![](../../image/topic.gif) |
ปฏิจจสมุปบาทอุบาย จาก คัมภีร์วิมุตติมรรค ทำให้เกิดสัสสตทิฏฐิ (ในความหมายของท่านพุทธทาส)
ปฏิจจสมุปบาทอุบาย จาก คัมภีร์วิมุตติมรรค ปฏิจจสมุปบาทอุบาย
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5403114/Y5403114.html
อวิชชา
ในที่นี้ อวิชชาคือความไม่รู้อริยสัจ ๔ สังขารคือกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม วิญญาณคือปฏิสนธิวิญญาณ นามรูปหมายถึงเจตสิกที่เกิดร่วมกับปฏิสนธิวิญญาณและกลละ สฬายตนะหมายถึงอายตนะภายใน ๖ ผัสสะหมายถึงกลุ่มแห่งผัสสะ ๖ เวทนาหมายถึงกลุ่มแห่งเวทนา ๖ ตัณหาหมายถึงกลุ่มแห่งตัณหา ๖ อุปาทานหมายถึงอุปาทาน ๔ ภพหมายถึงกามภพ รูปภพและอรูปภพซึ่งเป็นที่ทำกรรม ชาติคือการอุบัติแห่งขันธ์ทั้งหลายในภพ ชราหมายถึงความแก่แห่งสังขารทั้งหลาย มรณะหมายถึงการทำลายขันธ์
---------------------------------------------------
การที่ไปแสดงว่า ปฏิสนธิวิญญาณที่เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นั้น
ท่านพุทธทาสถือว่า ไม่ใช่ภาษาธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นภาษาคน
---------------------------------------------------------- จากคำนำ ของหนังสือ ปฏิจจสมุปบาท ชุดลอยปทุม โดยท่านพุทธทาส
หน้า (๑๔)
ข้อเท็จจริงอันลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีอยู่ว่าพระพุทธเจ้าท่านประกาศศาสนาด้วยความยากลำบาก คือต้องตรัสด้วยภาษาถึงสองภาษาในคราวเดียวกัน, คือตรัสโดย ภาษาธรรม สำหรับสอนศีลธรรมแก่คนที่ยังหนาไปด้วยสัสสตทิฏฐิ คือมีความรู้สึกเป็นตัวเป็นตน เป็นของ ๆ ตน จนยึดมั่นอยู่อย่างเหนียวแน่นเป็นประจำ, และตรัสโดย ภาษาธรรม สำหรับสอนคนที่มีธุลีในดวงตาอันเบาบางแล้ว จะได้เข้าใจปรมัตถธรรม เป็นการสอนปรมัตถธรรมให้รอดพ้นไปจากสัสสตทิฏฐิอันเป็นสมบัติดั้งเดิม เพื่อให้ทิ้งสมบัติดั้งเดิมนั้นเสีย, มันเป็น ๒ ภาษากันอยู่ดังนี้. สำหรับปฏิจจสมุปบาทนั้น เป็นเรื่องปรมัตถธรรม ที่พูดกันด้วย ภาษาธรรม เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามไปหมดจากเรื่องศีลธรรม, แล้วจะนำมาตรัสด้วยภาษาคน ที่ใช้สำหรับเรื่องศีลธรรมได้โดยวิธีใด หรืออย่างไร ? เมื่อตรัสโดยภาษาคนมันตรัสไม่ได้, ถ้าตรัสโดยภาษาธรรม คนฟังก็ตีความภาษาคนไปหมด เลยไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดอย่างตรงกันข้ามไปเสียเลย อันนี้เป็นต้นตอของปัญหาอันยุ่งยากสำหรับการสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่ทำให้ทรงท้อพระทัยในทีแรกถึงกับจะไม่ทรงสอน กระทั่งถึงพวกเราทุกวันนี้ สอนเรื่องนี้กันไม่รู้เรื่อง พูดกันไม่รู้เรื่อง, รับคำสอนแล้วปฏิบัติอะไรไม่ได้ ยิ่งปฏิบัติยิ่งไกลออกไปอีก, ดังนี้เป็นต้น ๔. ปฏิสนธิวิญญาณ ชนิดที่เป็นตัวตน ไม่มีในภาษาปฏิจจสมุปบาท, ดังนั้นคำว่าวิญญาณในปฏิจจสมุปบาทจึงทรงระบุวิญญาณหก, แต่ถ้าจะหาเลศเรียกวิญญาณเหล่านี้ว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ก็ยังมีทางทำได้ คืออธิบายว่าวิญญาณหกนี้เอง ก่อให้เกิดนามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนาขึ้นมา, แล้วยังสืบต่อลงไปถึงภพ และชาติ อันเป็นตอนปลายของปฏิจจสมุปบาท, แต่พระองค์ไม่ทรงเรียก หรือทรงอธิบายไว้ในที่ไหนว่า ปฏิสนธิวิญญาณ เพราะทรงประสงค์ให้เรามองกันในแง่ของวิญญาณ ตามธรรมดานั่นเอง. คำว่าปฏิสนธิวิญญาณเพิ่งมีใช้ในหนังสือชั้นหลัง เป็นการดึงสัสสตทิฏฐิกลับเข้ามาสู่พุทธศาสนาโดยปริยาย และเป็นกาฝากของพุทธศาสนา ซึ่งคอยกัดกินพุทธศาสนาให้หมดไป. เรามีวิญญาณหก ตามธรรมดา และมีปฏิจจสมุปบาทได้โดยไม่อาศัยคำว่า ปฏิสนธิวิญญาณเลย
หน้า ๔๙ ความหมายของคำในปฏิจจสมุปบาท ทีนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็มาถึงคือ ความหมายของคำในปฏิจจสมุปบาทเหล่านี้ ความหมายของคำแต่ละคำเหล่านี้ เป็นความหมายในทางภาษาธรรม ของ ผู้รู้ธรรม ; ไม่ใช่ความหมายของชาวบ้านผู้ไม่รู้ธรรม เราได้แยกออกไว้เป็น ๒ ภาษา คือ ภาษาคน หมายถึงภาษาคนธรรมดาที่ไม่รู้ธรรม ; แล้วก็ภาษาธรรมคือภาษาของผู้รู้ธรรม ; ภาษาปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นภาษาธรรม เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นเป็นลำดับไป. ถ้าเราถือเอาความหมายของปฏิจจสมุปบาทในภาษาคนแล้ว ก็จะเกิดความยุ่งยาก และจะเข้าใจไม่ได้ ; จะยกตัวอย่างให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์นั้น การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็คือการทำลาย อวิชชาเสียได้ : พระพุทธเจ้าทำลายอวิชชาเสียได้ก็คืออวิชชาดับ ; อวิชชาดับสังขารก็ดับ ; สังขารดับ วิญญาณก็ดับ ; วิญญาณดับ นามรูปก็ดับ ; แล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่ตาย ? คิดดูทีหรือว่าดับอวิชชาเสียได้ ที่การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์นั้น เพราะอวิชชาดับสังขารก็ดับ คืออำนาจปรุงแต่งทางวิญญาณ และนามรูปก็ดับ , แล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่สิ้นพระชนม์คาที่ที่โคนต้นโพธิ์ นั้นในวินาทีนั้น ? นี้ก็เพราะว่าคำพูดในปฏิจจสมุปบาทนี้มันเป็นภาษาธรรม : คำว่าดับนี้ก็เป็นภาษาธรรม ; คำว่าเกิดนี้ก็เป็นภาษาธรรม ; ไม่ใช่เกิดทางเนื้อหนัง ไม่ใช่ดับทางเนื้อหนัง. เมื่อเข้าใจไม่ถูกแล้วปฏิจจสมุปบาทสายหนึ่งก็จะเข้าใจเป็นว่าเกิด ๒ หน ; เกิดตรงนามรูปนี้ทีหนึ่ง แล้วไปเกิดตรงชาติโน้นอีกทีหนึ่ง ก็เลยเข้าใจว่าเกิด ๒ หน. เมื่อเข้าใจว่าเกิด ๒ หน ก็เลยมีสายปฏิจจสมุปบาททำให้เป็น ๓ ชาติ คือ ชาติในอดีต ชาติปัจจุบัน ชาติอนาคต มันเลยเตลิดเปิดเปิงยุ่งกันไปใหญ่ไม่ตรงตามเรื่อง ; และที่น่าขันที่สุดก็คือเมื่อเกิดพูดว่า เกิด ๒ หนได้, แต่พอถึงทีดับ หรือตายก็หากล้าพูดว่า ตาย ๒ หนไม่ เพราะไม่รู้ว่ามันจะตาย ๒ หนได้อย่างไร. คำว่าภพ คำว่าชาติ ที่แปลว่า ความมีความเป็นหรือความเกิดขึ้นในกรณีของปฏิจจสมุปบาทนี้ มิได้หมายถึงความเกิดทางมารดา ไม่ใช่เกิดจากครรภ์มารดา ; มันเกิดทางนามธรรม ที่เกิดด้วยอุปาทาน ที่ปรุงขึ้นมาเป็นความรู้สึกว่า ตัวกู นั่นแหละคือเกิด . ข้อนี้ก็มีพระบาลีที่ตรัสไว้ชัดที่จะอ้างเป็นหลักได้ก็คือ มหาตัณหาสงขยสูตร อีกเหมือนกัน :- พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ในสูตรนั้นว่า นันทิใดในเวทนาทั้งหลาย นั่นคือ อุปาทาน หมายความว่าเมื่อเรามีการกระทบทางอายตนะ เกิดเวทนา เป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนาอะไรก็ตาม, ก็มีนันทิในเวทนานั้น. * นั่นแหละคืออุปาทาน ; นันทิคืออุปาทาน เพราะว่านันทินี้มันเป็นที่ตั้งของความยึดถือ : ถ้ามีนันทิแล้วก็หมายความว่าต้องมีความยึดถือ. นันทิแปลว่าความเพลิดเพลินหรือความพอใจ. นันทินั้นเองคืออุปาทานชนิดที่พระองค์ตรัส. เราพอใจสิ่งใดหมายความว่าเรายึดถือสิ่งนั้นเข้าแล้ว เพราะฉะนั้นนันทิเองคืออุปาทาน แล้วนันทินั้นเองเป็นสิ่งที่ต้องมีในเวทนา ; เพราะฉะนั้นเป็นอันว่าเมื่อใดเรามีเวทนา แล้วเมื่อนั้นมีนันทิ แล้วเมื่อนั้นมีอุปาทาน : เพราะมีอุปาทานนี้ก็มีภพ, เพราะมีภพนี้ก็มีชาติ , เพราะมีชาตินี้ก็มีชรามรณะเกิดขึ้นพร้อมเป็นความทุกข์ นี้แสดงว่าภพกับชาตินี้ มันมีติดต่อกันไปจากเวทนา จากตัณหา จากอุปาทาน ไม่ต้องรอต่อตายแล้วไปเกิดใหม่ ; ไม่ต้องรอให้ตายแล้วไปเกิดใหม่ จึงจะมีภพมีชาติ . สิ่งที่เรียกว่าภพว่าชาตินั้นจะมีอยู่ที่นี่ ในวันหนึ่ง ๆ ไม่รู้กี่ครั้งกี่คราว : และจะมีทุกคราวที่มีเวทนา ; แล้วประกอบอยู่ด้วยอวิชชาซึ่งเพลิดเพลินเป็นนันทิ ; และนันทินั้นคืออุปาทาน; อุปาทานก็สร้างภพสร้างชาติ ; ฉะนั้นคำว่าภพว่าชาตินั้นมีอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ในวันหนึ่ง ๆ ไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา ไม่ต้องรอค่อตายแล้วไปเกิดใหม่ คำว่าภพว่าชาติในลักษณะอย่างนี้ มันเป็นภาษาธรรม ; ภาษาธรรมของผู้รู้ธรรม ไม่ใช่ภาษาชาวบ้าน . ถ้าเป็นภาษาชาวบ้าน ต้องรอต่อตายแล้วไปเกิดใหม่จึงจะมีภพมีชาติ แล้วก็มีทีเดียวเท่านั้น เพราะคนเรามันเกิดมาทีเดียวแล้วก็ตายเข้าโลงไปแล้วจึงจะมีภพมีชาติใหม่อีก. เดี๋ยวนี้ภพหรือชาติในภาษาธรรมมีวันหนึ่งหลายหน คือเกิดตัวกู --- ของกูหนหนึ่ง ก็เรียกว่ามีภพมีชาติหนหนึ่ง. แล้วเดือนหนึ่งก็มีได้หลายร้อยหน, ปีหนึ่งก็หลายพันหน, หลายพันภพชาติ , ฉะนั้นเราจะต้องรู้จัก สิ่งที่เรียกว่าภพว่าชาติ ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งหลาย ๆ หนนี้. ทีนี้จะเห็นได้ทันทีว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นเรื่องที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ; ไม่ใช่รอต่อตายแล้ว หรือต้องกินเวลาตั้ง ๓ ชาติจึงจะมีปฏิจจสมุปบาทสักรอบหนึ่ง. ที่แท้ในวันหนึ่ง ๆ มีตั้งหลาย ๆ หน ; เมื่อใดมีเวทนา มีตัณหาอุปาทาน เมื่อนั้นมีรอบของปฏิจจสมุปบาท แล้วมีภพมีชาติ ; ทำให้เห็นได้ว่ามันมีในชีวิตประจำวันของคนทุกคน . ------------------------------------------------------------------------ หน้า ๑๑๓ วิญญาณตามความหมายในปฏิจจสมุปบาทที่ว่าสังขารให้เกิดวิญญาณ ไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณ, แล้วก็ถูกตู่เอาไปเป็นปฏิสนธิวิญญาณหมด โดยพวกที่รู้แต่ภาษาคน พูดแต่ภาษาคน มีตัวตน คร่อมภพคร่อมชาติเสียเรื่อย แต่ถ้าจะพูดกันอีกทีหนึ่งก็พูดได้เหมือนกันว่า วิญญาณอะไรก็ตามที่ทำหน้าที่ให้เกิดอุปาทาน ภพ ชาติ ในปฏิจจสมุปบาทได้ตามนัยที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น, ก็อาจเรียกวิญญาณนั้นว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ได้เหมือนกัน เพราะมันสืบต่อการเกิด ตัวกู ให้เกิด ๆ กันไป
จากคุณ :
เฉลิมศักดิ์1
- [
13 พ.ค. 50 07:10:20
]
|
|
|
|
|