ความคิดเห็นที่ 3
พระศาสดาทรงห่วง ตรัสเตือนว่า การทำลายสงฆ์เป็นโทษหนัก แต่พระเทวทัตก็ไม่เชื่อ เช้าวันหนึ่ง ได้กล่าวกับพระอานนท์ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจักทำอุโบสถสังฆกรรมต่างหาก ไม่รวมกับพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ของพระศาสดา พระอานนท์เข้าเฝ้า ทูลให้พระศาสดาทรงทราบ พระพุทธองค์เกิดธรรมสังเวช และทรงปริวิตกว่า เทวทัตทำกรรมอันเป็นเหตุให้หมกไหม้ในนรกเสียแล้ว กรรมอย่างนี้เป็นไปเพื่อความย่อยยับแก่สัตว์โลก รวมทั้งเทวโลกด้วย
ตรัสย้ำว่า กรรมที่ไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์ ทำได้ง่าย ส่วนกรรมที่ดีและมีประโยชน์ ทำได้ยากยิ่ง กรรมดี คนดีทำได้ง่าย แต่คนชั่วทำได้ยาก กรรมชั่ว คนชั่วทำได้ง่าย แต่พระอริยเจ้าไม่ทำเลย พระเทวทัตได้ภิกษุใหม่ชาววัชชี 500 รูป พาไปสู่ตำบลคยาสีสะ ในแคว้นมคธ พระศาสดาทรงห่วงภิกษุใหม่ จึงให้พระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะไปนำภิกษุเหล่านั้นกลับมา
พระสารีบุตรและพระโมคคัลนะสั่งสอนอบรมจนภิกษุเหล่านั้นแจ่มแจ้ง แล้วพากลับมาเฝ้าพระศาสดา
ขณะนั้นเทวทัตนอนพักผ่อนอยู่ เพราะนึกว่าพระอัครสาวกทั้งสองเลื่อมใสในตนจึงตามมา พระเทวทัตจึงให้แสดงธรรมแทนตน
เมื่อพระอัครสาวกพาภิกษุ 500 รูปไปหมดแล้วพระโกกาลิกะ ซึ่งเป็นสาวกสนิทของพระเทวทัตเข้าไปปลุกพระเทวทัตพลางกล่าวว่า
เทวทัต ลุกขึ้นเถิด พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะนำภิกษุไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าเคยบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าไว้ใจพระสารีบุตรโมคคัลลานะ เพราะทั้งสองมีความปรารถชั่ว แล้วด้วยความเจ็บใจ จึงเอาเข่ากระแทกอกพระเทวทัตจนกระอักเลือด
พระศาสดาเสด็จสู่นครสาวัตถี แห่งแคว้นโกศลประทับ ณ เชตวัน มหาวิหาร ส่วนพระเทวทัต เพราะเหตุที่ถูกกระแทกหน้าอกจนกระอักเลือดและเสียใจที่พระอัครสาวกทั้งสองมาพาภิกษุไปหมด จึงป่วยหนักอยู่นานถึง 9 เดือน ในระหว่างป่วยคงมีโอกาสคิดทบทวนถึงกรรมของตนบ้าง จึงรู้สึกตัวว่าได้ทำผิดไว้ในพระศาสดา มาจึงอยากเข้าเฝ้าจึงขอร้องให้ศิษย์หามไปเฝ้า สาวกทั้งหลายกล่าวว่า เมื่อยังสามารถไป-มาได้อยู่ ได้ประพฤติตนเป็นคนมีเวรกับพระศาสดา ข้าพเจ้าไม่สามารถพาท่านไปได้
พระเทวทัตอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า จริงอยู่ข้าพเจ้าผูกเวรในพระศาสดา แต่พระองค์หามีเวรต่อข้าพเจ้าไม่ พระองค์มิได้ผูกอาฆาตข้าพเจ้าเลย แม้เท่าปลายผม จงกรุณาพาข้าพเจ้าไปเฝ้าพระศาสดาเถิด เมื่ออ้อนวอนมากเข้า ศิษย์ก็พร้อมใจกันหาม พระเทวทัตออกจากคยาสีสะไปเฝ้าพระศาสดา ณ เมืองสาวัตถี ภิกษุทั้งหลายทราบข่าวนั้น จึงกราบทูลให้พุทธองค์ทราบ พระศาสดาตรัสตอบว่า ภิกษุทั้งหลายในชาตินี้เทวทัตจักไม่ได้เห็นเราอีกเลย
ท่านกล่าวว่า ภิกษุที่ขอวัตถุ 5 ประการแล้ว จะไม่ได้เห็นพระศาสดาอีกเลย ข้อนี้เป็นธรรมดา
เมื่อพระเทวทัตมาถึงที่ต่าง ๆ ระหว่างทางภิกษุทั้งหลายก็กราบทูลพระศาสดาว่า บัดนี้ พระเทวทัตมาถึงนั้นแล้วพระเจ้าข้า
พระศาสดาตรัสว่า เทวทัตจะมาถึงไหน จะทำอย่างไรก็ตาม เรื่องที่เทวทัต จะได้เห็นเรานั้นเป็นไม่มี
เมื่อพระเทวทัตใกล้เข้ามา ภิกษุทั้งหลายก็กราบทูลอีกว่า บัดนี้พระเทวทัตอยู่ห่างจากที่นี้ เพียงโยชน์เดียว,บัดนี้กึ่งโยชน์,บัดนี้มาถึงสระโบกขรณีหน้าวัดเชตวันแล้ว
พระศาสดายังคงยืนยันว่า แม้เทวทัต จะเข้ามาภายในวัดเชตะวันแล้วก็จะไม่ได้เห็นเรา พวกสาวกพาพระเทวทัตมาวางเตียงลงริมสระโบกขรณีใกล้วัดเชตวัน แล้วพากันลงไปอาบน้ำในสระ
พระเทวทัตลุกจากการนอน นั่งห้อยเท้าทั้งสองลงบนแผ่นดิน เท้าทั้งสองค่อย ๆ จมลงไปในดิน ถึงข้อเท้า ถึงเข่าถึงเอว ถึงนม และถึงคอ เวลากระดูกคางจรดถึงพื้นเทวทัตได้กล่าวว่า
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงเป็นผู้เลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพทั้งหลาย เป็นผู้ชำนาญในการฝึกคน ทรงมีพระจักษุรอบด้าน ทรงมีพระลักษณะอันสำเร็จมาจากบุญ ข้าพระพุทธเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่าเป็นที่พึ่ง ขอถวายกระดูกคางและลมหายใจครั้งสุดท้าย เป็นเครื่องสักการะแด่พระองค์
ทราบกันว่า พระศาสดาทรงเห็นฐานะนี้ (คือการที่พระเทวทัต จักถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งในวาระสุดท้าย) จึงทรงยอมให้พระเทวทัตบวช ถ้าเขาไม่ได้บวชเลย อยู่เป็นคฤหัสถ์ จะทำกรรมหนักกว่านี้ จักไม่ได้ทำปัจจัยอันดีเพื่อภพต่อไป แต่เมื่อได้บวช แม้จะทำกรรมหนักก็จริง ก็ยังสามารถทำปัจจัยอันดีไว้เพื่อภพต่อไป นัยว่าในอีกแสนกัปป์ข้างหน้า พระเทวทัตจักได้เป็นปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อัฏฐิสสระ
พระเทวทัตจมดินแล้วไปเกิดในอเวจี ถูกไฟในอเวจีไหม้อยู่ เคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะประพฤติในพระพุทธเจ้าผู้ไม่หวั่นไหว ทุกข์ทรมานอยู่ในอเวจีนั้นนานแสนนาน
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า พระเทวทัตมาถึงนี้แล้วไม่ทันได้เฝ้าพระศาสดา จมดินเสียแล้ว
พระศาสดาตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตประพฤติผิดในเรา ต้องถูกแผ่นดินสูบในกาลนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อนก็เคยแล้วเหมือนกัน ทรงแสดงสีลวนาคชาดก สมัยที่พระองค์เป็นช้าง พบพรานหลงทางในป่าลึก ยกขึ้นหลังของตนไปส่งถึงที่อันปลอดภัย แต่พรานนั้นกลับมาตัดงาเสียถึง 3 ครั้ง และถูกแผ่นดินสูบ
หากจะให้แผ่นดินทั้งหมดแก่คนอกตัญญู ก็ให้เขาพอใจไม่ได้
เมื่อพระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบแล้ว ประชาชนต่างชื่นชมยินดี ยกธงและเล่นมหรสพ พลางกล่าวกันว่า เป็นลาภของพวกเราแล้วหนอที่พระเทวทัตตายไป
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา ทรงตรัสว่า
มิใช่เพียงแต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในการก่อนเมื่อเทวทัตตาย คนทั้งหลายก็ร่าเริงแล้วเหมือนกัน
ดังนี้แล้ว ทรงแสดงปิงคลชาดก ว่าด้วยเรื่องพระเจ้าปิงคละผู้ครองนครพาราณสี เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ดุร้าย หยาบช้า เมื่อสวรรคต คนทั้งหลายพากันร่าเริงเล่นมหรสพ แต่นายประตูคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ เมื่อพระโพธิสัตว์ถามว่าเขารักพระเจ้าปิงคละนักหรือ เขาตอบว่า
พระราชาปิงคละ ผู้มีพระเนตรไม่ดำ(หมายเหตุ : ตาแดง เพราะใจร้าย) หาเป็นที่รักของข้าพเจ้าไม่ แต่ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะเกรงว่าพระองค์จะกลับมาอีก ด้วยว่าเมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว จะพึงไปเบียดเบียนพญามัจจุราช มัจจุราชรำคาญเข้า อาจนำพระองค์กลับคืนมา ข้าพเจ้าร้องไห้ เพราะเหตุนี้
เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า เวลานี้พระเทวทัตไปที่ใดพระศาสดาตรัสตอบว่า ไปเกิดในอเวจีมหานรก แล้วตรัสต่อไปว่า ผู้ทำบาปย่อมเดือดร้อนทั้งโลกนี้และโลกหน้า
จากคุณ :
ทวนทอง
- [
1 ส.ค. 50 15:21:17
]
|
|
|