ความคิดเห็นที่ 1 [2.246]  เจ้าไม่รู้หรือ (ถึงประวัติของ) มวลชนหนึ่งจากพวกพงศ์เผ่าของอีสรออีล ภายหลังจากมูซา (ได้จากโลกนี้ไปแล้ว) เมื่อพวกเขาได้กล่าวกับศาสดาองค์หนึ่งของพวกเขา (ซึ่งมีชื่อว่าซำวีล) ว่า ท่านได้โปรดแต่งตั้งกษัตริย์แก่พวกเราสิ เราจะได้ออกต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ศาสดาจึงกล่าวกับพวกเขาว่าพวกท่านทั้งหลายคาดคิดไหมว่า หากพวกท่านได้ถูกบัญญัติให้ทำการรบแล้ว พวกท่านจะไม่ออกต่อสู้ พวกเขาตอบว่า และไม่มีเหตุผลใด ๆ สำหรับพวกเราเลย ที่จะไม่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ทั้ง ๆ ที่พวกเราถูกขับไล่ออกมาจากบ้านเมืองของเรา และลูก ๆ ของเรา ครั้นแล้วเมื่อการรบได้ถูกบัญญัติแก่พวกเขา พวกเขาก็หันหลังให้ ยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเท่านั้นเอง (ที่ออกทำการรบ) และอัลลอฮ์ ทรงรอบรู้ยิ่งกับบรรดาผู้ฉ้อฉลทั้งมวล [2.247]  และศาสดาแห่งพวกเขาก็ได้ประกาศแก่พวกเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงแต่งตั้ง ฏอลูตให้เป็นกษัตริย์ พวกเขาก็กล่าวว่า ไฉนเล่าจึงให้เขามาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเรา ทั้งๆที่ความเป็นจริงพวกเราทรงสิทธิ์ในตำแหน่งกษัตริย์ยิ่งกว่าเขาเสียอีกและเขา (ฏอลูต) นั่นก็ไม่มีทรัพย์อันมั่งคั่งแต่ประการใดๆ (แล้วจะมาเป็นกษัตริย์พวกเราได้อย่างไร) เขา (ศาสดาซำวีล) กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ได้ทรงคัดเลือกตัวเขา (ฏอลูต) ให้เป็นกษัตริย์ของพวกเจ้า และพระองค์ทรงเพิ่มพูนความรู้ และ (พลังแห่ง) เรือนร่างอันกว้างขวางแก่เขา และอัลลอฮ์ทรงประทานอำนาจแห่งอาณาจักรของพระองค์แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์ทรงไพศาลยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง [2.248]  และศาสดาของพวกเขาได้กล่าวกับพวกเขาว่า แท้จริงสัญลักษณ์ แสดงอำนาจทางอาณาจักรของเขาก็คือ จะมีหีบมายังพวกท่านซึ่งในนั้น มีความสงบมั่นจากองค์อภิบาลแห่งพวกท่าน และมีส่วนที่เหลืออยู่จากที่วงศ์วานแห่งมูซา และวงศ์วานแห่งฮารูนได้ทิ้งไว้ ซึ่งมาลาอีกะห์แบกมันมาเอง แท้จริงในนั้น ย่อมเป็นสัญลักษณ์แด่พวกเจ้าทั้งมวล ทั้งนี้หากพวกเจ้าเป็นผู้มีความศรัทธา [2.249]  ต่อมาเมื่อฏอลูตได้นำไพล่พลเคลื่อนออกไป (จากไบติลมักดิส) เขาก็ประกาศว่า แท้จริงอัลลอฮ์ จะทรงทดสอบพวกท่านทั้งหลาย ด้วยลำน้ำสายหนึ่ง ซึ่งผู้ใดดื่มจากมัน เขาก็หาใช่พวกของฉันไม่ แต่ผู้ใดไม่ดื่มมัน เขาก็เป็นพวกของฉัน ยกเว้นบุคคลที่ใช้มือของเขาวักน้ำเพียงครั้งเดียว ครั้นแล้วพวกเขาก็ดื่มจากมัน ยกเว้นเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเหล่านั้น (ที่ไม่ยอมดื่ม) ต่อมา เมื่อเขาและบรรดาผู้ศรัทธาที่มีอยู่พร้อมกับเขาเดินผ่านลำน้ำนั้น พวกเขาก็กล่าวว่า ในวันนี้เราต่อสู้กับญาลูฏ และไพร่พลของเขาไม่ไหวอย่างแน่นอน บรรดา (ศรัทธาชน) ที่มั่นใจว่าพวกเขาต้องได้พบกับอัลลอฮ์จึงกล่าวว่า มีตั้งเท่าไหร่แล้ว กลุ่มชนที่มีเพียงเล็กน้อย สามารถพิชิตกลุ่มชนที่มากกว่าโดยอนุมัติของอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ ย่อมอยู่พร้อมกับบรรดาผู้อดทนทั้งหลาย [2.250]  และเมื่อพวกเขาได้ปรากฏตัว (เพื่อเปิดฉากต่อสู้) กับญาลูฏและไพร่พลของเขา พวกนั้นก็วิงวอนว่า โอ้องค์อภิบาลของเรา ขอได้โปรดหลั่งความอดทนลงให้พวกเราด้วยเถิด โปรดประทานความแน่นแฟ้นแก่เท้าของเราด้วยเถิด และโปรดช่วยเราให้มีชัยชนะแก่ชาวเนรคุณด้วยเถิด [2.251]  ครั้นแล้วพวกเขาก็ปราบพวกนั้น (ได้สำเร็จ) โดยอนุมัติของอัลลอฮ์ และดาวูดได้ฆ่าญาลูฏตาย และอัลลอฮ์ ได้ทรงประทานอำนาจทางอาณาจักรและวิทยญานแก่เขา และพระองค์ทรงสอนเขาบางสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และมาดแม้นไม่เป็นเพราะอัลลอฮ์ทรงป้องกันมนุษย์ไว้แก่กันและกัน แล้วไซร้แน่นอนที่สุดแผ่นดินก็ย่อมซึ่งหายนะ และทว่าอัลลอฮ์ ทรงไว้ซึ่งความโปรดปราน แก่บรรดาชาวโลกทั้งปวง 4. ตรงนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างชาวอิสราเอล กับพวกไหนครับ แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 50 20:55:08 จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 9 มิ.ย. 50 20:53:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มุสลิม ขยายอาณาเขต ทำทุกอย่างเพื่อพระอัลลอห์  กีดกั้นทุกศาสนา แม้กระทั่งเข่นฆ่ากันก็ไม่ผิดบาป มีเมียได้หลายคนเพราะต้องการเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิม มุสลิมอยากครองโลก หรือไม่จริง???? จากคุณ : ไม่น่าเลย (decimals3) - [ 9 มิ.ย. 50 21:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอปรบมือให้ความเห็นที่ 2 จากคุณ : Dustin Road - [ 9 มิ.ย. 50 21:57:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อือ.. ว่าเหมือน #2 จากคุณ : แมวะ - [ 9 มิ.ย. 50 22:13:51 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คำถามของคุณคลื่นแทรก รอให้ผู้รู้มาตอบล่ะกันค่ะ ไปอ่านนี่ก่อนดีกว่า เปิดโปงองค์กรลับ ฟรีเมสัน http://www.procons.info/index.php?lay=show&ac=article&Id=35696 สนธิสัญญาชั้นต้นของผู้นำขบวนการยิวไซออนิสต์ http://www.procons.info/index.php?lay=show&ac=article&Id=35699 เนื้อแท้ของรัฐไซออนนิสต์ http://www.procons.info/index.php?lay=show&ac=article&Id=35708 รู้จักยิวไซออนนิสต์แล้วหรือยัง http://www.procons.info/index.php?lay=show&ac=article&Id=350735 ความจริงที่ไม่มีคนรู้เกี่ยวกับไซออนนิสต์ http://www.procons.info/index.php?lay=show&ac=article&Id=35707 ไซออนนิสต์กับยุทธศาสตร์ครองความเป็นเจ้าโลก (โลกเดียว) http://www.procons.info/index.php?lay=show&ac=article&Id=350748 จากคุณ : เสบียง 2 โลก - [ 9 มิ.ย. 50 22:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 โอยยย ท่าทางจะชอบมาก สำเร็จความใครใส่กระทู้ชาวบ้านเนี่ย จากคุณ : Carroth - [ 9 มิ.ย. 50 22:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7 นบีมูซา คือ โมเสก หัวหน้าชนชาติยิว ที่พาชาวยิวจากอียิปต์เข้าไปตั้งรกรากในดินแดนอิสราเอลตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า พระเจ้ามอบดินแดนอิสราเอลในปัจจุบันให้ชนชาติยิวนานแล้ว พระเจ้าช่วยเหลือยิวในการสร้างอาณาจักรด้วย ไม่ได้ยกให้พวกอาหรับ และ ยิวคือชนชาติที่พระเจ้าคัดเลือกเป็นชนชาติแรก ตอนนั้นพวกอาหรับยังเป็น nomad ไม่มีศาสนาอยู่เลยครับ อันนี้ อ่านมาอีกที จาก พันธสัญญาเก่า ยิวเป็นชนชาติที่แข็งแกร่ง เป็นชนชาติของพระเจ้า ดังนั้นยิวจึงเก่งมาก รบที่ไหนก็ชนะที่นั่น ในสงครมหกวัน พวกอาหรับหมาหมู่คิดจะรุมกินโต๊ะยิว ยังสู้รบสู้ยิวไม่ได้เลยครับ แถมโดนยึดดินแดนกลับเสียมากมาย นอกจากนี้ยิว ยังเป็นชนชาติที่มีสัดส่วนการรับรางวัลโนเบลมากที่สุดด้วย ลองอ่านความมหัศจรรย์ของชนชาติยิว ในหนังสือ ยิว ของ มรว. คึกฤทธิ์ ดูแล้วเราจะทึ่งในความสามารถของยิว แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 50 22:56:19 จากคุณ : ยิ้มใส - [ 9 มิ.ย. 50 22:55:13 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จริงๆ แล้ว มุสลิม ควร รัก ยิวมากๆ เพราะ ถือว่า ยิว เป็นพี่ใหญ่ เป็น ชนชาติที่พระเจ้าโปรดปราน แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไม มุสลิมเกลียดยิวเหลือเกิน เข้าใจว่าคงอิจฉาความสามารถที่พระเจ้าประทานให้กับชนชาตินี้ จากคุณ : ยิ้มใส - [ 9 มิ.ย. 50 22:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ต้องทำความเข้าใจในส่วนนี้ก่อนนะครับ 1. ชนชาติ เชื้อชาติยิว 2. แนวทางของอัลลอฮ์ 3. แนวทางอื่นนอกเหนือแนวทางของอัลลอฮ์ ดังนั้นชนชาติยิว เป็นไปได้ทั้ง - ยิวที่เดินไปในแนวทางของอัลลอฮ์ และ - ยิวที่เดินไปในทางอื่นนอกเหนือแนวทางของอัลลอฮ์ แนวทางของอัลลอฮ์ได้มายังทุกประชาชาติ [10.47]  และทุกประชาชาติมีร่อซู้ลถูกส่งมา ดังนั้นเมื่อร่อซู้ลของพวกเขาได้มาแล้ว กิจการระหว่างพวกเขาก็ถูกตัดสินโดยเที่ยงธรรม และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม ดังนั้นชาวยิวจึงมีทั้งนบี และร่อซู้ล ปาเลสไตน์ เป็นดินแดนที่นบีอิบรอฮีมเคยอาศัยอยู่ จนกระทั่งท่านให้กำเนิดนบีอิสฮัค (อิสอัค) บรรพบุรุษของชาวยิว และนบีอิสฮัคก็ให้กำเนิดนบียะอฺกูบ (ยาโคบ) ซึ่งได้รับฉายาว่า "อิสรออีล" หรืออิสราเอล นบียะอฺกู๊บ ให้กำเนินบุตร 14 ท่าน หนึ่งในนั้นคือนบียูซุฟ หรือโยเซฟ ท่านถูกพี่น้องกลั่นแกล้ง จนต้องไปอยู่อียิปต์ ท่านนบียูซุฟได้เป็นใหญ่ในอียิปต์จึงรับพี่น้องทั้งหมดรวมถึงนบียะอฺกู๊บมาอยู่อียิปต์ และชาวยิวก็สืบเชื้อสายในอียิปต์ บัยตุ้ลมักดิส ในปาเลสไตน์ เป็นสถานที่สำคัญที่นบีหลายคนมาอาศัยอยู่ และเสียชีวิตรวมทั้งนบีอิบรอฮีม นบีลูฏ นบีดาวูด นบีสุลัยมาน นบีมูซาและนบีอีซา เมื่อยิวจากไป และยิวกลับมาอีกครั้งด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์ เพื่อสร้างรัฐในแนวทางของอัลลอฮ์ที่นี่ จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 9 มิ.ย. 50 23:34:35 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จริง ๆ แล้วนบีมูซานำชาวอิสราเอลมาก็ไม่ได้เข้าไปยังแผ่นดินนี้นะครับ ชาวอิสราเอลโดนลงโทษ และห้ามเข้าด้วยซ้ำ เพราะชาวยิวฝ่าฝืนคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างทางที่เดินทางมา [5.24]  พวกเขากล่าวว่า โอ้มูซา ! แท้จริงพวกเราจะไม่เข้าไปที่นั้นโดยเด็ดขาด ตราบใดที่พวกเขายังคงอยู่ที่นั้น ดังนั้นท่านและพระเจ้าของท่านจงไปเถิด แล้วจงต่อสู้ พวกเราจะนั่งอยู่ที่นี่ [5.25]  เขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าแห่งข้าพระองค์แท้จริงข้าพระองค์ไม่มีอำนาจ นอกจากตัวของข้าพระองค์เอง (นบีมูซา) และพี่ชายของข้าพระองค์ (นบีฮารูน) เท่านั้น ดังนั้นโปรดได้แยกระหว่างเรา กับประชาชาติผู้ละเมิดด้วยเถิด [5.26]  พระองค์ตรัสว่า แท้จริงแผ่นดินนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา สี่สิบปี ซึ่งพวกเขาจะระเหเร่ร่อนไปในผืนแผ่นดิน ดังนั้นเจ้าจงอย่าเสียใจให้แก่ประชาชาติผู้ละเมิดเหล่านั้นเลย หลังจากพระเจ้าทรงลงโทษชาวยิวให้เร่รอน 40 ปี เพราะฝ่าฝืนคำสั่ง พระองค์ก็อนุญาตให้พวกยิวเข้าสู่แผ่นดินปาเลสไตน์ ยิวก็ตั้งรกราก เริ่มก่อร่างสร้างเมืองขึ้น และมีกษัตริย์ปกครองตนเอง กษัตริย์คนแรกคือฏอลูต (ซาอูล ใน OT) ตามกุรอ่าน 2.246-251 ขณะนั้น ซัมวีล (ซามูเอล) เป็นนบี ต่อมาคือนบีดาวูด (เดวิด) เป็นกษัตริย์ เป็นนักรบ และเป็นศาสนทูตไปพร้อม ๆ กัน นบีดาวูดทะนุบำรุงชาติยิวจนรุ่งเรือง และผู้ที่ทำให้อาณาจักรยิวรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดก็คือ นบีสุไลมาน (โซโลมอน) บุตรของนบีดาวูด นบีสุไลมานสร้างคุโณประการให้แก่ประชาชนของเขามากมายโดยได้รับความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ เมื่อหมดยุคสุไลมาน รัฐยิวก็เริ่มเสื่อมลงเรื่อย ๆ และห่างจากแนวทางของอัลลอฮ์ไปเรื่อย ๆ ด้วย จนกระทั้งไม่มีรัฐเป็นของตนเองอีกต่อไป จากเวลานั้นยิวกลับกลายเป็นชนเร่ร่อนอีกครั้ง เมื่อไม่มีรัฐยิว ชาวยิวก็ยังสืบเชื้อสายต่อมา ศาสนทูตเชื้อสายยิวก็ถูกส่งมา เช่นกัน อิลยาส (เอเลียส) ซุลกิฟลี (เอเซเคียล) อัลญะซะฮฺ (เอลิซา) ยูนุส (โจนาส) ซะกะรียา (เซคาริยาหฺ) ยะฮฺยา (ยอร์น) บรรดานบีเหล่านี้สืบเชื้อสายชาวยิวและถูกส่งมาเพื่ออบรมสั่งสอนชาวยิว และชาวยิวมิได้ทำอื่นใดเลยนอกจากฝ่าฝืนศาสดาของตัวเอง และฆ่าศาสดาของตัวเอง นบีอีซา (พระเยซู) เป็นตัวอย่างชัดเจน แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 50 00:10:25 จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 00:08:51 ]

ความคิดเห็นที่ 11 1. ดินแดนนี้คือปาเลสไตน์ในปัจจุบันหรือเปล่าครับ - ใช่ครับ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ดินแดนแห่งสัญญาของใครแล้วนะครับ เพราะสัญญาแล้วทิ้งไป ยังมีหน้ามาทวงได้อย่างไร 2. ตามประวัติอิสลามนบีมูซาตายที่ไหนครับ - อันไม่ทราบครับ รอถามผู้รู้ แต่หลุมศพของท่านอยู่ที่นี่ ใกล้ ๆ เยรูซาเล็ม http://www.atlastours.net/holyland/nabi_musa.html 3. ตามประวัติอิสลามผู้ใดเป็นผู้ยึดดินแดนนี้ได้ครับ ในช่วงเวลาหลังจากมูซาตาย - ก็ตามคคห.แรกไงครับ 4. ตรงนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างชาวอิสราเอล กับพวกไหนครับ - ชาวปาเลสไตน์ยกทัพมาขับไล่ ญาลูฏที่ต่อสู้กับนบีดาวูด คือโกไลแอต จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 00:45:42 ]

ความคิดเห็นที่ 12 1. ดินแดนนี้คือปาเลสไตน์ในปัจจุบันหรือเปล่าครับ - ใช่ครับ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ดินแดนแห่งสัญญาของใครแล้วนะครับ เพราะสัญญาแล้วทิ้งไป ยังมีหน้ามาทวงได้อย่างไร ------------------------------------ มั่วหรือเปล่าใช่ยิวทิ้งดินแดนไปเองหรอ ไม่ใช่ยิวโดนขับไล่ให้ออกไปหรือ ? คือจริงๆแล้ว อาณาจักรของยิวน่ะโดนทำลายตั้งแต่ยุคโรมันแล้ว พวกยิวที่หลงเหลืออยุ่ในดินแดนปาเลสไตน์ก็อยู่กันแบบกระจัดกระจายเป็นกลุ่ม และ เท่าที่อ่านประวัติศาสตร์ยุคกลาง ช่วงสงครามครูเสด พวกยิวที่เหลืออยู่ก็โดนกดดันทั้งจากผู้ปกครองชาวคริสต์และมุสลิมที่ผลัดกันปกครองดินแดนแถบนั้น จนในที่สุดก็โดนกวาดล้าง และ กระจัดกระจายไปตั้งถิ่นฐานในทวีปยุโรปนะ คือ ต้องว่ากันตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์นะ ชนชาติยิวเขาไมได้ทิ้งดินแดนแห่งพันธสัญญาเลย เขาโดนไล่ออกไปต่างหาก เพราะ ดินแดนแห่งนั้นเป็นสมรภูมิที่ขับเคี่ยวกันในสงครามครูเสดระหว่างคริสต์และมุสลิม แต่อย่างไรสุดท้ายพระเจ้าก็ยังดลบันดาลให้ยิวใหม่ สามารถตั้งรัฐอิสราเอลได้ และ ถือเป็นรัฐยิวเอกราชครั้งแรกหลังจากที่กรุงเยรูซาเลมโดนโรมันทำลาย และยังประทานพละกำลังให้กับกองทัพยิว เอาชนะพวกอาหรับได้ ถ้าไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า แล้วจะเป็นความต้องการของใคร เข้าใจว่าเรื่องนี้ก็เป็นคำทำนายที่เขียนไว้ในโตร่าห์ คัมภีร์ของยิว ด้วย สุดท้าย พระเจ้าก็ยังคงรักษาพันธสัญญาที่ให้ไว้กับชนชาติยิว นะ หลังจากที่โดนไล่ออกไปจากดินแดนแห่งพันธสัญญา หลายร้อยปี แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 50 02:11:47 แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 50 02:07:16 จากคุณ : ยิ้มใส - [ 10 มิ.ย. 50 02:00:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อัลกุรอ่าน 2.53-2.108 แสดงให้เห็นพฤติกรรมชาวยิวที่ทรยศ และบิดพริ้วสัญญาของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะพิสูจน์ว่าคัมภีร์เล่มไหนจริง เอาคัมภีร์ทั้งสองเล่มมาเทียบกัน และพิจารณาดูความถูกต้องในการบันทึก [2.61]  และจงนึกถึง เมื่อตอนที่สูเจ้ากล่าวว่า มูซาเอ๋ย เรา ไม่สามารถทนต่ออาหารอย่างเดียวได้ ดังนั้น จงร้องขอ ต่อพระผู้อภิบาลของท่าน ให้นำผลผลิตที่งอกเงย ออกจากพื้นดิน คือ พืชผัก แตงกวา กระเทียม ถั่ว และหัวหอม มาให้แก่เราเหน่อย มูซาได้กล่าวตอบว่า พวกท่านต้องการเปลี่ยน เอาสิ่งที่เลวกว่า แทนสิ่งที่ดีกว่ากระนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น จงไปอยู่ในเมือง และพวกท่าน จะได้สิ่งที่พวกท่านต้องการที่นั่น หลังจากนั้น พวกเขาตกต่ำ จนต้องถูกความอัปยศ และความขัดสนฟาดกระหน่ำ และได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์ นั่นเป็นเพราะ เขาปฏิเสธอายะฮ์ทั้งหลายของอัลลอฮ์ และฆ่านบีบางคน โดยปราศจากสาเหตุที่ยุติธรรม นั่นเป็นเพราะพวกเขาดื้อดึง และพวกเขาละเมิด ... [2.79]  ดังนั้น ความวิบัติจงมีแด่ผู้เขียนคัมภีร์ด้วยมือของพวกเขาแล้วกล่าวว่า นี่มาจากอัลลอฮ์ ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้รับสิ่งแลกเปลี่ยนราคาเล็กน้อยบางอย่าง (พวกเขาไม่เห็นว่า) สิ่งที่เขียนด้วยมือของพวกเขาจะนำความวิบัติมายังพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาได้รับนั้นก็นำพวกเขาไปสู่ความหายนะ ... [2.84]  จงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้ทำสัญญากับสูเจ้าว่า สูเจ้าต้องไม่หลั่งเลือดพวกของสูเจ้าและต้องไม่ขับไล่พวกของสูเจ้าออกจากบ้านของสูเจ้า และสูเจ้าก็ได้รับรองและสูเจ้าก็เป็นพยานอยู่ด้วย [2.85]  แต่หลังจากนั้น ทั้ง ๆ ที่มีสัญญาแล้ว สูเจ้าก็ยังฆ่าพวกพ้องของสูเจ้าและขับไล่พวกของสูเจ้าเองออกจากบ้านของสูเจ้า และหนุนหลังพวกเขาในการบาปและการเป็นศัตรู และเมื่อพวกเขามาหาสูเจ้าในฐานะเชลย สูเจ้าก็ไถ่พวกเขาทั้ง ๆ ที่การขับไล่พวกเขานั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับสูเจ้า แล้วสูเจ้าศรัทธาเพียงบางส่วนของคัมภีร์ และปฏิเสธบางส่วนกระนั้นหรือ ดังนั้น ไม่มีการตอบแทนอันใดแก่ผู้กระทำเช่นนั้นนอกจากความอัปยศในชีวิตของโลกนี้ และในวันฟื้นขึ้น พวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันสาหัสยิ่ง และอัลลอฮ์ มิใช่ผู้ทรงเฉยเมยต่อที่สูเจ้ากระทำ ... [2.87]  และเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซาและหลังจากเขาแล้ว เราได้ให้มีรอซูลสืบต่อเนื่องกันมา และเราได้ส่งอีซาลูกของมัรยัมมาพร้อมกับหลักฐานอันชัดแจ้งและเราได้สนับเขาด้วยด้วยวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วมันเป็นอย่างไรที่ทุกครั้งเมื่อมีรอซูลคนใดมายังสูเจ้าพร้อมกับสิ่งที่จิตใจของสูเจ้าไม่ชอบ สูเจ้าก็กระด้างกระเดื่องต่อเขา กล่าวเท็จต่อเขาและฆ่าเขา ... [2.91]  และเมื่อได้มีกล่าวแก่พวกเขาว่า จงศรัทธาตามที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมา พวกเขากล่าวว่า เราศรัทธาแต่เฉพาะในสิ่งที่ได้ถูกประทานมาแก่เรา และพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่นอกเหนือจากนั้นทั้ง ๆ ที่มันเป็นสัจธรรมและยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา ดังนั้น จงถามพวกเขาว่า ถ้าหากพวกท่านศรัทธาอย่างจริงใจ ทำไมพวกท่านถึงได้ฆ่านบีของอัลลอฮ์ (ที่ถูกส่งมายังพวกท่าน จากในหมู่ของพวกท่านเอง) จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 08:19:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถามคุณยิ้มใสว่า ทำไมชาวยิวถึงไปอียิปต์กันหมด [7.104]  และมูซาได้กล่าวว่า โอ้ฟิรอาวน์! (ฟาโรห์) แท้จริงฉันคือทูตที่มาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก [26.16]  ดังนั้นเจ้าทั้งสอง (โมเสสและอาโรน) จงไปหาฟิรเอาน์แล้วจงกล่าวว่าเราเป็นทูตของพระเจ้าแห่งสากลโลก [26.17]  แล้วขอให้ส่งวงศ์วานของอิสรออีลไปพร้อมกับเราเถิด [26.18]  เขา (ฟิรเอาน์) กล่าวว่า เรามิได้เลี้ยงดูเจ้าเมื่อขณะเป็นเด็กอยู่กับพวกเราดอกหรือ? และเจ้าได้อยู่กับเราหลายปี ในช่วงชีวิตของเจ้า [26.19]  และเจ้าได้ทำการกระทำของเจ้าซึ่งเจ้าได้กระทำไปแล้ว และเจ้าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้เนรคุณ [26.20]  เขา (มูซา) กล่าวว่า ฉันได้กระทำมันโดยที่ฉันไม่รู้ [26.21]  ดังนั้น ฉันได้หนีไปจากพวกท่าน เมื่อฉันกลัวพวกท่านแล้วพระเจ้าของฉันได้ทรงประทานฮิกมะฮ์แก่ฉัน และทรงแต่งตั้งฉันให้เป็นร่อซู้ลคนหนึ่ง [26.22]  และนี่คือบุญคุณที่ท่านรำเลิกมันต่อฉันโดยท่านทำให้วงศ์วานอิสรออีลเป็นทาส [26.23]  ฟิรเอาน์ได้กล่าวว่า และใครคือพระเจ้าแห่งสากลโลก [26.24]  เขา (มูซา) กล่าวว่า พระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาเชื่อมัน พระเจ้าแห่งสากลโลก มิใช่พระเจ้าเฉพาะกลุ่มของชาวยิวนะครับ แต่ชาวยิวไม่เคยเชื่อฟังโมเสสเลย ดัดแปลงคัมภีร์ใส่ความคิดตัวเองลงไปตลอดเวลา ก็เพราะคิดอยู่อย่างนี้จึงยังคิดว่าเป็นแผ่นดินของตัวเองอยู่หลังจากทิ้งไป ถามว่าระหว่างโตราห์กับตัลมูล ยิวยึดถือเล่มไหนมากกว่ากัน จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 08:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แต่อย่างไรสุดท้ายพระเจ้าก็ยังดลบันดาลให้ยิวใหม่ สามารถตั้งรัฐอิสราเอลได้ และ ถือเป็นรัฐยิวเอกราชครั้งแรกหลังจากที่กรุงเยรูซาเลมโดนโรมันทำลาย และยังประทานพละกำลังให้กับกองทัพยิว เอาชนะพวกอาหรับได้ ถ้าไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า แล้วจะเป็นความต้องการของใคร เข้าใจว่าเรื่องนี้ก็เป็นคำทำนายที่เขียนไว้ในโตร่าห์ คัมภีร์ของยิว ด้วย ยิวกลับมาอีกครั้งด้วยความยโส อัลกุรอ่านก็ยืนยันไว้ และอัลลอฮ์ก็อนุมัติในความยโสโอหังนี้ เพราะมันเป็นพยานนำยิวสู่การลงโทษ [17.4]  และเราได้แจ้งแก่วงศ์วานของอิสรออีลในคัมภีร์ว่า พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในแผ่นดินสองครั้งและแน่นอน พวกเจ้าจะโอหังยโสยิ่ง [17.5]  ดังนั้น เมื่อสัญญาหนึ่งในสองครั้งได้มาถึง เราได้ส่งบรรดาบ่าวของเราผู้มีอำนาจเข้มแข็งเข้าครอบครองพวกเจ้า แล้วพวกเขาได้บุกเข้าค้นตามบ้านเรือน และมันเป็นสัญญาที่ได้เกิดขึ้นแล้ว [17.6]  และเราได้ให้พวกเจ้ากลับมีอำนาจเหนือพวกเขา และเราได้ให้พวกเจ้ามีทรัพย์สินและบุตรหลาน และเราได้ทำให้พวกเจ้ามีรี้พลมากมาย [17.7]  หากพวกเจ้าทำความดี พวกเจ้าก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเอง และหากว่าพวกเจ้าทำความชั่วก็เพื่อตัวเองดังนั้น เมื่อสัญญาอีกข้อหนึ่งได้มาถึงเพื่อพวกเขาก่อความอับอายขายหน้าแก่พวกเจ้าและเพื่อเข้าไปในมัสยิดเช่นที่พวกเขาได้เข้าไปแล้วในครั้งแรก และเพื่อทำลายสิ่งที่พวกเขาได้ชัยชนะอย่างหมดสิ้น [17.8]  หวังว่าพระเจ้าของพวกเจ้าจะทรงเมตตาแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้ากลับมา (ก่อกวน) อีกเราก็โต้กลับและเราได้ให้นรกเป็นที่คุมขังสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 08:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 16 [5.78]  บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาในหมู่วงศ์วานอิสรออีลนั้นได้ถูกสาปโดยถ้อยคำของดาวูด (เดวิด) และอีซาบุตรของมัรยัม นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน และที่พวกเขาเคยละเมิดกัน [5.79]  ปรากฏว่าพวกเขาต่างไม่ห้ามปรามกันในสิ่งไม่ชอบที่พวกเขาได้กระทำมันขึ้น ช่างเลวร้ายจริง ๆ สิ่งที่พวกเขากระทำ แผ่นดินนี้ไม่ใช่ของยิวแต่เพียงผู้เดียว [2.251]  ครั้นแล้วพวกเขาก็ปราบพวกนั้น (ได้สำเร็จ) โดยอนุมัติของอัลลอฮ์ และดาวูดได้ฆ่าญาลูฏตาย และอัลลอฮ์ ได้ทรงประทานอำนาจทางอาณาจักรและวิทยญานแก่เขา และพระองค์ทรงสอนเขาบางสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และมาดแม้นไม่เป็นเพราะอัลลอฮ์ทรงป้องกันมนุษย์ไว้แก่กันและกัน แล้วไซร้แน่นอนที่สุดแผ่นดินก็ย่อมซึ่งหายนะ และทว่าอัลลอฮ์ ทรงไว้ซึ่งความโปรดปราน แก่บรรดาชาวโลกทั้งปวง จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 09:02:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เดวิด สาปแช่งชาวยิวในปัจจุบันหรือไม่ พิจารณาดูเองแล้วกันนะครับว่าปัจจุบันตรงกับที่อัลกุรอ่านบอกหรือไม่ พันธสัญญาเดิม ก็คือโตราห์ของยิวครับ แล้วชาวยิวทำตามมั้ย เลวีนิติ 25:35 ถ้าพี่น้องของเจ้ายากจนลงและเลี้ยงตัวเองอยู่กับเจ้าไม่ได้ เจ้าจะต้องชูกำลังเขา ถึงเขาเป็นคนต่างด้าวหรือคนอาศัย เพื่อเขาจะอาศัยอยู่กับเจ้า 25:36 อย่าเอาดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มอะไรจากเขา แต่จงยำเกรงพระเจ้า เพื่อว่าพี่น้องของเจ้าจะอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าได้ 25:37 เจ้าอย่าให้เขายืมเงินด้วยคิดดอกเบี้ย หรืออย่าให้อาหารเพื่อเอากำไรจากเขา 25:38 เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ซึ่งนำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อยกแผ่นดินคานาอันให้แก่เจ้า และที่จะเป็นพระเจ้าของเจ้า เอเสเคียล 18:7 มิได้บีบบังคับผู้หนึ่งผู้ใด แต่คืนของประกันให้แก่ลูกหนี้ ไม่เคยใช้ความรุนแรงปล้นผู้ใด ให้อาหารของเขาแก่ผู้ที่หิว และให้เสื้อผ้าคลุมกายที่เปลือย 18:8 มิได้ให้เขายืมเพื่อหาดอกเบี้ย หรือมิได้รับเงินเพิ่มหดมือไว้ ได้ถอนมือจากความชั่วช้า กระทำความยุติธรรมอันแท้จริงระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน 18:9 ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และรักษาคำตัดสินของเรา เพื่อประพฤติอย่างถูกต้อง คนนั้นเป็นคนชอบธรรม เขาจะมีชีวิตดำรงอยู่แน่ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ แล้วดูในตัลมูดที่รับไบยิวเขียนขึ้นมาเอง http://en.wikipedia.org/wiki/Talmud คัมภีร์ตัลมูดกล่าวไว้ว่า ความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติของผู้ที่ไม่ใช่ยิว เป็นที่อนุมัติสำหรับยิว ถ้าหากเขายึดสิ่งหนึ่งสิ่งใดของใคร มันก็เป็นของเขาโดยถูกต้อง ชอบธรรม ชาวยิว ถูกเลือกให้เป็นผู้ควบคุมและมีอำนาจ เหนือชีวิตและทรัพสินของคนที่ไม่ใช่ยิว ดั่งที่มนุษย์มีความประเสริฐกว่าสัตว์ แต่ยิว เป็นพวกที่ดีกว่ามนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ดังนั้น นอกจากยิว แล้ว มนุษย์คนอื่นล้วนมีสันดานแห่งความเป็นสัตว์ และความสารเลวอยู่ในตัว ยิว ถูกพระเจ้ากำหนดให้เอาดอกเบี้ยจากผู้ที่ไม่ใช่ยิว และเป็นสิ่งต้องห้าม ที่จะให้เงินกู้โดยไม่คิดดอกเบี้ย แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 50 09:34:45 จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 09:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมอยากให้ชาวยิวมาตอบคำถามเหล่านี้ที่สุดว่าในตัลมูดเขียนอย่างนี้จริงหรือไม่ ผมไม่ค่อยอยากเชื่อ มีภาษาอังกฤษอ้างอิงบทก็ลองไปค้น ๆ ดูนะครับคุณยิ้มใส “ยิวถูกเรียกว่ามนุษย์ แต่ผู้ที่ มิใช่ยิวมิใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นสัตว์เดรฉาน” (Talmud : Baba mezia,114b) “อากุม (ผู้ที่มิใช่ยิว) เป็นเหมือนหมา ใช่ คัมภีร์สอนให้เราให้เกียรติสุนัขมากกว่าผู้ที่มิใช่ยิว” (Ereget Ras chi Erod.22 30 “ถึงแม้พระเจ้าจะสร้างผู้ที่มิใช่ยิวขึ้นมาก็ตาม พวกเขาก็ยังเป็น สัตว์ในร่างมนุษย์ มันจึงไม่เหมาะสมสำหรับยิวที่จะได้รับการรับใช้โดยสัตว์ ดังนั้น เขาจะได้รับการรับใช้ โดยสัตว์ในรูปมนุษย์” (Midrasch Talpioth, p.255, Warsaw 1855) “หญิงมีครรภ์ที่ม ิใช่ชาวยิวไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์ที่ตั้งท้อง” (Coschen hamischpat 405) “วิญญาณขอ งผู้ที่มิใช่ยิวมาจากวิญญาณที่สกปรกและถูกเรียกว่าหมู” (Jalkut Rubeni gadol 12b) “ถึงแม้ว่าผู้ที่มิใช่ยิวจะมีโครงสร้างร่างกายเหมือนยิว แต่เมื่อเปรียบกับยิวแล้ว พวกเขาก็เหมือนกับลิ งเปรียบเทียบกับมนุษย์” (Schene luchoth haberith, p.250 b) “ถ้าหากท่านกินกับผู ้ที่มิใช่ยิว มันก็เหมือนกับการกินกับสุนัข” (Tosapoth, Jebamoth 94b) “ถ้ายิวมี คนใช้หรือสาวใช้ที่ไม่ใช่ยิวตาย เขาจะต้องไม่แสดงความเห็นใจแก่ยิว ท่านจะต้องบอกยิวว่า : ‘พระเจ้าจะทดแท นสิ่งที่คุณเสียไปเหมือนกับว่าวัวหรือลาตัวหนึ่งตายไป’” (Jore dea 377,1) “การมีสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้ที่มิใช่ยิวเหมือนกับการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสัตว์” (Talmud Sanhedrin 74b) “เป็นที่อนุญาตให้เอาร่างกายและชีวิตของผู้ที่มิใช่ยิวได้” (Sepher Ikkarim III c 2 5) “มันเป็นกฎหมายที่จะฆ่าใครก็ได้ที่ปฏิเสธคัมภีร์โตราห์ พวกคริสเตียนก็อยู่ในพวกที่ปฏิเสธคัมภีร์โตราห์” (Coschen hamischpat 425 Hagah 425.5) “ท่านจะฆ่าพวกนอกรีตที่ไม่ใช่ยิวด้วยมือของท่านเองก็ได้” (Talmud, Abodah Zara, 4b) “ยิวทุกคนท ี่หลังเลือดของพวกที่ไม่ใช่ยิวกำลังทำสิ่งเดียวกับการบูชานยัญต่อพระเจ้า” (Talmud : Bammidber raba c 21 & Jalkut 772) “ถ้าหากยิวผู้ใดอยากจะทำ ชั่ว เขาควรจะออกไปยังเมืองที่ไม่มีใครรู้จักเขาและทำชั่วที่นั่น” (Moed Kattan 17a) “ถ้าผู้ที่มิใช่ยิวตียิว ผู้ที่มิใช่ยิวคนนั้นจะต้องถูกฆ่า” (Sanhedrin 58b) “ยิวไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างทำงานให้แก่คนที่มิใช่ยิว” (Sanhedrin 57a) “ถ้าวัวของชาวอิสราเอลขวิดวัวของชาวคะนาอัน ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าวัวของชาวกันคะนาอันขวิดวัวของชาวอิสราเอล จะต้องจ่ายค่าชดใช้โดยเต็ม” (Baba Kamma 37b) “ถ้ายิวพบสิ่งของที่พวกที่มิใช่ยิวทำหายก็ไม่จำเป็นต้องคืน” (Baba Mezia 24a & Baba Kamma 113b) “พระเจ้าจะไม่เว้นโทษยิวที่ยกลูกสาวของตัวเองให้แต่งงานกับคนแก่หรือหาภรรยาให้แก่ลูกชายที่ยังเป็นทารกของตนหรือคืนของที่ หายให้แก่ผู้ที่มิใช่ยิว...” (Sanhedrin 76a) “เมื่อยิวฆ่าคนที่มิใช่ยิว จะไม่มี การลงโทษประหารชีวิต ยิวจะเก็บสิ่งที่ยิวขโมยมาจากผู้ที่ไม่ใช่ยิวไว้ก็ได้” (Sanhedrin 57a) “ผู้ที่มิใช่ยิวจะไม่ได้รับการคุ้มครองของกฎหมายและพระเจ้าได้เอาเงินพวกเขาให้แก่แก่อิสราเอ ลแล้ว” (Baba Kamma 37b) “ยิวอาจจะใช้วิธีการโกหกเพื่อกำจัดผู้ที่มิใช่ยิวได้” ( Baba Kamma 113a) “พวกเด็กๆที่ไม่ใช่ยิวทั้งหมดเป็นสัตว์” (Yebamoth 98a) “เด็กผู้หญิงที่มิใช่ยิวอยู่ในสภาพที่สกปรกตั้งแต่เกิด” (Abodah Zarah 36b) “พวกที่ไม่ใช่ยิวชอบมีเพศสัมพันธ์กับวัว” (Abodah Zarah 22a-22b) “จงกล่าวว่านางมารีย์เป็นโสเภณี นางผู้เป็นลูกหลานของกษัตริย์และ เจ้าเมืองได้เล่นชู้กับช่างไม้” นอกจากนี้แล้วในเชิงอรรถหมายเลข 2 ถึง Shabbath 104b ของฉบับ Soncino ยั งมีกล่าวไว้ในตัวบทของคัมภีร์ตัลมูดที่ไม่มีการตัดว่าแม่ของเยซัส นางมิเรียมช่างทำผมมีเพศสัมพันธ์กับผู้ ชายหลายคน (Sanhedrin 106a) “จงกล่าวว่าเยซูกำลังถูกต้มอยู่ในเยี่ยวร้อนๆ” (Gittin 57a) ยิวโจมตีความเชื่อของคนที่มิใช่ยิว “พวกคริสเตียนและอื่นที่ปฏิเสธคัมภีร์ตัลมูดจะลงนรกและจะถูกลงโทษทั้งโคตร” (Rosh Hashanah 17a) “ยิวจะต้องทำลายคัมภีร์ของชาวคริสเตียน นั่นคือคัมภีร์ไบเบิลพันธสัญญาใหม่” (Shabbath 116 a) “จงพูดว่าอาดัมมีสัมพันธ์ทางเพศกับสัตว์ทุกชนิดในสวนแห่งเอเดน” (Yebamoth 63a) “จงประกาศว่าการเกษตรเป็นอาชีพที่ต่ำที่สุด” (Yebamoth 63a) “ยิวจะแต่งงานกับเด็กผู้หญิงอายุ 3 ขวบก็ได้ (โดยเฉพาะสามขวบกับหนึ่งวัน)” (Sanhedrin 55b) “ยิวอาจจะมีเพศสัมพันธุ์กับเด็กก็ได้ตราบใดที่เด็กคนนั้นอายุต่ำกว่า 9 ขวบ” (Sanhedrin 54b) “เมื่อผู้ชายที่โตเต็มวัยแล้วมีเพศสัมพันธ์กับเด็กผู้หญิงก็ไม่เป็นอะไร” (Kethuboth 11b) “ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์สมควรที่จะแต่งงานกับนักบวชยิว ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับปีศาจก็ควรที่จะแต่งงานกับนักบวชยิว” (Yebamoth 59b) “จงพูดว่าไม่มีโสเภณีในโลกที่ แร็บไบเอลีซาร์แห่งคัมภีร์ตัลมูดไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วย” (Abodah Aarah 17a) “จงพูดว่าไม่มีแร็บไบคนใดจะตกนรกได้” (Hagigah 27a) “แร็บไบคนหนึ่งโต้วาทีกับพระเจ้าและชนะ พระเจ้ายอมรับว่าแร็บไบชนะโต้วาที” (Baba Mezia 59b) “ผู้ชายยิวมีหน้าที่ต้องกล่าวคำวิงวอนต่อไปนี้ทุกวันว่า ‘ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ทำให้เราเป็นผู้ที่มิใช่ยิว เป็นผู้หญิงหรือเป็นทาส’” (Menahoth 43b-44a) จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 09:54:44 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คือ ต้องว่ากันตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์นะ ชนชาติยิวเขาไมได้ทิ้งดินแดนแห่งพันธสัญญาเลย เขาโดนไล่ออกไปต่างหาก เพราะ ดินแดนแห่งนั้นเป็นสมรภูมิที่ขับเคี่ยวกันในสงครามครูเสดระหว่างคริสต์และมุสลิม จากคุณ : ยิ้มใส เข้าใจคำว่า "ดินแดนแห่งพันธสัญญา" แค่ไหนครับ ทุกวันนี้เป็นดินแดนที่ชาวยิวผิดสัญญา ไม่สังเกตบ้างเหรอครับว่าชาวยิวทิ้งพันธสัญญาไปแล้ว การอ้างว่าเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาด้วยความหลงผิดและอคติในเรื่องเชื้อสายของชาวยิว ที่ถือว่าเผ่าพันธุ์ของตนเหนือกว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นเพราะเป็นเผ่าพันธุ์ที่พระเจ้าทรงคัดเลือก อันนี้ไม่ใช่พันธสัญญาใด ๆ นะครับ [3.69]  กลุ่มหนึ่งจากพวกที่ได้รับคัมภีร์นั้นชอบ หากพวกเขาจะทำให้พวกเจ้าหลงผิด และพวกเขาจะไม่ทำให้ใครหลงผิด นอกจากตังของพวกเขาเองแต่พวกเขาไม่รู้ จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 10:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ฉนวนกาซาร์ รบกันแหลก ยิว คริส อิสลาม ยิว ค้าขายเก่ง ฉลาด อิสลาม ค้าขายเก่ง ฉลาดพอพอกัน คริส ค้าขายเก่ง ฉลาดพอพอกัน ไอ้ตรงที่มันรบกันอยู่อะ พอเวลาจะบอมบ์ที  เพื่อนยิว  บอก เฮ๊ย เพื่อนคริส อิสลาม เฮ๊ย เพื่อน ช่วงนี้หยุดส่งของก่อนเพื่อน เงินจ่ายทีหลังก็ได้ อาทิตย์หน้า หยุดยิง เพื่อน คริส เพื่อนอิสลาม โอเชโอเช  เพราะ ค้าขายกันมาเป็นสองพันปีแหละ รบก็รบไป แต่ สถานที่สำคัญทางศาสนา ในพันธสัญญเก่า ไม่บอมบ์ ไม่รบอะ แถมแหล่ง ท่องเทียว สำหรับนมัสการทางศาสนาอีก ก็ถามเพื่อนคริส ยิว อิสลาม ดูว่าต้องไปม๊ะ จากคุณ : สาวสวนพลู - [ 10 มิ.ย. 50 10:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 จะหาอ่านประวัติศาสตร์ ณ ช่วงเวลาของท่าน สุไลมาน ได้ที่ใดบ้าง อยากได้แบบมีระบุช่วงเวลาด้วย เช่น ปี เดือน คิดว่า ช่วงเวลานั้น น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ ผู้คนอยู่กันอย่างมีความสุข และทำความดีตามแนวทางที่พระเจ้า หรือ พระอัลเลาะห์ได้ให้ไว้ ใครมีลิงค์ ช่วยแนะนำด้วยครับ จากคุณ : Masala - [ 10 มิ.ย. 50 11:18:06 ]

ความคิดเห็นที่ 22 TESTIMONIES OF JEWISH CONVERTS TO ISLAM These are True Stories of Jewish People who followed Judaism and became Muslim, despite the Israeli Arab political conflict, more and more Jews are realizing that Judaism and Christianity are light houses leading to Islam, whether you were a Messianic Jew, a Jew for Jesus, or an Orthodox Jew, any Jew can be for Allah.  Because Everyone is born a Muslim (in Submission to Allah) Every day Jews are Returning (Reverting) to their Religion of Birth and the Religion of Abraham, Moses, and all the past Prophets, Islam. http://www.jews-for-allah.org/Jewish-Converts-to-Islam/ จากคุณ : Aisha - [ 10 มิ.ย. 50 12:08:44 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เอ่อ รู้สึกว่า ที่ยกมา น่าจะเป็นคล้ายๆ กับความจงเกลียดจงชัง ที่เขาใส่ และแก้ไข คำสอนเดิมโดยการสร้างความเชื่อผิดๆกระมัง เหมือนมุสลิมบางกลุ่มก็ตีความ คัมภีร์ ออกไปในแนว ศาสนานิยม ดูถูกเหยียดหยามศาสนิกอื่น หรือเปล่า ? ปัญหาคือ ถ้าตีความกันเอง ทั้งยิว และ มุสลิม แบบนี้ ก็คงรบกันไม่สิ้นสุด นะ คือศาสนาเนี่ย เมื่อไหร่ ที่เห็นคนต่างศาสนา มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่ำกว่า พวกเดียวกัน ศาสนานั้นจะไม่ใช่ศาสนาที่ดีทันที น่ะ และจะนำไปสู่สงคราม ตรงนี้ต้องระวัง หลายๆ คน คิดว่าการทำสงครามคือ solution ของการแก้ปัญหา จริงๆ มันไม่ใช่ สงครามมันเป็นการทำลายซึ่งกันและกัน และ มันจะไม่มีวันจบ จนกว่าฝ่ายหนึ่งจะตายหมด ตายเกลี้ยง และมูลเหตุของสงครามก็มาจากความเกลียดชัง มาจากมุมมองคนต่างเผ่า ต่างความคิด ว่าเป็น สิ่งมีชีวิตที่มีค่าน้อยกว่าพวกตัวเอง น่ะ พวกยิวเอง ก็คงรับกรรมด้วย ที่ไปทำร้าย พระเยซู แบบนั้น ช่วงนั้น ยิว เขามองว่า พระเยซู เป็นพวกแอบอ้าง ซึ่งก็พอเข้าใจความรู้สึกของพวกยิวในยุคนั้น ปัญหา คือ ยิวในปัจจุบัน ถูกสอนให้มีความคิดแบบ ที่คุณดาบจันทร์เสี้ยว ยกมาหรือเปล่า ถ้าพวกเขาถูกสอนแบบนั้น ก็แย่พอสมควร น่าสงสารมาก แล้ว มุสลิม เอง ถูกสอนให้เชื่อว่า ยิวเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าถูกสอน ถูกบ่มเพาะให้เกิดความเกลียดชังว่า ยิวมันเชื่อแบบนั้น มุสลิม มันก็เกลียดยิว สุดท้าย มันก็ไปจบที่การเข่นฆ่ากัน เพราะต่างคนก็ต่างคิดว่า เอ็งเลว นั่นเอง จากคุณ : ยิ้มใส - [ 10 มิ.ย. 50 17:05:22 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คุณดาบฯ จะบอกว่าอัลลอฮ์มอบดินแดนนี้ให้แก่มูซา เพื่อนำดินแดนแห่งนี้ไปสู่การดำเนินภายใต้ประสงค์ของพระเจ้า (อัลลอฮ์) แต่ชาวยิวกลับเป็นนักบิดพริ้วรวมถึงเปลี่ยนแปลงตัวยง (คัมภีร์ตัลมูดน่ากลัวมาก) คู่ต่อสู้กับกษัตริย์ดาวิด โซโลม่อน และชาวยิว เมื่อก่อนก็จะเป็น พวกฟิลิสทีน (ปาเลสไตน์) พวกอียิปต์ พวกฟีนิเชี่ยน (เลบานอน  ซีเรีย) พวกฮิตไทต์ (ตุรกี) พวกอัสซีเรียน (ซีเรีย ตุรกี อิรัค จอร์แดน) พวกบาบิโลเนี่ยน (อัสซีเรียนเดิม) รวมพวกเปอร์เซีย (อิหร่าน) ด้วยหรือเปล่า กลับมาดูปัจจุบันสิครับ เปรียบเทียบแล้วเป็นคู่ต่อสู้เดิมกับที่ยิวเริ่มเข้ามาครั้งแรกไม่มีผิด ก็แปลกดี แต่ครั้งนี้ดูเหมือนอัลลอฮ์ตั้งใจสลับข้างเพื่อสั่งสอนชาวยิว คุณดาบฯคิดงั้นหรือครับ แนะนำภาพยนตร์ Munich จะยิวหรืออาหรับ หรืออิสราเอล หรือปาเลสไตน์ ไม่มีใครสมควรตายครับ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 10 มิ.ย. 50 17:16:39 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ลัทธิก่อการร้ายไซออนนิสต์ หายนะภัยของอเมริกา (1) http://www.procons.info/index.php?lay=show&ac=article&Id=35714 โดย เดวิด ดุค  (ไม่ใช่มุสลิม) ประธานแห่งชาติ องค์การเอกภาพและสิทธิยุโรป-อเมริกา จากคุณ : เสบียง 2 โลก - [ 10 มิ.ย. 50 18:44:26 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คิดว่า  ยิว  ในปัจจุบันคงจะเป็นพันธุ์ใหม่นะครับ เพราะอัลกุรอ่านบอกไว้ว่า [3:111]  พวกเขา(*1*)จะไม่ทำอันตรายแก่พวกเจ้าได้เลย นอกจากการก่อความเดือดร้อนเล็ก ๆ น้อยๆ (*2*) เท่านั้น และหากพวกเขาต่อสู้พวกเจ้า พวกเขาก็จะหันหลังหนีพวกเจ้า แล้วพวกเขาก็จะไม่ได้กรับความช่วยเหลือ   (1)  คือพวกยิว (2)  เช่นการด่าว่า และการใส่ไคล้ เป็นต้น   เพราะเห็นยิวรุ่นใหม่ก็ยังเล่นงานมุสลิมซะตาลีตาเหลือก  จนต้องร้องให้โลกเห็นว่าโดน "ยิวรังแก"  ทั้ง ๆ ที่ยิวในคัมภีร์นั้นไม่ค่อยมีน้ำยาเท่าไหร่  และก็มีมหาอำนาจบางประเทศก็ "ให้ความช่วยเหลือ"  ยิวอยู่เรื่อย ๆ น่าคิดนะครับว่า  ยิวปัจจุบันอาจจะไม่ใช่ยิวสมัยก่อน  แบบที่คนไทยเรียกว่า  ยิวปั๊ดตะนา แร้วว แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 50 21:19:45 จากคุณ : redhores - [ 10 มิ.ย. 50 21:17:09 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ^ ^ โลกมุสลิมปกครองปาเลสไตน์มายาวนานหลายศตวรรษ มากกว่าอิสราเอลที่เพิ่งจะมีอำนาจจากการหนุนหลังของมหาอำนาจที่ถูกหลอกใช้นะครับ แต่นี่ก็ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือยิวผิดสัญญาต่อพระเจ้าแต่ยังยโสคิดว่าตัวเองถูกต้องต่างหาก จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 21:27:12 ]

ความคิดเห็นที่ 28 และก็อย่างที่คุณ ยิ้มใส  บอกไว้ว่า  ในสงครามหกวัน  อาหรับ (เดาว่าน่าจะนับถืออิสลาม)  ได้รุมกินโต๊ะ ยิว (น่าจะเป็นคนยิว ที่นับถือศาสนายิว)  แล้วยังสู้ไม่ได้  ต้อง "หันหลังหนี"  และยังโดนยึดดินแดนเอาเสียอีก เพราะยิวที่แท้จริงตามที่พระเจ้าในมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านอุตส่าห์บอกเอาไว้ว่าไม่มีน้ำยาอะไร  อย่างมากก็แค่ทำความเดือดร้อน "เล็ก ๆ น้อยๆ"  เท่านั้น  เช่น ด่าว่า ไส่ไคล้ แสดงว่าที่ตาย ๆ จนต้องร้องตะโกนว่าโดนรังแกนั้น  น่าจะไม่เดือดร้อนจริง ๆ เสียแล้ว  หรือเป็นการเล่นละคร  หรือว่าเป็นการสร้างภาพ  หรือว่าเป็นการตะโกนแก้เลี่ยน  เพราะว่า  มหาคัมภีร์อัลกุรอ่านบอกไว้อย่างชัดเจนไม่มีโอกาสที่มุสลิมคนไหนจะเถียงได้เลยว่า ยิวไม่มีน้ำยาอะไร   ไม่มีอันตรายใด ๆ   สู้กันกับมุสลิมทีไรก็ต้องหันหลังหนีทีนั้น  เป็นไปไม่ได้เลยที่โองการในมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านจะผิด  ถ้าเช่นนั้นก็ไม่รุ้จะคิดอย่างไร  หรือว่า  มุสลิมที่ตาย ๆ ไป  แกล้งตาย  หรือว่ายิวบอก  พี่ ๆ ช่วยตายทีเด่ะ  แล้วมุสลิมก็ใจดีมีเมตตา  "ช่วยตาย"  ตามคำขอของยิว  ผุ้ไม่มีน้ำยาอะไร   ที่โกรธแค้นก็คงแกล้งทำ  เพราะแค่ยิวมีน้ำยาแค่ทำความเดือดร้อนเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ด่าว่า ใส่ไคล้  คงไม่น่าจะตบะแตกได้ขนาดนั้น   หรือว่าพวกเราชาวโลกโดนสองศาสนานี้เล่นละครตบตากันแน่ !!??? จากคุณ : redhores - [ 10 มิ.ย. 50 21:30:39 ]

ความคิดเห็นที่ 29 redhores กลับไปอ่าน คคห.15 ของผมใหม่สิครับ (สงสัยอ่านข้าม) อัลลอฮ์อนุมัติความยโสของยิวเพื่อใช้มันเป็นพยานสู่การตอบแทน จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 21:43:42 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อืม... สรุปคือ แพ้ยิวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรนี่เอง... อ่อนจังนะครับ จากคุณ : campaign - [ 10 มิ.ย. 50 21:54:47 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ยิวไม่มีน้ำยาอะไร   ไม่มีอันตรายใด ๆ   สู้กันกับมุสลิมทีไรก็ต้องหันหลังหนีทีนั้น  เป็นไปไม่ได้เลยที่โองการในมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านจะผิด  ถ้าเช่นนั้นก็ไม่รุ้จะคิดอย่างไร  หรือว่า  มุสลิมที่ตาย ๆ ไป  แกล้งตาย  หรือว่ายิวบอก  พี่ ๆ ช่วยตายทีเด่ะ  แล้วมุสลิมก็ใจดีมีเมตตา  "ช่วยตาย"  ตามคำขอของยิว  ผุ้ไม่มีน้ำยาอะไร   จากคุณ : redhores คุณ redhorse ครับ ยกอัลกุรอ่านมาก็ควรอ่านตั้งแต่ต้นครับ ช่วยกลับไปอ่านที่ 3:100 แล้วอ่านอรรถาธิบายใหม่ดีมั้ยครับ จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 21:57:04 ]

ความคิดเห็นที่ 32 กลับมาดูปัจจุบันสิครับ เปรียบเทียบแล้วเป็นคู่ต่อสู้เดิมกับที่ยิวเริ่มเข้ามาครั้งแรกไม่มีผิด ก็แปลกดี แต่ครั้งนี้ดูเหมือนอัลลอฮ์ตั้งใจสลับข้างเพื่อสั่งสอนชาวยิว คุณดาบฯคิดงั้นหรือครับ จากคุณ : คลื่นแทรก ป่าวครับ ผมแค่ต้องการจะบอกว่าชาวยิวที่เป็นซอฮาบะฮ์ (สาวกใกล้ชิด) ของท่านนบีมูซา (โมเสส) และนบีฮารูน (อาโรน) ในช่วงเวลาที่อัลลอฮ์มอบดินแดนให้นำแนวทางของพระองค์ไปปฏิบัติ เป็นคนละพวกกับคณะยิวปัจจุบันที่ถูกนบีดาวุด (ดาวิด) และนบีอีซา (พระเยซู) สาปแช่ง เพราะละเมิดสัญญาและปฏิเสธพระเจ้า [5.78]  บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาในหมู่วงศ์วานอิสรออีลนั้นได้ถูกสาปโดยถ้อยคำของดาวูด (เดวิด) และอีซา (เยซู) บุตรของมัรยัม นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน และที่พวกเขาเคยละเมิดกัน ผมยกตัวอย่าง เห็นกันอย่างชัดเจนเรื่องดอกเบี้ยนิยมที่ชาวโลกต่างรับใช้อยู่ ส่วนประเด็นอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากชาวยิวบางกลุ่มเท่านั้น จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 22:00:37 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผมยกย่องยิวหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือ นิคมคิมบุชของมัน ที่ทำเกษตรกรรมเพื่อโปรโมทตัวเองจนโด่งดัง ผมชอบตรงที่มันผลาญงบประมาณของอเมริกาเป็นพันล้านบาทเปลี่ยนภูเขาหิน (ไม่เคยเห็นใครบ้าเท่านี้มาก่อน) ใช้พลาสติกรองข้างใต้เพื่ออุ้มน้ำ แล้วปลูกผักขายได้ต้นละสองบาท! สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นอะไรที่มันไม่ efficient เท่านี้มาก่อน! แต่อุตส่าห์มีนักวิจัยกะเหรี่ยงหน้าดำจำนวนมากไปดูงานของมันว่ะ! เหลือเชื่อจริงๆ (ย้ำอีกครั้งครับ...ยิวมันโปรโมทยังไง หากคนเรารู้จักใช้ปัญญาคิด ย่อมไม่หลงคารมง่ายๆ ส่วนพวกที่ขดในสมองไม่ทำงานก็จงเป็นควายให้สื่อจูงจมูกต่อไป) เห็นว่าตอนนี้นิคมอัจฉริยะของยิวเจ๊งกะบ๊งเกือบหมดแล้ว...ถามกะเหรี่ยงไทยที่ไปเป็นคนงานของมันดูสิ จากคุณ : Moore - [ 10 มิ.ย. 50 22:40:38 ]

ความคิดเห็นที่ 34 สงครามหกวันอาหรับไม่ได้สู้กับยิวครับ แต่อาหรับสู้กับอเมริกา ผมจำได้ว่าปีที่แล้วยิวบุกเข้าเลบานอน คุยซะใหญ่โต แต่ท้ายที่สุดโดนฮิซบลลอฮไล่ถล่ม จนถอนทัพไม่ทัน กลับบ้านมือเปล่า ที่คุยโตไว้ตอนแรก 3 ข้อ mission impossible หมดเลย โลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ แต่ก็เข้าใจนะว่ากะเหรี่ยงหน้าดำส่วนใหญ่ยังทำใจไม่ได้ เนื่องจากดูหนังฮอลลีวู้ดมากไป แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 50 23:01:38 จากคุณ : Moore - [ 10 มิ.ย. 50 22:45:46 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอตอบคุณดาบจันทร์เสี้ยวครับ ตามหลักฐานจากมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านที่คุณยกมานั้น  ผมได้ไปดูในเว็บไซต์ของสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับเขาพูดอธิบายไว้ดังนี้ครับ [17:4] และเราได้แจ้งแก่วงศ์วานของอิสรออีลในคัมภีร์ว่า พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในแผ่นดินสองครั้ง(*1*) และแน่นอน พวกเจ้าจะโอหังยโสยิ่ง (1)  คือจะก่อการเสียหายขึ้นในดินแดนปาเลสไตน์และรอบๆเมืองละสองครั้ง อิบนอับบาสกล่าวว่าความเสียหายครั้งแรกคือการฆ๋านะบีซะกะรียา ครั้งที่สองฆ่านะบียะหยา อะลัยฮิมัสสลาม คำอธิบายท่านบอกไว้นี่ครับว่า  ยิวจะก่อการร้ายสองครั้ง  และมันเกิดขึ้นไปแล้ว  (ซึ่งก็ขัดกันอีกกับคำอธิบายเรื่องชาวยิวที่ว่าไม่มีน้ำยา)  ผมหมายถึงยุคปัจจุบันต่างหาก  ลักษณะของยิวที่ได้อ้างไปนั้น   เป็นกลุ่มชนที่ไม่มีน้ำยา  พอต่อสู้ก็จะหันหลังหนี  ทำความก่อกวนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น  ตกลงจะให้เชื่อโองการไหนกันแน่ล่ะครับเนี่ย ?? [17:5] ดังนั้น เมื่อสัญญาหนึ่งในสองครั้งได้มาถึง เราได้ส่งบรรดาบ่าวของเราผู้มีอำนาจเข้มแข็งเข้าครอบครอง(*1*) พวกเจ้า แล้วพวกเขาได้บุกเข้าค้นตามบ้านเรือน(*2*) และมันเป็นสัญญาที่ได้เกิดขึ้นแล้ว (1)  นักตัฟซีรกล่าวว่าเมื่อวงศ์วานของอิสรออีลได้อนุมัติสิ่งที่หวงห้าม และก่อการนองเลือดขึ้น อัลลอฮ ตะอาลาทรงให้กษัตริย์บุคตันศัรแห่งบาลิโลน เข้ครอบครองกรุงเยรูซาเล็ม วงศ์วานของอิสรออีลถูกฆ่าตายถึง 70,000 คน (2)  พวกบาบิโลนได้บุกตะลุยตามบ้านเรือน เพื่อฆ่าวงศ์วานอิสรออีลและฉกชิงทรัพย์สมบัติ โดยไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด โองการนี้ต่อจากโองการแรก  คือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว [17:6] และเราได้ให้พวกเจ้ากลับมีอำนาจเหนือพวกเขา และเราได้ให้พวกเจ้ามีทรัพย์สินและบุตรหลาน และเราได้ทำให้พวกเจ้ามีรี้พลมากมาย(*1*) (1)  คือเมื่อพวกอิสรออีลกลับเนื้อกลับตัวขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกเขาแล้ว พระองค์ก็ทรงให้พวกเขากลับมีอำนาจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คือมีทรัพย์สินอละพลเมืองมากขึ้น โองการนี้กลับต้องมาตีความจากคำอธิบายของสมาคมฯ  ท่านบอกไว้ว่า  พวกยิวกลับเนื้อกลับตัวและขออภัยโทษต่อ “พระเจ้าของพวกเขา”  คำ ๆ นี้หมายถึงใคร  พระเจ้าของพวกเขา  หมายถึงพระยะโฮวาห์หรืออัลเลาะห์  เพราะหลายโองการที่ได้ไปโมเมเอาดื้อ ๆ ว่า  ชนชาติอื่นนั้นมีอัลเลาะห์เป็นพระเจ้า   ถ้าหมายถึงอัลเลาะห์ก็แปลกมียิวคนไหนหรือที่ขออภัยโทษต่อพระอัลเลาะห์ (เพราะการทำเช่นนั้นก็คือการเปลี่ยนเป็นอิสลามนั่นเอง  การแค่ขอโทษ ๆ แล้วใจไม่ศรัทธาในอัลเลาะห์หรือยังคงตั้งภาคีใดเทียมเท่าอัลเลาะห์ก็ไม่เรียกว่าเปลี่ยนเป็นอิสลาม)  หันหลังให้ศาสนาตัวเอง ??  ถ้าเหตุการณ์เป็นดังว่าที่ว่า  อัลเลาะห์จะให้พวกเขา (ชาวยิว -  อ่านพิจารณาจากคำอธิบายข้างต้น)  กลับมามีอำนาจมากขึ้น  มีเงื่อนไขก็คือ  ต้องเข้ารีตเป็นอิสลาม (ตามที่ได้วิเคราะห์ไป) แล้วปัจจุบัน ยิวทั้งหมดที่มีอำนาจมากขึ้นนั้น  ล้วนแต่เข้ารีตเป็นอิสลามหมดสิ้นงั้นสิ  ซะงั้น ?? แต่ถ้าคำว่าพระเจ้าหมายถึง  พระเจ้าของยิว  ก็ยิ่งแปลกที่ว่า  เขากลับเนื้อกลับตัวขออภัยโทษจากพระเจ้าของยิวเอง และอัลเลาะห์จะมอบอำนาจให้อีก  ไปกันใหญ่แล้วหล่ะครับ [17:7] หากพวกเจ้าทำความดี พวกเจ้าก็ทำเพื่อตัวของเจ้าเอง และหากว่าพวกเจ้าทำความชั่วก็เพื่อตัวเอง(*1*) ดังนั้น เมื่อสัญญาอีกข้อหนึ่งได้มาถึง(*2*)เพื่อพวกเขาก่อความอับอายขายหน้าแก่พวกเจ้า(*3*)และเพื่อเข้าไปในมัสยิดเช่นที่พวกเขาได้เข้าไปแล้วในครั้งแรก และเพื่อทำลายสิ่งที่พวกเขาได้ชัยชนะอย่างหมดสิ้น (1)  หมายถึงการทำความดีก็มิได้ให้คุณแก่พระองค์ และการทำชั่วก็มิได้ให้โทษแก่พระองค์เช่นกัน ทั้งคุณและโทษนั้นกลับไปหาตัวของพวกท่านเอง (2)  การก่อการเสียหายครั้งที่สองคือ การฆ่านะบียะหยา (3)  อัลลอฮ ตะอาลา ทรงให้พวกมะญูซีย์จากเปอร์เซียเข้าไปครอบครอง ด้วยการฆ่าและทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง โองการนี้สนับสนุนโองการข้างต้นว่า  สัญญาอีกข้อหนึ่งที่ยิวได้ทำความเสียหาย (คงจะเป็นแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ นะครับเพราะยิวไม่ค่อยมีน้ำยา แค่ฆ่านบีเท่านั้นเรื่องเล็ก)   [17:8] หวังว่าพระเจ้าของพวกเจ้าจะทรงเมตตาแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้ากลับมา (ก่อกวน)อีกเราก็โต้กลับ(*1*) และเราได้ให้นรกเป็นที่คุมขังสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา (1)  พวกอิสรออีลได้กลับมาทำการก่อการร้ายอีก อัลลอฮ ตะอาลา ทรงให้มุสลิมีนเข้าไปครอบครอง และไล่พวกอิสรออีลออกจากคาบสมุทรอาหรับ แล้วได้กลับมากระทำอีก พระองค์ทรงให้บ่าวของพระองค์เข้าไปมีอำนาจเหนือพวกเขาและเมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์ แห่งเยอรมันนีได้สังหารพวกอิสรออีลนับจำนวนล้านคน ปัจจุบันอิสรออีลได้ก่อกวนสังหารชาวปาเลสไตน์อีก พระองค์จะทรงให้ผู้มีอำนาจเหนือกว่าเข้าไปกวาดล้างอีกเช่นกัน เพื่อให้เป็นไปตามสัญญาของพระองค์ จากโองการนี้ได้แสดงความหวังว่า  พระยะโฮวาห์ (พระเจ้าของยิว  จากโองการใช้คำว่า “พวกเจ้า”  แทนตัวยิว)  จะเมตตาต่อชาวยิว  และหากชาวยิวกลับมาก่อกวนอีก  เรา (คงหมายถึงอัลเลาะห์)  จะโต้กลับ ครับคำว่าก่อการร้ายฟังดูแปลก  เพราะชาวยิวเขาต้องการดินแดนสัญญาของเขาคืนจากการที่โดนขับไล่มานมนาน  (เพราะแต่ก่อนยิวก็อยู่มาหลายพันปีเช่นกัน)  จริง ๆ คือโดนอิสลามรุกรานและขับไล่และตนเองยึดดินแดนของเขาแทนนั่นเอง  ส่วนเรื่องฮิตเลอร์ไม่เอ่ยถึงเพราะคนละเรื่อง   ปัจจุบันยิวได้สังหารอาหรับและ อาหรับก็สังหารยิวเช่นเดียวกันครับ ไม่ใช่ยิวทำฝ่ายเดียวเสียเมื่อไหร่  และคำอธิบายท้ายสุดได้บอกไว้ว่า  อัลเลาะห์จะส่งผู้มีอำนาจกว่าไปกวาดล้าง  ก็โองการตอนต้นบอกไว้เองนี่ครับว่า  ยิวจะก่อการฯ  สองครั้ง  และสองครั้งก็หมดไปแล้ว  และอัลเลาะห์ก็จัดการ “ตามสัญญา” ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น   “การบงการ”  ของอัลเลาะห์ในเกมนี้จึงหมดไปแล้ว  ในหน้าประวัติศาสตร์ยิว   มีน้ำยา (ก็ขัดกันอีกแหละ)  แค่สองครั้งเท่านั้น   ในปัจจุบันผมถึงบอกไงครับว่า  ยิวปัจจุบันคนละพันธุ์กับยุคโน้นที่อัลเลาะห์อุตส่าห์บรรจงสร้างขึ้นมาฆ่ามุสลิมไปมากมาย  (อา คงเป็นแค่การ “เทสต์”  จากอัลเลาะห์เสียมากกว่า  เพราะยังไง ๆ มุสลิมตายไปก็ได้ขึ้นสวรรค์อยู่แล้ว)  นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย  อยู่ในคอนโทรลของอัลเลาะห์ทั้งนั้น   สิ่งที่ยิวกระทำในปัจจุบันก็แค่ “ป่วน” เล็ก ๆ น้อย ๆเท่านั้น จากคุณ : redhores - [ 10 มิ.ย. 50 22:48:23 ]

ความคิดเห็นที่ 36 "ปัจจุบันยิวได้สังหารอาหรับและ อาหรับก็สังหารยิวเช่นเดียวกันครับ ไม่ใช่ยิวทำฝ่ายเดียวเสียเมื่อไหร่" เป็นหลักฐานว่าอ่านจากสื่ออย่างเดียว ไม่เคยไปเหยียบดินแดนปาเลสไตน์/อิสราเอลเลย เพราะหากเคยไป...จะไม่พูดแบบนี้ จากคุณ : Moore - [ 10 มิ.ย. 50 22:53:09 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมยกย่องยิวหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือ นิคมคิมบุชของมัน ที่ทำเกษตรกรรมเพื่อโปรโมทตัวเองจนโด่งดัง เห็นว่าตอนนี้นิคมอัจฉริยะของยิวเจ๊งกะบ๊งเกือบหมดแล้ว...ถามกะเหรี่ยงไทยที่ไปเป็นคนงานของมันดูสิ จากคุณ : Moore  - [ 10 มิ.ย. 50 22:40:38 ] ตอบ   สร้างภาพ เอาไปใช้จริงไม่ได้ ในไทยน๊ะ พี่ไทยฮิตเป็นพักพัก จากคุณ : สาวสวนพลู - [ 10 มิ.ย. 50 22:59:03 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ก็ลูกหลาน ทั้งนั้นที่รบกันไม่เบื่อ เหตุใดพระเจ้าไม่ทรงมายุติกรณี พิพาท ด้วยพระองค์เอง น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด เพราะทุกฝ่ายให้ความเคารพเชื่อ ถือ จากคุณ : bergbaan - [ 10 มิ.ย. 50 23:06:28 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เพื่อนผมเคยเถียงว่า อิสราเอลมีรายได้ต่อหัวประชากรสูงมากๆ สูงกว่าอาหรับ ผมเลยถามคำเดียวว่ายิว export อะไร??? ถึงมีเงินเยอะขนาดนั้น แค่แพ็คเพรสเซลขายถุงละ 30 บาท (ราคาในซูเปอร์มาร์เก็ตเมืองไทย) ยิวคงไม่มีปัญญาสร้าง infrastructure ในประเทศได้ดีขนาดนั้นหรอกครับ รู้แค่เมื่อไหร่อเมริกาจบ รัฐยิวก็จบเห่ครับ แค่ที่เห็นในปัจจุบันนี้ก็หายซ่าไปเยอะแล้ว จากคุณ : Moore - [ 10 มิ.ย. 50 23:08:43 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขัดกันตรงไหนครับ ระหว่างยิวในปาเลสไตน์ ในซูเราะห์ที่ 17 และยิวในมะดีนะ ในซูเราะห์ที่ 3 อ่านดี ๆ นะครับ รู้สึกคุณ redhorse จะสับสนจนเพี้ยนนิด ๆ แล้วนะครับ ยิวที่หันเหไปจากอัลลอฮ์ พระเจ้าจะเป็นอะไรก็ช่างไม่ได้ช่วยอภัยโทษได้หรอกครับ อัสลามมุอะลัยกุมครับท่าน Moore ผมก็ไม่เคยไปอิสราเอลครับ ท่านช่วยเล่าเรื่องดี ๆ ที่พบมาให้อ่านหน่อยครับ จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 23:14:14 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อัสลามุอลัยกุม คุณดาบจันทร์เสี้ยว คห.11 ตามความเห็นผม มะก่อมนบีมูซาตรงนั้นไม่น่าจะเป็นของจริงนะ ไปมาแล้วครับ ดูแล้วมันทะ:-)ๆ ไงก็ไม่รู้ เพื่อนๆ หลายคนที่ไปด้วยก็คิดงี้เหมือนกัน จากคุณ : Moore - [ 10 มิ.ย. 50 23:15:46 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ครับผม งั้นคำถามที่สองก็ต้องรอให้ผู้รู้จริง ๆ ล่ะครับ จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 23:21:15 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คุณดาบ เรื่องดีๆ ของปาเลสไตน์ก็คือ...ข้าพเจ้าขอยืนยันประโยคเดิมตลอด 10 ปีที่ผ่านมาว่า...สาวปาเลสไตน์สวยที่สุดในโลกครับ...แฮ่! จากคุณ : Moore - [ 10 มิ.ย. 50 23:21:34 ]

ความคิดเห็นที่ 44 สาวปาเลสไตน์เธอสวยหมดเลยครับ สวยกันทั้งประเทศ สวยระเบิดเถิดเทิง แต่...สาวไทยอย่าเพิ่งน้อยใจ เพราะเมื่อสาวปาเลสไตน์เธอย่าง 30 ปี เธอจะเริ่มขยายตัวออกด้านข้างเป็นสองเท่าทันที 555 ผิดกับสาวไทยที่ส่วนใหญ่ยังคงรักษารูปร่างได้ตลอด จากคุณ : Moore - [ 10 มิ.ย. 50 23:28:06 ]

ความคิดเห็นที่ 45 งั้นมติเอกฉันท์ (หรือเปล่า) สาวไทยสวยที่สุดในโลก ... ^^ ขอมะอัฟ พี่น้องมุสลิมทุกท่านครับ ศาสนาคือการตักเตือน วัสสลาม แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 50 20:49:13 จากคุณ :  ดาบจันทร์เสี้ยว - [ 10 มิ.ย. 50 23:32:58 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ^ ^ ^ พิจารณาเป็นราย ๆ ไปครับ ^ ^ จากคุณ : silverspider - [ 11 มิ.ย. 50 00:23:40 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อืม... ดังนั้นคำตอบข้อ 2 ยังไม่เคลียร์เท่าไหร่เลยนะครับ ยังดีกระทู้นี้มีรูปสาว ๆ จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 11 มิ.ย. 50 08:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ยังไงยิวก็ได้กลับมาเป็นประเทศอีกครั้งนะครับ... จากคุณ : พันพรือ - [ 11 มิ.ย. 50 13:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เอ่อ โผล่มาดูแบบงงๆ จากที่ห้องอะไรแนวนี้จะเต็มไปด้วยเสียงคำรามถ้วยชามบินว่อน ด่าโจมตีพระศาสดา คำสอนจนป่นปี้ไปทั้งทุกฝ่าย กลายเป็นทุกคนใส่สูททักซิโด้พูดคุณผม เจรจากันสุภาพยังกะหลุดมาจากงานราตรีสโมสร ชอบจริงๆบรรยากาศนี้ เลี้ยงกาแฟทุกท่านละกัน จะได้มีความรู้กันจริงๆจังๆสะที จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 11 มิ.ย. 50 23:44:35 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อ้าว รูปหายซะละ รีบลบทำไมก๊านนน คุณดาบฯ พึ่งได้ข้อสรุปอีกอย่างว่า สาวไทยมุสลิมขาว ถามญาติที่อยู่ยะลาก็คอนเฟิร์มาว่าขาวจริงๆ ญาติผมเชื้อจีนแท้ๆยังดำกว่าซะอีก จากการเห็นสาวๆหลายประเทศ สรุปว่า ความสวยของสาวไทยมีนสูงที่สุดในโลกครับ ส่วนmax ฝากคุณMooreพากลับประเทศมาให้ยลกันซักคนละกันครับ ^-^ จากคุณ : YF-01 - [ 12 มิ.ย. 50 00:06:41 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ พันธะสัญญาระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับมนุษย์นั้น มีเงื่อนไขอยู่ตรงนี้ครับ " สัญญาของฉันไม่แผ่ถึงพวกอธรรม.." (กุรอาน 2:124) โองการนี้ เป็นโองการที่พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแก่ นบีอิบรอฮีม  เนื่องในคราวที่พระองค์ได้ให้พันธะสัญญาแก่นบีอิบรอฮีม  และพระองค์ตรัสว่า  อิบรอฮีมจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย (คือบิดาของคนอาหรับ และ ยิว) ....ท่านนบีอิบรอฮีมจึงได้ทูลถามว่า  พันธะสัญญาเหล่านี้ครอบคลุมถึงลูกหลานของท่านทุกคนหรือไม่   พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ประทานโองการนี้ลงมา " และเราได้แจ้งแก่วงศ์วานของอิสรออีล (ยิว) ในคัมภีร์ว่า พวกเจ้าจะก่อการเสียหายในแผ่นดินสองครั้งและแน่นอน พวกเจ้าจะโอหังยโสยิ่ง ...  ดังนั้น เมื่อสัญญาหนึ่งในสองครั้งได้มาถึง เราได้ส่งบรรดาบ่าวของเราผู้มีอำนาจเข้มแข็งเข้าครอบครองพวกเจ้า แล้วพวกเขาได้บุกเข้าค้นตามบ้านเรือน และมันเป็นสัญญาที่ได้เกิดขึ้นแล้ว" (กุรอาน 17:4-5) สัญญาณครั้งแรก  คือ การถูกกวาดต้อนไปยังบาบิโลน สัญญาณ ครั้งที่ 2 คือ การมาของท่านนบีอีซา  ซึ่งยิวส่วนใหญ่เองก็ได้ปฏิเสธสัญญาณเหล่านี้  ดังนั้น เมื่อสัญญาณครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง  ยิวจึงถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธะสัญญา โดยชาวโรมัน และไม่ได้กลับสู่ดินแดนแห่งนี้อีกเลย   จนกระทั่งหลังสงครามโลกโดยความช่วยเหลือของอังกฤษ   สำหรับ ยิวนั้น พันธะสัญญาในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ได้สิ้นสุดไปแล้ว  ซึ่งมิใช่เพียงกุรอานเท่านั้นที่ได้กล่าวถึงการยกเลิกพันธะสัญญาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์  หากแต่ พระคัมภีร์เดิมเองก็กล่าวถึงในเรื่องนี้เช่นกัน หรือแม้แต่พระเยซูเองก็ได้พยากรณ์ถึงการที่ชาวยิวจะถูกขับไล่ออกจากดินแดนนี้  เช่นกัน .... และไม่ใช่เฉพาะยิวครับ  แม้แต่อาหรับมุสลิมเอง หากไม่ได้ดำเนินตามแนวทางของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว  รีสกี (ลาภผล) หรือ ความเมตตา จากพระผู้เป็นเจ้า  เขาก็จะไม่ได้รับเช่นกัน ... และมิใช่ว่า  อิสลามสอนให้รังเกียจ ยิว เสมอไป ...  กุรอานเองได้กล่าวว่า "จงแน่ใจได้เลยว่า ใครก็ตามในหมู่ผู้ศรัทธา ยิว คริสเตียน หรือซอบีอีน ที่เชื่อในอัลลอฮ์ และในวันสุดท้าย และประกอบการดี พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทน ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และเขาจะไม่มีสาเหตุใดที่ต้องกลัว และพวกเขาจะไม่ระทม" (กุรอาน 2:62) "แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธา และบรรดาผู้ที่เป็นยิว และพวกซอบิอูน และบรรดาผู้ที่เป็นคริสต์นั้น ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกและประกอบสิ่งที่ดีงามแล้ว ก็ไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่สียใจ" (กุรอาน 5:69) ด้วยจิตคารวะครับ จากคุณ : kheedes - [ 12 มิ.ย. 50 20:25:57 ]