ความคิดเห็นที่ 1 ซ้ำนะเฮียเวฟ มีคนชิงมาถามแล้ว บางอัน มี แปลผิดๆด้วย อะ อันที่เฮียถามไปแล้ว เก็บไว้ไหมเนี่ยเอาไปตอบเค้าหน่อย ความสับสนพวกนี้มาจากการที่เอาความหมายมาจากภาษาไทยโดนตัดต่อมาเฉพาะบางตอน เพราะภาษาอาหรับ ไม่เหมือนภาษาไทย ต้องศึกษาภาษาอาหรับ  ครับ รู้สึกบางอันเล่นตัดมาแบบดื้อๆเลย ภาษาไทยเนี่ย กลุ้ม http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5313434/Y5313434.html ปล. อยากรู้จังว่าคนที่ถาม รู้ว่าไม่ขัดแย้งแล้วจะศรัทธาไหม คริคริ จากคุณ : beckmee - [ 12 เม.ย. 50 17:26:37 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ที่เคยถามแล้วตอบแล้ว 1. พระเจ้าสร้างโลกในกี่วัน ? -  6 วัน ตามซูเราห์ 7:54, 10:3, 11:7 และ 25:59 - หรือ 8 วัน ตามซูเราะห์  41:9-12 >> 6 วัน แต่ระหว่างนั้นมีทำ 2 อย่างพร้อมกัน อันนี้เคลียร์ 2. พระเจ้าสร้างมนุษย์จากอะไร ? - จากก้อนเลือด (ซูเราะห์ 96:1-2) - หรือ จากน้ำ (ซูเราะห์ 21:30, 24:45, 25:54) - หรือ จากดิน (ซูเราะห์ 15:26 , 3:59,30:20,35:11) - หรือ จากความไม่มีอะไรเลย (ซูเราะห์ 19:67) >> คนแรกคนเดียวที่เป็นดิน สืบสายจากอสุจิ เป็นก้อนเลือด 3. ใครคือผู้ศรัทธาคนแรก ? - มูฮัมหมัด [6:14, 163] - หรือ มูซา [7:143] - หรือ ชาวอิยิปต์ [26:51] - หรือ อับราฮัม [2:127-133, 3:67] - หรือ อดัม [2:37] >>> คนแรกในแต่ละกลุ่มชนนั้น ๆ 6. เหล้า เป็นสิ่งที่ดี หรือไม่ดี ? - เป็นเพียงสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน [5:90] - หรือ เป็นธารน้ำในสรวงสวรรค์ [47.15] - และเป็นรางวัลสำหรับผู้ศรัทธา [83:22,25] ทำไมสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ถึงอยู่ในสรวงสวรรค์ได้ล่ะเนี่ย ??? >> เหล้าคนละชนิด เพราะบนสวรรค์ไม่เมา 9. อัลเลาะห์สร้างอะไรก่อน ระหว่างชั้นฟ้ากับพื้นดิน ? - สร้างพื้นดินก่อน แล้วจึงสร้างชั้นฟ้า [2:29] - สร้างชั้นฟ้าก่อน แล้วจึงสร้างพื้นดิน [79:27-30] >> พร้อม ๆ กันระหว่างนั้นก็สลับกันไปมา อ้างอิงจาก 1 ที่เหลือไม่เคลียร์ "ถ้าศาสนานี้มาจากพระเจ้าจริงก็น่าจะมีคำชี้แจงที่มีเหตุผลเช่นกัน" จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 17:44:33 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตอบข้อ  4  ที่เราเคยรู้มา น่ะ  ผู้ที่ไม่ศรัทธา จะได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดี  เพราะการตอบแทนนั้นมีทั้งที่ดี และไม่ดี ใครทำชั่วก็ได้รับการตอบแทนตามนั้น ใครทำดีก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นการตัดสินว่าใครจะตกนรกหรือได้ขึ้นสวรรค์นั้น เราไม่สามารถตัดสินใครได้เลย  นอกจากพระองค์อัลลาะห์เท่านั้น  และอีกเช่นเดียวกัน ข้อ 7 ที่ถามว่าผู้ที่ไม่ศรัทธาจะได้รับการให้อภัยหรือไม่  ผู้ที่ไม่ศรัทธาจะได้รับการให้อภัยต่อเมื่อเขาผู้นั้นเป็นผู้ที่ศรัทธาก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลก จากคุณ : เท่าที่รู้ (shop) - [ 12 เม.ย. 50 18:37:14 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สำหรับข้อ 8 นั้น สงสัยจะยกมาไม่หมด  เหมือนมันขาดอะไรไปสักอย่าง แล้วเราจะไปดูกรุอานมาให้อีกทีนะ เวลาที่ครูเค้าสอนน่ะเค้าดูมาจากหนังสือที่เป็นภาษาไทยนี่แหละ แต่เค้าเรียนมาก่อนเค้าก็เอามาถ่ายทอดโดยถอดความจากภาษาไทยนั้นอีกรอบ  ก็คือแปลไทยเป็นไทยอีกทีน่ะ  จึงทำให้บางคนเวลาอ่านแล้วถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน  อ่านแล้วจะงง  (เฉพาะบางอันนะ)   แล้วลักษณะของพระเจ้าคือ ไม่ประสูติและไม่ถูกประสูติ และสามารถทำให้ใครมีบุตรก็ได้โดยที่ไม่มีคู่ครองอย่างเช่นพระแม่มารีหรือนางมัรยัม  สิ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพระองค์  แล้ว ข้อ 10 น่ะ  เราอ่านดูแล้ว ถ้าอ่านให้ดี ๆ น่ะ ประโยคทีว่า "พวกเขาไม่พิจารณาดูอัลกุรอานบ้างหรือ ? และหากว่า อัลกุรอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮ์แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความขัด แย้งกันมากมาย"   เราอ่านเราได้ใจความว่า  พวกเขา(คนทั่วไปนี่แหละ)  ไม่ได้พิจารณาดูกรุอานหรือว่า  ถ้ากรุอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮแล้วแน่นอนเวลาที่ท่านอ่าน ท่านจะเจอข้อขัดแย้งอยู่มากมาย  แต่เมื่ออ่านไปแล้ว ท่านจะรู้ว่าไม่มีข้อขัดแย้งในส่วนไหนเลย(การที่ไม่มีข้อขัดแย้งก็ย่อมแสดงว่ากรุอานนั้นมาจากพระเจ้า จริง  ... ถ้าไม่ได้มาจากพระเจ้า ท่านก็จะพบข้อขัดแย้งมากมาย)  นั่นก็ทำให้มีผุ้คนมากมายที่อ่านกรุอานแล้วหาข้อขัดแย้งในนั้น แต่ก็ไม่พบ  (อ่านแล้ว งง มั้ย) จากคุณ : เท่าที่รู้ (shop) - [ 12 เม.ย. 50 18:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมจะขอตอบบางอันที่ผม อธิบายได้นะครับ โดยอ้างอิงจากตำราที่มีอยู่ คงตอบได้ไม่มากนักเดี๋ยวจะไม่อยู่แล้วครับ 5. มลาอิกะฮ์ หยิ่งยโสโอหังต่ออัลเลาะห์ได้หรือไม่ - มลาอิกะฮ์ทั้งหมดจะไม่หยิ่งผยองต่ออัลเลาะห์ ผละปฏิบัติตามคำบัญชา [16:49-50] - หรือ อิบลิส ซึ่งเป็นมลาอิกะฮ์สามารถหยิ่งผยองและปฏิเสธคำบัญชาของอัลเลาะห์ได้[2:34] ++++++++++++++++++++++++++++++++++++ หรือ อิบลิส ซึ่งเป็นมลาอิกะฮ์สามารถหยิ่งผยองและปฏิเสธคำบัญชาของอัลเลาะห์ได้[2:34] ผมเปิดอัลกรุอ่านดูภาษาอาหรับ ไม่ได้มีสักคำในอายะนี้เลยครับที่บอกว่า อิบลิส เป็น มลาอิกะห์ ในอายะนี้ มีความหมาย[2:34] ฉบับภาษาไทยโดย สมาคมศิษย์เก่าอาหรับ "และจงรำลึกถึง ขณะที่เราได้กล่าวแก่มลาอิกะห์ว่า พวกเจ้าจงสูยูด(1)แก่ อาดัมเถิด แล้ว พวกเขาก็สุยูดกัน นอกจากอิบรีส(2) โดยที่มันไม่ยอมสุยูด และแสดงโอหัง และมันจึงได้กลายเป็นผู้สิ้น สภาพแห่งการศรัทธา(กาเฟร)" 1) เป็นการโน้มศรีษะลงด้วยความนอบน้อม เป็นการคารวะและเคารพนับถือ มิใช่การวางหน้าลงบนพื้นแต่อย่างใดเพราะการกระทำดังกล่าวทำได้เฉพาะอัลลอฮ์เท่านั้น 2)เป็นต้นตอของเชื้อสายของซัยฏอน คำว่าที่ยกเว้นอิบลีสนั้น มิได้หมายความว่าอิบลีสนั้นเป็นมะลาอิกะห์แต่ขณะนั้นมันอยู่ร่วมกับบรรดามะลาอิกะห์ หากว่าอิบลีสเป็นพวกเดียวกับบรรดามะลาอิกะห์ก็จะไม่มีการฝ่าฝืน เพราะคุณสมบัติประการแรกของมลาอิกะห์คือ ไม่ฝ่าฝืนคำบัญชาของอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นการชัดเจนว่า อิบลีสเป็นญิน เพราะ พระองค์อัลลอฮ์ได้ยืนยัน ในพระมหาคัมภรีอัลกรุอ่านว่า "และเมื่อเราได้กล่าวแก่มลาอิกะห์ ว่า จงสุยูด ต่ออาดำ พวกเขาก็แสดงการคารวะเว้นแต่ อิบลีสเป็นพวกญิน และมันได้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระผู้อภิบาลของมันและพวกเจ้าจะยึดเอามันและวงศ์วานของมันเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากข้า กระนั้นหรือ? ทั้งๆที่พวกมันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า มันช่างชั่วช้าแท้ๆในการแลกเปลี่ยนสำหรับพวกอธรรม" (18:50) และอีกอายะหนึ่ง ที่ ยืนยันว่า อิบลีสไม่ได้เป็นมลาอิกะห์ ที่ถูกสร้างมาจากรัศมีแสงสว่าง โดยมันได้กล่าวเกี่ยวกับตัวมันเองว่า " พระองค์ทรงตรัสว่า อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุยูด ขณะที่ข้าได้ใช้เจ้า มันกล่าวว่า พระองค์ทรง สร้างฉันจากไฟและทรงสร้างเขาจากดิน" (7:12) แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 50 19:33:44 จากคุณ : beckmee - [ 12 เม.ย. 50 19:24:43 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอแจม.... ข้อ 4  เหตุผล และปัจจัยประกอบมันเยอะมาก ยังไม่ขอตอบ  และอาจจะไม่ตอบ...  อิอิ ข้อ 5  แน่นอนว่า มะลาอิกะฮ์ ไม่มีทางที่จะฝ่าฝืนพระองค์เด็ดขาด ...แต่ อิบลีส ไม่ใช่มะลาอิกะฮ์ นะครับ  ขอแก้ความเข้าใจเสียใหม่  อิบลีส เดิมคือ ญิน   เพราะ ญินถูกสร้างมาจากไฟ    ส่วนมะลาอิกะฮ์ ถูกสร้างมาจาก รัศมีของพระองค์ ข้อ 7  ผู้ไม่ศรัทธา ในที่นี้ถามว่าควร ได้รับการอภัยหรือไม่        เอางี้ดีกว่า..  แม้กระทั่งผู้ที่เป็นมุสลิม หากไม่ปฏิบัติตามท่านรอซู้ลแล้วไซร้  ในวันพิพากษา  จะไม่ได้รับการขอ " ชะฟาอะฮ์ " ( คือการที่ท่านรอซู้ลวิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้อภัยโทษต่อ มุสลิมคนนั้น ) ข้อ 8 ไม่แน่ใจในคำถาม ข้อ 10  ผมว่าไม่พบข้อขัดแย้งในอัลกุรอานนะครับ.. อย่างที่เคยบอกไป.. ข้อแตกต่างระหว่าง ผู้ที่อ่านคำแปลความหมายอย่างเดียวในอัลกุรอาน  กับผู้ที่ศึกษาวิธีการอรรถาธิบายอัลกุรอาน  ย่อมไม่มีทางเข้าใจได้ตรงกัน เนื่องจาก  การจะเข้าใจอัลกุรอานได้ จำเป็นที่จะต้อง - รู้หลักภาษาอาหรับ  ไวยกรณ์  เพราะ หลักไวยกรณ์บางข้อ.. มีตัวอย่างเฉพาะในอัลกุรอานเท่านั้น -  ศึกษา วิชาว่าด้วยอัลกุรอาน และการอรรถาธิบาย -  และต้องศึกษาชีวประวัติของท่านรอซู้ล ด้วย... ไม่ใช่การอ่านจากคำแปลภาษาไทยอย่างเดียวและจะเข้าใจ... ต่อข้อถามที่ว่า  อ้าว.. แล้วอย่างนี้ มุสลิมบางคนที่ไม่ได้ศึกษาอย่างที่กล่าวมา จะมาอ่านแล้วเข้าใจหรือ แน่นอนครับ  ยอมรับว่า ต้องมี ( แอบคิด) ในใจกันบ้างแหละ หรือมีข้อสงสัยบ้างแหละ  สงสัยในที่นี้ไม่ได้คลางแคลงใจ ว่าไม่น่าเชื่อ หรือไม่น่าเป็นไปได้หรอกนะครับ แต่สงสัยเนื่องจากต้องการคำอธิบายมากกว่าที่เห็น.. เป็นต้นว่า ขึ้นต้นมาด้วย บท อัลบะกะเราะฮ์ ( 2 ) " อะลีฟ  ลาม  มีม  "  อึ้งไปเลยครับ  เพราะคำแปลก็ อะลีฟ ลาม มีม เช่นกัน แน่นอนว่ามุสลิมทั่วๆไปต้องการที่จะรู้ว่า สามอักษรนั้นหมายถึงอะไร...  นั่นเองจึงต้องอาศัยข้อมูลทุกอย่างที่มี เช่น อัลฮะดีษ เพื่อมาอธิบายว่า ท่านรอซู้ล กล่าวไว้หรือไม่ว่ามันหมายถึงอะไร... พอ อรรถาธิบายออกมาว่า ทั้งสามอักษรนี้ มีพระองค์เท่านั้นที่รู้ว่าหมายถึงอะไร..  ก็จบ เท่านั้น .. จะมาว่าให้ไปถามอัลลอฮ์ดู เหมือนเป็นการ  ตอบไม่ได้ก็โยนให้พระเจ้า อิสลามศรัทธาในสิ่งเร้นลับนะครับ.. สิ่งเร้นลับ ( อัล ฆ็อยบ์)  มุสลิมต้องศรัทธาว่า เว้นเสียแต่ผู้ที่พระองค์จะแจ้งให้รู้เท่านั้น จึงจะรู้  และพระองค์จะเผยความรู้ในเรื่องเร้นลับเฉพาะผู้ที่พระองค์ประสงค์เท่านั้น... ดังนั้นจะมาตีโพยตีพายว่า โยนให้พระเจ้าก็คงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว..  ขนาดท่านรอซู้ลยังไม่ทราบ ย่อมแสดงว่ามีคำตอบในเรื่อง อักษรต้นตัวบท (ซึ่งมีอยู่หลายตัวบท) ณ ที่พระองค์เท่านั้น แต่...  มุสลิมมีศรัทธาอยู่แล้ว ความคลางแคลงใจใดๆจึงไม่มี..  แม้สงสัย แต่เชื่อว่าจะมีคำอธิบายได้.. เท่านี้หละครับ จากคุณ : เข้ามาแจม.. (ฟัยรูซ) - [ 12 เม.ย. 50 19:53:27 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อืมใช่ อิบลีส เป็นญิน แล้วอัลกุรอ่านโองการไหนบอกว่ามลาอิกะห์สร้างจากรัศมีครับ? จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 20:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบเเต่เพียงเบื้องต้น ก่อนตอนนี้นะครับ เราจะเห็นได้ว่าคำถามดังกล่าวนั้น มาจากการศึกษาอัลกุรอานชนิดที่ว่าไม่สมบูรณ์ จับเเพะชนเเกะ ชนิดที่ว่า มั่วสุดๆๆ เเต่ก็ต้องชมเชย กับคนต้นคิดเหมือนกันว่า เค้าสามารถจับโองการที่ใกล้กันมาวางไว้อย่างประสงค์ร้าย ก่อนอื่นเราจะเห็นว่า ความหมายอัลกุรอานที่ยกมาแปลในภาษาไทย นั้นถือว่า แย่มาก เพราะตัดแปะ นับเป็นเรื่องน่ารังเกียจมาก ที่ตัดแปะ มาโดยไม่ดูที่มาที่ไป เราได้กล่าวไปหลายครั้งในการยกข้อความในกุรอานมานั้น ไม่ไช่สักเเต่ว่าอ่าน เเล้วมาจับผิด เเต่หากมีศาสตรเฉพาะ ในการอรรถกถา ซึ่งบรรดานักมุฟัรซีรีน หรือ อรรถกถาจารย์ได้รจนาไว้ดีเเล้ว นับเเต่โบราณาจารย์ จนกระทั่งในปัจจุบัน ก็มีมุมมองที่เพิ่มเติมตามยุคตามสมัย เเต่การอ้างดังกล่าวไม่ทราบว่าคนที่เป็นต้นกระทู้ บรรลุซักศาสตร์หรือยัง ดังนั้น ขอว่าท่านทั้งหลายที่ได้อ่านอย่าได้หลงเชื่อ หรือปักใจเชื่อเช่นนั้น จนกว่าเราทั้งหลายที่เป็นมุสลิมจักได้อธิบายต่อไป เเท้จริงความรู้ที่เเท้จริงนั้นอยู่กับอัลลอฮฺ จากคุณ : dhean - [ 12 เม.ย. 50 20:06:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบท่าน คลื่นเเทรก สิ่งที่อัลลอฮฺทรงนำมาสร้างมลาอิกะฮฺคือ เเสงสว่าง ในบันทึกของอิมามา มุสลิม เจ้าของ เศาะฮีฮิมุสลิม มีรายงานจากท่านหญิง อาอิชะฮฺ ว่า ท่านนบีกล่าวว่า " มลาอิกะฮฺถูกสร้างมาจากเเสงสว่าง ญินถูกสร้างมาจากไฟที่ไม่มีควัน ..." ส่วนเเสงอะไรนั้นที่นำมาไช้ในการสร้างนั้นเป็นเรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็น เเละไม่มีรายละเอียดไนเรื่องนี้นอกจากฮะดีษดังกล่าว แท้จริงความรู้ที่เเท้จริงนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺ จากคุณ : dhean - [ 12 เม.ย. 50 20:13:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สรุปว่า อัลกุรอ่าน ไม่ได้บอกว่ามลาอิกะฮ์ ถูกสร้างมาจากอะไรใช่มั้ยครับ แต่ไฟก็มีแสงสว่างนี่ครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 20:18:01 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เอาอย่างนี้ดีกว่าคุณ เธียร คือ มันหลายข้อครับ ผมนี่แหละครับที่จะงงเป็นคนแรก ผมขออันนี้ก่อนแล้วกันครับ จบประเด็นหนึ่งแล้วจะตั้งกระทู้ถามต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่จบก็ถามไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน กระทู้นี้ขอเป็นข้อ 4.     4. ผู้ปฏิเสธศรัทธาจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากอัลเลาะห์หรือไม่? - ไม่มีทาง [9:17, 9:69] [9.17]  ไม่บังควรแก่มุชริกทั้งหลายที่จะบูรณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮ์ ในฐานะที่พวกเขายืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองแล้ว ซึ่งการปฏิเสธศรัทธา ชนเหล่านั้นแหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล และในนรกนั้นพวกเขาจะอยู่ตลอดกาล [9.69]  เช่นเดียวกับบรรดาผู้ที่ก่อนหน้าพวกเจ้า ซึ่งพวกเขาเป็นพวกที่มีกำลังแข็งแรงกว่าพวกเจ้า และมีทรัพย์สมบัติและลูก ๆ มากกว่าพวกเจ้า แล้วพวกเขาก็ได้หาความสำราญในสิ่งที่เป็นส่วนได้ ของพวกเขา พวกเจ้าก็ได้หาความสำราญในสิ่งที่เป็นส่วนได้ของพวกเจ้า เช่นเดียวกับบรรดาผู้ทีก่อนหน้าพวกเจ้าได้หาความสำราญในสิ่งที่เป็นส่วนได้ของพวกเขามาแล้ว และพวกเจ้าพูดกันในสิ่งไร้สาระ เช่นเดียวกับพวกเขาพูดคุยกัน ชนเหล่านี้แหละ บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล ทั้งในโลกนี้และปรโลก และชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ขาดทุน - หรือ ได้รับผลตอบแทนที่ดี [99:7] [99.7]  ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน - หรือ สัญญากับชาวคริสต์ว่าจะได้รับผลที่ดี [2:62] [2.62]  จงแน่ใจได้เลยว่า ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา ยิว คริสเตียน หรือซอบีอีน ที่เชื่อในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย และประกอบการดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม - แต่ว่าในซูเราะห์ กล่าวว่า ชาวคริสต์คือผู้ปฏิเสธศรัทธา [5:17, 72-73] [5.17]  แน่นอนได้ปฏิเสธศรัทธาแล้วบรรดาผู้ที่กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคืออัลมะซีห์ บุตรของมัรยัม จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ก็ใครเล่าที่จะมีอำนาจครอบครองสิ่งของ จากอัลลอฮ์ได้ หากพระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำลายอัล-มะซีห์ บุตรของมัรยัม และมารดาของเขา และผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมด และอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น และอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง [5.72]  แท้จริงบรรดาผุ้ที่กล่าวว่า อัลลอฮ์คือ อัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมนั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว และอัล-มะซีห์ได้กล่าวว่า วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย! จงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ผุ้เป็นพระเจ้าของฉัน และเป็นพระเจ้าของพวกท่านเถิด แท้จริงผู้ใดให้มีภาแก่อัลลอฮ์ แน่นอนอัลลอฮ์จะทรงให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขา และที่พำนักของเขานั้นคือนรก และสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้นย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ [5.73]  แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮ์เป็นผู้ที่สามของสามองค์ นั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากผู้ที่ควรเคารพสักการะองค์เดียวเท่านั้น และหากพวกเขามิหยุดยั้งจากสิ่งที่พวกเขากล่าวแน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธาในหมู่พวกเขานั้นจะต้องประสบการลงโทษอันเจ็บแสบ - หรือ ชาวคริสต์จะไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรเลย [9:17] [9.17]  ไม่บังควรแก่มุชริกทั้งหลายที่จะบูรณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮ์ ในฐานะที่พวกเขายืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองแล้ว ซึ่งการปฏิเสธศรัทธา ชนเหล่านั้นแหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล และในนรกนั้นพวกเขาจะอยู่ตลอดกาล จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 20:19:39 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่าท่านคลื่นเเทรก ควรไปเรียนภาษาอาหรับบ้างก็ดีนะครับว่า เเสงสว่าง กับ ไฟ ที่ปรากฏในสำนวนฮาดีษนั้นมันคนละอย่างกัน จากคุณ : dhean - [ 12 เม.ย. 50 20:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมขอถอนข้อ 10 ออกด้วยนะครับ ถ้าข้อสรุปไม่ได้ผมจะใส่มา จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 20:28:47 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่าท่านคลื่นเเทรก ควรไปเรียนภาษาอาหรับบ้างก็ดีนะครับว่า เเสงสว่าง กับ ไฟ ที่ปรากฏในสำนวนฮาดีษนั้นมันคนละอย่างกัน ภาษาอาหรับทำแบบกระทู้นี้ได้มั้ยครับ จะได้เห็นชัด ๆ กันไปเลย http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/03/Y5221854/Y5221854.html จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 20:31:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เอาละ..บัดนี้จักได้อธิบายความตามกระทู้ ในข้อ4 ว่า ผู้ปฏิเสธศรัทธาจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากอัลเลาะห์หรือไม่ สำหรับกุรอานเเละฮาดีษได้มีการวางกฏรายละเอียดของการไห้รางวัลเเละกานลงโทษไว้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ศรัทธา คนมุนาฟิก ผู้ปฏิเสธ ผู้ศรัทธาที่ทำดี ผู้ศรัทธาที่ทำผิด หรือทำชั่ว ผู้ปฎิเสธทั่วไป ผู้ปฎิเสธที่สร้างความเสียหาย เเละรางวัลตอบเเทนเเละการลงโทษเหล่านี้ก็มีชึ้นอยู่กับชีวิตมนุษย์ทั้งหมดตั้งเเต่โลกนี้ ไปจยถึงโลกหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ กุรอานได้กล่าวถึงหลักการบางอย่างไว้ดังนี้ ***การงานของผู้ปฏิเสธ ผู้บูชาเทวรูป พวกมุนาฟิก (กล่าวคือ การงานที่ถือว่าว่าเป็นคุณธรรม) ได้ถูกถือว่าสูญเปล่า พวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลตอบเเทนใดๆในโลกหน้า เเต่ถ้าหากพวกเขาจะได้รับรางวัลใดๆพวกเขาจะได้รับในโลกนี้ ดู อัลอะรอฟ 147 ฮุด 15-16 อัลกะฮฺฟิ 104-105 อันนูร 39 อัลฟุรกอน 23 อัลอะฮฺซาบ 19 อัซซุมัร 65 อัลอะฮฺกอฟ 20 มีรายงานจากเกาะตาดะฮฺ ได้รายงานคำพูดต่อไปนี้ของท่านนบี จากอะนัสว่า "...ส่วนผูปฎิเสธนั้นจะได้รับการตอบเเทนของเขาในโลกนี้ ดังนั้น เมื่อการฟื้นคืนชีพเกิดขึ้น เขาจะไม่เหลือการงานที่ดีเหลือสำหรับการตอบแทน" (อิบนุญะรีร) เเต่อย่างไรก็ตาม "ถึงเเม้ความดีที่ผูปฏิเสธฑทำไปจะไม่สามารถช่วยไห้รอดจากนรกได้ เเต่ในนรกเขาจะไม่ถูฏลงโทษอย่างรุนเเรงอย่างที่ทำกับผู้ปฏิเสธที่ชั่วช้าเเละบาปหนา (รูฮุลมะอานี) มาถึงคำว่า "...การงานของพวกเขาทั้งหมดนั้นสูญเปล่า..." รวมทั้งการรับใช้บ้านของอัลลอฮฺ ด้วย เพราะว่าพวกเขาได้นำการชิริก เเละการปฏิบัตืที่โง่เขลา มีอวิชชาหุ้มอยู่ มาปนกับการงานของเขา ดังนั้นการงานที่ดีของพวกเขาเล็กๆน้อยๆ จึงถูกความชั่วอย่างหนักของพวกเขาทำลายสูญไป มาถึงตรงนี้เปรียบกับคนที่ใส่กระดุมผิดตั้งเเต่เเรก เเม้ในเม็ดต่อไปจะดูว่าเหมือนถูกที่ใส่ถูกในเเต่ละรังดุม เเต่เมื่อดูทั้งหมด เค้าใส่ผิด มาถึงข้อสรุปของเราเกี่ยวกับโองการที่ยกมานั้น ถ้าจะไห้เข้าไจ คงต้องยกกรณี ของ Linear programing ที่มีการตัดไปตัดมาของเส็น ฟังชั้นเงื่อนไข ดังนั้นเงื่อนไขอันหนึ่งจะถูกกำหนดโดยอีกอันหนึ่ง ซึ่งท้ายที่สุดก็จะเอาคำตอบไปแทยในสมการวัตถุประสงค์ ดังนี้เเละ คือการเข้าใจที่ถูกต้อง อ้างเเล้วในตัฟฮีมุลกุรอาน แท้จริงความรู้ที่เเท้จริงนั้นอยู่กับอัลลอฮฺ จากคุณ : dhean - [ 12 เม.ย. 50 20:56:23 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ชัดแค่บางส่วนแต่ไม่ชัดในบางส่วนครับ การงานของผู้ปฏิเสธ (กาเฟร) ผู้บูชาเทวรูป (มุชริก) พวกหน้าไหว้หลังหลอก (มุนาฟิก) - สรุปได้ว่า - ได้ถูกถือว่าสูญเปล่า พวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลตอบเเทนใด ๆ ในโลกหน้า แล้วโองการนี้ล่ะครับ หมายความว่าอะไร [99.7]  ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน เห็นเพียงความดีที่ไร้ค่าอย่างนั้นหรือครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 21:18:01 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ข้อ 2 ครับ [2.62]  จงแน่ใจได้เลยว่า ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา ยิว คริสเตียน หรือซอบีอีน ที่เชื่อในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย และประกอบการดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม ยิว และคริสเตียน คือ กาเฟรมิใช่เหรอครับ จาก 5:17,72,73 จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 21:22:32 ]

ความคิดเห็นที่ 18 นี่ละครับ ที่เป็ปัญหาที่ตัดมาโดยไม่ได้พิจารณาอายะก่อนหน้า ว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร จะเห็นได้ พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสเรื่องราวเกี่ยวกับนบีมูซา และทรงตรัสต่อมาถึงชนชาว ยิว นัสรอนี(คริสต์) และชาวซอบีอีน(อาหรับบางเผ่า) ที่ศรัทธาที่ถูกต้อง คือพระเจ้าองค์เดียวในสมัย ก่อนที่ท่านนบีมูฮัมมัดจะประสูติ ซึ่งต่างจาก ยิว และ นัซรอนี ในสมัยปัจจุบัน [2.61]  และจงนึกถึง เมื่อตอนที่สูเจ้ากล่าวว่า มูซาเอ๋ย เรา ไม่สามารถทนต่ออาหารอย่างเดียวได้ ดังนั้น จงร้องขอ ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้นำผลผลิตที่งอกเงย ออกจากพื้นดิน คือ พืชผัก แตงกวา กระเทียม ถั่ว และหัวหอม มาให้แก่เราเหน่อย มูซาได้กล่าวตอบว่า พวกท่านต้องการเปลี่ยน เอาสิ่งที่เลวกว่า แทนสิ่งที่ดีกว่ากระนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น จงไปอยู่ในเมือง และพวกท่าน จะได้สิ่งที่พวกท่านต้องการที่นั่น หลังจากนั้น พวกเขาตกต่ำ จนต้องถูกความอัปยศ และความขัดสนฟาดกระหน่ำ และได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์ นั่นเป็นเพราะ เขาปฏิเสธอายะฮ์ทั้งหลายของอัลลอฮ์ และฆ่านบีบางคน โดยปราศจากสาเหตุที่ยุติธรรม นั่นเป็นเพราะพวกเขาดื้อดึง และพวกเขาละเมิด [2.62]  จงแน่ใจได้เลยว่า ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา ยิว คริสเตียน หรือซอบีอีน ที่เชื่อในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย และประกอบการดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 50 21:36:50 จากคุณ : beckmee - [ 12 เม.ย. 50 21:35:05 ]

ความคิดเห็นที่ 19 .. แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 50 21:37:57 จากคุณ : beckmee - [ 12 เม.ย. 50 21:35:28 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เอาะมาต่อที่ หรือ สัญญากับชาวคริสต์ว่าจะได้รับผลที่ดี [2:62] [2.62]  จงแน่ใจได้เลยว่า ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา ยิว คริสเตียน หรือซอบีอีน ที่เชื่อในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย และประกอบการดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม ตามที่อรรถกถาจารย์ อิบนุกะซีร กล่าวใน หนังสือของท่าน ชื่ออัลกุรอาน อันอะซีม ว่า อิบนุอับบาส กล่าวว่า อัลลอฮฺ จะไม่ทรงตอบรับ การกระทำของบุคคลหนึ่ง จนกว่าเขาจะดำรงอยู่ใน ศาสนาที่นบีมุฮัมมัดนำมา หลังจากที่พระองค์ทรงส่งนบีมุฮัมมัดมายังโลกเเล้ว เเต่ก่อนหน้านั้น บุคคลผู้ได้ล่วงหน้ามาก่อนเเล้วนั้น เเนวทางของเขานั้นก็คือ เเนวทางที่บรรดานบีของพวกเขาที่มาก่อนหน้านบีมุฮัมมัด ได้เเสดงเอาไว้ ที่นี้มาดูเจ้าของหนังสือ ฟีซิลาล บ้าง ท่านกล่าวว่า อายะฮฺนี้ได้ยอมรับว่า ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ เเละวันสุดท้าย พวกเขาทั้งหมด คือ ผู้กระทำดี พวกเขาจะได้รับการตอบเเทนจากอัลลอฮฺ ...ข้อคิดหลักอยู่ที่เเก่นเเท้ของความเชื่อ ไม่ได้อยู่ที่ชาติใดชาติหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง นี่คือรูปแบบหรือกฏต่างๆ ก่อนที่จะมีการเเต่งตั้งนบีมุฮัมมัด เเต่หลังจากนบีมุฮัมมัดมาถึง เเล้ว ลักษณะของการศรัทธาก็ถูฏจำกัดด้วยรูปแบบเฉพาะ เป็นการศรัทธารูปแบบสุดท้าย มาดูเจ้าของหนังสือ ตัฟฮีม บ้าง ท่านกล่าวว่า อายะฮฺนี้ปรากชัด เพื่อขจัดความเข้าใจผิดที่พวกยิวคิด ว่า พวกตนเท่านั้นที่จะได้รับความรอด โดยไม่คำนึงถึงความเชื่อ เเละการกระทำของตนจะเป็นอย่างไรก็ตาม ความหลงผิดนี้ทำไห้พวกเขาคิดเลยไปว่า พวกเขามีสัมพันธ์พิเศษกับอัลลอฮฺ พวกเขาจะได้เข้าไปหในแผ่นดินสวรรค์ โดยไม่คำนึงถึงการกระทำของพวกเขา ทั้งนี้เพราะเขาเป็นอิสราอีล ส่วนคนอื่นตกนรกหมด อัลลอฮฺประกาศว่าความรอดอยู๋การกระทำไม่ไช้มาจากเชื้อสาย การตัดสินของอัลลอฺไม่ขึ้นกับบันทึกสำมะโนประชากรของโลกนี้ เเต่อยู่ที่คุณค่าของการศรัทธาที่ถูกต้องเเละการกระทำดีเท่านั้น แท้จริงความรู้ที่เเท้จริงนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺ จากคุณ : dhean - [ 12 เม.ย. 50 21:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ท่านคลื่นเเทรกคงเข้าใจนะครับ ว่าโองการอัลกุรอาน ต่างอรรถาธิบายกันเอง ถูกจำกัดด้วยกันเอง การกรณีนี้ถือว่า เป็นการอธิบายที่ดีที่สุด ที่กุรอานอธิบายกันเองครับ จากคุณ : dhean - [ 12 เม.ย. 50 21:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อืม ผมลืมไปตรงจุดนี้ ผู้ศรัทธาก่อนนบีมูฮัมมัด ผมเคยถามแล้วแหละตรงนี้ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2006/05/Y4400247/Y4400247.html ผมลืมไปได้อย่างไร มันเกี่ยวพันกับข้อที่ว่าใครคือมุสลิมคนแรก ดังนั้นชาวคริสต์ในยุคแรกที่อาจถูกเหมารวมเป็นนอสติก (Gnostic) บางกลุ่ม ในหลาย ๆ กลุ่ม และบางกลุ่มที่ว่าโดนกล่าวหาว่าผิดเพี้ยน จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 21:48:29 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เคยถามแล้วจริง ๆ ด้วยครับ ความคิดเห็นที่ 29   ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ ...ผู้ที่เป็นประกาศกนั้น จะแบ่งเป็น นบี กับรอซู้ล ครับ  โดยหลักการถือว่า นบีนั้นมีหน้าที่แค่สั่งสอน หรือปฏิบัติตามคำสอนที่รอซู้ลก่อนหน้านี้นำมาครับ  ดังนั้นคำสอนของนบีจะไม่ขัดกับรอซู้ลครับ ...แต่หากเป็นรอซู้ลเอง บางครั้งจะได้รับมอบหมายให้มาเผยแพร่ บทบัญญัติใหม่ด้วย  ดังนั้น ตามรายงานบางสาย จึงระบุว่า มีนบีถึง 124,000 ท่าน  แต่กุรอานนั้นระบุชื่อเพียง 25 ท่าน ซึ่ง 25 ท่านนั้นก็คือ รอซู้ลนั่นเอง ....ในกรณีที่มีรอซู้ลเกิดหรืออาศัยอยู่ร่วมสมัยเดียวกัน เช่น โมเสส  หรืออารอน นั้น บทบัญญัติที่ลงมาจะไม่ขัดแย้งหรือไปยกเลิกกันเองครับ กุรอาน 2:106 กล่าวว่า "โองการใดที่เรายกเลิก หรือเราทำให้มันลืมเลือนไปนั้น เราจะนำสิ่งที่ดีกว่าโองการนั้นมา หรือสิ่งที่เท่าเทียมกับโองการนั้น..." ...นั่นหมายความว่า บทบัญญัติของพระเจ้านั้นจะไม่ขัดแย้งกันเองครับ  หากมีบทบัญญัติใหม่ที่เหมาะสมกว่า บทบัญญัติเก่านั้น พระองค์จะทรงทำให้มันหายสาบสูญไป หรือถูกลืมเลือนไป  หรือไม่ก็มี โองการที่ชัดเจน ระบุมาเลยว่า  ยกเลิกโองการนั้น ๆ ไปแล้ว ...การขัดแย้งในบทบัญญัตินั้นจะไม่มีเกิดขึ้นในโองการที่พระองค์ประทานลงมาครับ...เพราะการขัดแย้งเช่นนี้ ถือเป็นการขัดต่อฮิกมะห์ (วิทยญาณ) ของพระองค์ เป็นการบกพร่องในสภาวะของพระผู้เป็นเจ้า  ซึ่ง พระเจ้าในหลักการของอิสลามนั้น จะไม่มีเรื่องเช่นนี้ครับ ...แต่หากว่า คุณคลื่นแทรก เกิดตกไปอยู่ในดินแดนลึกลับ  ไม่ได้รับรู้ข่าวสารจากภายนอกเลย..และไม่ได้รับรู้ว่า มีการยกเลิกบทบัญญัติที่คุณได้ปฏิบัติตาม ศาสนทูตก่อนหน้านี้มา...จนกระทั่งความตายได้พรากชีวิตคุณไปจากโลกนี้...เช่นนี้ถือว่า คุณคลื่นแทรก  ไม่มีความผิดบาปแต่ประการใดครับ...คุณก็จะถูกตัดสินในวันพิพากษา ตามมาตราฐานในบทบัญญัติที่คุณได้ยึดถือมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิตครับ ด้วยจิตคารวะ จากคุณ : kheedes จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 21:52:18 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ยิ่งอ่านอันนี้เริ่มชัดว่าชาวคริสต์เริ่มแรกมีหลายกลุ่ม http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2006/09/Y4727478/Y4727478.html กลุ่มที่ถือพันธสัญญาใหม่ 27 เล่มในปัจจุบันคือกลุ่มผู้ชนะ กลุ่มนี้ตามความคิดของคุณเธียรคิดเห็นว่าอย่างไรครับ ถ้าไม่กล้าตอบหลังไมค์มาได้นะครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 21:59:24 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แล้วข้อนี้ล่ะครับ ขอคำตอบชัด ๆ หน่อยครับ การงานของผู้ปฏิเสธ (กาเฟร) ผู้บูชาเทวรูป (มุชริก) พวกหน้าไหว้หลังหลอก (มุนาฟิก) - สรุปได้ว่า - ได้ถูกถือว่าสูญเปล่า พวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลตอบเเทนใด ๆ ในโลกหน้า แล้วโองการนี้ล่ะครับ หมายความว่าอะไร [99.7]  ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน คือเห็นเพียงความดีที่ไม่มีค่าอย่างนั้นหรือครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 22:02:03 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มันก็ชัดเเล้วคับ คงไม่ต้องพูดไห้มากความ "ศาสนาของท่านคือศาสนาของท่าน ศาสนาของเรา คือศาสนาของเรา " จากคุณ : dhean - [ 12 เม.ย. 50 22:08:57 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คำตอบ คือ สูญ คับ กรณีดูความเห็นที่ 15 ครับ เเล้วนึกถึง กำหนดการเชิงเส้น ที่เรียนมาในสมัยก่อน ก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก เคลียร์ จากคุณ : dhean - [ 12 เม.ย. 50 22:12:43 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ถ้าตอบอย่างนี้ ผมพอรู้คำตอบแล้วว่า เป็นความดีที่ไร้ค่าจริง ๆ แล้วผมควรจะกลัวมั้ยเนี้ย คุณเธียรอย่าลืมตอบข้อนี้นะครับ กลุ่มที่ถือพันธสัญญาใหม่ 27 เล่มในปัจจุบัน กลุ่มนี้ตามความคิดของคุณเธียรคิดเห็นว่าอย่างไรครับ ตาม 5:17,72,73 หรือไม่ ถ้าไม่กล้าตอบหลังไมค์มาได้นะครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 22:14:54 ]

ความคิดเห็นที่ 29 [99.7]  ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน คือ การงานที่ทุกคนทำไม่ว่า มุสลิม หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่ว จะได้เห็นหมดครับ( และจะได้รับรู้ว่าได้การตอบแทนไปแล้วในโลกนี้อย่างไร หรือ ยังไม่ได้รับการตอบแทน ) นอกจากนั้นพระองค์จะทำการตัดสินทุกคนแล้ว พระองค์ ทรงให้ทุกคนได้ตรวจสอบตนเองด้วยว่า ได้กระทำอะไรไปบ้าง ด้วยการกระทำเหล่านั้นไม่ว่ามันจะเล็กน้อยก็ตาม แต่อย่าลืมว่าการตั้งภาคีนั้นคือการเป็น กุฟรุ(การปฏิเสธศรัทธา) คือบาปสูงสุดนั้นเอง และจากที่ท่าน เธียรกล่าวมาแล้วว่า การทำความดี ของผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมหรือผู้ที่ไม่ได้ศรัทธาต่อบรรดานบีในยุคนั้นๆ จะได้รับการตอบแทนในโลกนี้ ในวันนั้นเขาก็จะได้เห็นมัน ทั้งหมดเช่นเดียวกัน จากคุณ : beckmee - [ 12 เม.ย. 50 22:15:27 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ข้อ 4. เริ่มเคลียร์ครับ งั้นขอต่อข้อ 5. ครับ อิบรีส คือ ญินที่ถูกสร้างมาจากไฟ อัลกุรอานบอกไว้ มลาอิกะห์ถูกสร้างจากแสงสว่าง อัลกุรอ่านไม่บอกไว้ ขอภาษาอาหรับด้วยครับ ไฟ และแสงสว่าง ถามเป็นความรู้เพิ่มด้วยครับ ทูตสวรรค์ ต่างจากญินอย่างไร แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 50 22:24:48 จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 12 เม.ย. 50 22:18:59 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าจำไม่ผิด... ญินมี free will แต่ทูตสวรรค์ไม่มี รอมุสลิมมายืนยันละกันครับ จากคุณ : PUFF - [ 12 เม.ย. 50 23:22:45 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ... ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ... ขอเริ่มหัวข้อใหม่ รวบรวมคำตอบไว้ให้เป็นแหล่งเดียวกัน เริ่มจากข้อสี่ 4. ผู้ปฏิเสธศรัทธาจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากอัลเลาะห์หรือไม่ ? คำถามควรจะเป็น ผู้ปฎิเสธศรัทธาที่ทำความดี จะได้รับการตอบแทนที่ดีจากอัลลอฮฺหรือไม่? รายงานจากท่านอนัส บิน มาลิก กล่าวว่า ท่านนบี(ซ.ล) กล่าวว่า "แท้จริง อัลลอฮฺมิได้ทรงอยุติธรรมแก่การงานของผู้ศรัทธา แท้จริงพระองค์จะทรงตอบแทนความดีแก่เขาในโลกนี้ และโลกหน้า สำหรับผู้ปฎิเสธศรัทธา การงานพวกเขาจะถูกตอบแทนเสียตั้งแต่ในโลกนี้ และเมื่อมาถึงโลกหน้า พวกเขาจะไม่พบความดีอะไรหลงเหลือแก่เขาอีก" บันทึกโดย มุสลิม ฮะดิษหมายเลข 1305 มีการบันทึกถึงภาคผลการกระทำความตีหลายๆอย่าง ที่ไม่จำกัดวงอยู่ในเงื่อนไขของการศรัทธา เช่น การติดต่อสัมพันธ์กับเครือญาติ  รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) กล่าวว่า "ใครก็ตามที่อยากให้มีความเป็นอยู่ทีกว้างขวาง และมีอายุยืน ท่านจงมีความสัมพันธ์ที่ดี ต่อเครือญาติ" (บันทึกโดย ติรมีซีย์) อีกรายงานหนึ่ง กล่าวถึงพวกกุเรชมักกะฮ์ ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้เป็นมุสลิม ท่านนบีกล่าวว่า "พวกกุเรชจะยังอยู่ในความดีของเขา (ได้รับการยกย่อง และมีหน้ามีตาในหมู่ชาวอาหรับ) ตราบเท่าที่เขาติดต่อสัมพันธ์กับเครือญาติ" (มิชกาตุ้ลมะซอบิฮ์) ในครั้งหนึ่ง ท่านกล่าว "การบริจาคทาน จะช่วยเพิ่มศิริมงคลให้แก่ชีวิต" (บันทึกโดย ติรมีซีย์) ศิริมงคล หมายถึง ความดีที่มากมาย ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีอายุยืน แต่หมายถึง "สามารถได้ทำ ในสิ่งที่คนมีอายุเท่าๆกัน ไม่สามรถทำได้" ยังคงเหลือแต่การตอบแทนในโลกหน้า ที่มีเฉพาะผู้ศรัทธาเท่านั้น ... ส่วนการเข้าสวรรค์ หรือลงนรกนั้น เป็นสิทธิของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว ... (กุรอ่าน1:4) "ผู้ทรงสิทธิขาด ในวันตอบแทน" ทั้งนี้และทั้งนั้น พระองค์จะไม่ทรงผิดคำสัญญาของพระองค์เอง สัญญาของพระองค์แก่ผู้ศรัทธาคือ (กุรอ่าน4:126) "บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกชนเหล่านี้แหละเราจะให้แก่พวกเขาซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง" ส่วนสัญญาของพระองค์ต่อผู้ปฎิเสธคือ (กุรอ่าน2:90) "และสำหรับผู้ปฏิเสธการศรัทธานั้นคือการลงโทษอันต่ำช้า" แต่พระองค์อยู่เหนือคำสัญญาของพระองค์ กล่าวได้ว่า พระองค์ จะทำอะไรก็ได้ ที่พระองค์ ทรงประสงค์ โดยไม่ถูกถามถึงสาเหตุ (กุรอ่าน21:23) "พระองค์จะไม่ทรงถูกสอบถามในสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติ และพวกเขาต่างหากที่จะถูกสอบถาม" ... สรุปเรื่องการเข้าสวรรค์-ลงนรก ในทัศนะของมุสลิม คือ ไม่มีมุสลิมคนไหนบอกว่า "ฉันไม่ลงนรกแน่นอน" และ เช่นเดียวกัน ไม่มีมุสลิมคนไหนบอกแก่คนที่ไม่ใช่มุสลิมได้ว่า "คุณต้องลงนรกแน่นอน" ถามว่า ทำไมคนทำความดีถึงไม่ได้เข้าสวรรค์? เงื่อนไขการเข้าสวรรค์คือ การศรัทธา (กุรอ่าน 67: 12) แท้จริงบรรดาผู้ยำเกรงต่อพระเจ้าของพวกเขาโดยที่เขาไม่เห็นพระองค์ สำหรับพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง สวรรค์เป็นสถานที่ที่เครียมไว้สำหรับบรรดาคนเหล่านี้ (กุรอ่าน 3:133) และพวกเจ้าจงรีบเร่งกันไปสู่การอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเจ้า และไปสู่สวรรค์ซึ่งความกว้างของมันนั้น คือบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน โดยที่มันถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกร 134. คือบรรดาผู้ที่บริจาคทั้งในยามสุขสบาย และในยามเดือดร้อน และบรรดาผู้ข่มโทษและบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์และอัลลอฮ์นั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย 135. บรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วใด ๆ หรือ อยุติธรรมแก่ตัวเองแล้ว พวกเขาก็รำลึกถึงอัลลอฮ์ แล้วขออภัยโทษในบรรดาความผิดของพวกเขา และใครเล่าที่จะอภัยโทษบรรดาความผิดทั้งหลายให้ได้ นอกจากอัลลอฮ์แล้ว และพวกเขามิได้ดื้อรั้นปฏิบัติในสิ่ง ที่เขาเคยปฏิบัติมาโดยที่พวกเขารู้กันอยู่ 136. ชนเหล่านี้แหละการตอบแทนแก่พวกเขาคือการอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเขาและบรรดาสวนสวรรค์ ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ภายในสวนเหล่านั้น โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนเหล่านั้นตลอดกาล และรางวัลของผู้ทำงาน นั้นช่างเลิศจริงๆ ...................................................................... ส่วนเรื่องโองการที่ยกมา คำอธิบายมีดังนี้ [99.7]  ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน เป็นการบรรยายลักษณะของวันพิพากษา บ่งบอกถึงคุณลักษณะความยุติธรรมของอัลลอฮฺ การ "ได้เห็น" กับ "ได้รับ" ไม่เหมือนกันครับ อย่างที่อธิบายไปแล้วข้างบน ผู้ปฎิเสธได้รับส่วนแบ่งของพวกเขาไปแล้วในโลกนี้ ไม่มีส่วนของเขาอีกในโลกหน้า [2.62]  จงแน่ใจได้เลยว่า ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา ยิว คริสเตียน หรือซอบีอีน ที่เชื่อในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย และประกอบการดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม เงื่อนไขของคนสามกลุ่มนี้(ยิว คริสเตียน และซอบิอีน) ที่จะได้รับการตอบแทน คือ 1. เชื่อในอัลลอฮฺ 2. เชื่อในวันสุดท้าย 3. ประกอบความดี <<< เงื่อนไขตรงนี้ทำให้รวมถึงการศรัทธาต่อท่านนบี(ซ.ล) เผื่อสงสัยเรื่องชาวคัมภีร์ที่ศรัทธาในพระเจ้า และวันสุดท้าย หากพวกเขาเชื่อสามอย่างนี้ พวกเขาเรียกว่า มุสลิม และมุสลิมได้รับผลตอบแทนในโลกหน้าแน่นอน ...ไม่มีข้อขัดแย้งอีกเช่นกันในโองการนี้... [9.17]  ไม่บังควรแก่มุชริกทั้งหลายที่จะบูรณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮ์ ในฐานะที่พวกเขายืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองแล้ว ซึ่งการปฏิเสธศรัทธา ชนเหล่านั้นแหละบรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล และในนรกนั้นพวกเขาจะอยู่ตลอดกาล โองการนี้กล่าวถึงชาวกุเรชที่ได้รับเกียรติให้ทำการดูแลกะอบะฮฺ แต่พวกเขาไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ของศาสนาสถานตรงนี้ได้ พวกเขาเริ่มนำภาคี และลัทธิบูชาพระเจ้าหลายองค์เข้ามา เป็นการถอดถอนสิทธิของกุเรชที่ยังปฎิเสธศรัทธาในการทำหน้าที่ดูแลศาสนสถานแห่งนี้ ส่วนคำถามของคุณคลื่นแทรกในคห. 25 ย้อนไปดูคำตอบภายใต้โองการ 99:7 และฮะดิษของท่านอนัส เรื่องการตอบแทนแก่ผู้ปฎิเสธบนโลกนี้ครับ ------------------------------- ส่วนคำถามของคุณคลื่นแทรก 25,28 ทัศนะของผม การงานของพวกเขาจะถูกตอบแทนในโลกนี้ และไม่มีส่วนใดๆอีกในโลกหน้าครับ แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 50 03:46:50 จากคุณ : SA Student - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 00:34:10 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ข้อห้า ดังที่คุณเบคมี และคุณdhean อธิบายไปแล้วครับ ขอเสริมตรงเรื่องภาษา แสงสว่าง ภาษาอาหรับคือคำว่า "นูร" ส่วนไฟ ใช้ความว่า "นาร" คุณลักษณะบางประการของ "นูร" (ได้ถูกแปลเป็น Light ในภาษาอังกฤษ และภาษาไทย บางสำนวนใช้คำว่า "รัศมี" ที่แตกต่างจาก "นาร" (ได้ถูกแปลเป็น Sparking-Fire ในภาษาอังกฤษ และภาษาไทยบางสำนวน ใช้คำว่า "ไฟที่ปราศจากควัน" นึกถึงเครื่องเผาเหล็ก หรือเครื่องเชื่อมเหล็ก อะไรประมาณนั้นดูครับ) เช่น ๑. ให้แสงสว่าง แต่ไม่เผาไหม้ ๒. จับต้องได้ ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ถือครอง ๓. ไม่ต้องมีเชื้อ จากรูป คำว่า "นุร" และ "นาร" แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 50 02:04:15 จากคุณ : SA Student - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 02:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 34 "ทูตสวรรค์ ต่างจากญินอย่างไร?" ๑. ทูตสวรรค์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีความรู้สึก เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ของมันตามคำสั่ง [66.6]  โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงคุ้มครองตัวของพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้าให้พ้นจากไฟนรก เพราะเชื้อเพลิงของมันคือมนุษย์และก้อนหิน มีมลาอิกะฮ์ผู้แข็งกร้าวหาญคอยเฝ้ารักษามันอยู่ พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่พวกเขา และพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชา แต่ญินมีการฝ่าฝืน (18:50) "และเมื่อเราได้กล่าวแก่มลาอิกะห์ ว่า จงสุยูด ต่ออาดำ พวกเขาก็แสดงการคารวะเว้นแต่ อิบลีสเป็นพวกญิน และมันได้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระผู้อภิบาลของมันและพวกเจ้าจะยึดเอามันและวงศ์วานของมันเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากข้า กระนั้นหรือ? ทั้งๆที่พวกมันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า มันช่างชั่วช้าแท้ๆในการแลกเปลี่ยนสำหรับพวกอธรรม" ๒. สิ่งมีชีวิตสองประเภทที่ต้องได้รับการสอบสวน คือ มนุษย์ และญิน ... ขอให้มองเป็น สิ่งมีชีวิตที่มีการนึกคิดเกิดจากธาตุหนัก(มนุษย์) และธาตุเบา(ญิน) เผื่อสงสัยเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว ... [83.6]  วันที่มนุษย์จะยืนต่อหน้าพระเจ้าแห่งสากลโลก [37.158] และโดยแน่นอนพวกญินรู้ดีว่าแท้จริงพวกมันจะถูกนำตัวมาปรากฏต่อหน้าอัลลอฮ์ (เพื่อการลงโทษ) บรรดาสัตว์ต่างๆ พวกมันจะกลับไปสู่ดินหลังการคืนสิทธิที่ชอบธรรมให้แก่เจ้าของสิทธิ รายงานอันยืดยาวจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ บันทึกโดยมุสลิม ฮะดิษหมายเลข 490 "....บรรดาสัตว์ที่มีเขา ที่ไม่มีเขา และที่เขาหัก ต่างคืนกลับไปสู่สภาพของเหยื่อที่มันได้ล่าไว้ แล้วเหยื่อของมันจะถูกกลับสภาพไปยังมันเอง เป็นเช่นนี้จนกระทั่งการตอบแทนเท่าเทียมกัน..." มะลาอิกะฮฺไม่ต้องได้รับการสอบสวนในสิ่งที่พวกเขากระทำ เนื่องด้วยธรรมชาติที่พวกเขาไม่ฝ่าฝืนคำบัญชาของพระองค์อยู่แล้ว ๔.มะลาอิกะฮฺได้รับการแบ่งหน้าที่ และไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากทำตามหน้าที่นั้นอย่างเคร่งครัด ส่วนญิน เช่นเดียวกับมนุษย์คือ สามารถมีทางเลือกได้ จากคุณ : SA Student - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 02:11:49 ]

ความคิดเห็นที่ 35 8. ถ้าไม่มีคู่ครอง จะมีบุตรได้หรือไม่ ? 6:101 อย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรโดยที่พระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง? จากคำถาม ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าจะมีคู่ครอง หรือไม่มีครับ เป็นการเข้าใจความหมายของโองการนี้คลาดเคลื่อน เป็นเรื่องไวยากรณ์ ประโยคดังกล่าว เป็นประโยนะฟีย์ (ประโยคปฎิเสธ) ความหมายจะเป็น "พระองค์ไม่มีบุตร และพระองค์ไม่มีคู่ครอง ที่คู่ควร" ความเข้าใจของคนตั้งคำถาม เข้าใจไปว่า ประโยคนี้เป็นประโยคชัรฎ์ (ประโยคเงื่อนไข) หากเป็นเป็นเช่นนั้นจริง ประโยคจะหมายถึง "พระองค์ไม่มีบุตร เพราะพระองค์ไม่มีคู่ครอง ที่คู่ควร" คิดเล่นๆว่า "หากพระองค์มีคู่ครองที่คู่ควร พระองค์ก็อาจมีบุตร" ซึ่งขัดกับคุณลักษณะของพระเจ้า [112:3] "พระองค์ไม่ทรงให้กำเนิด และไม่ทรงถูกกำเนิด" และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นประโยคเงื่อนไขหากใช้หลักไวยากรณ์เป็นตัวตัดสิน ... วิธีสังเกตุความแตกต่างของประโยคทั้งสอง คือ จะใช้คำถามว่า "อันนา" (อย่างไรเล่า) ตามด้วยกิริยา "กานะ" (ปรากฎว่า, มี หรืออื่นๆ คล้ายๆ is am are ในภาษาอังกฤษ) หรือคำที่ผันมาจากมัน ... ในส่วนของอณุภาพของพระองค์ คงไม่ต้องสงสัยเช่นกัน การกำเนิดนบีอีซาที่ไม่มีพ่อ ยังไม่น่าทึ่งเท่าการกำเนิดอาดัมที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ และการกำเนิดฮาวาจากตัวอาดัมเองครับ -------------------------------------------------------------- ปกติ คำว่าคู่ครองจะใช้สองคำคือ "อิมร่ออะตุ...." และ "เซาจะตุ" แต่ในที่นี้ ใช้คำว่า "ซอฮิบะฮฺ" ที่ผมแปลว่า "ที่คู่ควร" แทนที่จะใช้คำตรงๆ เพราะรูปแบบการใช้ของคำนี้ ต่างจากคำอื่นๆ เราใช้คำนี้คู่กับบางสิ่งเสมอ เช่น ซอฮิบุ้ลเกาว์ม หมายถึง ผู้รับผิดชอบคณะหรือกลุ่มนั้นๆ หรือ ซอฮิบุ้ลบัยต์ หมายถึง คนในครอบครัวที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ในที่นี้ คำว่า ซอฮิบุน ถูกใช้เป็นคำนามเพศหญิง สื่อออกมาถึง คู่ที่เป็นเพศหญิง แม้ความหมายบ่งใบ้ไปถึง "คู่ครอง" แต่นัยยะสำคัญไม่ได้อยู่แค่นั้น มันครอบคลุมไปยัง คู่เสมือน, แฝด, ภาคี และร้ายยิ่งกว่าคือ ภรรยา ซึ่งมีบุตรด้วยกัน ย้อนไปดูบริบทก่อนหน้า กุรอ่านได้เล่าถึงคุณลักษณะต่างๆของพระเจ้า [6.96]  ผู้ทรงเผยอรุโณทัย และทรงให้กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นการคำนวณ นั่นคือการกำหนดให้มีขึ้นของผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปริชาญาณ [6.97]  และพระองค์คือ ผู้ที่ทรงให้มีแก่พวกเจ้าซึ่งดวงดาวทั้งหลาย เพื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้นำด้วยดวงดาวเหล่านั้น ทั้งในความมืดแห่งทางบกและทางทะเล แน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้ง หลายไว้แล้ว สำหรับกลุ่มชนที่รู้ [6.98]  และพระองค์คือ ผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเกิดขึ้นจากชีวิตหนึ่ง โดยให้มีที่พัก และให้มีที่ฝาก แน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้งหลายไว้แล้ว สำหรับกลุ่มชนที่เข้าใจ [6.99]  และพระองค์นั้นคือ ผู้ที่ทรงให้น้ำลงมาจากฟากฟ้า แล้วทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้น ซึ่งพันธุ์พืชของทุกสิ่งและเราได้ให้ออกจากพันธุ์พืชนั้น ซึ่งสิ่งที่มีสีเขียว จากสิ่งที่มีสีเขียวนั้นเราได้ให้ออกมาซึ่งเมล็ดที่ซ้อนตัวกันอยู่ และจากต้นอินทผาลัมนั้น จั่นของมันเป็นหลายต่ำ (และทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้นอีก) ซึ่งสวนองุ่นและซัยตูน และทับทิม โดยมีสภาพคล้ายกัน และไม่คล้ายกัน พวกเจ้าจงมองดู ผลของมัน เมื่อมันเริ่มออกผล และเมื่อมันแก่สุก แท้จริงในสิ่งเหล่านั้นแน่นอน มีสัญญาณมากมาย สำหรับหมู่ชน ผู้ศรัทธา เมื่อมาถึง [6.100]  และพวกเขาได้ให้มีขึ้นแก่อัลลอฮ์ ซึ่งบรรรดาภาคีแห่งญิน ทั้งๆที่พระองค์ทรงบังเกิดพวกเขา แต่พวกเขาอุปโลกษ์ให้แก่พระองค์ซึ่งบรรดาบุตรชาย และบรรดาบุตรหญิง โดยปราศจากความรู้พระองค์ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาจะกล่าวให้ลักษณะกัน เป็นการปฎิเสธถึงความเหมือนของพระองค์ กับสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และการจินตนาการของสิ่งถูกสร้าง สุดท้าย จึงจบลงที่ [6:101] อย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรโดยที่พระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง? เป็นที่ชัดเจนว่า "ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหระองค์" [112:4] โองการนี้จึงเป็นเน้นย้ำอีกว่า "ไม่มีสิ่งใดคู่ควรกับพระองค์" หรือ "พระองค์ไม่มีคู่เหมือน" จากคุณ : SA Student - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 04:15:53 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอความสันติจงมีแด่ท่านค่ะ ไม่ทราบยังข้องใจข้อไหนอย่างบ้างคะ เพราะเห็นน้องๆและหลายๆท่านอธิบายไปแล้ว แล้วผู้ถามที่ใน onlyonetruth ใช้ชื่อว่า 123 ฉลามขึ้นบก คงไม่แตกต่างกับ คุณฉลักฉลาม 345 ที่โดนยึดอมยิ้มไปจากที่นี่หรอกค่ะ ^^" ด้วยความเคารพค่ะ จากคุณ : นะ(รก) - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 07:33:39 ]

ความคิดเห็นที่ 37 คุณ SA Student นี่ขยันจริงๆ แฮะ ส่วนผม ขี้เกียจครับ จากคุณ : หนุ่มไทยไร้นาม - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 08:26:20 ]

ความคิดเห็นที่ 38 จากข้อ 5. และเมื่อเราได้กล่าวแก่มลาอิกะห์ ว่า จงสุยูด ต่ออาดำ พวกเขาก็แสดงการคารวะเว้นแต่ อิบลีสเป็นพวกญิน อัลลอฮ์ไม่ได้สั่งให้ญินทำนี่ครับ ก็ถูกต้องแล้วที่อิบลีสไม่ทำ เพราะอิบลีสไม่ใช่มลาอิกะห์ ถ้าอิบลีสฝ่าฝืนต้องเป็นอย่างนี้สิครับ และเมื่อเราได้กล่าวแก่มลาอิกะห์**และญิน** ว่า จงสุยูด ต่ออาดำ พวกเขาก็แสดงการคารวะเว้นแต่ อิบลีสเป็นพวกญิน จากคุณ : คลื่นแทรก - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 08:28:22 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ส่วนข้อ 8 6:101 อย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรโดยที่พระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง? ถ้าเป็นเป็นเงื่อนไขคงต้องเป็นอย่างนี้ 6:101 อย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรถ้าหากพระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง? ***... วิธีสังเกตุความแตกต่างของประโยคทั้งสอง คือ จะใช้คำถามว่า "อันนา" (อย่างไรเล่า) ตามด้วยกิริยา "กานะ" (ปรากฎว่า, มี หรืออื่นๆ คล้ายๆ is am are ในภาษาอังกฤษ) หรือคำที่ผันมาจากมัน ...*** แล้วส่วนประโยคเงื่อนไข จะเป็นอย่างไรล่ะครับ ยกตัวอย่างด้วย แต่ก็ เข้าใจส่วนนึงว่า อัลลอฮ์คงใช้เพื่อเปรียบเทียบกับอีกความเชื่อ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 08:37:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 รบกวนข้อ 7 ด้วยครับ ยังไม่ตอบ 7. ผู้ไม่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ควรได้รับการอภัยหรือไม่ พวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อวันปรโลกและไม่งดเว้นสิ่งที่อัลลอฮ์และร่อซู้ลห้ามไว้ และไม่ปฏิบัติตามศาสนาแห่งความสัจจะ อันได้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัล-ญิซยะฮ์จากมือของพวกเขาเองในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ที่ต่ำต้อย [9:29] หรือ... จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาให้พวกเขาอภัยแก่บรรดาผู้ที่ไม่หวังในวันทั้งหลายของอัลลอฮ์ เพื่อพระองค์จะทรงตอบแทนแก่หมู่ชนตามที่พวกเขาได้ขวนขวายเอาไว้ [45:14] จากคุณ : คลื่นแทรก - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 08:39:35 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ข้อ 7. อ่านก็รู้แล้วนะครับว่าอยู่คนละสถานการณ์กัน อยู่คนละเงื่อนไขกัน พี่เวฟเข้าใจดีอยู่แล้วครับว่า ในอัลกุรอ่านมีโองการเกี่ยวกับการกระทำในภาวะสงครามด้วย พี่เวฟควรอ่านตั้งแต่ 9.25 เป็นต้นมาก็จะเข้าใจ ต่างจาก 45.14 ครับ จากคุณ : Hermes - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 12:06:16 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อิบลีส นอกจากไม่ยอมสุญูดแล้วยังหยิ่งด้วยครับ อัลลอฮ์ใช้ก็ไม่ทำครับ [38.75]  พระองค์ตรัสว่า อิบลีสเอ๋ย อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสองของข้า ? เจ้าเย่อหยิ่งจองหองนักหรือ หรือว่าเจ้าอยู่ในหมู่ผู้สูงส่ง [38.76]  มันกล่าวว่า ข้าพระองค์ดีกว่าเขา พระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์จากไฟ และทรงสร้างเขาจากดิน [15.31]  เว้นแต่อิบลีสมันปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้สุญูด [15.32]  พระองค์ตรัสว่า โอ้อิบลีส ทำไมเจ้าจึงไม่อยู่ร่วมกับบรรดาผู้สุญูด ? [15.33]  มันกล่าวว่า ข้าพระองค์จะไม่สุญูดต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างเขาจากดินแห้ง จากดินดำเป็นตม จากคุณ : Hermes - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 12:17:40 ]

ความคิดเห็นที่ 43 #37 จริงๆก็ขี้เกียจครับ จะสอบด้วย - -" แต่เอาน่ะ ... ทำเป็นฐานข้อมูลไว้ --------------------------------------- #38 ประโยคคำสั่งในภาษาอาหรับ เมื่อกล่าวออกไปแล้วจะหมายรวมถึงคนที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมด หากในที่ตรงนั้นมีชนกลุ่มน้อยด้วย เป็นการย่อประโยคลงให้สั้น แต่เป็นที่เข้าใจกันทั้งผู้พูด และผู้ฟัง (ตามหลักวิชา อัล-บะดีอฺ) เช่น ท่านนบี(ซ.ล) ครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านขุดหลุมเพลาะป้องกันข้าศึกในตอนเช้าที่หนาวเหน็บวันหนึ่ง ท่านขอพรต่ออัลลอฮฺว่า "โอ้อัลลอฮฺ ความดีงามที่แท้จริง คือความดีงามแห่งโลกหน้า ขอจงโปรดประทานการอภัยโทษ ให้แก่ชาวมุฮาญีรีน (มุสลิมที่อพยพมาจากมักกะฮฺ) และชาวอันศอร(มุสลิมพื้นเมืองชาวมะดีนะฮฺ) รายงานโดยท่านอนัส บิน มาลิก บันทึกโดยบุคอรีย์ เล่ม๙ ฮะดิษหมายเลข ๓๐๘ ทั้งๆที่ในกลุ่มนั้นมีท่าน ซัลมาน อัล-ฟัรซีย์ ซึ่งเป็นชาวเปอร์เชีย และเป็นคนเสนอความคิดให้มีการขุดสนามเพลาะนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันทหารม้าของข้าศึก คำถามคือ "ท่านไม่สนใจขอดุอาอฺแก่พวกอื่น นอกจากชาวมุฮาญีรีน และอันศอร? หรือเป็นไปตามหลักไวยากรณ์ที่ได้รวมกลุ่มที่มีอยู่น้อยไว้กับคนหมู่มากแล้ว?" ... ทัศนะของนักปราชญ์ส่วนใหญ่ เลือกข้อสองครับ เป็นไปตามหลักไวยากรณ์ที่ถูกต้องที่สุด และคำตอบเดียวกันนี้ ใ้ช้ไปถึงคำถามของคุณคลื่นแทรกเรื่อง "คำสั่งแก่ญินให้ซุยูดแก่อาดัม ในหมู่มะลาอิกะฮฺ" ด้วย อีกคำถามที่ตามมาคือ "ญินตนนี้มีอะไรพิเศษ ถึงอยู่ร่วมกับมะลาอิกะฮฺ?" ญินตนนี้ (อิบลีส) แตกหน่อออกไปเป็นญิน และซาตานทั้งหมด (บุคอรีย์ มุสลิม) มันเป็นต้นของสิ่งถูกสร้างตระกูลนี้ มันจึงได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าใกล้ชิดพระเจ้า เช่นเดียวกับมะลาอิกะฮฺครับ ด้วยงานการล่อลวงของมันที่จะมีขึ้น  อัลลอฮฺได้ให้มันรอบรู้สรรพสิ่งบนชั้นฟ้าและแผ่นดิน จนขนาดว่ามันเองยังสอนมะลาอิกะฮฺบางส่วนด้วย (ฮะดิษนี้ไม่แข็งแรง แต่มีรายงานไว้) ดังนั้นไม่แปลกครับ หากมนุษย์จะหลงผิด ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองถูก ------------------------------ #39 ประโยคเงื่อนไข เช่น [14.7]  และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของพวกเจ้าได้ประกาศว่า หากพวกเจ้าขอบคุณ ข้าก็จะเพิ่มพูนให้แก่พวกเจ้า จะใช้คำว่า "ละอิน, อิน หรืออัน(อัน-ชัรฎียะฮฺ)" (แปลว่า "หาก") และตามด้วยประโยคตอบรับ ที่ขึ้นต้นด้วย "ละ,ฟะ หรือ วะ" (ไม่มีคำแปล แต่เป็นสัญลักษณ์บอกว่า หลังจากนี้คือผลลัพธ์หากกระทำตามเงื่อนไขอันแรกลุล่วง) ในโองการนี้อ่านในภาษาอาหรับว่า "ละอินชะกัรตุม ละอะซีดันนะกุม" ในที่นี้จะหมายถึง "ข้าจะเพิ่มพูแก่พวกเจ้า หากพวกเจ้าทำการขอบคุณ" ประโยคปฎิเสธอย่างใน [6.101]มีอีกสำนวนเช่น [21.22]  หากในชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าหลายองค์ นอกจากอัลลอฮ์แล้ว ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างแน่นอน อ่านว่า "เลากานะ ฟีฮิมา อาลิฮะตุน อิ้ลลั้ลลอฮฺ ละฟะซะดะตา" ในประโยคนี้ จะหนักแน่นกว่าประโยค [6.101] เพราะนอกจากมี "เลา"(ใช้แทน "อันนา" ได้) และ "กานะ" ยังมี "ละ" เพิ่มขึ้นมา ... เป็นการเสริมความหนักแน่นได้มากทีเดียว ในที่นี้จะหมายถึง "จะไม่มีพระเจ้าที่สองอื่นอีก ดังที่พวกเจ้าเห็นชั้นฟ้า และแผ่นดินยังคงดำเนินกิจกรรมของมันอย่างเป็นระบบ" หมายถึง ดาวอังคารไม่แวะมากระทบไหล่ดาวโลก หรือดาวโลกเอง ก็ไม่หนีพี่อาทิตย์ไปไหน ---------------------------------- #40 [45.14] เป็นเรื่องเกี่ยวกับการไม่อาฆาตพยาบาทครับ รายงานจากท่านอิบนิอับบาส กล่าวว่า โองการนี้ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับท่านอุมัร และอับดุลลอฮฺ บิน อุบัย (หัวหน้าของพวกหน้าไหว้หลังหลอก) ในครั้งสงครามบนูมุศฎอลิก ได้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการตักน้ำแก่หน่วยของตนระหว่างชาวมุฮาญีนรีน และอันศอร โดยที่อับดุลลอฮฺได้ด่าทอชาวมุฮาญีรีนให้ชาวอันศอรฟังว่า "จงดูสุนัขที่พวกท่านเลี้ยงจนอ้วน แว้งกัดท่าน" ท่านอุมัรขออนุญาตท่านนบีในการสังหารอับดุลลอฮฺ โองการนี้จึงถูกประทานมา (บันทึกในตัฟซีร กุรฎุบีย์) พวกหน้าไหว้หลังหลอก จัดอยู่ในกลุ่มผู้ปฎิเสธครับ ส่วน[9.29] เป็นเรื่องของสงคราม อย่างที่ทราบกันดี แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 50 14:11:12 จากคุณ : SA Student - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 14:01:59 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ไอ้เรื่องการสั่งให้สุญูดเนี่ยนะฮะ... จากตัวบทก็เคลียร์นะครับ โดยที่ไม่จำเป็นต้องบอกให้หมดว่า มะลาอิกะฮ์ และญิน จงสุญูด เพราะอัลลอฮ์ทรงถาม ( ญินตนนั้นคืออิบลีส )ต่อไปว่า เหตุใดจึงไม่สุญูด..   หากมันเป็นปัญหาเรื่องสำนวนการสั่ง  อิบลีสก็จะอ้างว่า เพราะพระองค์สั่งมะลาอิกะฮ์ มิได้สั่งข้า แต่คำตอบของอิบลีสคือ  เพราะข้าดีกว่าอาดัม นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวอิบลีสเองก็เข้าใจว่าพระองค์สั่งทั้งหมด..   ในภาษาอาหรับ คำสั่งใช้ ในที่นี้คือ " อิสญูดู " ก็คือทั้งหมด ณ ที่นั้น... อัลกุรอาน คือตัวกำหนดหลักภาษาครับ..              ไม่ใช่หลักภาษากำหนดว่า อัลกุรอานจะต้องเขียนแบบนั้น แบบนี้ จากคุณ : ฟัยรูซ - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 14:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คำอธิบายของท่าน SA กระจ่างมากครับ ขอบคุณที่ตั้งคำถามอย่างสุภาพ จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 14:54:47 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ครับ สงสัยครับว่า ญิน ที่บอกว่ามีมาก่อนแล้ว แต่ก่อนนั้น (ก่อนเหตุการให้ก้มคำนับอาดัม) ยังไม่มีซาตานหรืออย่างไรครับ และหลังจากนี้อิบลีส ก็คือซาตาน (ชัยฏอน) กลายเป็นญินอีกประเภทไปในทันที จากคุณ : คลื่นแทรก - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 16:21:29 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ใช่ครับอัลลอฮ์สร้างญินมาก่อนมนุษย์ [15.26]  และโดยแน่นอน เราได้สร้างมนุษย์จากดินแห้ง จากดินดำเป็นตม [15.27]  และญินนั้น เราได้สร้างมันมาก่อนจากไฟของลมร้อน แต่ระยะเวลาที่ห่างกันระหว่างการสร้าง ไม่สามารถระบุได้ ไม่มีใครรู้นอกจากอัลลอฮ์ผู้ทรงรู้สิ่งเร้นลับ แต่ขณะที่อัลลอฮ์สร้างนบีอาดัม บรรดามลาอิกะห์ก็วิตกว่าลูกหลานนบีอาดัมจะดำเนินรอยตามสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาที่มีอยู่แต่ก่อนหน้า (นั่นก็อาจเป็นญิน) [2.30]  จงรำลึกถึงเวลา ที่พระผู้อภิบาลของเจ้า ได้กล่าวกับมลาอิกะฮ์ว่า ฉันจะแต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่ง ขึ้นบนหน้าแผ่นดิน บรรดามลาอิกะฮ์ทูลว่า พระองค์จะทรงตั้งผู้ที่จะก่อการเสียหาย และหลั่งเลือดกันในแผ่นดินกระนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่เรากล่าวสดุดี ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ (และปฏิบัติ ตามคำบัญชาของพระองค์) และเทิดทูนความบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงตอบว่า แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้ พฤติกรรมของญินเยี่ยงอิบลีสอาจเคยมีมาก่อน และก็มีอีกได้ เช่นอิบลีส เพราะญินมีอิสระในการยอมรับและฝ่าฝืน ในขณะที่ญินทั้งหมดศรัทธา แต่อิบลีสฝ่าฝืนมันจึงเป็นบิดาของชัยฏอน (ญินกาเฟร) จากคุณ : Hermes - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 17:53:01 ]

ความคิดเห็นที่ 48 [18.50]  และเมื่อเราได้กล่าวแก่มลาอิกะฮ์ว่า จงสุญูดคารวะต่ออาดัมพวกเขาก็แสดงคารวะเว้นแต่อิบลิส มันอยู่ในจำพวกญิน ดังนั้น มันจึงฝ่าฝืนคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าของมัน แล้วพวกเจ้าจะยึดเอามันและวงศ์วานของมัน เป็นผู้คุ้มครองอื่นจากข้ากระนั้นหรือหรือ? ทั้งๆ ที่พวกมันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า มันช่างชั่วช้าแท้ๆ ในการแลกเปลี่ยนสำหรับพวกอธรรม อิบลีส ประกาศตัวเองต่ออัลลอฮ์ว่า [7.12]  พระองค์ตรัสว่า อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูด ขณะที่ข้าได้ใช้เจ้า มันกล่าวว่า ข้าพระองค์ดีกว่าเขา โดยที่พระองค์ทรงบังเกิดข้าพระองค์จากไฟ และได้บังเกิดเขาจากดิน [7.13]  พระองค์ตรัสว่า จงลงจากสวนนั้นไปเสีย ไม่สมควรแก่เจ้าที่จะทำโอหังในนั้น จงออกไปให้พ้นแท้จริงเจ้านั้นอยู่ในหมู่ผู้ต่ำต้อย [7.14]  มันกล่าวว่า โปรดผ่อนผันข้าพระองค์จนถึงวันที่พวกเขาถูกให้ฟื้นคืนชีพด้วยเถิด [7.16]  มันกล่าวว่า ด้วยเหตุที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ตกอยู่ในความหลงผิด แน่นอนข้าพระองค์จะนั่งขวางกั้นพวกเขา ซึ่งทางอันเที่ยงตรงของพระองค์ [7.17]  แล้วข้าพระองค์จะมายังพวกเขา จากเบื้องหน้าของพวกเขา และจากเบื้องหลังของพวกเขาและจากเบื้องขวาของพวกเขา และจากเบื้องซ้ายของพวกเขา และพระองค์จะไม่พบว่าส่วนมากของพวกเขานั้น เป็นผู้ขอบคุณ [7.18]  พระองค์ตรัสว่า จงออกจากสวนนั้น ไปในฐานะผู้ถูกติเตียน และถูกขับไล่ ข้าสาบานว่า ผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ปฏิบัติตามเจ้า ข้าจะบรรจุให้เต็มญะฮันนัม (นรก) ทั้งจากพวกเจ้าด้วยทั้งหมด จากคุณ : Hermes - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 17:58:36 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขออนุญาตสงสัยครับ (งงจริงๆ) จากที่อ่านมาในกระทู้นี้ เป็นไปได้ไหมครับว่าพระองค์ทรงไม่ทราบมาก่อนว่าอิบลีสจะขัดคำสั่งของพระองค์ แต่แล้วพออิบลีสประกาศตัวที่จะต่อต้านพระองค์ท่าน ทำไมพระองค์ไม่ทรงจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดกับอิบลีสล่ะครับ แต่ทรงจะลงโทษกับเผ่าของอาดัมที่ไปหลงผิดเชื่อมันล่ะครับ [7.18] พระองค์ตรัสว่า จงออกจากสวนนั้น ไปในฐานะผู้ถูกติเตียน และถูกขับไล่ ข้าสาบานว่า ผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ปฏิบัติตามเจ้า ข้าจะบรรจุให้เต็มญะฮันนัม (นรก) ทั้งจากพวกเจ้าด้วยทั้งหมด แก้ไขเมื่อ 14 เม.ย. 50 03:31:45 จากคุณ : taws - [ วันเนา (14) 02:43:41 ]

ความคิดเห็นที่ 50 รู้สิครับ ทำไมจะไม่รู้ [2.30]  จงรำลึกถึงเวลา ที่พระผู้อภิบาลของเจ้า ได้กล่าวกับมลาอิกะฮ์ว่า ฉันจะแต่งตั้งตัวแทนคนหนึ่ง ขึ้นบนหน้าแผ่นดิน บรรดามลาอิกะฮ์ทูลว่า พระองค์จะทรงตั้งผู้ที่จะก่อการเสียหาย และหลั่งเลือดกันในแผ่นดินกระนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่เรากล่าวสดุดี ด้วยการแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ (และปฏิบัติ ตามคำบัญชาของพระองค์) และเทิดทูนความบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงตอบว่า แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้ ไม่สิ่งใดจะรอดพ้นความรอบรู้ของพระองค์ เพราะทุกอย่างได้ทุกบันทึกไว้ก่อนหน้า [34.3]  และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า วันอวสานนั้นจะไม่มาถึงเราดอก จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด หามิได้ ขอสาบานด้วยพระเจ้าของฉัน ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย มันจะเกิดขึ้นแก่พวกท่านอย่างแน่นอน ไม่มีแม้แต่น้ำหนักเพียงเท่าธุลีในชั้นฟ้าทั้งหลาย และในแผ่นดิน และที่เล็กยิ่งกว่านั้นและที่ใหญ่กว่านั้น จะรอดพ้นจากพระองค์ เว้นแต่จะอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้งทั้งสิ้น อ่านกระทู้นี้ประกอบ http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/02/Y5107084/Y5107084.html จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ วันเนา (14) 11:12:35 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ศัตรูของมนุษย์คืออิบลีส และพรรคพวกชัยฏอน (ซาตาน) [20.116]  และเมื่อเรากล่าวแก่บรรดามลาอิกะฮ์ว่า จงสุญูดคารวะแก่อาดัม และพวกเขาได้สุญูดนอกจากอิบลีส มันได้ดื้อดึง [20.117]  แล้วเราได้กล่าวว่า โอ้อาดัมเอ๋ย ! แท้จริงนี่คือศัตรูของเจ้าและของภริยาของเจ้า ดังนั้นอย่าให้มันทำให้เจ้าทั้งสองออกจากสวนสวรรค์ แล้วเจ้าจะได้รับความลำบาก [20.118]  แท้จริงในสวนสวรรค์นั้น เจ้าจะไม่หิวและจะไม่ต้องเปลือยกาย [20.119]  และแท้จริงในสวนสวรรค์นั้น เจ้าจะไม่กระหายน้ำ และจะไม่ตากแดด อาดัมถูกชัยฏอนล่อลวงให้ฝ่าฝืน [20.120]  ต่อมาชัยตอนมารร้ายได้กระซิบกระซาบเขา มันกล่าวว่า อาดัมเอ๋ย ฉันจะชี้แนะแก่ท่านไปยังต้นไม้ที่อยู่เป็นนิจตลอดกาลและการมีอำนาจที่ไม่สูญสลายเอาไหม? [20.121]  ดังนั้น เขาทั้งสองจึงกินจากต้นไม้นั้นสิ่งพึงสงวนของทั้งสองจึงถูกเผยแก่เขาทั้งสอง เขาทั้งสองจึงเริ่มเอาใบไม้ของสวนนั้นมาปกปิดบนตัวของเขาทั้งสอง และอาดัมได้ฝ่าฝืนพระเจ้าของเขา เขาจึงหลงผิด อัลลอฮ์อภัยโทษให้แก่อาดัม และแนะนำแนวทางที่ถูกต้อง [20.122]  ภายหลัง พระเจ้าของเขาทรงคัดเลือกเขาแล้วทรงอภัยโทษให้แก่เขา และทรงแนะทางที่ถูกต้องให้เขา [20.123]  พระองค์ตรัสว่า เจ้าทั้งสองจงออกไปจากสวนสวรรค์ทั้งหมด โดยบางคน (ลูกหลาน) ในหมู่พวกเจ้าเป็นศัตรูกับอีกบางคนบางทีเมื่อมีคำแนะนำ (ฮิดายะฮ์) จากข้ามายังพวกเจ้า แล้วผู้ใดปฏิบัติตามคำแนะนำ (ฮิดายะฮ์) ของข้า เขาก็จะไม่หลงผิด และจะไม่ได้รับความลำบาก [20.124]  และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นและเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ในสภาพของคนตาบอด อัลลอฮ์ทรงทดสอบมนุษย์ [20.125]  เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์จึงทรงให้ข้าพระองค์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพของคนตาบอดเล่า ทั้ง ๆ ที่ข้าพระองค์เคยเป็นคนตาดี มองเห็น [20.126]  พระองค์ตรัสว่า เช่นนั้นแหละ เมื่อโองการทั้งหลายของเราได้มีมายังเจ้า เจ้าก็ทำเป็นลืมมัน และในทำนองเดียวกัน วันนี้เจ้าก็จะถูกลืม [20.127]  และเช่นเดียวกัน เราจะตอบแทนผู้ที่ล่วงละเมิดขอบเขตและไม่ศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของพระเจ้า และแน่นอน การลงโทษในปรโลกนั้นสาหัสยิ่ง และยาวนานยิ่ง [2.30]...แท้จริงฉันรู้ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้ จากคุณ : Hermes - [ วันเนา (14) 11:41:12 ]

ความคิดเห็นที่ 52 มีเรื่องจะถามต่อครับ แต่คงตั้งเป็นกระทู้ใหม่ ตอนนี้มีเรื่องน่าสนใจอีกเรื่องคือ อิบลีส กับลูซิเฟอร์ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ วันเนา (14) 17:32:21 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ขอเสริม.. อิบลีสถูกตัดสินให้ลงนรกเดี๋ยวนั้นเลยนะครับ   เพียงแต่ว่ามันคับแค้นใจที่อาดัมเป็นต้นเหตุให้มันต้องลงนรก   จึงขอผ่อนผันจากอัลลอฮ์ ว่า ให้มันลงนรกในวันตัดสิน และมันได้สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า   มันจะล่อลวงลูกหลานอาดัมที่เป็นต้นเหตุให้มันต้องลงนรก  เพื่อลงนรกไปพร้อมๆกับมัน..  และพระองค์ก็ทรงอนุมัติคำขอนั้น ตัวบทนำมาอ้างอิงไม่ได้ เพราะขัดข้องทางเทคนิค.. จากคุณ : แหะๆๆ.... (ฟัยรูซ) - [ วันเนา (14) 19:32:17 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เข้าใจแล้วครับคุณ ดาบจันทร์เสี้ยว กับคุณ ฟัยรูซ ขอบคุณครับ จากคุณ : taws - [ วันเถลิงศก (15) 03:32:12 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ถ้าเราเชื่อใน(เรื่อง)พระเจ้า เราก็แทบจะไม่มีหรือไม่มีคำถามใดๆเลย ใช่มั้ยค๊ะ จากคุณ : `MaPleDang` ^_^ - [ 17 เม.ย. 50 10:38:04 ]