำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว(เทียบได้กับพระเวสสันดร) นี่เป็นความหมายตามแบบของมหายาน !!!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 12 มี.ค. 50 20:19:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 การอุบัติของพระอวโลกิเตศวรนี้สันนิษฐานว่ามีขึ้น ภายหลังการเกิดนิกายมหายานขึ้นแล้วในราวพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ ภายหลังพุทธปรินิพพาน ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากวรรณคดีสันสกฤตยุคต้น ๆ ของมหายานอย่าง ชาดกมาลา ทิวยาวทาน หรือลลิตวิสตระ ก็ยังไม่ปรากฏนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แต่อย่างใด แต่มีปรากฏขึ้นครั้งแรกพร้อม ๆ กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ในพระสูตรปรัชญาปารมิตาซึ่งถือว่าเป็นพระสูตรมหายานรุ่นเก่าที่สุด และในพระสูตรรุ่นต่อ ๆ มาก็ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ ปรากฏขึ้นมากมาย พระสูตรมหายานกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรประทับอยู่ ณ สุขาวดีพุทธเกษตร คอยช่วยพระอมิตาภะโปรดสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ และเนื่องจากทรงเป็นพระธยานิโพธิสัตว์จึงมีความเป็นมาอันยาวนาน สุดจะคาดคำนวณได้ นับแต่สมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เป็นต้นมาก็ทรงได้โปรดสัตว์มาเป็นลำดับจนถึงบัดนี้ อันเป็นกาลสมัยของพระสมณโคดมศากยมุนีพุทธเจ้า ก็เป็นระยะเวลาเนิ่นนานสุดจะพรรณนา ใน กรุณาปุณฑริกสูตร อธิบายว่า พระอวโลกิเตศวรเป็นพระธรรมกายโพธิสัตว์ สูงกว่าพระโพธิสัตว์สามัญอื่น ๆ และเป็นเอกชาติปฏิพัทธะเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์อารยเมตตรัย กล่าวคือ*เป็นผู้ที่ยังข้องอยู่กับการเกิดอีกเพียงชาติเดียว ก็จะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวกันว่าพระอวโลกิเตศวรจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายหลังการดับขันธปรินิพพานของพระอมิตาภะ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ณ แดนสุขาวดี ************************************************* ข้อความทั้งหมดตรงนี้ ก็น่าจะสรุปได้อย่างชัดเจนนะครับว่า พระโพธิสัตว์มิได้มีฐานะเป็นพระอรหันต์ เพราะว่า ท่านยัง*เป็นผู้ที่ยังข้องอยู่กับการเกิดอีกเพียงชาติเดียว แต่กล่าวสำหรับพระอรหันต์ ท่านไม่เกิดอีกแล้ว ดับสนิทแล้ว ทั้งหมดนี้กล่าวโดยหลักการของมหายานทั้งสิ้น !!!!!! จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะไม่มีใครมายำมหายานให้เละเทะอีก ....... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 12 มี.ค. 50 20:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ความคิดเห็นที่ 14 ซึ่งแนวคิดส่งผลต่อ วัดใหญ่วัดนึงที่โดนโจมตีอย่างมากในเวปนี้ จาก เถรวาทพุทธที่ใจแคบ จากคุณ : ดีกว่าชีวิต ************************************************ แล้ววัดใหญ่วัดนึงที่คุณกล่าวถึงนั้น เขาได้บอกกับคุณหรือไม่ว่า เขาเป็น เถรวาท หรือ มหายาน ?????? อย่าพยายามมาเสี้ยมให้เกิดเรื่องจะดีกว่านะ ....... ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 12 มี.ค. 50 20:37:17 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คำสอนของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน  เป็นคำสอนที่ตกแต่งขึ้นหลังจากการแตกนิกายของพระพุทธศาสนา  ซึ่งพระเถระบางส่วนไม่ยอมรับมติของเถรวาท  และประสงค์จะตั้งนิกายใหม่ขึ้นมาเอง  คำสอนที่เท็จของพระพุทธศาสนาจึงถูกแต่งปั้นขึ้นเสียใหม่เป็นอันมาก มหายาน  จัดเป็นลัทธิหนึ่งในทางพระพุทธศาสนาที่สอนผิดและไม่ตรงคำสอนทางพระไตรปิฎกดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้โดยแท้  โดยท่านสามารถอ่านประวัติการแตกนิกายได้จากพระไตรปิฎกฉบับอรรถกถา สำหรับในที่นี้  การสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้น  ผู้หวังที่จะเป็นพระพุทธเจ้าจำเป็นต้องบำเพ็ญบารมีครบดังต่อไปนี้ เล่าเรื่องพระโพธิสัตว์อดีตพระชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (ข้อความทั้งหมดเรียบเรียงและคัดลอกจากพระไตรปิฎก) http://www.vichadham.com/POTI/index.html จากคุณ : SpiritWithin - [ 12 มี.ค. 50 20:51:54 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คุณฤทธีครับ คุณคือสุดยอดของการมั่วนิ่มเลยครับ    หลักฐานทางศาสนาพุทธมีอยู่ให้เห็น   คุณยังกล้าเขียนหลักฐานเท็จได้อย่างไร   เลวจริงๆ   พระยามารตัวจริงสิงอยู่ในคุณแล้วครับ - เรื่องพระอวโลกิเตศวรนี้มีบันทึกอยู่ในสัธรรมปุณฑริกสูตรในบทที่ 25   ในบทที่ 25นั้น พระพุทธเจ้าตรัสยกย่องพระโพธิสัตว์พระนามพระอใลกิเตศวร(กวนอิม)  ในพศ. 6-7  ทางจีนและญี่ปุ่นคัดลอกสัทธรรมปุณฑริกสูตรไป   ทำให้หลงเข้าใจผิดว่าของเดิมไม่มี    แต่จริงๆพระสูตรของเดิมมีอยู่   โดยเฉพาะปารามิตาสูตรนั้น  เป็นรากฐานของศาสนาพุทธมหายาน   ปารามิตาสูตรเป็นพระสูตรที่เก่าแก่ที่สุด และมีหลักฐานสมบูรณ์ที่สุด  มีเนื้อหาครบถ้วนที่สุด   และเป็นหลักเดิมของพระพุทธศาสนา    แต่เถรวาทพยายามจะไม่ยอมรับพระสูตรของมหายานที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน  และมีการรับรองไว้ในปฐมสังคายนา     ทำให้พระสูตรนี้กลายเป็นของมหายาน   ทั้งๆที่ทั้งเถรวาทและมหายานควรรับรองพระสูตรนี้ร่วมกันเนื่องจากในปฐมสังคายนาก็มีพระอรหันณ์ขีณาสพ 500 รูป และพระมหากัสสปปและพระอานนต์รับรองไว้แล้ว     อย่างไรก็ตาม พระมือสมัครเล่นที่ทำสังคายนาครั้งที่ 2 เป็นต้นมา   ตัวเองไม่ใช่พระอรหันต์  แค่ดันไปวินิจฉัยตัดปารามิตาสูตรทิ้งไป  เพราะเหตุที่ตนเองไม่เข้าใจในถ้อยคำของพระพุทธเจ้า จากคุณ : tuenum - [ 12 มี.ค. 50 21:23:54 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ : SpiritWithin ครับ คุณก็มั่วเหมือนคุณฤทธี   เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ศาสนาเป็นอย่างอื่น  เขียนเอง  เออออเอง  แต่งประวัติศาสตร์เอาเองเลย " คำสอนของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน  เป็นคำสอนที่ตกแต่งขึ้นหลังจากการแตกนิกายของพระพุทธศาสนา  ซึ่งพระเถระบางส่วนไม่ยอมรับมติของเถรวาท  และประสงค์จะตั้งนิกายใหม่ขึ้นมาเอง  คำสอนที่เท็จของพระพุทธศาสนาจึงถูกแต่งปั้นขึ้นเสียใหม่เป็นอันมาก " 1.  ในการสังคายนาครั้งที่ 2   พวกพระมือสมัครเล่นใช้กฎหมู่จัดสังคายนาขึ้นมาโดยไม่เชิญพระฝ่ายมหายานเลย   แล้วก็เขี่ยทิ้งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไปยังมหายานออกไปหมด   ไม่มีการรับรอง   เอาเฉพาะคำสอนของเถรวาทเท่านั้น 2.   พระมหายานกว่า 20 นิกาย  พวกเขาก็ปล่อยพระเถรวาทไป   เขาก็สอนสิ่งที่ปรมาจารย์ของเขาได้ยินจากพระพุทธเจ้าต่อไป    จนในที่สุดสามารถรวมตัวกันได้   แล้วนำคำสอนแต่ละนิกายมารวมกัน  ถกเถียงกันจนเข้าใจในสิ่งเดียวกันคือ  เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้า  ที่บางนิกายพระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า  พระไวโรจนพุทธเจ้า   บางนิกายตรัสเรียกว่า  ต้นธาตุ   บางนิกายตรัสเรียกว่า  อาธิพุทธเจ้า   พระสยัมภูพุทธเจ้า   ฯลฯ เมื่อพวกคุณไม่สามารถปฏิบัติได้ถึงขึ้นอริยะบุคคล   จึงไม่มีทางรู้ว่า  พระพุทธเจ้านั่นแหละคือองค์พระผู้เป็นเจ้า   แล้วพยายามใช้กฎหมู่ตีความพุทธศาสนาเถรวาทมั่วไปหมด  พระอรหันต์ต่างๆสอน  พวกคุณก็ไม่ยอมรับคำสอนของพวกท่าน   จะเอาคำสอนน้ำเน่าของปถุชนและพระมือสมัครเล่นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า   เอาอรรถกถาเป็นพุทธพจน์ไป จากคุณ : tuenum - [ 12 มี.ค. 50 21:44:22 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คุณ : agam ครับ อย่าไปยั่วถามคนอื่นเลยครับ   คุณไปศึกษาเรื่องพระโพธิสัตว์ของมหายานเอาเองดีกว่าครับ   มีอยู่ในหนังสือพุทธศาสนามหายานทุกเล่มล่ะครับ    พระโพธิสัตว์มหายานจำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์แล้ว  ถึงจะเป็นพระโพธิสัตว์ได้ คนที่มั่วคือคุณไม่ใช่คนอื่นที่ไหน  ไม่มีความรู้อะไรจริงๆเลย   คนอื่นมาบอกคุณ  คุณก็ไม่เชือ   ไปกวนเขาอีก จากคุณ : tuenum - [ 12 มี.ค. 50 21:54:32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สวัสดี คุณทิวน้ำเมือก ....... ล้างเนื้อล้างตัวสะอาดดีแล้วหรือ จึงมาทำปากเน่าปากหนอนอยู่แถวนี้ ???? 1) ในการสังคายนาครั้งที่ 2   พวกพระมือสมัครเล่นใช้กฎหมู่จัดสังคายนาขึ้นมา โดยไม่เชิญพระฝ่ายมหายานเลย   แล้วก็เขี่ยทิ้งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไปยังมหายานออกไปหมด   ไม่มีการรับรอง   เอาเฉพาะคำสอนของเถรวาทเท่านั้น ทิวน้ำเมือก อ่านประวัติศาสตร์ศาสนาบ้างหรือเปล่า ? เมื่อมีการสังคายนาครั้งที่2เมื่อประมาณ พศ.100 นั้น มหายานยังไม่เกิดเลยครับ !!!!!! มหายานเพิ่งจะแยกตัวจาก 18นิกายเดิม เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ นี่เอง 2) พระมหายานกว่า 20 นิกาย  พวกเขาก็ปล่อยพระเถรวาทไป   เขาก็สอนสิ่งที่ปรมาจารย์ของเขาได้ยินจากพระพุทธเจ้าต่อไป ที่จริงแล้ว คุณควรจะพูดว่า มหาสังฆิกวาท ไม่ใช่ มหายาน20นิกาย กลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ศาสนา ให้ดีกว่านี้ก่อนเถิด แล้วค่อยมาทำกร่าง ฤทธี **************************************************************** โพสต์ไม่ติดสักที มาเติมที่ตรงนี้ก็แล้วกัน ...... 1) สัทธรรมปุณฑรีกสูตร แต่งขึ้นในราว พ.ศ. 300 เป็นอย่างเร็ว อย่าช้าก็ต้องก่อน พ.ศ.693 เพราะเหตุว่า ท่านนาคารชุน ได้อ้างถึงข้อความจาก สัทธรรมปุณฑรีกสูตรอยู่หลายตอน 2) สัทธรรมปุณฑรีกสูตรฉบับแปลภาษาจีนที่มีความเก่าที่สุดคือ ฉบับพระภิกษุธรรมรักษ์แปลในปี พ.ศ.829 3) ฉบับที่ได้รับความนิยมว่าแปลได้สละสลวยที่สุดคือฉบับของพระกุมารชีพ ชาวเอเชียกลาง แปลเมื่อพ.ศ.934 และฉบับแปลโดยท่านชญานคุปตะและท่านธรรมคุปตะ แปลในพ.ศ.1144 4) การอ้างถึง พศ.6-7 นั้น ขอเอกสารอ้างอิงด้วย ว่ามีหลักฐานจากใคร เพื่อเป็นการยืนยันว่า มิได้มั่วนิ่มเอาเอง เช่น เอกสารระบุว่า ศตวรรษที่6-7 แต่คุณกลับเอามาเขียนว่า พศ.6-7 !!!!!!! 5) ในพศ.6-7 มีประเทศญี่ปุ่นแล้วหรือ ????? แล้วก็ยังเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดมาจดพระคัมภีร์ในแดนไกลได้ด้วย ขอดูหลักฐานหน่อยสิ  !!!!!!!! ฤทธี แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 23:53:39 จากคุณ : Ritti Janson - [ 12 มี.ค. 50 22:37:14 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณคือสุดยอดของการมั่วนิ่มเลยครับ    หลักฐานทางศาสนาพุทธมีอยู่ให้เห็น   คุณยังกล้าเขียนหลักฐานเท็จได้อย่างไร   เลวจริงๆ   พระยามารตัวจริงสิงอยู่ในคุณแล้วครับ จากคุณ : tuenum *********************************************** ถ้าผมเลว คนอย่าง ทิวน้ำเมือกก็คงต้องเรียกว่า ชาติชั่วแล้วล่ะครับ !!!! มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่าแต่งขึ้นในราว พ.ศ. 300 เป็นอย่างเร็ว อย่างน้อยก็ต้องก่อน พ.ศ.693 เพราะว่าท่านนาคารชุน ได้อ้างถึงข้อความ จากสัทธรรมปุณฑรีกสูตรอยู่หลายตอน แต่ถ้าคุณจะบอกว่า พศ.6-7 อย่างนี้ก็ขอหลักฐานอ้างอิงหน่อย ที่สำคัญก็คือ ฉบับแปลจีนที่เก่าแก่ที่สุดก็คือ ฉบับพระภิกษุธรรมรักษ์แปลในปี พ.ศ.829 !!!!!! ที่น่าขำก็คือ เมื่อ พศ.6-7 นั้น มีประเทศญี่ปุ่นแล้วหรือ ????? ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 12 มี.ค. 50 22:54:21 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จิโซ โบสัทซุ : พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ จิโซ โบสัทซุ เป็นพระโพธิสัตว์ที่สำคัญพระองค์หนึ่ง ในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ในภาษาสันสกฤตท่านมีนามว่า กษิติครรภ์โพธิสัตว์ ซึ่งหมายถึงพระโพธิสัตว์ผู้เป็นครรภ์ของแผ่นดิน หมายถึง เป็นผู้ปกปักชีวิตในแผ่นดิน ประวัติของท่าน บางตำรากล่าวไม่ตรงกัน แต่ที่ยอมรับกันก็คือ ในอดีตก่อนที่ท่านจะได้บรรลุโพธิสัตว์ญาณ ท่านเป็นพระราชาพระองค์หนึ่ง ในเทนจิคุ (ชมพูทวีป) ต่อมาได้ออกบวชพร้อมกับพระราชาสหายอีกพระองค์หนึ่ง ต่อมาพระราชาอีกพระองค์ ได้ตรัสรู้เป็นพระอิทซายอิจิ เนียวไร (ไม่ทราบชื่อภาษาสันสกฤต) ส่วนพระจิโซ โบสัทซุ ยังไม่ปรารถนาจะตรัสรู้ ได้ตั้งปณิธานว่า "ตราบใดสรรพสัตว์ในนรก ยังไม่หลุดพ้น เราจะไม่เข้าสู่นิพพาน" หลังจากได้บรรลุโพธิสัตว์ญาณแล้ว จึงได้ลงไปยังนรก เพื่อช่วยเหลือดวงวิญญาณที่เร่ร่อน ได้รับความทุกข์ในนรก (จึงมีคำพูดกันว่า พระคันนน โปรดคนเป็น พระจิโซ โปรดคนตาย) ในวรรณคดีญี่ปุ่นได้กล่าวว่า คนที่ตายตั้งแต่เด็กๆ จะต้องไปตกนรกแห่งหนึ่ง เพราะเป็นเหตุทำให้พ่อแม่เสียใจ และต้องไปอยู่ริมแม่น้ำแห่งความตาย เรียงก้อนหิน อยู่ที่ริมแม่น้ำ เมื่อเรียงครบจึงจะได้หลุดพ้นจากนรกนี้ แต่จะมีปีศาจมาคอยทำลายเจดีย์หินที่เด็กๆเรียงไว้ พระจิโซโบสัทซุ นี้เองที่จะมาคอยช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ จากปีศาจ ชาวญี่ปุ่นถือว่า ท่านเป็นเทพผู้คุ้มครองเด็ก และเป็นผู้ที่คุ้มครองคนเดินทาง จึงได้สร้างรูปบูชาพระจิโซ โบสัทซุตามที่ต่างๆมากมาย แม้แต่ตามรายทางริมถนน หรือใน ป่าเขา จะเห็นแท่นบูชาพระจิโซอยู่ริมทางทั่วไป ลักษณะมักทำเป็นรูปพระ ถือกักกระ(คฑาธุดงค์) และถือแก้วมณีดวงหนึ่ง สาเหตุที่ท่านถือคฑาธุดงค์มีห่วงคล้องอยู่ตลอดเวลา ว่ากันว่า เพื่อให้สัตว์เล็กๆตามรายทาง หนีไปเมื่อได้ยินเสียงห่วง เพื่อจะได้ไม่ต้องเผลอเหยียบ จึงเป็นเหตุให้พระญี่ปุ่นและพระจีน เวลาเดินไปที่ไหน มักถือคฑาธุดงค์ และ เพราะเหตุที่ท่านโปรดเมตตาช่วยเหลือสัตว์นรกมากนี้เอง ทำให้บางตำนาน ถือว่าพญายมราช(เอนมะ ไดโอ) ในนรก ก็คือปางหนึ่งของพระจิโซ โบสัทซุ เอามาฝากคุณ NgaoMak ครับ จากคุณ : in_my_metal - [ 12 มี.ค. 50 23:31:07 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณคือสุดยอดของการมั่วนิ่มเลยครับ    หลักฐานทางศาสนาพุทธมีอยู่ให้เห็น   คุณยังกล้าเขียนหลักฐานเท็จได้อย่างไร   เลวจริงๆ   พระยามารตัวจริงสิงอยู่ในคุณแล้วครับ - เรื่องพระอวโลกิเตศวรนี้มีบันทึกอยู่ในสัธรรมปุณฑริกสูตรในบทที่ 25   ในบทที่ 25นั้น พระพุทธเจ้าตรัสยกย่องพระโพธิสัตว์พระนามพระอใลกิเตศวร(กวนอิม)   ในพศ. 6-7  ทางจีนและญี่ปุ่นคัดลอกสัทธรรมปุณฑริกสูตรไป จากคุณ : tuenum ************************************************* 1) แต่งขึ้นในราว พ.ศ. 300 เป็นอย่างเร็ว แต่อย่างน้อยต้องก่อนพ.ศ.693 เพราะพระนาคารชุนได้อ้างถึงข้อความจากสัทธรรมปุณฑรีกสูตรอยู่หลายตอน 2) ฉบับภาษาจีนที่มีความเก่าที่สุดคือ ฉบับพระภิกษุธรรมรักษ์แปลในปี พ.ศ.829 3) ฉบับที่ได้รับความนิยมว่าแปลได้สละสลวยที่สุดคือฉบับของพระกุมารชีพ ชาวเอเชียกลาง แปลเมื่อพ.ศ.934 และฉบับแปลโดยท่านชญานคุปตะและท่านธรรมคุปตะ แปลในพ.ศ.1144 4) ถ้าจะอ้างถึง พศ.6-7 ก็ขอเอกสารหลักฐานที่น่าเชื่อถือหน่อย คุณมีหรือไม่ หรือว่าพูดเอาเองอีก ตัวอย่างเช่น เอกสารระบุว่า แต่งขึ้นเมื่อ ศตวรรษที่6-7 แต่คุณกลับโมเมเอาว่า พศ.6-7 ฉนั้นขอดูแหล่งอ้างอิงหน่อยว่ามาจากไหนอ้างอิงใคร ??????? 5) เมื่อ พศ.6-7 มีประเทศญี่ปุ่นแล้วหรือ ?????? นี่เอาหลักฐานจากแหล่งไหนอีกล่ะ ขอดูให้ชัดๆหน่อยสิ !!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 12 มี.ค. 50 23:32:03 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คันนนโบสัทซุ: คันนน แปลว่าพระผู้เพ่งเสียง เป็นคำเดียวกับคำว่า กวนอิม ในภาษาจีน ในภาษาสันสกฤต คือ อวโลกิเตศวร ซึ่ง คันนน โบสัทซุ ก็คือพระโพธิสัตว์กวนอิม อย่างที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง พระโพธิสัตว์คันนน เป็นพระโพธิสัตว์ประเภท ฌานิโพธิสัตว์ เกิดจากอำนาจฤทธิ์ของพระอมิตาภ หรืออมิดา เนียวไร เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชื่อในเรื่องของความเมตตา และเป็นพระโพธิสัตว์ในฝ่ายมหายานที่เป็นที่นับถือกันมาก ในญี่ปุ่น จะเรียกว่า คันนน จีน เรียกว่า กวนอิม เวียดนาม เรียกว่า กวานซือ ต่ายโบด๊าก ธิเบต เรียกว่า เจนเรซิก พระโพธิสัตว์คันนน มีหลายปาง ซึ่งในตำราบางแห่ง กล่าวว่า มีถึง ๘๐ ปาง ซึ่งเหตุที่มีหลายปาง เพราะเหตุว่ามนุษย์มีหลายประเภท ดังนั้นเมื่อพระโพธิสัตว์คันนนจะไปโปรดผู้ใด จึงต้องแปลงร่างเพื่อไปโปรดมนุษย์นั้นๆให้เข้ากัน บางครั้งจะต้องไปโปรดผู้หญิง ก็ทรงแปลงพระกายเป็นผู้หญิง เนื่องจากพระคันนน มีความเมตตาต่อมวลมนุษย์สูง ดังนั้น จึงมักถูกปั้น หรือวาดรูปพระองค์ ออกมาในแนวดุเหมือนสตรีเพศ เพราะช่างพุทธศิลป์ต้องการสื่อถึงความเมตตาของพระองค์ ในเพศแม่ จึงมีบางคนสับสน นึกว่าพระคันนน เป็นเจ้าแม่ เหมือนเราเรียกกันติดปากว่า เจ้าแม่กวนอิม บางทีก็ลดค่าของพระคันนน จากโพธิสัตว์ กลายเป็นเจ้าแม่ตีนโรงตีนศาลธรรมดาๆก็มี จริงๆแล้วพระคันนน อยุ่ในฐานะโพธิสัตว์เพศบุรุษ พระโพธิสัตว์คันนนดังที่เห็นในภาพนี้ เป็นภาพที่เราเห็นกันบ่อย คือปางเซนจู หรือปางพันกรพันเนตร เอามาฝากคุณ NgaoMak ครับ จากคุณ : in_my_metal - [ 12 มี.ค. 50 23:37:32 ]

ความคิดเห็นที่ 29 จิโซ โบสัทซุ : พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ จิโซ โบสัทซุ เป็นพระโพธิสัตว์ที่สำคัญพระองค์หนึ่ง ในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ในภาษาสันสกฤตท่านมีนามว่า กษิติครรภ์โพธิสัตว์ ซึ่งหมายถึงพระโพธิสัตว์ผู้เป็นครรภ์ของแผ่นดิน หมายถึง เป็นผู้ปกปักชีวิตในแผ่นดิน ประวัติของท่าน บางตำรากล่าวไม่ตรงกัน แต่ที่ยอมรับกันก็คือ ในอดีตก่อนที่ท่านจะได้บรรลุโพธิสัตว์ญาณ ท่านเป็นพระราชาพระองค์หนึ่ง ในเทนจิคุ (ชมพูทวีป) ต่อมาได้ออกบวชพร้อมกับพระราชาสหายอีกพระองค์หนึ่ง ต่อมาพระราชาอีกพระองค์ ได้ตรัสรู้เป็นพระอิทซายอิจิ เนียวไร (ไม่ทราบชื่อภาษาสันสกฤต) ส่วนพระจิโซ โบสัทซุ ยังไม่ปรารถนาจะตรัสรู้ ได้ตั้งปณิธานว่า "ตราบใดสรรพสัตว์ในนรก ยังไม่หลุดพ้น เราจะไม่เข้าสู่นิพพาน" หลังจากได้บรรลุโพธิสัตว์ญาณแล้ว จึงได้ลงไปยังนรก เพื่อช่วยเหลือดวงวิญญาณที่เร่ร่อน ได้รับความทุกข์ในนรก (จึงมีคำพูดกันว่า พระคันนน โปรดคนเป็น พระจิโซ โปรดคนตาย) ในวรรณคดีญี่ปุ่นได้กล่าวว่า คนที่ตายตั้งแต่เด็กๆ จะต้องไปตกนรกแห่งหนึ่ง เพราะเป็นเหตุทำให้พ่อแม่เสียใจ และต้องไปอยู่ริมแม่น้ำแห่งความตาย เรียงก้อนหิน อยู่ที่ริมแม่น้ำ เมื่อเรียงครบจึงจะได้หลุดพ้นจากนรกนี้ แต่จะมีปีศาจมาคอยทำลายเจดีย์หินที่เด็กๆเรียงไว้ พระจิโซโบสัทซุ นี้เองที่จะมาคอยช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ จากปีศาจ ชาวญี่ปุ่นถือว่า ท่านเป็นเทพผู้คุ้มครองเด็ก และเป็นผู้ที่คุ้มครองคนเดินทาง จึงได้สร้างรูปบูชาพระจิโซ โบสัทซุตามที่ต่างๆมากมาย แม้แต่ตามรายทางริมถนน หรือใน ป่าเขา จะเห็นแท่นบูชาพระจิโซอยู่ริมทางทั่วไป ลักษณะมักทำเป็นรูปพระ ถือกักกระ(คฑาธุดงค์) และถือแก้วมณีดวงหนึ่ง สาเหตุที่ท่านถือคฑาธุดงค์มีห่วงคล้องอยู่ตลอดเวลา ว่ากันว่า เพื่อให้สัตว์เล็กๆตามรายทาง หนีไปเมื่อได้ยินเสียงห่วง เพื่อจะได้ไม่ต้องเผลอเหยียบ จึงเป็นเหตุให้พระญี่ปุ่นและพระจีน เวลาเดินไปที่ไหน มักถือคฑาธุดงค์ และ เพราะเหตุที่ท่านโปรดเมตตาช่วยเหลือสัตว์นรกมากนี้เอง ทำให้บางตำนาน ถือว่าพญายมราช(เอนมะ ไดโอ) ในนรก ก็คือปางหนึ่งของพระจิโซ โบสัทซุ เอามาฝากคุณ NgaoMak ครับ จากคุณ : in_my_metal - [ 12 มี.ค. 50 23:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ทิวน้ำเมือก ก็เอาหลักฐานมากางดูหน่อยก็แล้วกัน จะได้รู้ว่า ใครกันที่เลว ใครกันที่มั่ว  !!!!!! ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 12 มี.ค. 50 23:56:29 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 18:29:38 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 32 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 18:30:08 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:18:29 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:32:16 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:21:05 ]

ความคิดเห็นที่ 34 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:55:13 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:22:29 ]

ความคิดเห็นที่ 35 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:56:31 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:25:24 ]

ความคิดเห็นที่ 36 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:56:55 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:26:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:57:17 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:28:22 ]

ความคิดเห็นที่ 38 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:57:44 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:33:35 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:58:00 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:34:42 ]

ความคิดเห็นที่ 40 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:58:20 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:58:47 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:38:38 ]

ความคิดเห็นที่ 42 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:59:08 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:42:05 ]

ความคิดเห็นที่ 43 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:59:52 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:44:44 ]

ความคิดเห็นที่ 44 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:23:32 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:01:58 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:46:37 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:24:01 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:48:33 ]

ความคิดเห็นที่ 46 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:24:33 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:50:53 ]

ความคิดเห็นที่ 47 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:24:50 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:52:16 ]

ความคิดเห็นที่ 48 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:25:11 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:54:23 ]

ความคิดเห็นที่ 49 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:25:32 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:56:16 ]

ความคิดเห็นที่ 50 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:25:57 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 00:58:37 ]

ความคิดเห็นที่ 51 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:26:26 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:01:00 ]

ความคิดเห็นที่ 52 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:26:53 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:02:23 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:27:13 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:04:14 ]

ความคิดเห็นที่ 54 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:27:44 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:06:17 ]

ความคิดเห็นที่ 55 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:28:02 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:08:15 ]

ความคิดเห็นที่ 56 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:28:22 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:10:24 ]

ความคิดเห็นที่ 57 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:28:42 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:12:17 ]

ความคิดเห็นที่ 58 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:29:06 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:14:31 ]

ความคิดเห็นที่ 59 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:29:44 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 60 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:31:57 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:18:44 ]

ความคิดเห็นที่ 61 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:32:38 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:20:18 ]

ความคิดเห็นที่ 62 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:33:21 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:22:42 ]

ความคิดเห็นที่ 63 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:39:16 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:25:07 ]

ความคิดเห็นที่ 64 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:40:32 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:26:35 ]

ความคิดเห็นที่ 65 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:39:56 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:28:42 ]

ความคิดเห็นที่ 66 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:41:15 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:30:40 ]

ความคิดเห็นที่ 67 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:43:11 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:32:34 ]

ความคิดเห็นที่ 68 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:43:31 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:35:47 ]

ความคิดเห็นที่ 69 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:43:59 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:36:50 ]

ความคิดเห็นที่ 70 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:44:27 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:39:14 ]

ความคิดเห็นที่ 71 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:46:14 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:40:37 ]

ความคิดเห็นที่ 72 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:50:05 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:42:31 ]

ความคิดเห็นที่ 73 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:50:26 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:44:31 ]

ความคิดเห็นที่ 74 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:50:44 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:47:04 ]

ความคิดเห็นที่ 75 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:45:21 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:48:21 ]

ความคิดเห็นที่ 76 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:44:55 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:50:39 ]

ความคิดเห็นที่ 77 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:41:51 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:52:50 ]

ความคิดเห็นที่ 78 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:38:51 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 79 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:37:20 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:56:31 ]

ความคิดเห็นที่ 80 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:38:36 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 01:58:48 ]

ความคิดเห็นที่ 81 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:46:37 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:02:13 ]

ความคิดเห็นที่ 82 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:48:31 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:05:10 ]

ความคิดเห็นที่ 83 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:49:12 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:07:04 ]

ความคิดเห็นที่ 84 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:51:21 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 85 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:51:49 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:10:10 ]

ความคิดเห็นที่ 86 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:52:55 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:12:30 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ขอยืนยัน tuenum ลามกจริง จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:14:28 ]

ความคิดเห็นที่ 88 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:47:48 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:16:57 ]

ความคิดเห็นที่ 89 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:53:21 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:19:01 ]

ความคิดเห็นที่ 90 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:54:36 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 91 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:48:51 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:23:11 ]

ความคิดเห็นที่ 92 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:49:41 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:25:35 ]

ความคิดเห็นที่ 93 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:47:25 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 94 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:46:59 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:30:12 ]

ความคิดเห็นที่ 95 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:36:25 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:34:02 ]

ความคิดเห็นที่ 96 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:35:54 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:36:28 ]

ความคิดเห็นที่ 97 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:35:26 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:39:05 ]

ความคิดเห็นที่ 98 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:35:05 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:40:18 ]

ความคิดเห็นที่ 99 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:34:35 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:42:35 ]

ความคิดเห็นที่ 100 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 10:34:14 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:44:13 ]

ความคิดเห็นที่ 101 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:32:57 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:47:05 ]

ความคิดเห็นที่ 102 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:33:41 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:49:13 ]

ความคิดเห็นที่ 103 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:33:17 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:50:39 ]

ความคิดเห็นที่ 104 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:34:01 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:54:22 ]

ความคิดเห็นที่ 105 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:34:25 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:56:53 ]

ความคิดเห็นที่ 106 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:34:46 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 02:58:27 ]

ความคิดเห็นที่ 107 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:35:09 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:00:53 ]

ความคิดเห็นที่ 108 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:35:37 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 109 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:36:00 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 110 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:36:25 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:06:43 ]

ความคิดเห็นที่ 111 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:36:51 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:09:56 ]

ความคิดเห็นที่ 112 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:37:12 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:10:42 ]

ความคิดเห็นที่ 113 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:37:31 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:13:08 ]

ความคิดเห็นที่ 114 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:37:55 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:14:39 ]

ความคิดเห็นที่ 115 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:38:19 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 116 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:38:40 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:18:52 ]

ความคิดเห็นที่ 117 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:39:02 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:21:54 ]

ความคิดเห็นที่ 118 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:39:23 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:22:59 ]

ความคิดเห็นที่ 119 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:39:47 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:27:25 ]

ความคิดเห็นที่ 120 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:40:24 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:28:27 ]

ความคิดเห็นที่ 121 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:41:34 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:30:22 ]

ความคิดเห็นที่ 122 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:41:58 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:33:13 ]

ความคิดเห็นที่ 123 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:42:22 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:34:47 ]

ความคิดเห็นที่ 124 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:44:14 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:38:18 ]

ความคิดเห็นที่ 125 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:44:35 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:40:42 ]

ความคิดเห็นที่ 126 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:45:01 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:42:42 ]

ความคิดเห็นที่ 127 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:45:26 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 128 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:46:09 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:48:01 ]

ความคิดเห็นที่ 129 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:46:38 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:50:51 ]

ความคิดเห็นที่ 130 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:47:20 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:52:44 ]

ความคิดเห็นที่ 131 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:47:41 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:55:41 ]

ความคิดเห็นที่ 132 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:48:01 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:57:20 ]

ความคิดเห็นที่ 133 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:49:12 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 03:59:40 ]

ความคิดเห็นที่ 134 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:48:45 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:04:30 ]

ความคิดเห็นที่ 135 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:49:42 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:10:57 ]

ความคิดเห็นที่ 136 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:46:56 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:12:27 ]

ความคิดเห็นที่ 137 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:50:05 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:14:58 ]

ความคิดเห็นที่ 138 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:50:22 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:16:24 ]

ความคิดเห็นที่ 139 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:50:40 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:18:30 ]

ความคิดเห็นที่ 140 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:51:01 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:22:12 ]

ความคิดเห็นที่ 141 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:51:17 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:24:25 ]

ความคิดเห็นที่ 142 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:51:37 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:26:39 ]

ความคิดเห็นที่ 143 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:51:57 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:28:50 ]

ความคิดเห็นที่ 144 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:45:48 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 145 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:52:17 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:32:41 ]

ความคิดเห็นที่ 146 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:53:01 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 147 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:52:37 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:37:21 ]

ความคิดเห็นที่ 148 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:31:52 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:38:29 ]

ความคิดเห็นที่ 149 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 18:27:15 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:39:19 ]

ความคิดเห็นที่ 150 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 18:31:15 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:40:53 ]

ความคิดเห็นที่ 151 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 18:28:31 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:42:20 ]

ความคิดเห็นที่ 152 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 07:02:24 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 05:10:16 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:44:32 ]

ความคิดเห็นที่ 153 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 07:03:59 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 05:12:48 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:52:15 ]

ความคิดเห็นที่ 154 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 07:04:17 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 05:14:22 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:53:36 ]

ความคิดเห็นที่ 155 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 05:15:27 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 04:59:26 ]

ความคิดเห็นที่ 156 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 06:52:45 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 05:03:13 ]

ความคิดเห็นที่ 157 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 09:57:49 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 05:21:38 ]

ความคิดเห็นที่ 158 [๓๕๐] ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. นามและรูปย่อมดับไม่เหลือในธรรมชาตินี้.  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้แล้ว. เกวัฏฏ์คฤหบดีบุตรมีใจชื่นชม เพลิดเพลิน ภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล. พิจารณาเอานะครับ : ) -------------------------------------------------------- พุทธะไม่เคยเสื่อม  เพราะคนลามกจกเปรตผู้มีอวิชชาและสอนไม่ได้  และไม่เสื่อมเพราะเดียรถีย์นอกพระศาสนา จากคุณ : agam - [ 13 มี.ค. 50 06:25:54 ]

ความคิดเห็นที่ 159 ค.ห.25-151 หายไปไหน ??? ลองดูคาถาในพระสูตรมหายานสิครับ มันเหมือนการท่องมนต์ มากกว่าจะเป็นประโยคครับ พระโพธิสัตว์ยุคแรก ปรากฎการสร้างแค่ 2 องค์ คือพระไมเตรยะ คนไทยเรียกพระศรีอาริย์ และพระอวโลกิเตศวร ต่อมาก็มีพระมัญชุศรี พระสมันตภัทร พระมหาสถามปราปต์ พระกษิติครรภ์ เอ่อ แล้วพระอชิตะ หนึ่งใน18อรหันต์ ที่อยู่ในพุทธทำนายว่าคือพระพุทธเจ้าในอนาคต ก็เป็นพระภิกษุนะครับ แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 07:09:30 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 07:07:28 จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:01:36 ]

ความคิดเห็นที่ 160 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 09:57:21 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 07:05:42 ]

ความคิดเห็นที่ 161 ถึงคนที่ลบ ค.ห.25-151 ว่างมากเหรอครับ??? ผมเป็นเจ้าของกระทู้ แล้วมีสิทธิ์อะไรที่ไปลบความเห็นคนอื่นเขา ถึงมันจะระคายหู ก็ไม่มีสิทธิ์ไปลบมากมายขนาดนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 07:18:21 จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:16:52 ]

ความคิดเห็นที่ 162 ใช่ครับ ประติมากรรมพระโพธิสัตว์ยุคแรก ไม่ปรากฎพระอวโลกิเตศวร แต่เป็นพระศรีอาริย์ หรือพระเมไตรยโพธิสัตว์ ภาพนี้คือเศียรพระอวโลกิเตศวร แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 07:28:27 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:24:01 ]

ความคิดเห็นที่ 163 ภาพพระเมไตรย จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:25:25 ]

ความคิดเห็นที่ 164 1 จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:26:12 ]

ความคิดเห็นที่ 165 ล จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:26:47 ]

ความคิดเห็นที่ 166 ...... จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:27:22 ]

ความคิดเห็นที่ 167 ส่วนประติมากรรมพระอวโลกิเตศวร มาแพร่หลายสมัยปาละ-เสนะ ครับ และปางแรก คือปางปัทมปาณี คือถือดอกบัวครับ จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:32:02 ]

ความคิดเห็นที่ 168 บ จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:35:51 ]

ความคิดเห็นที่ 169 พระมัญชุศรีสมัยปาละ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:36:18 ]

ความคิดเห็นที่ 170 ถ้าจำไม่ผิด พระเต้าเซิง หรือพระกุมารชีพ เป็นผู้เขียนพระสูตรเถรวาทเป็นภาษาสันสกฤตนะครับ ------- ๒. พระกุมารชีพ (Kumarjiva)     ท่านเกิดเมื่อราว พ.ศ.๘๗๐ มีบิดาเป็นชาวอินเดียนามว่า กุมารายนะ ส่วนมารดาเป็นพระธิดาของเมืองกุจิ นามว่า เจ้าหญิงชีวะ ท่านเกิดที่เมืองการห์ร ต่อมาเมื่อพระมารดากลับมานับถือพุทธศาสนา ก็ได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีและนำบุตรชายไปสู่แคว้นกัศมีร์ เพื่อศึกษาพุทธศาสนา และเป็นศิษย์ของท่านพันธุทัตตะ สังกัดนิกายมหายาน ต่อมาก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุและเผยแพร่พุทธศาสนาสู่เอเชียกลาง พุทธบริษัทที่โขตาน (ปัจจุบันอยู่มณฑลซินเกียงของจีน) กาษคาร์ ยารคานด์ และที่อื่น ๆ ต่างเคารพท่านอย่างสูง เมื่อกองทัพจีนนำโดยหลีักวงเข้าโจมตีกุจิ ท่านกุมารชีพก็ถูกนำตัวไปสู่จีนในฐานะเชลยศึก ก่อนที่ท่านถูกจับตัวชื่อเสียงของท่านก็เป็นที่เลื่องลือเป็นอย่างมากในจีน จึงมีผู้มาเคารพและเยี่ยมเยียนท่านเป็นอย่างมาก ต่อมาจึงมีพระราชโองการให้ปล่อยท่านและเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์จิ้น ท่านได้ก่อตั้งองค์การแปลหนังสือตำราของอินเดียสู่ภาษาจีน โดยรวบรวมราชบัณฑิตนักปราชญ์ทั้งสองฝ่ายจีนและอินเดียได้ ๘๐๐ ท่าน ผลงานของคณะท่านได้แปลหนังสือได้มากกว่า ๓๐๐ เล่ม ที่เด่น ๆ เช่น มหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ศตศาสตร์ สุขาวดีอมฤตวยูหสูตร สัทธรรมปุณฑริกสูตร วัชรเฉทิกา ปรัชญาปารมิตาสูตร ชาวจีนที่นับถือศาสนาขงจื้อและเต๋าได้กลับในมานับถือพุทธศาสนาอย่างมาก วัดในพุทธศาสนาได้รับการสร้างขึ้นอย่างมากในประเทศจีน ทั้งหมดนี้ก็ด้วยเพราะความพยายาม ความอุตสาหะต่อการเผยแพร่อย่างเอาจริงเอาจังของท่านจนพุทธศาสนามันคงในจีน ท่านเป็นอาจารย์คนแรกที่สอนลัทธิมาธยมิกในประเทศจีน วาระสุดท้ายท่านก็มรณภาพอย่างสงบในแผ่นดินจีน http://ecurriculum.mv.ac.th/ebhuddismmusiem/religion/dhammathai/index-4.php.htm แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 10:16:59 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 08:01:20 จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 07:48:54 ]

ความคิดเห็นที่ 171 สวัสดีค่ะ อย่าเพิ่งโมโหค่ะ ส่วนตัวดิฉันเข้าใจว่าไม่มีใครลบคคห.เมื่อคืนหรอกค่ะ คงเป็นที่ระบบ[มั้ง??]   เพราะดิฉันก็โพสในกระทู้อื่น หายเรียบเหมือนกัน ช่วงประมาณ 23:xx เป็นต้นไปนั่นแหละค่ะ คุณ NgaoMak ลองสอบถามทางพันทิพสิคะว่าใครลบ ถ้าเขาลบจริงจะได้แจ้งให้ดูแลความประพฤติซะ แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 09:28:04 จากคุณ : /kd (@mantras) - [ 13 มี.ค. 50 09:06:12 ]

ความคิดเห็นที่ 172 ถ้าเป็นที่ระบบ ก็ไม่ว่าอะไรครับ จากคุณ : NgaoMak - [ 13 มี.ค. 50 09:42:01 ]

ความคิดเห็นที่ 173 อ้าวเพิ่งเข้ามาอ่าน  กระทู้หายไปเพียบ...   ผมว่าเราควรฟังความคิดที่ต่าง ด้วยนะครับ ไม่งั้นทำไม มหายาน  ชอบเรียก เถรวาท ว่า หินยาน --------------------------------------------------------- พระธยานิโพธิสัตว์มักจะมีภูมิหลังที่ยาวนาน เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าที่สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์มาเนิ่นนาน นับแต่สมัยพระอดีตพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สุดจะคณานับเป็นกาลเวลาได้ พระธยานิโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานรู้จักดี อาทิ พระมัญชุศรี พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระสมันตภัทร พระกษิติครรภ์ เป็นต้น ************************************************* *โดยยับยั้งไว้ยังไม่เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ ตรงนี้หมายความว่า ท่านยังไม่ได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า เพียงแต่ว่า ท่านบำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว(เทียบได้กับพระเวสสันดร) นี่เป็นความหมายตามแบบของมหายาน !!!!!! จากคุณ ฤทธี ---------------------------------------------------- อืมให้ความกระจ่างดีครับ ...  แต่ผมยังมองไม่ออกว่ายับยั้งได้ยังไง ส่วนนี้ มหายานเพิ่มเข้ามา  หรือมีในตั้งแต่แรก ก่อนโดนปฏิรูปหรือปล่าวครับ จากคุณ : ดีกว่าชีวิต - [ 13 มี.ค. 50 09:55:47 ]

ความคิดเห็นที่ 174 แก้ไขเมื่อ 14 มี.ค. 50 09:54:34 จากคุณ : Ritti Janson - [ 13 มี.ค. 50 09:56:35 ]

ความคิดเห็นที่ 175 พระอรหันต์ฤทธี ผู้ไม่ยอมเคลื่อนนิ้วแม้ถูกสาวเอาโยนียัดใส่นิ้ว ครับ 1.   ทุกอย่างผมมีหลักฐานครับ    เพราะผมไม่มั่วเขียนประวัติศาสตร์ศาสนาขึ้นมาเอง     ผมมีหนังสือที่พูดถึงประวัติศาสตร์ศาสนาอยู่ในมือตอนนี้เล่มเดียว คือ หนังสือพระพุทธศาสนามหายาน ของ รองศาสตราจารย์ ดร.ประยงค์  แสนบุราณ  หน้า 5-20  เรื่องการทำสังคายนาครั้งที่ 1 และ 2  รวมถึงมูลเหตุการแยกนิกาย   เล่มอื่นๆต้องไปค้นในห้องสมุด   แต่ผมไม่ไปค้นเพื่อคุณหรอก   เสียเวลา นิกายมหายานนั้นมีอยู่แล้ว   ที่ใช้ชื่อนี้เป็นการใช้ชื่อเก่า  หลังจากรวมนิกายต่างๆเข้าไว้ด้วยกันแล้ว 2.   พระพุทธเจ้านั้นคือพระโพธิสัตว์ตามความหมายของมหายาน   กรุณาไปอ่านข้อเขียนเรื่องพระโพธิสัตว์มหายานและหินยานของผมได้ครับ   จะได้ไม่มั่วดำน้ำอีก อนึ่ง  พระอวโลกิเตศวร  ท่านตั้งปณิธานคล้ายพระกษัติครรถ์โพธิสัตว์   คือจะขอเข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย   ผมถามคุณว่าถึงตอนนั้น  พระองค์ท่านจะไปเป็นพระพุทธเจ้าทำซากอะไรเล่า...... พอจอมมั่ว 3.  มูลเหตุการเกิดนิกายมหายานเริ่มจากพศ. 2 และตั้งนิกายมหายานชัดๆในพศ 6-7 เชิญไปอ่านเองตามข้อมูลที่ผมให้มา จากคุณ : tuenum - [ 13 มี.ค. 50 10:34:10 ]

ความคิดเห็นที่ 176 มหายานมีพระโพธิสัตว์เยอะมากครับ และ ความหมายก็ไม่ค่อยเหมือนกับพุทธเถรวาท คือดูสูงส่ง บำเพ็ญบารมีเต็มแล้ว แต่ไม่เข้าสู่พุทธภูมิ ต้องการจะโปรดสัตว์ไปเรื่อย ๆ สำหรับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็มีอยู่เกือบทุกวัดจีนครับ เช่น วัดมังกรกมลาวาศ วัดทิพย์วารี วัดโพธิ์แมน ตามตำนานท่านมักจะไปโปรดสัตว์นรกครับ จากคุณ : [Zero] - [ 13 มี.ค. 50 10:36:47 ]

ความคิดเห็นที่ 177 ช่วยใส่รูปละกันครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : [Zero] - [ 13 มี.ค. 50 10:37:23 ]

ความคิดเห็นที่ 178 อีกซักรูป [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : [Zero] - [ 13 มี.ค. 50 10:40:34 ]

ความคิดเห็นที่ 179 เขียนว่าอะไรกันน่ะครับ ผมกำลังศึกษานิกายมหายานอยู่พอดี น่าเสียดายจัง จากคุณ : ธัมมนันทิ - [ 13 มี.ค. 50 10:45:26 ]