อ่านกระทู้จากคลับหน้าต่างโลก ห้องสมุดพันทิปเกี่ยวกับเรื่อง พุทธาวตาร ปางที่เก้าของพระนารายณ์ในศาสนาฮินดู แล้ว อยากจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้แด่ชาวพุทธทั้งหลายเพื่อความเข้าใจ
ตอนนี้ศาสนาไหนในอินเดียที่มีการขยายตัวของผู้นับถือแทนที่ศาสนาฮินดูมากที่สุดครับ
คริสต์ อิสลาม หรือ พุทธ
ผมว่าน่าจะเป็นใช่รึเปล่า
เพราะหลักการและพิธีกรรมบางอย่างของศาสนาฮินดูก็คล้ายคลึงกับศาสนาพุทธหลายอย่าง ไม่ค่อยขัดแย้งกันเหมือนกับคริสต์หรืออิสลาม ที่สำคัญศาสนาฮินดูมีการถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นเทพอวตารองค์หนึ่งด้วย ผมว่าพุทธศาสนาน่าจะเข้าถึงชาวอินเดียได้มากกว่าศาสนาคริสต์และอิสลาม
ผมเพิ่งดูข่าวว่า มีคนอินเดียเปลี่ยนมานับถือพุทธมากขึ้นถึงห้าแสนคน เพื่อหลบหลีกระบบวรรณะที่มีในอินเดีย
จากคุณ : สนิมเหล็ก - [ 27 พ.ค. 50 22:28:07 ]
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5452103/K5452103.html
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)] เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในบทความเรื่อง บทเรียนที่มักถูกลืม
พระพุทธเจ้า พระเอกผู้หลอกลวงของฮินดู บทเรียนที่มักถูกลืม
อินเดียหันจากพราหมณ์ มาหาพุทธศาสน์
ศาสนาพราหมณ์อันเก่าแก่ของอินเดีย ซึ่งพัฒนามาเป็นศาสนาที่เรียกในปัจจุบันว่าฮินดู นับถือเทพสูงสุด ซึ่งในพุทธกาลได้แก่พระพรหม ผู้มีอำนาจสร้างสรรค์ดลบันดาลสรรพสิ่ง รวมทั้งชีวิตและสังคมของมนุษย์
ศาสนาพราหมณ์นั้น ได้จัดตั้งวางระเบียบสังคมด้วยระบบวรรณะ และกำกับวิถีของสังคมนั้นด้วยข้อกำหนดแห่งพิธีบูชายัญ บนฐานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์พระเวท โดยอ้างอำนาจสูงสุดของพระพรหมเทพเจ้า
ในระบบวรรณะ ๔ นั้น พระพรหมทรงสร้างและจัดสรรสังคมมนุษย์ โดยแบ่งคนให้มีศักดิ์และสิทธิ์ตามชาติกำเนิด ไม่มีทางแก้ไข เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ได้สอนให้มนุษย์รู้ว่าธรรมสูงสุดส่วนพระพรหมและเทพทั้งปวง เป็นเพียงเพื่อนร่วมสังสารวัฏ ที่มนุษย์พึงอยู่ร่วมด้วยเมตตา โดยต่างก็เป็นไปตามธรรม พร้อมกันนั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศหลักการให้ถือว่าคนทั้ง ๔ วรรณะมีสถานะเสมอกัน ไม่มีการแบ่งแยกแตกต่าง มวลมนุษย์เสมอกันโดยธรรม จะแตกต่างกันไปก็ด้วยการทำกรรม ดังพุทธพจน์ที่ตรัสว่า
บุคคลไม่เป็นคนถ่อยทรามเพราะชาติกำเนิด ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด แต่เป็นคนถ่อยทราม เพราะการกระทำ เป็นพราหมณ์เพราะการกระทำ [ขุ.สุ.๒๕/๓๐๕๑๓๔๙]
สังฆะของพระพุทธเจ้าจึงเปิดรับคนทั้ง ๔ วรรณะเท่าเทียมกัน ดังคำกล่าวของพระสารีบุตรว่า
แม่น้ำสินธู แม่น้ำสรัสวดี แม่น้ำจันทภาคา แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำสรภู และมหินที ทั้งหมดนี้เมื่อหลั่งไหลมา สาครย่อมรับไว้ ชื่อเดิมก็สลัดหาย รู้กันแต่ว่าเป็นสาคร
เหล่าชน ๔ วรรณะนี้ ก็เช่นกัน บรรพชาในสำนักของพระองค์ (พระพุทธเจ้า) ย่อมละชื่อเดิม รู้กันแต่ว่าเป็นพุทธบุตร [ขุ.อป.๓๒/๓/๓๙]
อีกด้านหนึ่งคือการบูชายัญ ในพระไตรปิฎก มีเรื่องราวจารึกไว้หลายพระสูตร ที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงพบปะสนทนาโต้ตอบกับพราหมณ์ผู้ใหญ่มีชื่อเสียงและผู้ปกครองบ้านเมือง โดยทรงใช้วิธีการทางปัญญา ทำให้เขาเลิกล้มพิธีบูชายัญ ที่เอาใจเทพเจ้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยการเบียดเบียนคนและสัตว์ ให้เขาหันมาบำเพ็ญทานเผื่อแผ่แบ่งปันช่วยเหลือกันในหมู่มนุษย์เอง
เมื่อการต่อสู้ทางปัญญาเข้มข้นขึ้น และพระพุทธศาสนาแผ่ขยายออกไป พิธีบูชายัญก็ลดความสำคัญลง แม้แต่พราหมณ์ก็สละวรรณะออกมาบวชเป็นพระภิกษุกันมากขึ้น ๆ ทำให้สถานะของศาสนาพราหมณ์สั่นคลอนอย่างมาก
เมื่อเวลาผ่านไป พระพุทธศาสนาก็ยิ่งเจริญแพร่หลายกว้างขวาง จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ที่ครองราชย์ตั้งแต่ พ.ศ.๒๑๘ พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนำธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ในการปกครองบ้านเมือง โดยทะนุบำรุงอำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาราษฎร์อย่างทั่วถึง และคุ้มครองในความเป็นธรรมเสมอเหมือนกัน
นอกจากไม่ให้อภิสิทธิ์แก่วรรณะพราหมณ์แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชถึงกับทรงประกาศห้ามการฆ่าสัตว์บูชายัญ และทรงย้ำการห้ามบูชายัญนี้บ่อยครั้งในศิลาจารึกที่โปรดให้เขียนไว้ในท้องถิ่นดินแดนต่าง ๆ นับว่าเป็นการหักล้างหลักการของศาสนาพราหมณ์อย่างถึงรากถึงฐาน
แน่นอนว่า ระบบวรรณะ และการบูชายัญ เป็นสิ่งที่พราหมณ์จะต้องพยายามรักษาไว้ให้มั่นคงที่สุด
หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราชสวรรคตเพียง ๕๓ ปี (นับแบบของเราว่า พ.ศ. ๓๑๓ แต่นับอย่างฝรั่งว่าประมาณ พ.ศ.๒๙๘ ) พวกพราหมณ์ก็โค่นล้มราชวงศ์โมริยะลง โดยพราหมณ์นามว่า ปุษยมิตร ซึ่งรับราชการเป็นเสนาบดีอยู่ในวัง ได้ปลงพระชนม์กษัตริย์เสีย แล้วพราหมณ์ก็ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์เอง ตั้งราชวงศ์ใหม่ชื่อว่าศุงคะ
มีเรื่องบันทึกไว้ว่า ราชาปุษยมิตรได้ประกาศศักดา โดยรื้อฟื้นการบูชายัญ เฉพาะอย่างยิ่งยัญพิธีที่ยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ คืออัศวเมธ อันได้แก่การฆ่าม้าบูชายัญ นอกจากนั้น ราชาปุษยมิตรได้ทำลายพระพุทธศาสนา เผาวัดกำจัดพระภิกษุสงฆ์ โดยถึงกับในค่าศีรษะแก่ผู้ฆ่าพระภิกษุได้ รูปละ ๑๐๐ ทินาร์* [Dutt, Sukumar. The buddha and Five After-Centuries. (London:Luzac and Company Limited, 1955,p.164]แต่เรื่องของปุษยมิตรอยู่ในยุคที่มีเอกสารน้อย จึงไม่มีรายละเอียด
อย่างไรก็ตาม ราชาปุษยมิตรทำลายพระพุทธศาสนาไม่ได้มาก เพราะครองดินแดนของราชวงศ์โมริยะไว้ได้เพียงบางส่วน มีผู้ตั้งอาณาจักรอื่น ๆ ขึ้น แตกแยกออกไป และพระพุทธศาสนาก็ยังรุ่งเรืองต่อมาในหลายถิ่น เช่น ในอาณาจักรบากเตรีย ที่เราเรียกว่า แคว้นโยนก ของกษัตริย์เชื้อชาติกรีก พระนามว่าพระเจ้าเมนานเดอร์หรือมิลินทะ แห่งแคว้นสาคละหรือสากละ ในปัญจาบปัจจุบัน
ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๔๐๐ (ราว ๑๕๐ ปีหลังยุคพระเจ้าอโศกมหาราช) เทพเจ้าองค์ใหม่ได้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาในศาสนาพราหมณ์นั้น คือพระวิษณุ (ได้แก่พระนารายณ์) และพระศิวะ (ได้แก่พระอิศวร)
ในยุคต่อจากนี้ ตลอดเวลาระยะยาว พราหมณ์ได้พยายามล้มล้างพระพุทธศาสนาเรื่อยมา ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งอย่างรุนแรง และอย่างละมุนละม่อม รวมทั้งการสร้างนารายณ์อวตารปางที่ ๙ ที่เรียกว่าพุทธาวตาร หรือที่พราหมณ์เองเรียกว่าปางมายาโมหะ และศิวะอวตาร ตลอดจนตั้งคณะนักบวชฮินดูขึ้นมาเลียนแบบสังฆะ
เดี๋ยวนี้ชาวฮินดูสร้างเทวาลัย บางพวกวางรูปพระนารายณ์ไว้ตรงกลาง แล้วบางแห่งก็เอารูปพระพุทธเจ้าไปวางไว้ข้าง ๆ ให้เป็นบริวาร การที่เขาทำอย่างนี้ เป็นเรื่องยุคหลัง ๆ ที่สืบมาแต่ราว พ.ศ.๑๐๐๐
ครั้งนั้น ทางฝ่ายฮินดูแต่งเรื่อง โดยสร้างหลักคำสอนใหม่ขึ้นมา บอกว่าพระนารายณ์ซึ่งเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ จะอวตารลงมากู้และแก้ปัญหาของโลกเป็นระยะ ๆ แล้วครั้งหนึ่งก็ได้อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าของเราก็กลายเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์
เขาบอกว่า บูชาพระพุทธเจ้าได้ ไม่เป็นไร เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นพระนารายณ์ที่อวตารลงมา ว่าแล้วเขาก็เอาพระพุทธรูปไปไว้ในเทวาลัยของฮินดูด้วย โดยเอาพระนารายณ์ตั้งตรงกลาง แล้วเอาพระพุทธรูปไปวางไว้ข้าง ๆ เป็นการค่อยประสานกลมกลืนกันไป แต่ที่เขาบูชาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร ดูเหมือนเป็นการยกย่องนั้น ถ้าศึกษาสักหน่อย ก็จะรู้ว่าเป็นการมุ่งร้าย เพราะเขาบอกว่า
พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อทำหน้าที่หลอกลวงคน
ลัทธิฮินดูบูชาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารปางมายาโมหะ คือปางหลอกลวงคน หลอกลวงอย่างไร คือเขาแต่งเป็นเรื่องว่า มีมนุษย์จำนวนมากที่เป็นพวกของอสูรร้าย เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้าและต่อพระเวท พระนารายณ์ก็เลยอวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อหลอกลวงคนเหล่านี้เอามารวมเข้าด้วยกันไว้ เพื่อช่วยให้เทพเจ้าทำลายคนเหล่านี้ได้สะดวก ทีเดียวหมดเลย
หมายความว่า ฮินดูให้พระพุทธเจ้าเป็นพระเอกในบทบาทของผู้หลอกลวง และถือว่าชาวพุทธก็คือพวกลูกน้องของอสูร
พราหมณ์ใช้พระนารายณ์ มาชิงอินเดียกลับไป
ไหน ๆ ได้พูดพาดพิงถึงการที่ฮินดูเอาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารแล้ว ก็ควรจะพูดให้เข้าใจชัดเจนขึ้นสักนิด
เรื่องนารายณ์อวตารนี้เกิดขึ้นในยุคคัมภีร์ปุราณะของฮินดู ปุราณะ แปลง่าย ๆ ว่า เรื่องโบราณ ก็คล้ายกับคำว่าตำนาน แต่เป็นตำนานของฮินดูโดยเฉพาะคัมภีร์ปุราณะมีทั้งหมด ๑๘ คัมภีร์ แต่ก่อนเคยเข้าใจกันว่าเก่าแก่มาก แต่เวลานี้รู้กันลงตัวหมดแล้วว่า แต่งขึ้นเริ่มแรกในคริสต์ศตวรรษ ที่ ๔ (ราว พ.ศ. ๘๕๐ ) และแต่งกันเรื่อย ๆ มาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ (ราว พ.ศ.๑๔๕๐ ) แต่ปราชญ์บางท่านว่าถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ (ราว พ.ศ.๒๐๕๐)
เรื่องเอาพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระนารายณ์ ที่เรียกว่าพุทธาวตาร นั้น ปรากฏขึ้นระหว่าง พ.ศ.๑๐๐๐-๑๑๐๐ คัมภีร์ปุราณะ คัมภีร์แรกที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร คือ "วิษณุปุราณะ" ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่แต่งในช่วง พ.ศ.๙๔๓-๑๐๔๓ และบรรยายไว้ยืดยาว
ชาวฮินดูเอาพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารเพื่ออะไร ไม่ควรเดา ถ้าต้องการรู้ชัดก็อ่านข้อความในคัมภีร์ปุราณะที่เป็นต้นแหล่ง ก็จะได้ความแน่นอน ขอยกข้อความในคัมภีร์วิษณุปุราณะ ตอนสำคัญมาให้ดู ตอนหนึ่งว่า
"พวกอสูร มีประหลาทะ เป็นหัวหน้า ได้ขโมยเครื่องบูชายัญของเทพยดาทั้งหลายไป แต่เหล่าอสูรเก่งกล้ามาก เทพยดาปราบไม่ได้ พระวิษณุเจ้า (พระนารายณ์) จึงทรงนิรมิตบุรุษแห่งมายา (นักหลอกลวง) ขึ้นมาเพื่อให้ไปชักพาเหล่าอสูรออกไปให้พ้นจากทางแห่งพระเวท .....
บุรุษแห่งมายานั้นนุ่งห่มผ้าสีแดง และสอนเหล่าอสูรว่า การฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นบาป..... ทำให้พวกอสูรเป็นชาวพุทธและชักพาให้หมู่ชนอื่น ๆ ออกนอกศาสนา พากันละทิ้งพระเวท ติเตียนเทพยดาและพราหมณ์ทั้งหลาย สลัดทิ้งสัทธรรมที่เป็นเกราะป้องกันตัว เทพยดาทั้งหลายจึงเข้าโจมตีและฆ่าอสูรเหล่านั้นได้"
อีกแห่งหนึ่งกล่าวว่า
"ในการสงครามระหว่างเทพยดากับเหล่าอสูร เทพยดาได้ปราชัย และมาขอให้องค์พระเป็นเจ้า (พระวิษณุ=พระนารายณ์) ทรงเป็นที่พึ่ง องค์พระเป็นเจ้าจึงได้ทรงมาอุบัติเป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ มาทรงเป็นองค์มายาโมหะ (ผู้หลอกลวง) และทรงชักพาให้เหล่าอสูรพากันหลงผิดไปเสีย ไปนับถือพุทธศาสนา และละทิ้งพระเวท แล้วพระองค์ก็ได้ทรงเป็นอรหันต์ และทำให้คนอื่น ๆ เป็นอรหันต์ พวกนอกพระศาสนาจึงได้เกิดมีขึ้น"
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 50 13:28:51
จากคุณ :
เพ็ญชมพู
- [
28 พ.ค. 50 13:00:03
]