 |
อัตตโนมติอาจารย์ไชยทรง ของคุณหนูเล็กถูกต้องไหมครับ ? (จิตเดิมแท้เป็นอมตะ มหานิรันดร์กาล)
ความเข้าใจเรื่อง จิต ผิดๆ ทำให้การศึกษาพระพุทธศาสนาผิดตลอดแนว โดย อ.ไชยทรง และคุณหนูตัวเล็ก http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/03/Y5222739/Y5222739.html
-----------------------------------------------------------------
ตัวอย่าง
--->จิตไม่เคยดับตายหายสูญ มีพุทธพจน์ในมหาปรินิพพานสูตร ว่าไว้ดังนี้ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ ยถาภูตํ อทสฺสนา, สงฺสริตํ ทีฆมทฺธานํ ตาสุตา เสว ชาติสุ แปลว่า ความเวียนว่ายของเราเข้าไปในชาติน้อยใหญ่ทั้งหลายอันยาวนานนับไม่ถ้วนนั้น เพราะมิได้เห็นอริยสัจ 4 ตามความเป็นจริง ดังนี้. หมายความว่า จิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เข้าไปเวียนว่าย จากพระชาติหนึ่งไปยังอีกพระชาติหนึ่ง ติดต่อกันไปหลายพระชาติเป็นเวลาอันยาวนานนับไม่ถ้วนก่อนทรงตรัสรู้ และจิตของพระองค์ได้ยืนตัวเป็นประธานทุกชาติ ไม่ว่าจะเปลี่ยนพระชาติไปกี่ครั้งกี่หนก็ตาม. ทั้งนี้แสดงว่า จิตเป็นสภาพธรรมที่ไม่ได้ดับตายหายสูญไปไหน แต่รูปร่างกายซึ่งถือเอากำเนิดเป็นชาติต่างๆนั้นต่างหาก ที่ไม่เที่ยงแท้ถาวร คือ เปลี่ยนไปเป็นพระชาติใหม่ทุกชาติ ถ้าจิตเกิดดับเป็นคนละดวง หรือเปลี่ยนใหม่ตามร่างกายในแต่ละพระชาติด้วยแล้ว ก็ย่อมตรัสว่า พระองค์ได้ทรงเข้าไปเวียนว่ายในพระชาติเหล่านั้น,ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น จิตจึงไม่ใช่สภาพธรรมที่เกิดดับ แต่จิตชั้นสัมมาสัมพุทโธยืนรู้อยู่ว่า รูปร่างกายในแต่ละพระชาติเกิดแล้วก็ตายไปตามกาลเวลาที่ผ่านไปๆโดยลำดับ นานแสนนานมาแล้ว. ---------------------------------------------------
--->จิตเกี่ยวข้องกับกฎแห่งกรรม
ด้วยเหตุที่จิตไม่เคยดับตายหายสูญไปไหนนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติกฎแห่งกรรมลงที่จิต ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ถ้าหากจิตเกิดดับจริง กฎแห่งกรรมที่ทรงบัญญัติไว้ย่อมผิดหมด หรือถ้าขืนอธิบายว่า กรรมตั้งอยู่กับอะไรก็ได้ และสามารถถ่ายทอดกรรมจากจิตดวงหนึ่งซึ่งดับไปแล้ว ไปให้จิตอีกดวงหนึ่งรับกรรมแทนกันเป็นทอดๆไป ย่อมเป็นสิ่งที่ขาดเหตุผล ไม่ควรเชื่อถืออย่างยิ่ง.
มีพระบาลีในพระธรรมบท รับรองอยู่ดังนี้ คือ: มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา, มโนเสฏฺฐา, มโนมยา, มนสาเจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา ตโตนํ ทุกฺขมนฺเวติ จกฺกํ ว วหโต ปทํ แปลว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จได้ด้วยใจ ผู้ที่กล่าววาจา หรือกระทำการสิ่งใด ด้วยใจคิดร้าย กรรมย่อมตามผู้นั้นไป เหมือนดังล้อที่หมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนนั้นไป ฉะนั้น. -------------------------------------------------------------------- --->จิตเดิมประภัสสรผ่องใส จิตเมื่อยังไม่ได้ผสมหรือกระทบกับอารมณ์ ย่อมมีสภาพประภัสสรผ่องใส แต่เมื่อมีอารมณ์มาผสมหรือกระทบเข้า ก็กลายเป็น จิตผสมกับอารมณ์ไป ทำให้ถูกปรุงแต่ง และเกิดความยินดียินร้ายขึ้น จนเสียสภาพประภัสสรผ่องใสที่มีอยู่เดิมไปหมดสิ้น มีพระบาลีรับรอง ดังนี้ ปภสสสสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ,ตญฺจโข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้มีสภาพประภัสสรผ่องใส แต่ที่เศร้าหมองไปนั้น เพราะมีอุปกิเลสเป็นแขกจรเข้ามาในภายหลัง. ทั้งนี้หมายความว่า เมื่อยังไม่มีอารมณ์เป็นแขกจรเข้ามานั้น จิตมีสภาพประภัสสรผ่องใส,สงบ,ไม่วุ่นวายเลย แต่ถ้ามีแขกจรเข้ามาแล้วก็ปรุงแต่งครอบงำให้จิตหวั่นไหว เศร้าหมองเสียคุณภาพที่มีอยู่เดิมไปหมดสิ้น อาการปรุงแต่งหวั่นไหวนี้ แสดงออกมาในรูปของความยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง สลับกันไปมาตลอดเวลาที่มีอารมณ์จรเข้ามากระทบ คือ อาการของจิตเกิดขึ้นที่จิตและดับไปจากจิต แล้วก็กลับคืนสู่สภาพประภัสสรผ่องใสอีกชั่วระยะเวลาสั้นๆก่อนที่จะมีอารมณ์ชนิดอื่นจรเข้ามาปรุงแต่งในลำดับต่อไปอีกเสมอ.
คำว่า สภาพประภัสสรผ่องใสนี้ ได้เป็นจุดที่นักศึกษาธรรมะนำมาสนทนาถกเถียงโต้แย้งกันมาก ว่า ถ้าสภาพเดิมของจิตบริสุทธิ์จริงแล้ว ก็ต้องเป็นจิตพระอรหันต์ จึงย่อมไม่มาเกิดอีกต่อไป
ความจริงแล้ว สภาพประภัสสร หมายถึง ความผ่องใสเลื่อมพรายที่มีอยู่เป็นพื้นฐานของจิต ที่เรียกว่า ภวังคจิต นั่นเอง สภาพประภัสสรนี้จะปรากฏที่จิต หลังจากที่รับรู้อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเสร็จแล้ว กับก่อนที่จะเปลี่ยนไปรับรู้อารมณ์อีกอย่างหนึ่งต่อไป ดังนั้น จึงเป็นเวลาที่สั้นมาก ถ้าจิตไม่มีสมาธิจริงๆแล้ว จะไม่เห็นจิตประภัสสรของตนเอง
----------------------------------------------------- บทวิเคราะห์เรื่อง จิตในพระอภิธรรม กับ พระสูตร โดย อ.ไชยทรง http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/03/Y5251055/Y5251055.html
บทความนี้ คัดลอกมาจากบทความที่ อ.ไชยทรง จันทรอารีย์ ได้มีการถกวิเคราะห์กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ และพระวิปัสสนาจารย์ทั่วประเทศ ในคราวที่ท่านได้รับเชิญไปบรรยายธรรม เรื่องทำอย่างไรจิตจึงจะเป็นสมาธิได้อย่างรวดเร็ว ใน วันที่ 11 พ.ย. 2531 ณ.วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ (ตามหนังสือเชิญเลขที่ รวท.21/2531 ลงวันที่ 15 ต.ค. 2531) ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- จิตในพระอภิธรรม เท่าที่เรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นไปตามคัมภีร์พระอภิธรรมมัตถสังคหะ ซึ่งพระ อนุรุทธาจารย์ได้เรียบเรียงไว้เมื่อปี พ.ศ. ๙๕๐ ที่สำนักมูลโสมวิหาร ประเทศลังกานั้นทั้งสิ้น ท่านแบ่งออกเป็น ๙ ปริเฉท, และมีคำย่อซึ่งถือกันว่าเป็นหัวใจของคัมภีร์ดังกล่าวนี้ว่า จิ (จิต), เจ (เจตสิก), รุ (รูป), นิ (นิพพาน) เป็นหลักสำหรับอธิบายขยายความต่อไป. เจตนาของพระอนุรุทธาจารย์ก็เพื่อรวบรวมสงเคราะห์หัวข้อธรรมะทั้งหลายให้ เป็นหมวดหมู่ สำหรับกุลบุตรกุลธิดาในภายหลัง จะได้เรียนเข้าใจได้โดยง่าย, ไม่สับสน นับว่าเป็นเจตนาที่ดีและเป็นกุศลอย่างยิ่ง แต่ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงมีความผิดเพี้ยน,เพิ่มเติม,เสริมต่อกันบ้างในระหว่างนั้นเป็นธรรมดา ดังนั้น จึงย่อมเกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันขึ้น เมื่อนำมาสนทนากัน, จนไม่อาจตกลงกันได้ก็มี ปัญหาขัดแย้งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ถ้าผู้สนทนาทุกฝ่ายเปิดใจของตนเองให้กว้างเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงโดยใช้เหตุผล และสอบเทียบกับพระสุตตันตปิฎกแล้ว, ย่อมยุติลงอย่างสิ้นเชิง. ในคัมภีร์พระอภิธรรมนั้น, จิตคือธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งรู้อารมณ์, จิตเป็นตัวรู้และ สิ่งที่ถูกจิตรู้นั้นเป็นอารมณ์ หมายความว่าจิตรู้สิ่งใด, สิ่งนั้นคืออารมณ์ อีกนัยหนึ่งแสดงไว้ ว่า จิตคือธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ รับ, จำ, คิด, รู้ ซึ่งอารมณ์. ตามคัมภีร์นี้ถือว่า เมื่อมี จิต, ก็ต้องมี อารมณ์ อยู่คู่กันด้วยเสมอ จะมีจิตโดยไม่มีอารมณ์ไม่ได้ เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น,จิตจึงจะเกิด และเมื่ออารมณ์ดับลง,จิตก็ดับตามไปด้วยเสมอ
ดังพระบาลีที่มาในพระอภิธรรมว่า จิตฺเตตีติ จิตฺตํ อารมฺณํ วิชานาตีติ อตฺโถ แปลว่า ธรรมชาติใดย่อมติด, ธรรมชาตินั้นชื่อว่าจิต กล่าวโดยอรรถว่า ธรรมชาติที่รู้อารมณ์คือจิต. จิตในพระอภิธรรม มีชื่อสำหรับเรียกขานเป็นไวพจน์แทนกันได้ถึง ๑๐ ชื่อ ดังนี้ คือ จิต,มโน,หทัย,มนัส,ปัณฑระ,มนายตนะ,มนินทรีย์,วิญญาณ,วิญญาณขันธ์,มโนวิญญาณธาตุ. ความหมายของจิตแต่ละคำเหล่านี้ สามารถใช้แทนกันและมีใช้กันอยู่ในภาษาธรรมะ โดยทั่วไป ดังนั้น จากเงื่อนไขของคำอธิบายในคัมภีร์พระอภิธรรมที่ยกมาทั้งหมดนี้ที่ว่า มีจิตจะต้องมีอารมณ์ และจะต้องรับอารมณ์ด้วยเสมอ นั้น
--->ย่อมแสดงความหมายชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่า ชื่อจิตที่ใช้เรียกแทนกันทั้ง ๑๐ ชื่อเหล่านี้ เป็นจิตที่ถูกอารมณ์เข้าผสมปรุงแต่ง จนผิดไปจากสภาพเดิมแล้ว,ไม่ใช่ธาตุแท้ จึงเป็นจิตสังขาร เมื่อเป็นจิตสังขารก็ย่อมมีการเกิดขึ้นและดับสลายไปเป็นธรรมดา หมายความว่าไม่สามารถรับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้อย่างถาวรตลอดกาลได้ เมื่อเรื่องหนึ่งดับไปจากการรับรู้แล้ว ก็ย่อมมีเรื่องอื่นทยอยกันเข้ามาสู่จิตต่อไปอีกตามลำดับ. เพราะฉะนั้น จิตสังขารในคัมภีร์พระอภิธรรม ที่เรียกกันในนามว่า"จิต"นี้ จึงเป็นวิบากจิต (ผล ของการรับรู้อารมณ์แต่ละอย่าง) เท่านั้น ไม่ใช่ฐานรองรับบุญและกรรมใดๆ เกิดขึ้นแล้วก็ย่อมดับไปตามอารมณ์เป็นธรรมดา ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าจิตชนิดใดเกิดขึ้นหรือดับไปก็ตาม. จากตัวอย่างที่ยกมาแสดงนี้ จะเห็นได้ว่า จิตในพระอภิธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นจิตสังขาร ส่วนจิตของผู้ปฏิบัตินั้น, ดำรงสภาพรู้ของตนเองอยู่ตลอดทุกกาลสมัย, ไม่ได้ดับตามจิตสังขารไปด้วยแต่ประการใดทั้งสิ้น.
พระบาลีเปรียบเทียบระหว่างจิตในพระสูตรและจิตในพระอภิธรรม
1.จิตในพระสูตร มีว่าไว้ดังนี้ คือ "จิตฺเตน นิยติ โลโก, จิตฺเตน ปริกสฺสติ, จิตฺตสฺส เอกธมฺมสฺส สพฺเพ ว วสมนฺวคู แปลว่า โลกย่อมหมุนไปตามจิต ธรรมทั้งปวงย่อมขึ้นแก่ธรรม อันเดียวคือจิตเท่านั้น."
ทั้งนี้ย่อมพิจารณาเห็นได้ว่า จิตซึ่งเป็นประธานของธรรมทั้งปวงนั้น ย่อมดับตายหายสูญไปไหนไม่ได้ จึงต้องมีแก่นสารมั่นคงตลอดไป.
2. จิตในพระอภิธรรม มีว่าไว้ดังนี้ คือ "อนิพฺพตฺเตน ชาโต ปจฺจุปนฺเนน ชีวิติ, จิตฺตภงฺคา มโตโลโก ปญฺญตฺติ ปรมตฺถิยา แปลว่า เมื่อจิตไม่เกิด โลกก็ไม่เกิด, โลกอยู่ได้เพราะจิตกำลัง เกิดอยู่, เมื่อจิตดับโลกก็ตาย นี้เป็นบัญญัติโดยปรมัตถ์."
ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า จิตในพระอภิธรรม,ไม่มีแก่นสารอะไรเลย เกิดขึ้นแล้วก็ย่อมดับตายหายสูญไปตามกาลเวลาตลอดไป ดังนั้น จึงนับเอาเป็นประธานของธรรมทั้งปวงเหมือนดังจิตในพระสูตรไม่ได้เลย.
จากคุณ :
เฉลิมศักดิ์1
- [
24 เม.ย. 50 05:28:06
]
|
|
|
|
|