ความคิดเห็นที่ 1 หรือเพราะ 1. ออตโตมานเติร์กไม่ได้เน้นการเผยแผ่ศาสนาในกรีซ (ทำไมเฉพาะกรีซ?) 2. ศาสนาอิสลามไม่ได้เผยแผ่ด้วยคมดาบ รวมถึงการบังคับ (ซึ่งกรณีกรีซก็น่าจะยืนยันข้อนี้ได้) 3. สุลต่านเติร์กถือว่าชาวคริสต์นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน ไม่ใช่การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ที่เป็นข้อห้าม 4. ศาสนาคริสต์นิกายตะวันออกหรือออโธดอกซ์มีรากฐานที่แข็งแกร่งในกรีซและบอลข่าน โดยเฉพาะนิกายกรีกที่เคร่งครัด 5. กรีซถือเป็นจุดบันทึกพันธสัญญาใหม่ และภาษากรีกก็ใช้บันทึกพันธสัญญาใหม่ ชาวกรีกเลยภาคภูมิใจและชาตินิยมไม่ยอมเปลี่ยนง่าย ๆ 6. ความแตกต่างอย่างมากทางภาษา และวัฒนธรรม กรีก-เติร์ก หรือ 7. ช่วงเวลานั้นอิสลามกับคริสต์เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 13 พ.ค. 50 13:01:32 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ธงชาติของสองประเทศ ยืนหยัดชัดเจนในหลักศรัทธาของตน ไม้กางเขน (กรีซ) กับจันทร์เสี้ยว (ตุรกี) จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 13 พ.ค. 50 13:02:39 ]

ความคิดเห็นที่ 3 นั่นสิครับ น่าสนใจจัง แต่อิสลามไม่บังคับเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 13 พ.ค. 50 15:18:28 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ราชวงศ์อุษมานียะห์ (ออตโตมาน) พวกอุษมานียะห์ (Ottoman) เป็นราชวงศ์ซุลตอนแห่งตุรกีมีซุลตอนอุษมานข่านที่ 1 อิบนุอัรตุฆรุ้ล เป็นปฐมราชวงศ์ (ค.ศ.1281) จักรวรรดิอุษมานียะห์ (The ottoman) ได้สถาปนาขึ้นในคาบสมุทรอนาโตเลีย (Anatolia) บนความล่มสลายของอาณาจักรซัลจู๊ก เติร์ก และได้แผ่แสนยานุภาพสู่คาบสมุทรบอลข่าน กลุ่มประเทศอาหรับ และแอฟริกาในปี ค.ศ.1453 ซุลตอนมุฮัมมัด(เมฮ์เมต) ข่านที่ 2 อัลฟาติฮ์ได้พิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล และตั้งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิและทำลายจักรวรรดิโรมันแซนไทน์ลงได้ การเป็นค่อลีฟะห์แห่งมวลชนมุสลิมได้โยกย้ายสู่ซุลตอน สะลีม ข่านที่ 1 ซึ่งสามารถปราบปรามพวกมัมลูกียะห์และเข้ายึดครองซีเรีย ปาเลสไตน์ และอียิปต์ ในปี ค.ศ.1516 โอรสของซุลตอน สะลีม ข่าน คือ ซุลตอน สุลัยมาน อัลกอนูนนีย์ ได้สืบอำนาจต่อมา พระองค์ได้สร้างความเป็นปึกแผ่นแก่จักรวรรดิ และแผ่แสนยานุภาพเหนือดินแดนอาหรับจรดดินแดนแอฟริกา จักรวรรดิอุษมานียะห์ได้มีความเจริญขีดสุดในยุคสมัยของพระองค์ มีกองทัพเรือที่เข้มแข็งและมีกองทัพเจนเนสซารีย์ที่แข็งแกร่ง จักรวรรดิอุษมานียะห์ได้เริมอ่อนแอลงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ดินแดนของจักรวรรดิเริ่มลดลงในคาบสมุทรบอลข่าน ภายหลังพวกรัสเซียมีความเข้มแข็งในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดินแดนใต้อาณัติของจักรวรรดิก็เริ่มมีการเรียกร้องเอกราช มุฮัมมัด อาลี ปาชา เริ่มสั่งสมอำนาจในอียิปต์ และกรีซได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1830 ติดตามด้วยโรมาเนีย และเซอร์เบีย หลังสงครามไครเมีย จักดิวรรดิอุษมานียะห์ได้เข้ารวมกับเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 1 และการพ่ายแพ้สงครามของเยอรมนีได้นำไปสู่การแตกสลายเป็นเสี่ยงของจักรรรดิอุษมานียะห์ และการประกาศตั้งสาธารณรัฐตุรกีภายใต้การนำของ มุสตอฟา เคมาล อาตาเติร์ก ในปี ค.ศ.1923 จักรวรรดิอุษมานียะห์ มีอำนาจถึง 642 ปี มีซุลตอนครองราชย์ 36 องค์ ซุลตอนองค์สุดท้ายของจักรวรรดิคือซุลตอนมุฮัมมัดที่ 6 (ค.ศ.1918-1922) ในยุคสมัยของพระองค์ การปกครองในระบอบค่อลีฟะห์ได้ถูกยกเลิกหลังจากดำรงมาตลอดระยะเวลา 1,291 ปี http://www.nanaegypt.com/data/up/manuleft/saranaru/03.htm แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 50 17:02:17 จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 13 พ.ค. 50 17:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขณะนั้นกรีซเป็นส่วนหนึ่งของโรมันตะวันออก หลังจากนั้นไม่กี่วันสุลต่านเมห์เมดได้ออกกฎหมายให้บาดหลวงเคารพในศาสนาซึ่งกันและกัน พระองค์ไม่ต้องการให้ชาวคริสเตียนมีความขัดแย้ง และแตกแยกกันในเรื่องศาสนา  ทั้งนี้เพื่อสังคมของชาวคริสเตียนสามารถอยู่กันได้อย่างมีความสุข ไม่มีอุปสรรคใด ๆ พระองค์ทรงให้โอกาสชาวคริสเตียนสามารถที่จะเลือกดูว่าใครที่เหมาะสมจะได้เป็นผู้นำศาสนาของตน พระองค์จะไม่เข้าไปก้าวก่ายการเลือกผู้นำศาสนา โดยจะให้อิสระในการเลือกสรรโดยไม่ได้มาจากสุลต่าน อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายต่างๆ พระองค์จะรับผิดชอบ พวกเขาต่างงงกับการตัดสินใจของสุลต่านเมห์เมด แทบไม่เชื่อเลยว่าพระองค์จะทรงมีความเมตตาต่อคริสเตียนถึงขนาดนั้น เพราะที่ผ่านมาในการเดินทางของทหารคริส-เตียนไปยังปาเลสไตน์เป็นที่รู้กันถึงความโหดเหี้ยมของพวกทหารคริสเตียนนิกายคาทอลิก และนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งทีทำให้พวกเขาไม่ยอมรวมตัวกับชาวโรมันภายใต้การนำของสันตะปาปา  ภายหลังจากได้รับคำสั่งจากสุลต่าน พวกเขาได้เลือกอักนาดีอุส (Agnadius) เป็นผู้นำ  ผู้นำนมัสการ (บาดหลวง) ส่วนมากไม่ยอมให้มีการรวมตัวกับพวกโรมันเก่า หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งผู้นำแล้ว พวกเขาได้เข้าพบกับสุลต่านซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดี จากนั้นได้รับประทานอาหารร่วมกันกับพวกเขาเหล่านั้น เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว สุลต่านได้ให้สัญลักษณ์ มีผู้หนึ่งได้นำเอาไม้เท้าสำหรับผู้นำศาสนา สุลต่านได้ให้โอวาท “ท่านเป็นผู้นำศาสนาของชาวคริสเตียนในประเทศนี้ ขอให้อัลลอฮฺประทานความช่วยเหลือแก่ท่าน จงถือว่าฉันนี่เป็นมิตรกับท่านและพวกท่านทั้งหมด และสิทธิต่างๆ ที่เคยได้รับตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายพวกท่าน จะได้รับเหมือนเดิมทุกประการ” http://www.fathoni.com/lesson/auttoman/A7.htm เรื่องยาวมาก ๆ http://www.fathoni.com/lesson/auttoman/index.htm แต่แน่นอนว่าอิสลามไม่เผยแผ่ด้วยคมดาบและกระสุนปืน จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 13 พ.ค. 50 18:01:08 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เดี๋ยวจะหาว่านำเสนอฝ่ายเดียว While the Ottomans were completing the main conquest of Greek Mainland Ottoman Greece, two Greek migrations occurred. The first saw the Greek intelligentsia migrate to Western Europe — especially to Italy — and was a significant factor in the advent of the Western European Renaissance. The second migration of Greeks left the plains of the Greek peninsula and resettled in the mountains, the islands and other Greek regions where the Ottomans were unable to create a permanent military and administrative presence. As a result some Greek mountain clans across the peninsula, as well as some islands, were able to maintain a status of independence. The millet system contributed to the ethnic cohesion of Orthodox Greeks by segregating the various peoples within the Ottoman Empire based on religion. Eventually, religion played an integral part in the formation of the Modern Greek and other post-Ottoman national identities. http://en.wikipedia.org/wiki/Millet_%28Ottoman_Empire%29 "Young Greeks at the Mosque" (Jean Léon Gérôme, oil on canvas, 1865); this oil painting portrays Greek Muslims at prayer in a mosque) จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 13 พ.ค. 50 18:10:56 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Religion The Sultan regarded the Ecumenical Patriarch of the Greek Orthodox Church as the leader of the Greeks within the empire. The Patriarch was accountable to the Sultan for the Greeks' good behavior, and in exchange he was given wide powers over the Greek community. The Patriarch controlled the courts and the schools, as well as the Church, throughout the Greek communities of the empire. This made Orthodox priests the effective rulers of Greek villages. Some Greek towns, such as Athens and Rhodes, retained municipal self-government, while others were put under Ottoman governors. Some areas, such as the Mani Peninsula in the Peloponnese, and parts of Crete (Sfakia) and Epirus, remained virtually independent. When the Ottomans fought the Venetians, the Greeks mostly sided with the Venetians. The Orthodox Church assisted in the preservation of the Greek heritage. As a rule, the Ottomans did not require the Greeks to become Muslims, although many did so in order to avert the economic hardships of Ottoman rule. Many Greeks either became neo-martyrs such as Saint Efraim the Neo-Martyr or Saint Demetrios the Neo-martyr while others became Crypto-Christians (Greek Muslims who were secret practitioners of the Greek Orthodox faith) in order to avoid heavy taxes and at the same time express their identity by maintaining their secret ties to the Greek Orthodox Church. Crypto-Christians ran the risk of being killed if they were caught practicing a non-Muslim religion once they converted to Islam. Greeks who converted to Islam and were not Crypto-Christians were deemed Turks in the eyes of Orthodox Greeks. Christians were subject to various forms of discrimination. Sumptuary laws forced Christians and Jews to wear distinctive clothing, distinguishing them from their neighbors. Non-Muslims were not allowed to ride horses, and if they were riding a donkey or mule they had to dismount if they passed a Muslim. Churches were not allowed to ring their bells. Christians also had to pay higher taxes than Muslims.[3] http://en.wikipedia.org/wiki/Ottoman_Greece Byzantine Church in the Agora, Athens จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 13 พ.ค. 50 18:13:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ลืมรูป Byzantine Church in the Agora, Athens จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 13 พ.ค. 50 18:14:31 ]

ความคิดเห็นที่ 9 และนี่มั้งครับที่มุสลิมในกรีซน้อย The Treaty of Lausanne also provided for a Population exchange between Greece and Turkey that had started to be put into effect already before the final signature of the treaty in July 1923. About one and a half million Greeks had to leave Turkey for Greece and about half a million Turks had to leave Greece for Turkey (note that the population exchange was on religious grounds, thus the exchange was officially that of Christians against Muslims). The exceptions to the population exchange were Istanbul (Constantinople) and the islands of Gokceada (Imbros) and Bozcaada (Tenedos), where the Greek minority (including the Ecumenical Patriarch) was allowed to stay, and Western Thrace, whose Muslim minority was also allowed to stay. http://en.wikipedia.org/wiki/Greco-Turkish_relations จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 13 พ.ค. 50 18:16:02 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จริง ๆ ก็ไม่น้อยนะครับ According to the US Department of State, the Greek Government does not keep statistics on religious groups and censuses do not ask for religious affiliation.[21] Estimates of the recognised Muslim minority, which is mostly located in Thrace, range from 98,000 to an estimated 140,000,[21][22] while the immigrant Muslim community is between 200,000 and 300,000.[21] In an address to the Holy Synod of the Orthodox Church of Greece on 10 October 2006 Archbishop Christodoulos stated: "Today more than 500,000 Moslems live in our country."[23] http://en.wikipedia.org/wiki/Greece จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 13 พ.ค. 50 18:23:21 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Turkish PM visits Greek Muslims http://news.bbc.co.uk/nolpda/ukfs_news/hi/newsid_3697000/3697293.stm จากคุณ : Aisha - [ 13 พ.ค. 50 20:44:14 ]

ความคิดเห็นที่ 12 Timeline of Islam http://www.religionfacts.com/islam/timeline.htm จากคุณ : Aisha - [ 13 พ.ค. 50 20:52:02 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เจ๋งมากครับ ขอบคุณคุณดาบฯ มาก ๆ อ่าน link ที่ให้มาแล้วอ่านเพลินมากครับ ออตโตมาน vs ไบแซนไทน์ กรีก อัลแบเนีย บัลแกเรีย เซอร์เบีย (เซอร์เวีย) มอนเตรเนโกร บอสเนีย เวนิส เจนัว ออสเตรีย ฮังการี โรมาเนีย รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส อียิปต์ ซีเรีย เลบานอน คู่ต่อสู้เยอะมาก ๆ เรียกว่ารอบข้างรอบด้านเลย สรุปได้ว่าฝั่งยุโรป ออตโตมานให้อิสระกับชาวคริสต์ แต่ยุโรปกลัวอิสลาม ส่วนฝั่งอาหรับโดนยุโรปแยก ถึงแพ้จนเหลือแค่ตุรกี ก็น่ายกย่องครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 13 พ.ค. 50 22:12:26 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขณะที่สุลต่านเมห์เมดที่ 2 ยึดคอนสแตนติโนเปิ้ล กรีซไม่ได้อยู่ในจักรวรรดิไบแซนไทน์ทั้งหมดแล้วครับ ตอนนั้นไบแซนไทน์เริ่มหดลงและเริ่มแตกแล้วครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Image:ShepherdByzempire1265.jpg จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 13 พ.ค. 50 22:47:27 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่รู้ดิครับ จักรวรรดิไบแซนไทน์ ช่วงหลัง ๆ  อิทธิพลของกรีกเข้ามามากกว่าโรมันทั้งวิชาความรู้ ศิลปะ รวมถึงภาษากรีกได้รับความนิยมมากกว่าละติน กรีกออโธดอกซ์ก็แยกออกมาจากโรมันคาทอลิก ยุคสุดท้ายก็ปกครองโดยชาวกรีก จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 14 พ.ค. 50 00:21:27 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ปีค.ศ.1453 นครคอนสแตนติโนเปิลแตก สุลต่านเมฮ์เมตที่ 2 ท่านไม่ได้ยุบสำนักเพทริอาร์คกรีกออร์เธอด็อกซ์ลงครับ ทั้งๆที่เป็นศาสนาเดิมของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ปัจจุบันสำนักนี้ก็ยังอยู่ เมื่อเข้ากรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ท่านตรงไปที่โบสถ์อายา โซเฟีย เพื่อไปนมาซ บาทหลวง พระต่างๆ ต่างตกใจที่เห็นผู้พิชิตชาวเติร์กที่พวกไบแซนไทน์หวาดกลัวนั้นไม่ได้แสดงความก้าวร้าว ยังให้สำนักออร์เธอด็อกซ์คงอยู่ได้แถมยังให้บาทหลวงแปลคำสอนเป็นภาษาตุรกีอีก แต่ทำการเปลี่ยนโบสถ์อายา โซเฟียให้เป็นมัสยิด ท่านได้รับขนานนามว่าเป็น อัลฟาติฮ์(ผู้พิชิต),ข่าน,สุลต่าน,ไกเซอร์ รูม(จักพรรดิโรมัน) นอกจากชาวคริสต์แล้วสุลต่านยังให้เสรีภาพแก่ชาวยิวด้วย ในปีค.ศ.1492 หลังจากที่อาณาจักรอัล-อันดาลูสของมุสลิมในสเปนล่มสลาย สุลต่านบายาซิดที่ 2 ได้ส่งกองเรือออตโตมานไปรับชาวยิวที่ตกค้างในสเปน เพื่อหลบหนีจากการกวาดล้างจากศาสนจักร ไปอยู่อย่างปลอดภัยในเมืองซาโลนิกา ประเทศกรีซนั่นเอง เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากประวัติศาสตร์ครับ จากคุณ : GHANZI - [ 14 พ.ค. 50 00:32:10 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ชาวกรีกเป็นคู่ต่อสู้กับชาวตะวันออกกลางโดยเฉพาะพวกอาหรับแบบไม่ยอมญาติดีอยู่แล้ว  ดังนั้นศาสนาใดๆที่ผลิตมาจากตะวันออกกลางหรือโดยอาหรับ   ชาวกรีกย่อมไม่ไปยอมรับนับถือแน่ๆ ...แนวคิดนี้มีมาจนถึงประเทศตุรกีด้วย  แม้ตุรกีจะมีมุสลิมมากกว่าพวกอื่นๆ  แต่ชนชั้นปกครองของตุรกีจะไม่ยอมให้มุสลิมมีอำนาจขึ้นมาได้  ดังจะเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อน  ที่กองทัพออกมาขัดขวางการขึ้นเป็นใหญ่ของรัฐบาลที่นิยมมุสลิม เพราะเกรงว่าจะไปเปลี่ยนตุรกีเป็นรัฐอิสลาม  ผู้หญิงอิสลามในประเทศตุรกีจึงมีอิสระที่จะทำอะไรได้ตามสบายแทบเหมือนประเทศในยุโรปอื่นๆ   รัฐบุรุษของตุรกี  คือ เคมาล  ปาชา  อาตาเตอร์ก  เป็นผู้วางกฏเหล็กมาตั้งแต่รวมประเทศตุรกีได้สำเร็จ  ที่ไม่ยอมให้มุสลิมขึ้นครองอำนาจรัฐแบบสุดลิ่ม  แนวคิดนี้สืบเนื่องมาในกองทัพตุรกีจนถึงปัจจุบัน จากคุณ : Ck (Clarke) - [ 14 พ.ค. 50 02:05:16 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ก็แค่พวกรักแสงสี อยากให้ชีวิตเสเพลแบบยุโรปเป็นผุ้มีอำนาจสะส่วนใหญ่ แต่อิสลามดีๆก็มีเยอะ เคยคุยกับคนตรุกีตอนไปทำพิธีฮัจย์เหมือนกันอีกไม่นานก็ทนกระแสสังคมไม่ได้หรอก ส่วนเรื่องกรีกส่งผลมาตุรกีมันจะคนละเรื่องกัน   เรื่องการเมืองกับศาสนา ผลประโยชน์มันมี คนตรุกี ก็นับถือ อิสลาม 99 เปอร์เซ็นถ้าความคิดกรีก ส่งมาถึงคนตรุกีจริงคงไม่เหลืออิสลามเท่านี้หรอก แต่ภาคการเมือง ทหารไม่ยอมต่างหากละ ส่งสัยจะเสียผลประโยชน์เยอะ ส่วนเรื่องกรีกก็ว่ากันไปอีกเรื่อง แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 50 03:38:02 แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 50 03:36:42 จากคุณ : beckmee - [ 14 พ.ค. 50 02:44:28 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สุดท้ายชาวกรีกก็ไม่ได้คอนสแตนติโนเปิ้ลคืน กรีกพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากความขัดแย้งกัน กรีกซึ่งเคยอยู่ภายใต้ออตโตมานตั้งแต่ครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ตอนนี้ได้ประกาศจะทำลายออตโตมาน รัฐบาลภายใต้การนำของนายก รัฐมนตรี เวนิโซลอส (Venizelos) เตรียมพร้อมทำลายตุรกี โดยได้เรียกร้องผลประโยชน์บางประการ สายรายงานหนึ่งรายงานว่าเวนิโซลอสได้รับความกดดันจากนักศาสนาให้ยึดกรุงอิสตันบูลคืนและไม้กางเขนทองคำจะถูกตั้งแทนที่เดือนเสี้ยวและดาวเหนืออยาโซเฟีย การเรียกร้องของกรีกต่ออังกฤษ ฝรั่งเศสด้วยดี ทหารกรีกยกพลขึ้นบกที่ชายหาดอิซมิร (Izmir) 100,000 คน มุ่งหน้าโจมตีอาณาจักรออตโตมาน อัล-ฆอซี มุสตอฟา เคมาล ปาชา นำทัพเองเปิดสงครามกับกรีก ชนชาติตุรกีและโลกมุสลิมต่างรอคอยถึงโชคชะตาของนักรบมุสลิมซึ่งเคยรบในแนวทางตลอดระยะเวลา 400 ปี ในสงครามที่ซากัรยา  (Sakarya)  ทหารกรีกถูกชะล้างอย่างสะอาดเพราะถูกขับไล่ตกทะเล โดยเคมาล ปาชา ซึ่งภายหลังได้ชื่อใหม่ว่า “Ataturk” ทำลายความฝันของเวนิซยับเยิน เพราะการคาดเดาที่ผิดพลาดว่าตุรกีไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนสมัยก่อน ชนชาติตุรกีสามารถผงาดขึ้นมาอีกครั้ง โลกมุสลิมต่างป่าวร้อง “อัลลอฮุอักบัร” ด้วยชัยชนะของตุรกีครั้งนี้ทำให้อำนาจของสุลต่านไม่มีความหมายอีกต่อไป http://www.fathoni.com/lesson/auttoman/A36.htm อย่างไรก็ดี กระทู้นี้เอาไว้ฟาดหน้าผู้ที่มักแสดงความเห็นว่าอิสลามเผยบังคับและแผ่ด้วยคมดาบได้ดีเยี่ยม จากคุณ : ดาบจันทร์เสี้ยว (Hermes) - [ 14 พ.ค. 50 07:32:50 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ชาวกรีกเป็นคู่ต่อสู้กับชาวตะวันออกกลางโดยเฉพาะพวกอาหรับแบบไม่ยอมญาติดีอยู่แล้ว  ดังนั้นศาสนาใดๆที่ผลิตมาจากตะวันออกกลางหรือโดยอาหรับ   ชาวกรีกย่อมไม่ไปยอมรับนับถือแน่ๆ *************************** >> ไม่จริงมั้งครับ ชาวกรีกนับถือศาสนาจากตะวันออกลางอยู่นะครับ นั่นคือศาสนาคริสต์ไงครับ อย่างไรก็ดี กระทู้นี้เอาไว้ฟาดหน้าผู้ที่มักแสดงความเห็นว่าอิสลามเผยบังคับและแผ่ด้วยคมดาบได้ดีเยี่ยม ********************************** >> ประเด็นของผมคือสงสัยจริง ๆ ครับว่าทำไมชาวมุสลิมในกรีซน้อยกว่าเพื่อนบ้านรอบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ติดกับประเทศมุสลิมอย่างตุรกี แต่พอจะเห็นคำตอบบ้างว่าทางรัฐบาลกรีซเองก็ไม่ค่อยสนับสนุนมุสลิมเท่าไหร่ อาจจะยังฝังใจกับเติร์ก หรือเพราะถือว่าประเทศกรีซเป็นศูนย์กลางของคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ ขนาดในเมืองหลวงอย่างเอเธนส์ยังไม่มีสุเหร่ามุสลิมสักหลัง ส่วนประวัติจักรวรรดิออตโตมาน เท่าที่อ่าน ๆ มา สุลต่านออตโตมานหลายคนก็ไม่ได้เป็นมุสลิมที่ดี เพราะดื่มเหล้า รวมถึงคัดค้านกฏหมายเรื่องการดื่มเหล้า มีฮาเร็ม แย่งชิงความยิ่งใหญ่กันในตระกูล เช่นพี่ฆ่าน้อง มเหสีอิจฉากัน ฯลฯ หากมีสุลต่านที่ไปทางเคร่งครัดหน่อย กลับถูกต่อต้านจากทหาร และจักรวรรดิออตโตมานช่วงนั้นจะอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด สงสัยครับว่าระบบสุลต่านหรือระบบกษัตริย์กับคอลีฟะห์ หรือกาหลิบรวมอยู่กันได้อย่างไร จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 14 พ.ค. 50 11:57:16 ]

ความคิดเห็นที่ 22 จาก...http://www.greece-athens.com/article.php?article_id=60 First Athens mosque July 26, 2006 The Greek government on Tuesday unveiled a location for the first modern mosque in Athens. The mosque will be located in a downtown area of the city which is slated to be redeveloped as a sports and parks complex aimed at revitalising the city centre. The mosque will be built in the Botanikos area. The mosque will be paid for by the state, said Minister for Development George Souflias, adding it would be close to a new metro stop. Greece had pledged to build a mosque in Athens to serve the city's growing Muslim community, mostly immigrants from Asia, but the plan had stumbled over the choice of location. Earlier proposals included a site near the airport, 33 kms (20 miles) from the city, or the reopening of an 18th-century mosque which has since been turned into a museum. We welcome this decision and see it as a positive development in accord with the established position of the Church of Greece, Archbishop of Athens and All of Greece Christodoulos said in a statement. Author : Reuters ภาพ...Parthenon mosque: The Parthenon during its time as a Mosque under the Ottoman Empire. จากคุณ : Crescent ) - [ 14 พ.ค. 50 15:12:59 ]