ความคิดเห็นที่ 1 .......... ศาสนาจักรมีจำนวนสมาชิกยังไม่มากนักในเวลาที่อัครสาวกได้รับอำนาจหน้าที่เป็นผู้นำ เพียงหนึ่งสัปดาห์ ภายหลังการเสด็จการขึ้นสู่สวรรค์ของพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ทรงแสงดให้เห็นอย่าง บริบูรณ์อย่างแท้จริงในวันเพ็นเทคศเต ขณะที่อัครสาวกสอนพระกิตติคุณและเป็นพยานถึงความเป็นอยู่อย่างแท้จริง ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ในครั้งนั้นคนสามพันคนรับบัพติศมาเข้ามาในศาสนาจักร อัครสาวกยังคงปฎิบัติศาสนกิจต่อไปด้วยพลังและอำนาจที่ได้รับมา เป็นผลให้มีผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส เพิ่มเข้ามาเป็นพันๆ คน ขณะนั้นพระกิตติคุณยังจำกัดอยู่แต่เฉพาะในเชื้อสายอิสราเอลเท่านั้น อย่างไรก็ตามขณะที่ปีเตอร์ กำลังสวดอ้อนวอนอยู่บนหลังคาบ้านในยัฟฟา ท่านเห็นภาพมาปรากฏซึ่ง ในภาพนั้นท่านรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง ท่านเรียนรู้ว่าไม่ควรถือว่าชนกลุ่มใด ไม่สะอาด และรู้ว่าพระกิตติคุณควรไปถึงคนต่างชาติเช่นเดียวกับที่ไปถึงชาวยิว (กิจการ 10:9-48) การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของเซาโล ชาวเมืองทาร์ซัสในเวลาต่อมามีความสำคัญยิ่งใหญ่ต่อความเจริญเติบโต ของศาสนาจักร เซาโลผู้ประหัตประหารผู้คนที่มีความเชื่อมาก่อนอย่างมากมาย เขาได้มองเห็น พระผู้ช่วยให้รอดในความสว่างโชติช่วง ขณะที่อยู่บนถนนระหว่างทางไปยังเมืองดามัสกัส เราคือเยซูซึ่งเจ้าข่มเหง (กิจการ9:5) พระองค์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ทรงประกาศแก่ชาวฟาริสี จนพวกเขาตกตะลึง และเซาโลตัวแทนของชาวซันฮีดริน ก็กลายมาเป็นเปาโลผู้ปกป้องคุ้มครองคนที่มีศรัทธา ภาชนะที่เราเลือกสรร (กิจการ 9:15) เพื่อให้ประกาศพระนามของพระองค์ พระคริสต์ต่อหน้าคน ต่างชาติและบรรดากษัรติย์ กว่าสามสิบปีต่อมาอัครสาวกที่กล้าหาญ ผู้ที่พร้อมด้วยสานุศิษย์อีกหลายคน ผู้อุทิศตนที่มากับท่านร่วมกันกับท่าน เผยแผ่ข่าวสารพระกิตติคุณ และตั้งสาขาของศาสนาจักรเกือบทั่วพื้นแผ่นดินจักรวรรดิโรมัน ขณะที่มีความเจริญอยู่เรื่อยๆ และสาขาก็เพิ่มมากขึ้น   มัคนายก ปุโรหิต ผู้สอน และผู้ประสาทพร (ปิตุ) ได้รับการเรียกและรับอำนาจที่ถูกต้อง โดยอัครสาวก ............. จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 11:41:57 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ......... การละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ขณะที่อัครสาวกและผู้สอนศาสนาคนอื่นๆ กำลังทำงานอย่างกล้าหาญเพื่ออาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า บนแผ่นดินโลก เมล็ดพันธุ์แห่งการละทิ้งความเชื่อก็กำลังงอกงามภายในศาสนาจักร เปโตรเขียนไว้ว่า มีผู้สอนผิดในบรรดาผู้คน และเขียนว่าคนอื่นๆ อีก "ลอบเอามิจฉาลัทธิอันจะให้ถึงความพินาศเข้ามาเสี้ยมสอน จนถึงกับปฎิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ได้ทรงไถ่เขาไว้ ซึ่งจะทำให้เขาพินาศโดยเร็วพลัน" (2 เปโตร2:1) เปโตรพยากรณ์ด้วยว่า จะมีหลายคนประพฤติชั่วตามตัวอย่างเขา  (2 เปโตร2:2) เปโตรเป็นพยานเดียวกันว่า จากชุมชนของผู้ที่เชื่อจะ มีบางคนในหมู่พวกท่านเองกล่าวผันแปรความจริง เพื่อจะชักชวนพวกสาวกให้หลงและตามเขาไป  (กิจการ20:30) ซึ่งบางคำสอนก็ยังคงมีการสานต่อ มาจนถึงปัจจุบันนี้เช่นกัน การละทิ้งความเชื่อภายใน และความไม่เชื่อ มิใช่เพียงแต่เป็นการท้าทายผู้สอนศาสนาในสมัยต้น ต้องเผชิญ ขณะที่ตอนนั้นโรมันได้มีนโยบายทั่วไปของโรมันให้เสรีภาพทางวัฒนธรรม และศาสนา แก่คนที่อยู่ภายใต้การปกครองพวกเขา แต่ก็มีพักๆ ที่ผู้คนที่เชื่อในพระคริสต์ก็ถูกข่มเหงอย่างรุนแรง  และผู้นำในสมัยนั้นก็มักจะตกเป็นเป้าหมาย ของการถูกจองจำและความตาย การประหัตประหารของชาวโรมันที่โด่งดังครั้งแรก เกิดขึ้นระหว่างการปกครองของนิโร ผู้ที่ป้ายสีให้ชาวคริสต์เป็นแพะรับบาปด้วยเรื่องเผาพลาญกรุงโรมในปีค.ศ.64   ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 11:44:52 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ......... ตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่า อัครสาวกเปโตรถูกตรึงกางเขนกลับหัว และต่อมาในปี ค.ศ.67-68 อัครสาวกเปาโลถูกตัดหัวโดยคำสั่งจักรพรรดิ จะเห็นได้ว่าผู้คนที่เป็นสานุศิทษ์ของพระคริสต์อย่างแท้จริงจะถูกข่มเห่งหรือการกล่าวให้ร้ายอัครสาว และ ศาสดาต่างๆ นา และทำร้ายถึงขั้นเสียชีวิตเพราะพวกท่านไม่ปฎิเสธความจริงของพระกิตติคุณอันแท้จริง มันเป็นมาแล้วทุกยุคทุกสมัยที่ผู้คนของพระองค์จะโดนอย่างนั้นอย่างอยุธิธรรม ในตอนแรกอัครสาวกสิบสองถูกตราไว้เป็นตำแหน่งการสั่งสอนศาสนาเสมอ ตัวอย่างของมัทธีอัส ผู้มิได้เป็น อัครสาวกสิบสองดั้งเดิม ได้รับเรียกเป็นอัครสาวก แต่โดยทางวิญญาณแห่งพยากรณ์ ผู้นำของศาสนาจักรก็รู้ได้ว่าการละทิ้งความเชื่อมิเพียงแต่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ยังใกล้จะเกิดขึ้นอยู่แล้วเมื่ออัครสาวกถูกฆ่า การเปิดเผยที่จะนำทางศาสนาจักรของพระเจ้าก็หยุดไป พร้อมๆ กับอำนาจที่จะปฎิบัติงาน ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 11:50:56 ]

ความคิดเห็นที่ 4 .......... ต่อมาภายหลังการเสียชีวิตของอัครสาวก มีพยานหลักฐานมากถึงการสูญเสีย ขณะที่ศาสนาจักรของพระคริสต์ ดังที่มีตามคำพยากรณ์ไว้ หลักธรรมพระกิตติคุณเสื่อมโทรมลง เพราะนำปะปนกับปรัชญาของมนุษย์ ที่พยายามจะจัดตั้งคำสอนของมนุษย์เข้าไป ทำให้เกิดการแตกแยกอย่างมากมาย ขัดแย้งกันเองในคำสอน และเมื่อขัดแย้งคำสอนก็ออกไปจัดตั้งคำสอนแนวทางของตัวเองที่สอนเอาไว้และมีผู้คนได้หลงตามไปตามจำนวนนั้นๆ การสูญเสียพระวิญญาณอันศักดิสิทธิ์ปรากฏชัดแจ้งโดยของประทานทางวิญญาณค่อยๆ เสื่อมสลายไป มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบองค์การและการปกครองในศาสนาจักรในรูปแบบมนุษย์ แม้พิธีการที่เป็นแก่นสำคัญ ของพระกิตติคุณก็ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 11:54:18 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ......... ความมืดที่ยาวนาน การเปลี่ยนแปลงความจริง ให้ความเป็นเท็จในศาสนาจักรมิได้เกิดขึ้นในวันเดียว การละทิ้งความเชื่อเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อันเนื่องมาจากความตายของอัครสาวกของพระองค์ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งขึ้นมาโดยเรียกอัครสาวกทั้งสิบสองของพระองค์ อัครสาวทั้งสิบสองของพระองค์หายไปไหนแล้วในปัจจุบันนี้ รูปแบบของการจัดตั้งซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงเคยจัดตั้ง และ สถาปนาศาสนาจักรของพระองค์ขึ้นมาและวางระเบียบของพระองค์บนแผ่นดินโลกนี้ หลังจากการเสียชีวิตของอัครสาวกของพระองค์ ในครึ่งหลังของศตวรรษที่หนึ่งรุนแรงยิ่งขึ้นทุกทีในปีต่อๆ มา ราวศรวรรษที่สี่ก็ยากจะพบร่องรอยของศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์ให้พอจำได้ เป็นความมืดที่ยาวนาน พร้อมกับที่อัครสาวกจากไป เจ้าหน้าที่ศาสนาจักรของท้องถิ่นต่างๆ ก็มีอภิสิทธิ์ขึ้นทีละเล็กทีละน้อยถืออำนาจนั้นมากขึ้นๆ จนผู้นำในท้องถิ่นนั้นได้เป็นคนกำหนดนโยบายและคำสอนในขอบเขตท้องที่ของพวกเขา โดยอ้างสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดอำนาจที่ถูกต้องจากอัครสาวก ผู้นำบางคนในท้องที่ต่างๆ ในเมืองสำคัญๆ เช่น โรม อเล็กซานเดรีย เจรูซาเล็ม และอันทิโอก และค่อยๆ ครอบครองอำนาจสูงสุดไปทั่วแคว้น .......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 11:57:12 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ......... ความแตกแยกต่างๆ นานา ประการของวิธีปฎิบัติและหลักเกณฑ์ที่ดึงดันตามใจชอบก็มาถึงเมื่อผู้นำ ศาสนาจักรอิงอยู่กับเหตุผลและศิลปะเชิงโวหารแทนที่จะเป็นการเปิดเผย การอนุโลมความจริงให้เป็นความเท็จ การเลียนแบบพระกิตติคุณของพระคริสต์ด้วยปรัชญา ของมนุษย์ทำให้เกิดศาสนาขึ้นใหม่ ภายใต้คำว่าคริสตจักรของพระองค์ ศาสนาใหม่นี้มีถ้อยคำที่ไพเราะ และเป็นคำสอนที่เอาใจผู้คนเพื่อจะได้คนจำนวนมากเข้าร่วมกลุ่ม ขณะที่ศาสนาจักรใหม่เหล่านั้นเติบโตและแพร่หลาย รัฐบาลโรมันเปลี่ยนนโยบายโดยยอมให้มี การข่มเหงรังควานได้เนื่องจากศาสนาคริสต์รวมกันเป็นกลุ่มและแยกตัวออกไป และแตกต่างจากศาสนายิว : ซึ่งศาสนายิวได้รับสิทธิพิเศษภายใต้กฏเกณฑ์กฏหมายโรมัน ชาวคริสต์ถูกนับว่าเป็นปรปักษ์ต่อชุมชน เนื่องจากพวกเขาปฎิเสธที่จะรับตำแหน่งทางการเมือง รับราชการทางทหาร จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:01:03 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ...... พวกนี้ถูกเรียกว่าเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เพราะไม่มีสถานที่ให้เทพเจ้าของขาวโรมันหรือ จักรพรรดิที่ถือตนเป็นพระเจ้าในลัทธิที่เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียวของขาวคริสต์ ด้วยเหตุผลนี้หรือด้วยเหตุผลอื่นด้วย พวกเขาจึงหาทางก่อกวนและมุ่งทำลาย จนถึงการปกครองของ ดีโอคลีติอัน (ค.ศ.284-305) ดีโอคลีติอันตัดสินใจทำลายทุกอย่างที่ไม่ใช่โรมัน ศาสนาต่างๆ ถูกทำลาย รวมไปถึงผู้ที่เป็นชาวคริสต์ พระคัมภีร์ถูกเผา ถูกทำเป็นเครื่องสังเวยพระเจ้าของขาวโรมัน มิฉะนั้นก็ต้องถูกทรมาน ในกฤษฏีกา 306 มีคำสั่งให้ลงมือประหัตประหารตลอดทั่วจักรวรรดิ ....... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:04:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 .......... ต่อมาจักรรดิถูกบีบบังคับให้เลิกล้มการออกกฏหมายต่อต้านขาวคริสต์โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง สภาพที่อ่อนแอของจักรวรรดิจึงเรียกหาเอกภาพ มิใช่ความแตกแยก  ณ สะพานมิลเวียน ปี ค.ศ. 312 คอนสแตนตินใช้ไม้กางเขนเป็นเครื่องหมายประจำตัวขณะเข้าบดขยี้แมคเซนอิอัสปรปักษ์ ปีต่อมาที่ มิลาน คอนสแตนติน ได้ออกกฤษฎกาแห่งการประนีประนอมที่เลื่องลือถึงความใจกว้าง ซึ่งให้สิทธิผู้คนทั้งหมดที่จะนมัสการตามความพอใจ โดยถอนมาตราการซึ่งมุ่งกำจัดศาสนาคริสต์ ตัวของสแตนตินเองไม่ได้นับถือพระคริสต์จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่การยอมรับของเขาและการรับรอง ศาสนาคริสต์ทำให้ศาสนาจักรร่วมกันสนับสนุนเป้าหมายของจักรวรรดิความต้องการอย่างยิ่งยวด ในอันที่จะเสริมสร้างเอกภาพในโรมันเกิดจากการสนใจของคอนสแตนติน จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:08:44 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ........ ในข้อโต้แย้งทางหลักธรรมคำสอนหลักธรรมด้านศาสนาภายในศาสนาจักรยุคนั้น เพื่อยุติข้อโต้แย้ง เกี่ยวกับลักษณะแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ คอนสแตนตินจึงเป็นเครื่องมือในการเรียก ประชุมสภา นีเซีย ซึ่งเป็น สภาแรกของสภาสำคัญที่ชาวคริสต์ในยุคนั้นยอมรับ ในปี ค.ศ. 325  หลักความเชื่อที่รวบรวมจากคำปรึกษาของสภาที่ประชุมและจักรรวรรดิ อนุมัติแล้ว คือ ตัวอย่างที่ดีที่สื่อให้เห็นผลของการละทิ้งความเชื่อ เมื่อความขัดแย้งและคำพิพากษา เข้ามาแทนที่การเปิดเผย.... ........ จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:10:24 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ........ มีการจับมือกันอย่างแน่นแฟ้น่ขึ้นระหว่างการปกครองของศาสนาคริสต์ในยุคนั้นโดยให้ความมั่นใจ ว่าอำนาจทางอาณาจักรจะเจริญเติบโตไปพร้อมๆ กับคำสอนและการปฎิบัติของศาสนา ในเวลาต่อมาการบุกรุกของอนารยชนทางยุโรปตะวันตกเกิดขึ้นในศตวรรษที่ห้า  ชนเผ่าเยอรมันหลายเผ่า ได้รับการสอนจากผู้สอนศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงยอมรับวัฒนธรรมโรมัน และคริสต์นิกายแคทอลิกอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการปล้นกรุงโรมใน ค.ศ.410 ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจักรวรรดิ์ไม่อาจอยู่ คงกระพันได้ ผู้ที่บุกบางส่วนของยุโรปจำนวนมากมายข้ามเขตแดนราชอาณาจักรเข้ามาเปลี่ยนเอกภาพ ของตะวันตกให้ระสำระสายทิ้งหลายรัฐที่กำลังจะเพิ่มขึ้นมาเป็นชาตินิยม ผู้นำท้องถิ่นใช้อิทธิพลเหนืออำนาจ ศาสนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเขตพื้นที่พวกเขา ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:11:29 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ........ ต่อมาอีกสามศตวรรษศาสนาจักรทั้งหมด ในประเทศทางยุโรปที่กำลังพัฒนาก็ตกอยู่ในภาวะที่กษัตริย์ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมด หรือให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเจ้านายชั่วลูกชั่วหลาน เป็นเจ้าของ คฤหาสน์ วัฒนธรรม การศึกษา และจริยธรรมเสื่อมถอย นับเป็นการเริ่มต้นเวลาที่มักจะอ้างถึง ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นยุดมืด จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:13:29 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ........ ยุดฟื้นฟูความรู้และการปฎิรูป ราวศตวรรษที่สิบสี่ เริ่มมีความสนใจใหม่ๆ ในกรีซ และโรมสมัยโบราณ ส่งผลให้วรรณกรรมวิทยาศาสตร์ และศิลปศาสตร์เติบโตขึ้น ซึ่งเป็นผลให้เกิดระยะเวลาของ การเกิดใหม่ หรือ การฟื้นฟูความรู้ เมื่อมนุษย์ที่มีความมั่นใจในตนเองสำรวจแนวทางใหม่ๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมมาทำประโยชน์ ศิลปินหันเหจากเรื่องลี้ลับมหัศจรรย์ที่มืดมนโดยนำความชำนาษของเขาไปใช้กับศิลปะใหม่ๆ ในประติมากรรม ศิลปะและวรรณคดี เป็นยุคธรรมชาตินิยม เมื่อเครื่องมือวิทยาศาสตร์และ ศิลปศาสตร์ถูกนำมาใช้ยกย่องร่างกายมนุษย์ว่ามีความสวยงาม เสน่ห์เย้ายวน ร่างกายที่สวยงามควรเปิดเผยให้คนอื่นได้เห็นความงามนั้น ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:16:31 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ........ มนุษย์ดูหลุดพ้นพันธนาการของวิถีเก่าๆ ดินปืนก่อให้เกิดศึกสงคราม เข็มทิศเป็นแนวความหวังใหม่ เกี่ยวกับการเดินทาง การสำรวจ การพาณิชย์ซึ่งส่งออกไปไกลประเทศตะวันออก และการค้นพบซีกโลกตะวันตก ศตวรรษที่สิบห้า การใช้แท่นพิมพ์แบบเลื่อนไปเลื่อนมามีความประนีตมาก และแขนงการพิมพ์ทั้งหมดบรรลุถึงศักยภาพใหม่ และแน่นอนนี่เป็นผลโดยตรงทำให้มีมหาวิทยาลัยเกิดขึ้น! และเป็นการกระจายข่าวสารข้อมูลความรู้ใหม่ ยุคฟื้นฟู ความรู้เป็นเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณด้วย  ในการค้นหาอดีตอันงดงาม ผู้คนถูกแนะนำให้รู้จักงานเขียนของผู้นำศาสนาจักรในยุคต้นๆ การคัดลอกสำเนาพระคัมภีร์ในภาษาฮีบรู และกรีกนักศึกษายุคฟื้นฟูความรู้เริ่มให้งานเหล่านี้กับคนสามัญ การค้นพบความเรียบง่ายของศาสนาจักร ในสมัยต้นเมื่อเทียบกับพิธีการและความซับซ้อนของศาสนาสมัยกลาง ทำให้หลายคนค้นพบข้อความ เพิ่มเติมของเขาอีกครั้ง คนเหล่าวนั้นจัดตั้งหรือเข้าร่วมในระเบียบศาสนาใหม่  แฟรนซิสกัน โดมิกิน พอๆ กับดำเนินงานอื่นถูกเรียกว่านอกรีตด้วย เช่น อัลบิเจนเซียน อวร์เดนเซียน หรืออีกนัยหนึ่งยุคฟื้นฟูความรู้อำนวยทิศทาง ให้มีการปฎิรูปนิกายโปรเตสแตนท์ ซึ่งเป็นการฉีกเอกภาพของโลก ศาสนาคริสต์ขาดสะบั้นลงไม่มีชิ้นดี ........ จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:20:05 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ......... มีการปฎิรูปศาสนาขึ้นใหม่  นักปฎิรูปที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ มาร์ติน ลูเธอร์   (ผมจะไม่พูดมากไปกว่านี้เพราะจะกระทบต่อคริสต์อีกนิกายหนึ่ง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสน) ผมจะพูดสั้นๆ เพื่อให้ต่อเนื่องสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงเกี่ยวกับยุคมืด  วิทยานิพนธ์ของลูเธอร์เดิมเขียนขึ้นเพื่อส่งเสริม ให้มีการอภิปรายกันในหมู่นักศึกษา แต่ไม่ช้าไม่นานพวกเขาประชาชนเริ่มมองเห็นผู้ที่จะเป็นปากเสียง และวีรบุรุษของชุมชนในตัวเขา ลูเธอร์แก้ต่างให้ตนเองและนักศึกษาพ้นข้อกล่าวหาของพระชั้นราชาคณะ จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:23:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ........ และในที่สุดรัฐสภาที่วอร์มก็รู้เรื่อง  ในปี ค.ศ. 1521 เวลานั้นการเคลื่อนไหวที่ดำเนินอยู่ไม่เพียง เป็นเรื่องของศาสนาแต่ยังมีเรื่องการเมืองอีกด้วย และเอภาพของจักรวรรดิโรมันที่มีอภิสิทธิ์ก็ยังถูกคุกคาม เมื่อ ลูเธอร์ถูกสั่งให้หยุดการเคลื่อนไหว เขาประกาศอย่างอาจหาญ จนกว่าข้าพเจ้าจะถูกลบล้าง โดยประจักษ์พยานที่เป็นพระคัมภีร์ หรือโดยข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน เพราะข้าพเจ้าไม่เชื่อทั้งสันตะปะปา และสภาที่ปรึกษา เนื่องจากเป็นที่ปรากฎอย่างชัดแจ้งว่าพวกเขาทำผิดและขัดแย้งกันบ่อยๆ และข้าพเจ้าเชื่อข้อความพระคัมภีร์ดังที่ข้าพเจ้ายกมากล่าวแล้วและจิตสำนึกของข้าพเจ้าถูกผูดมัดด้วย คำของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่มีวันถอนคำพูดใดๆ  ได้เลย การต่อต้านของลูเธอร์ทำให้เขาถูกขับออกไป และมีความเป็นอยู่ภายใต้ข้อประกาศห้ามของ จักรวรรดิซึ่งทำให้เขาเป็นคนที่ไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฏหมาย ลูเธอร์ ได้รับการปกป้องจากเจ้าชายจากเยอรมันผู้เห็นพ้องกับแนวความคิดของเขา และเป็นผู้ต้องการ เสรีภาพทางการเมืองจากโรมมากขึ้น การคุ้มครองที่ได้รับนี้ทำให้ลูเธอร์แปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาเยอรมัน การแปลนี้มีความสำคัญยิ่งในทั่วยุโรป  เพราะเป็นการแปลภาษาธรรมดาที่ไม่ยึดถือภาษาลาตินของเจโรเม การคิดค้นรูบแบบใหม่ๆ ของการนมัสการ และคำสอนของลูเธอร์เห็นชอบค่อยๆ ถูกนำเข้ามาในหลายๆ รัฐของเยอรมัน บรรดาสาวกของลูเธอร์จึงจัดตั้งศาสนาลูเธอแลนขึ้น ลูเธอแลนกลายเป็นศาสนาของหลายรัฐ ทางตอนเหนือและตอนกลางของเยอรมัน (ถ้าอยากรู้เรื่องมาร์ติน ลูเธอร์ แบบละเอียดไปถามคริสต์นิกายลูเธอแลน ในห้องนี้ก็มีครับ  ) ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:26:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ........ แม้ว่าลูเธอร์จะเป็นนักปฎิรูปที่มีชื่อเสียงที่สุด เขาก็มิได้เป็นคนแรก ก่อนหน้านี้ ในปี ค.ศ. 1300 จอห์น ไวคลิฟ ในประเทศอังกฤษ อีกคนที่เป็นนักปฎิรูปสองคนในสวิตเซอร์แลนด์ คือ อูลริค ซวิงกลี กับ จอห์น คาลวิน ซวิงกลี จอห์น คาลวิน เขาพยายามสร้างเมืองศักดิ์สิทธิ์ตามแบบอย่างไบเบิลขึ้นที่เจนีวา ผู้แสวงบุญ และผู้เคร่งศาสนาซึ่งเป็นกลุ่มสองกลุ่มที่เคร่งครัดได้มาถึงกลุ่มโลกใหม่ เป็นกลุ่มที่มี อิทธิพลชักจูงความนึกคิดคนอเมริกันเป็นอย่างมาก ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:28:34 ]

ความคิดเห็นที่ 17 .......... ......... การค้นพบและการอพยพไปอยู่อเมริกา การเตรียมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณ คือการค้นพบและการอพยพไปสู่อเมริกา ที่ซึ่งได้รับการรักษาไว้เป็นแผ่นดินประเสริฐที่ถูกนำออกไปสู่คนมากมายที่อพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่นั่น จากหลายเชื้อชาติเมื่อถูกค้นพบแผ่นดินนี้  ซึ่งในเรื่องนี้ ได้มีคำพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์นี้ จะเกิดขึ้นในหนังสือ อีเธอร์ ดูเถิดนี้เป็นแผ่นดินโลกในยุคสุท้าย โมโรไนศาสดาอเมริกันสมัยโบราณ เขียนไว้ว่า ดูเถิดนี้เป็นแผ่นดินประเสริฐและชาติใดก็ตามที่จะเป็นเจ้าของมัน จะเป็นอิสระ จากการเป็นทาส และจากการเป็นเชลย และจากประเทศอื่นทั้งหมดภายใต้สวรรค์ หากเขาเพียงจะรับใช้ พระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน ผู้คือ พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเป็นที่ปรากฏแล้วโดยเรื่องซึ่งเราเขียนไว้ (อีเธอร์ 2:12) จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ........ นีไฟ ศาสดาในสมัยโบราณคนหนึ่ง ท่านได้เห็นภาพ การค้นพบทวีปอเมริกาของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นเวลากว่าสองพันปีมาแล้ว ก่อนที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเกิด   และข้าพเจ้ามองดูและเห็นชายผู้หนึ่งในบรรดาคนต่างชาติซึ่งถูกแยกออกไปจากลูกหลานของพี่น้องของ ข้าพเจ้าด้วยผืนน้ำกว้างใหญ่และข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาญของพระผู้เป็นเจ้าว่าเสด็จลงมากระทำต่อชายผู้นั้น และเขาออกไปในผืนน้ำกว้างใหญ่จนมาถึงลูกหลานของพี่น้อง ข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในแผ่นดินที่สัญญาไว้ (1 นีไฟ13:12) ตัวโคลัมบัสเอง ได้ยืนยันว่า เขาได้รับการดลใจในการเสี่ยงภัยเป็นนักเดินเรือ และจัดตั้งศาสนาในหมู่ชน ชายอินเดียแดง นีไฟ  พยากรณ์ต่อว่า และเหตุการณ์ได้บับเกิดขึ้น คือ ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าว่าทรง กระทำต่อคนต่างชาติอื่น และคนเหล่านั้นออกเดินทางพ้นจากการเป็นเชลยไปบนผืนน้ำกว้างใหญ่นั้น (1 นีไฟ 13:13) คนมากมายผู้อพยพไปแผ่นดินที่สัญญา ไว้ถูกนำไปที่นั่นโดยพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า (1 นีไฟ 1:6) จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:37:48 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ......... นีไฟเห็นเหตุการณ์อื่นๆ อีกมากมายล่วงหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นในอเมริกา ท่านเห็นคนต่างชาติทำให้ชาวเลมัน (อินเดียแดงในอเมริกาเหนือและใต้) กระจัดกระจายไปอยู่ทั่วแผ่นดิน และเห็นคนต่างชาติถ่อมตัว และเรียกหาพระเจ้า และพระเจ้าอยู่กับคนเหล่านั้น นีไฟเห็นผู้อพยพในอเมริกาจะสู้รบกับ คนต่างชาติ (การปฎิวัติของคนอเมริกันและสงครามในปี ค.ศ.1812) และถูกปลดปล่อยโดยพระหัตถ์ของพระองค์ (1 นีไฟ 13:14-19) ประธานโจเซฟ ฟิลดิง สมิธ กล่าวว่า การค้นพบ ทวีปอเมริกา เป็นปัจจัยสำคัญต่อ การทำให้เกิด เป้าหมาย ของพระผู้เป็นเจ้าในการฟื้นฟูพระกิตติคุณ ในความสมบูรณ์เพื่อความรอดของมนุษย์ในยุคสุดท้าย .......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:39:11 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ......... เรื่องราวต่อไปคือ อิสรภาพทางศาสนาในอเมริกา ทุกวันนี้นักประวัติศาสตร์หลายคนยืนยันว่า ผู้อพพยพแรกๆ ส่วนใหญ่มาอเมริกา เพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ การได้รับการข่มเหงของการปกครองจากถิ่นฐานเดิมและต้องการอิสภาพ  มีผู้อพยพมากมายที่แสวงหาเสรีภาพทางศาสนาด้วย และในบรรดาคนคร่งศาสนาเหล่านี้ ได้จัดั้งประชาคมที่มพลังในนิวอิงแลนด์ พวกเขาเชื่อว่า ตนเองมีศรัทธาที่แท้จริง และนั่นเป็นเหตุผลที่ไม่ยอมรับศาสนาอื่นใดอีก ดังนั้นจึงต้องเอาชนะการยอมรับนี้ให้ได้เสียก่อน จึงจะมีการฟื้นฟูศาสนาจักรของพระคริสต์ขึ้นได้  อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อลวงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลยเพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึงจนกว่าจะมีการทรยศเสียก่อน และคนนอกกฎหมายนั้นจะประจักษ์แจ้งคือลูกแห่งความพินาศ.. (2 เธสะโลนิกา 2:3) ่ข้อความนี้ได้สัมฤทธิ์ผลและได้เกิดขึ้นแล้ว ........ จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 12:53:07 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สวัสดีครับ คุณ Oasis ขอบคุณสำหรับบทความครับ ไม่ทราบว่าจบหรือยัง รออ่านต่ออีกครับ (ถ้ามี) ขอพระบิดาอำนวยพรทุกคน จากคุณ : เสมอภาค - [ 22 ก.ย. 50 14:39:14 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เป็นประวัติศาสตร์ ที่น่าสนใจครับ จากคุณ : muk_22 - [ 22 ก.ย. 50 14:44:36 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ......... อิสรภาพทางศาสนาในอเมริกา ในบรรดาผู้ที่เคร่งศาสนาที่ได้อพยพย้ายถิ่นฐามมาตั้งรกรากที่อเมริกานั้น มีคนหนึ่งชื่อ โรเจอร์ วิลเลียมส์ เขาได้พยายามที่จะจัดตั้งและรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมทางศาสนาขึ้นในหมู่เคร่งศาสนา เขาได้โต้แย้งว่า ควรจะแยกแยะให้ชัดเจนระหว่างศาสนากับการปกครอง ไม่มีศาสนาใด ศาสนาหนึ่งจะบังคับประชาชนได้ เขายังสอนว่าทุกศาสนาตกไปแล้วจากการสืบทอดตำแหน่งอัครสาวก ที่แท้จริง  วิลเลียมส์ถูกเนรเทศจากรัฐแมสซาซูเสทใน ค.ศ. 1635 และภายในเวลา สองสามปีเขาพร้อมด้วยคนอื่นๆ ที่มีความเห็นเดียวกันก็ทำสำเร็จ ในการรับอนุญาต ตามกฏหมายให้ตั้งชุมชนผู้อพยพในโรดไอแลนด์  ซึ่งให้เสรีภาพการนับถือศาสนาแก่ทุกศาสนา ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:19:46 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ......... อิสรภาพทางศาสนาในอเมริกา สตรีผู้กล้าหาญ แอน ฮัทชินสัน  ผู้อพยพไปจนถึงรัฐแมมซาชูเสท ในปี ค.ศ. 1634 ไม่เห็นด้วยกับ ผู้นำท้องถิ่นในประเด็นศาสนาสองประเด็น คือ หน้าที่เกี่ยวกับงานดีเพื่อความรอด และไม่ว่าคนๆ นั้นจะได้รับการดลใจจากพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์หรือไม่? เธอได้ถูกเนรเทศจากรัฐแมสซาชูเสท เช่นเดียวกันเธอไปหาที่พึ่งในโรดไอแลนด์ ใน ปี ค.ศ. 1638 โรเจอร์ วิลเลียมส์  แอน ฮันชินสันและคนอื่นๆ จะใช้ความพยายามเพียงใด เสรีภาพในนิวอิงแลนด์ ก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเป็นเวลาอีกศตวรรษหนึ่ง ............ จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:22:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ......... ขณะนั้นกลุ่มต่างๆ พยายามพลักดันศาสนา ต่างก็พากันตั้งถิ่นฐานตลอดทั่วชุมชนอเมริกันที่อพยพยังคงเหลืออยู่ แต่ละชุมชน ช่วยเหลือสภาพทางฐานทางศาสนาของอเมริกันตามวิธีของเขา ที่รัฐแมรี่แลนด์ผ่านกฏหมายแรกให้เสรีภาพทางศาสนา และศาสนาจากการปกครองของรัฐ ชุมชนต่างๆ ของ ผู้อพยพที่ย้ายมาจากต่างถิ่นฐานกันจากทั่วสารทิศ และพวกเขามีความเชื่อที่ผิดแปลกจากกันมาก จึงเป็นไปไม่ได้ ที่นิกายใดหรือพวกใดจะมีอำนาจสูงสุด การมีศาสนาที่แตกต่างกันมากมายนี้เป็นเหตุผลสำคัญสำหรับ เสรีภาพทางศาสนา กลับกลายเอกลักษณ์ของสหรัฐอเมริกา ........... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:24:21 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ......... แม้จะมีศาสนาและความเชื่อที่แตกต่างกันมากในสหรัฐอเมริกา  ชุมชนผู้อพยพ ก็มิได้อ้างว่าเป็นสมาชิก ของนิกายใดโดยเฉพาะ การเคลื่อนที่สำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกัน คือการตื่นตัวทางศาสนา ซึ่งเริ่มราวๆ ค.ศ. 1739  และดำเนินต่อไปเกือบสองทศวรรษ การคืนกลับมาและเผยแผ่ออกไป ครั้งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกันตอนต้น ๆ เป็นความพยายามอย่างแรงกล้าที่จะนำความชอบธรรม และความกระตือรือร้นทางศาสนากลับคืนมาตื่นตัวทางศาสนา แพร่ไปอย่างรวดเร็ว ตอลดทั่วอาณาเขตของชุมชนผู้อพยพสิบสามชุมชน นักเทศน์ลัทธิฟื้นฟูและนักเทศน์ที่จารึกแสวงบุญ ได้จัดให้มีกาประชุมในบริเวณไว้อย่างเป็นกันเอง เช่น ตามบ้าน ในโรงนา และทุ่งหญ้า จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:28:47 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ........ การตื่นตัวทางศาสนา ได้จุดประกายข้อผูกพันทางศาสนาซึ่งในอเมริกามิได้สัมผัสมาเป็นปีๆ และได้รับการ ส่งเสริมทั้งจากฆราวาส และผู้รับใช้งานของศาสนา ที่จัดตั้งเป็นองค์การแล้วให้มีการเข้าร่วมมากขึ้น สิ่งนี้ได้ปลุกความปรารถนาภายในของชนชาวอเมริกันอพยพให้กลมเกลียวกันตามแบบแผนที่ เป็นประชาธิปไตย แม้ว่าจะมีการตื่นตัวเช่นนี้ อิสรภาพทางศาสนาที่สมบูรณ์ในอเมริกา ก็ไม่เคยบรรลุผล จนกระทั่ง การปฎิวัติของอเมริกันช่วยเสริมสภาพการณ์เพื่ออิสรภาพทางศาสนา เมื่อผู้อพยพต่อสู้กันกับชาวอังกฤษ พวกเขารู้ว่าความแตกต่างกันทางศาสนาที่จริงแล้วไม่สำคัญเลยกับอุดมการณ์ของเขา และรู้ว่าเขานาจะตกลงกันได้ ในความคิดหลักใหญ่ๆ อันเป็นความเชื่อทางศาสนา ใช่แต่เท่านั้น โธมัส เจฟเฟอร์สัน ยังเป็นปรปักษ์ที่น่ากลัว และสร้างความกดดันแก่รัฐบาลอย่างมากโดยศาสนาได้รับการจัดตั้งขึ้น ........... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ........ คำประกาศเอกราชซึ่งเขาได้แถลงระบุว่า มนุษย์สามารถพบสถาบันทางการเมืองที่ถูกต้องเพื่อตนเองได้ พร้อมด้วยความรู้สึกใหม่ๆ ของอิสรภาพที่ตามาหลังสงครามปฎิวัติ หลายรัฐแสวงหาการคุ้มครอง สิทธิมนุษย์ชนขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเสรีภาพทางศาสนา รัฐเวอร์จิเนียเป็นรัฐแรก ใน ค.ศ. 1785 เมื่อลงมติรับร่างกฏหมายของเจฟเฟอร์สัน เพื่อการสถาปนา อิสรภาพทางศาสนา ซึ่งเป็นเครื่องประกันว่า ไม่มีผู้ใดจะบังคับให้รับใช้หรือสนับสนุนศาสนาใด หรือถูกกีดกันเพราะความสมัครใจเลือกศาสนาของเขา สองสามปีต่อมาเป็นเพราะสมาพันธ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จของรัฐต่างๆ สหรัฐ จึงเขียนรัฐธรรมนูญ ใหม่ในปี ค.ศ. 1787 ซึ่งได้สัตยาบันในปี ค.ศ. 1789 เอกสารฉบับนี้ก่อเป็นรูปเป็นร่าง จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:33:22 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ........ ในเวลาเดียวกันกับการปฎิวัติอเมริกา และตั้งรัฐธรรมนูญก็เป็น การตื่นตัวทางศาสนาครั้งที่สอง สิ่งนี้ได้นำเอาทิศทางใหม่มาสู่ความนึกคิดของชาวคริสต์ ชุมชนศาสนาใหม่ๆ หลายกลุ่ม แข็งแรงขึ้น และยึดถือความเชื่อต่างๆ กัน : ยูแทเรียนศ์ ยูนิเวอร์ซัลลิสต์ เมโธดิสด์ แบพติสท์ ความเชื่อต่างๆ ถูกแนะนำเข้ามาในประชาชาติใหม่ พร้อมทั้งความคิดที่ว่ามีความจำเป็นต้องฟื้นฟู พันธสัญญาใหม่ของศาสนาคริสต์  คนที่แสวงหาการฟื้นฟูนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้แสวงหา หลายคนในพวกนี้พร้อมแล้วสำหรับการฟื้นของสวรรค์ และกลับเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสพวกแรก ๆ เกือบเป็นเวลาเดียวกันที่นักเทศน์และนักจารึกแสวงบุญมีการประชุมโดยการเต้นท์ และออกไปประกาศ คำสอนกับบรรดาผู้ที่อพยพมาใหม่ที่บริเวณชายแดนสหรัฐที่ผุดขึ้นมาอย่างดอกเห็ด .......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:35:41 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ......... ผู้อพยพที่อ้างว้างเดียวดาย ที่มาจากไร่นา และจากหมู่บ้านพากันมารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อพบปะกัน และเป็นการฟังคำทางศาสนาของบรรดานักเทศน์ การตื่นตัวของทางศาสนาครั้งที่สองนี้ มีอิทธิพล ก่อตั้งสมาคมเพื่อสนับสนุนงานสอนศาสนา การศึกษา การปฎิรูปทางศิลธรรม กระตุ้นความรู้สึกตัวทางศาสนาที่เคร่งศาสนาอย่างสุดแรง ทั้งยังให้ความช่วยเหลือต่างๆ ที่นิยมกัน โดยเฉพาะ เมโธดิสต์ และ แบพติสท์ ให้เติบโตและ เกิดการตื่นตัวไปอย่างน้อยถึงสี่สิบปี รวมมาถึงช่วงเวลาของโจเซฟ สมิธที่เห็นภาพมาปรากฏด้วย ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 50 15:51:38 จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:42:12 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ........... การฟื้นฟูพระกิตติคุณและศาสนาจักรที่แท้จริงของพระเจ้า จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้มียินยอม มันเป็นการเตรียมทางจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีให้้ผู้คนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ เสรีภาพทางศาสนาในยุโรป และอเมริกาสมัยต้น แต่มันเป็นไปได้ในองค์ประกอบของเสรีภาพทางศาสนา การประเมินคุณค่าความคิดของผู้นับถือศาสนาคริสต์เสียใหม่ และปลุกจิตใจให้พัฒนาแล้วในอเมริกา ต้นศรวรรษที่สิบเก้า  พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงนำอย่างเห็นได้ชัดเพื่อให้การฟื้นฟูที่เกิดขึ้นมานั้น ถูกต้องและตรงกับควมจริง นักบันทึกประวัติศาสตร์ของศาสนาจักร ชาวอเมริกัน กอร์ดอน เอส วูด ยอมรับว่า มีกำหนดเวลาเฉพาะ เพื่อการฟื้นฟูเกิดขึ้น กำหนดเวลาใน ปี ค.ศ. 1830 เป็นช่วงเวลาที่ดีเลิศ ช่างเป็นเวลาที่เหมาะสมในประวัติศาสตร์อเมริกัน ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบดีที่สุดนับตั้งแต่การเริ่มต้น เพื่อให้แผ่นดินนี้เป็นพื้นดินอุมดมสมบูรณ์เหมาะกับเมล็ดพันธุ์ที่จะปลูก การฟื้นฟูพระกิตติคุณโดยผู้พยากรณ์ ที่ได้รับการเลือกสรร โจเซฟ สมิธ ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกในเวลาต่อมา ........ แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 50 15:57:31 แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 50 15:47:00 จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:45:35 ]

ความคิดเห็นที่ 33 .......... ซึ่งหลังจากนั้น 1820  เข้าสู่ช่วงเวลาที่โจเซฟ สมิธ อาศัยอยู่ และถ้ามีเวลาว่างมากขึ้นก็จะนำเรื่องราวประวัติของโจเซฟ สมิธ มาเแบ่งปันให้ฟัง ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:50:27 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ........ อ้างอิง 1. History of the Church 4:609 2. Joseph Fielding Smith The Progress of Man (Salt Lake City Deseret News Press, 1952) p.166 3. Milton V. Backman Jr, American Religions and the Rise of Mormonism (Salt Lake City : Deseret book Co., 1965) P.6 4. Henry Eyster Jacobs, Martin Luther: The Hero of the Reformation, 1483-1546 (New York and London: G. P Putnam's Sons, Knickerbocker Press, 1973) , p.192. 5. Joseph Fielding Smith, Doctrines of Salvation, comp. Bruce R. MaConkie, 3 vols. (Salt Lake City : Bookcraft, 1954-56),1:174-175 6. See Samuel Eliot Morison, Admial of the Ocan Sea: A Lift of Christopher Columbus (Boston,Little, Brown, and Co., 1942) pp.44-45,279,328. 7. Smith, Progress of Man.p.258 8. See Edwin Scott Gaustad, A Religious History of America (New York: Harper and Row,1966) pp.47-55 Sydney E.Ahlstrom "The Holy Commonwealths of New England" A Religious History of the American People (New Haven,ConnLYale University Press, 1972) pp.135-50 9. See Alan Heimert, The Great Awakening as Watershed,cited in John M. Mulder and John F. Wilson, eds., Religius in American History : Interpretive Essays (Englewood Cliffs, N.J: Prentice-Hall,1978) pp.127-44 10.See Sidney E. Mead, "American Protestantism during the Revolutionary Epoch" in Mulder and Wilson, eds., Religiion in Amercian History pp.162-76 11. Joseph Smit, Teachings of the Prophet Joseph Smiht, sel. Josehp Fielding Smith (Salt Lake City : Deseret Book Co., 1976) p.147 12. Mark E. Petersen, The Great Prologue (Salt Lake City: Deseret Book Co., 1975 p.75 13. See Backman American Religiouns and the Rise of Mormonism, pp 186-248 14. See Martin E. Marty, Pilgrims in Their Own Land:500 years of Riligion in America (Boston : Little, Brown, and Co., 1984) P.168 15. See Ahlstrom, A Religious History of the American People , pp. 145-28 16. Gordon S.Wood, Evangelical America and Early Mormonism, New York History, Oct, 1980 p.381 ....... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 15:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขออนุญาตถามเป็นความรู้นะครับ พูดแบบเป็นกลางๆ นะ ระหว่าง  คุณโจเซฟ สมิธ (มอรมอน)            คุณซัน เมียง มูน (มูนนี่)            คุณชิงไห่  (กำลังมาแรง แซงทางโค้ง) ตกลงใคร คนไหน เป็นศาสดา หรือมาจากพระเจ้าจริงๆ กันแน่ละครับ ถ้าผมจะเชื่อ  จะเชื่อใครละทีนี้  เพราะแต่ละคนก็มีเหตุผลในการอธิบายเป็นของตนเอง  และมักจะเห็นยกคัมภีร์ของคริสต์มาประกอบด้วยอ่ะครับ จะเชื่อใครดี ระหว่าง  3  คนนี้    ???? จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 15:57:24 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ......... ถ้าท่านมีความยุ่งยากใจ ในการเข้าใจพระกิตติคุณ ไม่ว่าจะศาสนาไหน หรือนิกายใดๆ ที่มีอยู่ ท่านอาจจะสับสนได้ว่าทำไม ต้องมีหลายศาสนา หรือหลายนิกายเยอะแยะไปหมด แต่ละที่ก็อ้างว่าความจริงอยู่ที่นี่ ที่นั่น ผมอยากให้ท่าน อ่านงานมาตรฐานของศาสนาจักรที่มีอยู่ หรือพบกับผู้สอนศาสนา สอบถามจากผู้สอนศาสนา  ไตร่ตรองในหัวใจของท่าน ด้วยความจริงใจ และที่จะคุกเข่าลงและทูลถามพระเจ้าด้วยความจริงใจและอย่างแท้จริง เพื่อความเข้าใจและการนำทาง เราอยากให้ท่่านอ่านและศึกษา และมิเพียงแต่อ่านถ้อยคำเท่านั้น แต่ต้องไตร่ตรอง และสวดอ้อนวอนถึงเนื้อความที่อ่านมัน เพื่อว่าความปรารถนาอันชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตของท่าน ซึ่งเกิดจาการศึกษา ถามตอบจากผู้สอนศาสนา เกิดจากการอ่านและศึกษาคำที่บริสุทธิ์และบริบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า - * - ผู้ที่มีแสงสว่าง เขาจะชูมันขึ้นท่ามกลางความมืด ท่านดูไม่อยากหรอกแสงสว่างกับความืด ไม่มีความมืดอันชั่วร้ายใดๆ จะซ่อนความสว่างได้ครับ พระเยซูตรัสว่า เขาจะรู้จักเราโดยผลของเจ้า ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 16:20:27 ]

ความคิดเห็นที่ 37 พูดแบบเป็นกลางๆ นะ ครับ ถ้าอย่างนั้น  สมมุติ  มอรมอน ถูก  ก็เท่ากับว่า  มูนนี่ กับชิงไห่ไม่ถูกต้องสิครับ หรือว่า ถูกต้องทั้งหมด ทั้ง 3  คนเลย   หรือว่า  มูนนี่ ถูก  แต่ มอรมอน กับชิงไห่ ไม่ถูกต้อง จะวัดกันอย่างไรครับ  เท่าที่รู้มี พยานพระเยโฮวาห์อีกอัน   มอรมอนกับพยานฯ   อันไหนของแท้ ของเก๊  กันแน่ครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 16:46:37 ]

ความคิดเห็นที่ 38 แต่ ทั้ง  มอรมอน          มูนนี่          พยานพระยะโฮวาห์          ชิงไห่ พูดกันไปคนละทิศ คนละทางเลยละครับ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 16:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ภาพประกอบจาก  มอรมอน (คุณโจเซฟ สมิธ) . . . แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 50 17:18:35 จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 17:16:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ภาพประกอบจาก  มูนนี่ (คุณซัน เมียง มูน) . . . จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 17:17:36 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ทั้ง 2  ภาพ  ของใครจริงละครับ ทีนี้ ????? จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 17:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ควรจะเชื่อหนังสือเล่นนี้ หรือไม่   มอรมอน . . . จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 17:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ควรจะเชื่อหนังสือเล่นนี้ หรือไม่   มูนนี่ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 17:31:52 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ควรจะเชื่อหนังสือเล่นนี้ หรือไม่   พยานพระยะโฮวาห์ จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 17:32:48 ]

ความคิดเห็นที่ 45 พูดแบบเป็นกลางๆ นะครับ จะเชื่อเล่มไหนดีละครับ   เล่มไหนของจริง  เล่มไหนของเท็จ ???????? จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 17:40:56 ]

ความคิดเห็นที่ 46 อุ๊ แม่ เจ้าโว้ย..........วุ่นวายไปหมด....... จากคุณ : คุยผ่าซาก - [ 22 ก.ย. 50 17:44:38 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ........ ยังคงยืนยันคำตอบเดิมครับ และสิ่งที่ผมชอบพูดเสมอๆ ว่าถ้าคุณอยากรู้เรื่องอะไรคุณต้องไปถามเขา ถ้าคุณอยากรู้เรื่่องศาสนาพุทธ คุณควรไปถามศาสนาอิสลามเพื่อรู้ว่าศาสนาพุทธเป็นอย่างไรไหม? เช่นเดียวกันถ้าคุณอยากรู้จักอิสลาม คุณไปถามศาสนาพุทธว่าอิสลามสอนอย่างไรไหม? ถ้าคุณอยากรู้ศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ คุณควรไปถามบรรดาศาสนาต่างๆ เรานั้นเช่น คุณบอกว่า คุณอยากรู้จักมูนนี่ เป็นอย่างไรคุณก็ควรไปถามมูนนี่ ! ถ้าคุณอยากรู้จัก พยานพระยะโฮวาห์ คุณก็ควรไปถามพยานพระยะโฮวาห์ ถ้าคุณอยากรู้จักคริสต์ นิกายต่างๆ ที่มีอยู่คุณก็ควรทำเช่นเดีึยวกันไม่ใช่พยายายามจะเบี่ยงเิบน ให้คนอื่นไขว้เขวหรือสับสน อันเป็นวิธีการเดิมๆ ที่เคยทำมา เช่นเดียวกัน ถ้าคุณอยากรู้จักมอรมอน ผมก็ได้ตอบไปแล้วครับและยังคงยืนยันคำเดิมอย่างเรียบๆ ง่ายๆ ใน คห. 36 // ถ้าท่านมีความยุ่งยากใจ ในการเข้าใจพระกิตติคุณ ไม่ว่าจะศาสนาไหน หรือนิกายใดๆ ที่มีอยู่ ท่านอาจจะสับสนได้ว่าทำไม ต้องมีหลายศาสนา หรือหลายนิกายเยอะแยะไปหมด แต่ละที่ก็อ้างว่าความจริงอยู่ที่นี่ ที่นั่น ผมอยากให้ท่าน อ่านงานมาตรฐานของศาสนาจักรที่มีอยู่ หรือพบกับผู้สอนศาสนา สอบถามจากผู้สอนศาสนา  ไตร่ตรองในหัวใจของท่าน ด้วยความจริงใจ และที่จะคุกเข่าลงและทูลถามพระเจ้าด้วยความจริงใจและอย่างแท้จริง เพื่อความเข้าใจและการนำทาง เราอยากให้ท่่านอ่านและศึกษา และมิเพียงแต่อ่านถ้อยคำเท่านั้น แต่ต้องไตร่ตรอง และสวดอ้อนวอนถึงเนื้อความที่อ่านมัน เพื่อว่าความปรารถนาอันชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตของท่าน ซึ่งเกิดจาการศึกษา ถามตอบจากผู้สอนศาสนา เกิดจากการอ่านและศึกษาคำที่บริสุทธิ์และบริบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า - * - ผู้ที่มีแสงสว่าง เขาจะชูมันขึ้นท่ามกลางความมืด ท่านดูไม่อยากหรอกแสงสว่างกับความืด ไม่มีความมืดอันชั่วร้ายใดๆ จะซ่อนความสว่างได้ครับ พระเยซูตรัสว่า เขาจะรู้จักเราโดยผลของเจ้า ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 22 ก.ย. 50 18:07:26 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ถ้าเข้าไปถามทุกอัน ก็คงตอบเป็นเสียงเดียวกันอ่ะครับ  ว่าของตนถูกต้อง !!! จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 18:27:07 ]

ความคิดเห็นที่ 49 สวัสดีค่ะ คุณOasis (Thai_DeSeRT)          ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อมูลที่นำมาให้อ่าน ดิฉันขอเรียนถามว่า ผู้ที่นับถือนิกายมอรมอนนั้น ดิฉันเคยได้ยินมาว่า รับถ่ายเลือดไม่ได้ ใช่หรือไม่คะ  ถ้าใช่มีความเป็นมาในการกำหนดกฎเกณฑ์นี้อย่างไรคะ จากคุณ : สายน้ำยามเย็น - [ 22 ก.ย. 50 18:31:49 ]

ความคิดเห็นที่ 50 5555++  คุณสายฟ้าผ่า  นี่  ฟ้าผ่า สมชื่อจริงเลยอะ จากคุณ : คุยผ่าซาก - [ 22 ก.ย. 50 18:53:52 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ^ ^ เปรี้ยงงงงงงงงง......... จากคุณ : สายฟ้าผ่า - [ 22 ก.ย. 50 18:59:04 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ผมว่าจากที่เคยๆๆ อ่านนะ  ผมว่าของ   มอรมอน ยังดีกว่าของ มูนนี่ กะ ชิงไห่ นะครับ แบบว่าสองคนหลังนี่ เขาดึงศาสนาอื่นเข้าไป ด้วย มันเลยดูเหมือนยำรวมมิตร นะครับ จากคุณ : muk_22 - [ 22 ก.ย. 50 19:02:31 ]

ความคิดเห็นที่ 53 สวัสดีครับ คุณ สายน้ำยามเย็น ผมเป็นสมาชิกของศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย (มอรมอน) ครับ ผมขอตอบความเห็นที่ 49 ว่าไม่จริงครับ ผมเองบริจาคโลหิตเป็นประจำครับ ต่อมาผมทราบว่าถ้าบริจาคโลหิต ผมทำได้ทุก 3 เดือน ผมก็เลยเปลี่ยนมาเป็นการบริจาคพลาสมาแทนเพราะบริจาคที่ถี่ขึ้นคือทุกเดือน ผมว่าคุณควรอ่านความเห็นที่ 47 ก่อนนะครับแล้วก็ปฏิบัติดู กล่าวคือ คุณอย่าไปฟังใครมาก ถ้าอยากรู้จักมอรมอนก็ถามมอรมอน ไม่ใช่ว่า "ได้ยินเขาพูดมาว่า..." อันนี้คิดว่าไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องในการศึกษาพระกิตติคุณของพระเจ้า ไม่ว่าจะสังกัดโบสถ์ใด นิกายใด หรือศาสนาใด ครับ ขอพระเจ้าอำนวยพร จากคุณ : เสมอภาค - [ 22 ก.ย. 50 19:39:15 ]

ความคิดเห็นที่ 54 สวัสดีครับ คุณสายฟ้าผ่า ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย เราสอนเรื่องราวของพระคริสต์ เราพูดถึงพระคริสต์ เราพยากรณ์ถึงพระคริสต์ และเราปฏิบัติตนตามพระคริสต์ เพราพระคริสต์คือทางแห่งความรอด ตามหลักแห่งความเชื่อของเราที่ว่า 3 เราเชื่อว่า โดยทางการชดใช้ของพระคริสต์ มนุษยชาติทั้งมวลจะรอดโดยการปฏิบัติตามกฎและพิธีการแห่งพระกิตติคุณ โดยส่วนตัวผม ผมไม่รู้จักมูนนี่ ผมไม่รู้จักพยานพระยะโฮวาห์ และผมไม่รู้จักชิงไห่ เพราะผมไม่ได้ศึกษาคำสอนของเขาเหล่านั้น ผมศึกษาแต่คำสอนของพระคริสต์และผมเชื่อว่าคำสอนของพระองค์เป็นความจริง ขอพระเจ้าอำนวยพร จากคุณ : เสมอภาค - [ 22 ก.ย. 50 19:48:20 ]

ความคิดเห็นที่ 55 สวัสดีค่ะ คุณเสมอภาค          ต้องขออภัยที่คำถามของดิฉันไม่ชัดเจน  ขอเรียนถามใหม่ว่า ผู้ที่นับถือนิกายมอรมอนเมื่อเสียเลือดหรืออยู่ในภาวะที่ต้องได้รับพาสม่า สามารถรับเลือดหรือพาสม่านั้นได้หรือไม่คะ จากคุณ : สายน้ำยามเย็น - [ 22 ก.ย. 50 20:06:09 ]

ความคิดเห็นที่ 56 เรื่องการถ่ายเลือดเป็นเรื่องของพยานพระยะโฮวาห์ครับ ไม่ว่าจะเป็นเลือด เป็นพลาสม่า หรือเป็นอะไร ไม่มีการห้ามใดๆทางมอรมอนครับ จากคุณ : Urim - [ 22 ก.ย. 50 21:45:17 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เข้ามาอ่านเฉยๆ ครับ จากคุณ : เหนือสายรุ้ง - [ 22 ก.ย. 50 23:00:12 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณที่เอาสิ่งดีๆ มาให้อ่าน แม้จะไม่มีผลอะไรกับเรานัก นอกจากความรู้ที่เพิ่มขึ้น เพราะเรามีสิ่งที่เราเลือกแล้ว และเราก็มีความสุขในสิ่งที่เราเลือก แต่เราก็มีความสุขเช่นกันในการที่ได้เห็นใครก็ตาม มีความสุขในสิ่งที่เค้าเลือก แต่อะไรมูนๆ นี่ไม่เอาเด็ดขาดเลย เค้าถูกแฉมาแล้วในหนังสือ เจ้าลัทธิ เล่มเล็กๆ ตอนนี้คงไม่มีขายทั่วไปแล้ว ต้องไปหาตามร้านหนังสือที่เขาเน้นขายหนังสือรุ่นเก่า จากคุณ : หนอนดาวเรือง (หนอนดาวเรือง) - [ 22 ก.ย. 50 23:58:09 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อ่าน 2 ย่อหน้าแรกของคุณหนอนดาวเรืองแล้ว ดีใจที่ได้ยินคำพูดดีๆเช่นนี้นะครับ หากทุกคนมุ่งปฏิบัติในสิ่งที่ตนเชื่อ แทนที่จะมาเสียเวลารบรากับคนอื่นที่เชื่อแตกต่างจากตน โลกนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นเยอะทีเดียว น่าเสียดาย.. น่าเสียดาย.. :) จากคุณ : Urim - [ 23 ก.ย. 50 00:23:26 ]

ความคิดเห็นที่ 60 สำหรับคุณสายฟ้าผ่า ไม่มีใครให้คำตอบกับคำถามของคุณได้หรอกครับ เพราะไม่มีใครพูดแทนใครได้ คุณต้องหาคำตอบด้วยตัวคุณเอง กับ source เดียวที่ให้คำตอบคุณได้ นั่นก็คือพระเจ้า หากคุณคุยกับพระเจ้าแล้ว ได้คำตอบว่าความเชื่อนั่นนี่"เก๊" นั่นก็เป็นคำตอบของคุณครับ พระเจ้าไม่ใจแคบนักหรอกครับ พระองค์และพระองค์เท่านั้น ที่รู้จักคุณดี และรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับคุณ คนธรรมดาๆอย่างผม อย่างคุณโอเอซิส หรือคุณเสมอภาค ไม่มีใครบอกคุณได้หรอกครับว่าอะไรเหมาะสมกับคุณ เราบอกได้เพียงแต่ความเชื่อของเรา ที่เหลือเป็นหน้าที่ของคุณครับ ที่ต้องค้นหาความจริง ใครจะรู้ ความจริงของเราอาจจะเป็นความไม่จริงก็ได้ คุณจะเอาชีวิตคุณเป็นเดิมพันโดยการมาถามคนธรรมดาๆอย่างพวกเราเหรอครับ ;) ขอพระเจ้าให้คำตอบคุณได้ในเร็ววันครับ จากคุณ : Urim - [ 23 ก.ย. 50 00:31:01 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ......... ครับ ถ้าใครจะอ่านสิ่งที่อยู่ในกระทู้ มันจะเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นครับ หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงจัดตั้งและสถาปนาศาสนาจักรของพระองค์ขึ้น ท่านจะเห็นว่าหลังจากการสิ้นพระชมน์ของพระองค์แล้ว และการเห็นการนำศาสนาจักรต่อไปโดยอัครสาวก ถ้่าท่านอ่านดีๆ อ่านช้าๆ ใช้สติ พิจารณาในสิ่งที่อ่าน ท่านจะเห็นว่ามีการละทิ้งความเชื่อ เห็นยุคมืดของความจริงที่ได้สูญหายไป ท่านจะเข้าใจว่าสิ่งเหล่าวนี้จะต้องเกิดขึ้น และจะเห็นว่าทำไมบรรดานิกายต่างๆ ที่คุณเคยได้ยินมา ซึ่งนั้นเป็นไปตามคำพยากรณ์ที่กล่าวไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้น เป็นผม ผมก็สับสนเหมือนกันแหละครับ เพราะคริสต์มีนิกายเยอะแยะไปหมด บางคนพยายามโยงบิดเบือน เป็นการตั้งคำถามแบบล่อลวงทำให้คนหลงเข้าใจผิด พยายามถามเชื่อมโยงกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นำความจริงผสมกับความเท็จ เพื่อให้คนเข้าใจผิดคิด มันเป็นวิธีที่ฉลาดพอควร แต่ความจริงมันจะปรากฏตัวของมันเองครับ // และขอบคุึณสำหรับทุกท่านที่เปิดใจรับฟัง และถ้าท่านอ่านเรื่องที่ผมบอกกล่าว ท่านจะเข้าใจภาพรวมๆ ของศาสนาคริตส์มากขึ้น ยุคต่างๆ เกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมชอบในเรื่องกาลามาสูตรของศาสนาพุทธที่ได้บอกว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่คุณฟัง อย่าเชื่อเป็นเพียงเพราะเขาเป็นครูบาอาจารย์ เช่นเดียวกัน ถ้าคุณได้ฟังเรื่องบางเรื่องเกี่ยวกับมอรมอน หรือไปอ่านมาจากเวบบางเวบของคริสต์บางนิกายท่านจะเข้าใจผิดได้ เพราะในเวบบางเวบของคนไทยของคริสต์บางนิกาย เขาได้กล่าวโจมตี และกล่าวบิดเบือนความจริง คุณลองค้นหาคำว่า มอรมอน ดูดิ แล้วมันจะวิ่งไปเวบของคริสต์นิกายบางนิกายที่ไม่ใช่มอรมอน แล้วคุณจะเชื่อในสิ่งที่เขาเขียนซึ่งไม่ได้เป็นมอรมอน หรือครับ? - * - คุณคิดว่าศาสนาที่บริสุทธิ์ คำสอนที่่บริสุทธิ์จำเป็นจะต้องเขียนโจมตีคนอื่นหรือไม่? ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 23 ก.ย. 50 06:16:41 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ....... #58 แต่อะไรมูนๆ นี่ไม่เอาเด็ดขาดเลย เค้าถูกแฉมาแล้วในหนังสือ เจ้าลัทธิ เล่มเล็กๆ ตอนนี้คงไม่มีขายทั่วไปแล้ว ต้องไปหาตามร้านหนังสือที่เขาเน้นขายหนังสือรุ่นเก่า จากคุณ : หนอนดาวเรือง (หนอนดาวเรือง) - * - ผมขอยกคำพูดของ คห.58 มาเป็นตัวอย่างนะครับ ซึ่งผมไม่ได้พูดนะครับ เพราะผมไม่ได้พิพากษาคนเหล่านั้น แต่ในใจผมรู้ดีว่าคืออะไร แต่ผมยกจากคำพูดของท่านมาเป็นตัวอย่าง สิ่งนี้มันจะปรากฏเองครับ เราสามารถดูได้จากคำสอนของเขา และความจริงมันจะปรากฏเองครับ สิ่งแรกๆ ง่ายๆ คือ สามัญสำนึกมันจะบอกคุณเองว่า สิ่งไหนถูกต้อง สิ่งไหนผิด ........ จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 23 ก.ย. 50 06:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 63 สวัสดีค่ะ คุณเสมอภาค            อ้างถึง        ผมว่าคุณควรอ่านความเห็นที่ 47 ก่อนนะครับแล้วก็ปฏิบัติดู กล่าวคือ คุณอย่าไปฟังใครมาก ถ้าอยากรู้จักมอรมอนก็ถามมอรมอน ไม่ใช่ว่า "ได้ยินเขาพูดมาว่า..." อันนี้คิดว่าไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องในการศึกษาพระกิตติคุณของพระเจ้า ไม่ว่าจะสังกัดโบสถ์ใด นิกายใด หรือศาสนาใด ครับ             ขอบพระคุณมากนะคะสำหรับคำแนะนำ  ปกตินั้นดิฉันจะเป็นผู้รับฟัง  ใครจะเล่าอะไรมาก็รับฟังไว้ แต่ไม่ได้เชื่อหรือไม่เชื่อ  ในข้อที่สงสัยนั้นดิฉันจะถามผู้ที่เขารู้ และขอเหตุผลในการพิจารณา บางครั้งต้องถามผู้รู้ในเรื่องนั้นๆ ถึงสามคน ถ้าคำอธิบายที่ได้รับนั้นยังไม่ชัดเจน ในกรณีคำถามนี้ก็เช่นเดียวกัน จากคุณ : สายน้ำยามเย็น - [ 23 ก.ย. 50 08:37:41 ]

ความคิดเห็นที่ 64 สวัสดีครับ คุณสายน้ำยามเย็น ผมยินดีที่จะตอบข้อสงสัยที่เกี่ยวกับศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้ายครับ แต่ผมเองก็ไม่ได้รู้ไปเสียหมดทุกเรื่องเอาเป็นว่าผมยินดีที่จะตอบเท่าที่ผมรู้และมั่นใจในถูกต้องว่าเป็นคำสอนของศาสนาจักรฯจริงๆ พุดถึงการต้องถามผู้รู้ถึงสามคนนี่ทำให้ผมนึกถึงประจักษ์พยานสามคนที่มีให้กับพระคัมภีร์มอรมอนครับว่าเป็นงานของพระผู้เป็นเจ้าและเป็นของประทานของพระองค์จริงๆ ขอพระเจ้าอำนวยพร จากคุณ : เสมอภาค - [ 23 ก.ย. 50 12:36:55 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เนี่ยยังไม่รวม children of god อีกนะครับ ที่เป็นลัทธิสอนผิด มี new age อีก และ ก็อีกหลายลัทธิครับ ไม่มีผู้เผยพระวจนะที่มาเติมหรือมาให้หลักศาสนศาสนศาสตร์เพิ่มอีกแล้วครับ (doctrine) จากคุณ : karisma - [ 24 ก.ย. 50 10:49:54 ]

ความคิดเห็นที่ 66 .........  อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อลวงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลยเพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึงจนกว่าจะมีการทรยศเสียก่อน และคนนอกกฎหมายนั้นจะประจักษ์แจ้งคือลูกแห่งความพินาศ.. (2 เธสะโลนิกา 2:3) - * - ทำให้ข้อความนี้เป็นความจริงครับ  มีมากกว่า  700 นิกายครับ ที่ๆ บอกมานี่จิ๊บๆ ถ้าคุณมีเพื่อนเป็นชาวต่างประเทศ ลองถามเขาดูครับว่า ศาสนาคริสต์มีกี่นิกาย ......... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 24 ก.ย. 50 11:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 67 คนภายนอกอาจจะมองกลุ่มเหล่านี้เป็นคริสต์ที่แตกนิกาย แต่พวกเราคริสเตียน กลุ่มนี้ มีหลักข้อเชื่อที่ผิดไป เราไม่นับ ว่าเป็นคริสเตียนที่แตกนิกายไป หรือ ต่างคณะ ครับ ก็เป็นคำสอนที่ทำให้คนเป็นคนดี ขัดเกลาจิตใจคน จากคุณ : karisma - [ 24 ก.ย. 50 11:16:16 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ....... เรา นี้หมายถึงใครครับ นิกายไหนครับ คุณอ่านสิ่งที่ผมเขียนไว้ในกระทู้หรือยังครับ สาเหตุที่มีนิกายต่างๆ มากมาย มาจากไหน จากอะไร ? คุณมีอำนาจอะไรที่จะมายอมรับหรือไม่ยอมรับศาสนาจักรของเราครับ คุณเป็นพระผู้เป็นเจ้าหรือ?? ....... จากคุณ : Oasis (Thai_DeSeRT) - [ 24 ก.ย. 50 11:39:07 ]