Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ตกหลุมรัก

    สวัสดีครับพี่

    ก่อนอื่นผมขอบคุณเรื่องหนังสือ ปรีชาญาณของผู้ไม่รู้หนังสือ มากมากครับ ผมกำลังรอคำตอบจากพี่ เพื่อที่จะสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตอยู่ เพราะผมไม่ทราบว่า มันซ้ำกับที่ คุณ เขมานันทะ ได้เคยบรรยายไว้ที่ประสานมิตร เรื่องหลวงพ่อเทียนที่ข้าพเจ้ารู้จัก ที่ผมเคยส่งไปให้พี่หรือไม่ ผมจึงขอให้พี่ช่วยไปยืนอ่าน ไม่นึกว่าพี่จะซื้อส่งมาให้ผมขอบคุณมากนะครับ
    สำหรับอาการที่พี่เขียนมาเล่าให้ผม ผมจะไปด่าพี่ทำไมครับ มันดีเสียอีกที่เรารู้ว่าเรากำลังเป็นกำลังติดอะไรอยู่ อาการอย่างนี้แหละครับ ที่ผมเคยเขียนบอกเอาไว้ว่า ถ้าพี่ไม่ถอย มันจะทะลุออกไปไม่เกินเวลาในหนึ่งเดือน
    แต่ว่าอาการอย่างที่พี่เล่าไม่เคยเกิดกับผมครับ ผมจะเล่าอะไรให้ฟังอย่างนึงนะครับ ในการฝึกตามแนวหลวงพ่อเทียนที่ผมเข้าใจนะครับ ผมเข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้ครับ ตรงนี้สำคัญนะครับ พี่อ่านดีืดีนะครับ ผมอาจจะผิดนะครับ
    สไตลมันจะถูกแบ่งเป็น สองอย่างสองลักษณะหลักหลัก โดยเอาธรรมชาติของการเข้าถึงตัวผู้ฝึกเป็นเกณฑ์นะครับ
    1.คือ ประเภท เน้นไปที่ความรู้สึกตัวครับ คนประเภทนี้จะจับความรู้สึกตัวได้ง่ายกว่า หรือ ใช้ความรู้สึกตัวเป็นฐานของสติครับ ความรู้สึกอันนี้ผมหมายถึง ความรู้สึกที่เกิดจาก การเคลื่อนไหว ผ่านทางร่างกาย ถ้าพี่ไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของมันจริงๆว่าให้รู้สึกตัวทำไม พี่จะล่วงไปที่สมถะทันทีครับ การที่เราฝึกรู้สึกตัวนั้น เพื่อให้เราจับสัมผัส หรือเข้าใจความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ความรู้สึก การไหวหรือการขยับของความคิด จากนั้นให้เรามารู้อยู่กับความรู้สึกตรงนี้ครับ ปัญหาของคนประเภทนี้ก็คือ การติดอยู่ในญาณ ญาณก็คือ อาการที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั่นแหละครับ มันเกิดจากการที่เราจับจ้อง หรือให้ความสำคัญกับอะไรบางอย่าง มันจะผลักเราให้หลุดไปจากความปรติ แต่เมื่อเราไม่เข้าใจตัวนี้ เราจะติดทันทีครับ เพราะสภาวะเหล่านั้นจะทำให้เรารู้สึกเหนือธรรมดา ผมพูดไปพี่อาจจะยังไม่เข้าใจ พี่จะเข้าใจอาการญาณต่อเมื่อพี่ผ่านจินตญาณครับ เมื่อผ่านตัวนี้พี่จะเข้าใจ ญาณ ทั้งหมดครับ จะไม่ติดอะไรที่เป็นสภาวะพิสดารอีกเลย
    2. คือ ประเภท เน้นที่ความคิดครับ คนประเภทนี้คือคนประเภทผมครับ คือ มันซัดผั๊วะข้ามไปที่เห็นความคิดเลย มันจับความรู้สึกที่ความคิดเกิดได้ทันที โดยไม่ต้องเอาความรู้สึกตัวมาเป็นตัวดึงกลับ หรือเอาความรู้สึกตัวเป็นฐาน แต่ฐานของคนประเภทนี้ก็คือตัวความคิดนั่นล่ะ  ตอนแรกผมไม่เข้าใจครับ ผมแปลกใจว่า ทำไมผมพูดเท่าไหร่พี่ก็ไม่เข้าใจ และไม่ใช่พี่เพียงคนเดียวแต่มีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจ แต่คนที่เข้าใจตรงๆที่ผมบอกก็มีครับแต่น้อย ผมจึงเริ่มเข้าใจว่า ฐานของการฝึกมันต่างกัน ปัญหาของคนประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องญาณครับ แต่เป็นวิปัสสนู เพราะพอมันลงล็อคปั๊บ ความรู้จะทะลักออกมาเลย ทีนี้ เมื่อมันดูความคิดอยู่ตลอด มันจึงพลาดเข้าไปในความคิดครับ มันติดสิ่งที่รู้ มันเพลินไปกับความรู้ที่มันรู้ แต่ประเภทแรกมันเพลินไปกับอาการที่มันเกิด อาการในที่นี้ไม่จำเห็นว่า ต้องเป็นอาการที่เป็นสุขนะครับ แต่คือมันหล่นลงไปแล้วตะกายออกมาไม่เป็นครับ
    ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจครับ เพราะจะให้เอาไงแน่ จะให้ดูความคิดหรือรู้สึกตัวกันแน่ ยิ่งคนที่ไม่มีครูบาอาจารย์ควบคุมอย่างผม ยิ่งซ่าหนัก ลองมันทุกอย่าง สุดท้ายมันจึงมาจับจุดได้ว่า การยกมือสร้างจังหวะ หรือ การเดินจงกรม มันเป็นเพียงการใช้ความรู้สึกตัวเพื่อดึงตัวเองออกมาจากความคิดเท่านั้นเอง
    ระยะของผมตอนนี้เห็นความคิดอยู่เกือบเสมอ รู้จักความคิดแทบจะทุกประเภทแล้ว พอเราปล่อยความคิดทุกอย่างที่เรารู้จักได้ พูดอย่างไรดี คือ ความคิดยังคิดอยู่แต่สั้นมากๆ แล้วเราไม่ใส่ใจในเรื่องที่คิด ไม่ใส่ใจในอาการทั้งหลายแหล่ มันจะดีด กลับไปสู่ความรู้สึกตัวอีกแบบหนึ่งครับ มันเป็นความรู้สึกตัวที่เป็นอยู่ธรรมดาของมัน ไม่มีโลภะโมหะโทสะ ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีความอึดอัดใจใดใด มันเหมือนกับจะลืมทุกสรรพสิ่งในชีวิต ความคิดเป็นเหมือน ลมหายใจ หรือ การกระพริบตา ที่ไม่มีอำนาจบงการชีวิตอีก มันเป็นอยู่มีอยู่ แต่ไม่ได้โดดเด่นอะไร มีค่าเท่ากับการเคลื่อนไหวอื่นๆ

    พี่ครับผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ถ้าพี่ศึกษาแนวทางของหลวงพ่อเทียนจริงๆ พี่สังเกตดูดีดีครับ เค้าจะพูดแต่เรื่อง ดู เห็น ความคิด พอคิดปุ๊บรู้ปั๊บ อย่าเข้าไปในความคิด พูดอยู่แค่นี้เท่านั้นเอง
    ช่วงหลังนี่ผมรู้สึกว่า ผมไม่รู้อะไรเลย พอจะพูดผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ถ้าไม่มีใครถามผมก็ไม่สามารถเขียนอะไรออกมาได้ เพราะผมไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะพอมันเริ่มไม่ขึ้นกับความคิด การกระทำทุกอย่างจะไม่ใช่ออกจากความคิดภายในแล้วครับ แต่อิงสะท้อนตามปัจจัยภายนอกแทน

    สำหรับปัญหาของพี่ตอนนี้ ผมบอกพี่ได้เพียงว่า พี่กำลังโดนความคิดตัวเองหลอกเอาครับ เหมือนกับเรากำลังบอกตัวเองว่า เรากำลังตกหลุมรักใครซักคน แต่จริงๆชีวิตเราไม่เคยตกหลุมรักใคร มีเพียงความคิดเท่านั้นที่มันบอกตัวมันเอง เมื่อมันคิดซ้ำๆกัน มันจะกลายเป็นกำแพงที่ขวางจิตใจเอาไว้ครับ มันไม่เป็นอิสระ เพราะความคิดมันล็อคทิศทางของความเข้าใจเอาไว้

    ลองเอากุญแจดอกนี้ไปใช้นะครับ

    “เพิกเฉยต่อทุกสรรพอาการความคิด ไม่ต่อต้าน ไม่โต้ตอบ ไม่สน ไม่แคร์”

    ถ้าพี่ผ่านตรงนี้ได้พี่จะเข้าใจว่า อะไรคือ สกิทาเต็มเหนี่ยว



    ขอวันนี้ของพี่พี่สวยงามต่อไปนะครับ
    พิมพ์ไม่ไหวแล้วตาลาย โน๊ตบุคของน้องน่ะครับ

    จากคุณ : koknam - [ 3 ก.ย. 50 20:39:50 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom